ฝุ่น(Yuri)
เขียนโดย silent
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.23 น.
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 04.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ความลับ(1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 5
ความลับ(1)
กว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ ทุกคนก็เหนื่อยกับความไม่เข้าใจของหนูลินจนเกือบเป็นลม
อันที่จริง ด้านการเรียนหนูลินออกจะเป็นคนเรียนเก่ง แต่พอเรื่องง่ายๆแบบนี้ เจ้าหล่อนถึงได้พูดยากแบบนี้ก็ไม่รู้
“อ้าว ที่เจ้าหญิงไม่ให้ ไม่ใช่เพราะหนูลินใช้ประโยคไม่ถูกต้องหรอกเหรอ?” คำถามโง่ๆกับดวงตาใสซื่อแทบทำเอานภัสราทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” พอเพื่อนตะคอกหนักเข้า หนูลินก็หน้าตายู่ยี่
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ให้เขาเล่า!”
“เอ่อ” ดวงตากลมโตหลุบลง เพราะตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
“แหม...เก็บไว้เชยชมคนเดียวแบบนี้ ใจร้ายจังเลยเจ้าหญิง!” ประโยคติดเรทของลลินทำเอานภัสราหน้าขึ้นสีพรวดๆ
“บ้า! หนูลิน เขาต้องพูดว่าชื่นชมต่างหาก” สินีตีแขนเล็กขาวดังเพี้ยะ
“เอ๋ไม่เหมือนกันเหรอ?”
“ยายบ้า คำนั้นเขาเอาไว้...” ใบหน้าคมเข้มของสินีโน้มลงไปกระซิบความหมาย
“อ๊ะ! จริงอ้ะ! กรี๊ด โรแมนติกชะมัด!” ฐิติกานต์ส่ายหน้ากับความเพี้ยนของสองคู่หู ก่อนจะหันไปพูดกับนภัสรา
“พวกเราอยากเจอคนรับใช้คนนั้น เรียกมาให้หน่อยสิ”
มือเรียววางกีต้าร์ลง ในใจรู้สึกแปลกๆ...ดวงตาสีดำขลับนั้น ช่างเปล่งประกายความมีชีวิตชีวาเหลือเกิน
รพิชเอ๋ย รพิช...หากได้รับรู้ว่าต้องเจออะไรในภายภาคหน้า เธอยังจะเลือกทางเดินนั้นอยู่ไหม?
ไม่!
เขาตอบตัวเอง...ฉันไม่มีทางจะปล่อยเรื่องทั้งหมดไว้แบบนี้แน่!
ผู้ชายคนนั้นมันไร้หัวใจ...เขาทำแบบนี้กับเธอได้ลงคอ เธอก็คงจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
“พี่พิง” เสียงของสาวน้อยเพียงออ ตะโกนเรียกมาจากทางด้านหลัง
“คุณป่านเรียกพบแน่ะ” เขาพยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่กีต้าร์
“ฝากเก็บให้ด้วยนะ”
หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่ามีลมเย็นๆไล้หลังคอตลอดเวลา เมื่อก้าวเข้ามาในห้องรับแขก
นอกจากนายสาวผู้เย่อหยิ่ง(ซึ่งเขาเพิ่งจับหล่อนโยนลงอ่างอาบน้ำเมื่อเช้า) ก็ยังมีผู้หญิงที่สวยจัดอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย
“...” รพิชตาพร่าไปชั่วขณะ...
แหม ออร่าคนสวยนี่มันแรงจริงๆ!
คนหนึ่งหุ่นเพรียวบาง ผิวละเอียดออกสีแทนเข้มนิดๆ ผมยาวดำเป็นมันถึงกลางหลัง ดวงหน้าคมเข้ม เบ้าตาลึกและมีขนตาเรียงตัวเป็นแพ...หรือที่เรียกว่า ดวงตาหยาดเยิ้ม
อีกคนหนึ่งตัวเล็กผิวขาวผ่อง ดวงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ดูน่ารักไร้เดียงสา จนน่าทะนุถนอม...แต่ที่รพิชจะไม่ทะนุถนอมก็เพราะสายตาเจ้าหล่อนนี่ล่ะ
มองเขาเหมือนมองขนมเค้กราดช็อคโกแล็ตชุ่มฉ่ำเดินได้อย่างไรอย่างนั้น!
อีกคนหนึ่งซึ่งทำเขาหายใจสะดุด
ผู้หญิงหุ่นอวบอิ่มสมตัว ดูราวกับนางพญา หางตาหล่อนเชิดขึ้นดุจนางหงษ์ อากัปมองคนด้วยหางตาซึ่งบ่งบอกถึงความโหดเหี้ยมยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ฐิติกานต์!!
หญิงสาวที่รพิชกำลังนึกถึง เหลือบมองท่าทางของคนมาใหม่อย่างสนอกสนใจ
ตั้งแต่เขาก้าวเดินเข้ามา ท่วงท่าเนิบนาบคล้ายไม่แยแสโลก นับตนเป็นจุดศูนย์กลาง...บุคลิกแบบนี้ดึงดูดใจฐิติกานต์เสมอ
นับตั้งแต่ครั้งนภัสรามาแล้ว
เส้นผมสีดำเมื่อสะท้อนแสงกลายเป็นทองอมน้ำตาล ตัดสั้นประลำคอ ดูเหมือนมันจะยาวตามธรรมชาติ
ดวงตายาวรีเหมือนสัตว์จำพวกงู แต่กลับมีนัยน์ตากลมโต สีเข้มตัดสนิทกับสีขาวในดวงตา ทั้งโหดเหี้ยมและอ่อนโยนขัดแย้งกัน
ดวงตานั้นสบมาที่หล่อน มองเห็นแววตกใจระคนแปลกใจอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติและก้าวเดินต่อ เขามาหยุดอยู่ที่ข้างตัวนภัสรา ท่าทางแข็งกระด้างและถือดีนั้นอ่อนลง ทั้งยังค้อมตัวน้อยๆอย่างให้เกียรติเพื่อนสาว
ฐิติกานต์พยักหน้าอย่างพึงใจ
ในทางกายหยาบ เขาสอบผ่าน!
“นี่เพื่อนๆฉัน...” ยังไม่ทันได้แนะนำอะไร ลลินก็ลุกพรวด ก้าวยาวๆมาถึงตัวคนมาใหม่!
“หล่อจังเลย” ดวงตาของลลินเคลิ้มฝัน จ้องมองพลางเดินไปรอบๆตัวอย่างหลงใหลได้ปลื้ม ทำเอาคนโดนจ้องถึงกับขนลุกซู่
“อะไรอ่ะคุณ?” เขาส่งเสียงเบาๆพลางมองสาวร่างเล็กอย่างหวาดระแวง
“อ่า...นั่นเพื่อนฉันเองแหล่ะ...ทุกคนจ๊ะ นี่พิง คนเมื่อเช้าไง” หยิงสาวปรบมือเรียกความสนใจ(ซึ่งได้ผลดีมาก เพราะลลินลืมตาแล้ว) ก่อนจะกล่าวแนะนำรพิชกับทุกคน
ส่วนรพิชตอนนี้ก็งงหนัก...แค่คนใช้มาใหม่ต้องแนะนำกันขนาดนี้เลยเหรอ??
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” เขายกมือตามความเคยชิน ก่อนจะเริ่มรู้ตัว ค่อยๆลดมือลง ยิ้มเก้อๆ
“น่าร๊ากกกอ่ะ!! เค้าขอนะ!”
“ยายหนูลินบ้า!” ทั้งสามร้องขึ้นมาพร้อมกันอย่างหมดความอดทน
“ชิส์...ไม่เอาก็ได้ งกจริงๆ มีสมบัติก็ไม่ผลัดกันชม!” แรกๆก็โล่งใจ แต่พอประโยคหลังโผล่มา ก็เล่นเอาแทบหงายหลังตึงกันเป็นแถบ
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกเอาสำนวนมาใช้ผิดๆซะทียะ!” สินีบ่นอย่างเหลืออด
“เอ๋...หนูลินพูดผิดอีกแล้วเหรอ?” เพื่อนๆต่างพ่นลมทางจมูกกันอย่างเหนื่อยหน่าย...ไอ้พูดมันก็ถูกเป๊ะตามต้นฉบับ แต่ตอนเอามาใช้นี่สิ เฮ้อ!
“นั่งสิ จะยืนค้ำหัวทำไม” ฐิติกานต์เอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศ ก่อนจะใช้หางตาเหลือบมองอย่างจงใจ
รพิชยกยิ้มมุมปาก...ผู้หญิงอย่างเธอ ฉันรู้วิธีรับมือซะแล้วล่ะ
“...” เขาลงนั่งขัดสมาธิกับพื้น ก่อนจะจ้องตาอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“ชื่ออะไรน่ะเรา” เป็นฐิติกานต์อีกเช่นเคยที่เป็นฝ่ายออกหน้า ขณะที่คนอื่นๆนั่งดูเงียบๆ...อันที่จริงก็มีอยู่สองคนที่ยังกระซิบกันอยู่..
“นางเริ่มแล้ว”
“วิชากดคนให้ต่ำต้อย” หนูลินพยักหน้าเป็นลูกคู่อย่างแข็งขัน พลางมองดูรพิชที่ยังมีสีหน้าธรรมดาไม่เปลี่ยนอย่างสนอกสนใจ
“เมื่อครู่ คุณป่านก็บอกไปแล้วนี่” ว่าพลางเลิกคิ้วให้อย่างยียวน ทำเอาสาวมั่นขมวดคิ้วเขม็ง
“ชื่อจริงน่ะ มีไหม!” แต่แค่นี้ ทำอะไรคุณส้มของเราไม่ได้ เธอยังคงรักษามาดนางพญาไว้อย่างไม่มีที่ติ
“ระ-พิด-ชะ” เขาสะกดทีละคำอย่างกวนโอ๊ยเป็นที่สุด
“มีชะ ด้วยอ่ะ! น่ารักอ่ะ!” หนูลินกรี๊ดเบาๆอย่างปลาบปลื้ม
“ยายเพี้ยนเอ้ย!”
“นามสกุลล่ะ”
“ไม่มี”
“ทำไม”
“ก็ไม่ทำไม ก็มันไม่มี” เขายักไหล่
ถึงตอนนี้ฐิติกานต์กัดฟันข่มความโกรธ...กล้ามากที่ทำกิริยาแบบนี้ใส่เธอ!
“อายุ!” หล่อนถามรอดไรฟัน หรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่คนปกติเจอเข้าไปคงเหงื่อแตกพลั่กๆ
“ตอนนี้ฉันอายุมากกว่าพวกคุณ...แต่อนาคตฉันอายุน้อยกว่าพวกคุณ” เขาตอบตามความจริง ดูๆแล้ว พวกนี้คงเพิ่งยี่สิบต้นๆ ในขณะที่เขาปาเข้าไปยี่สิบหกแล้ว แต่พอนับปีเกิดกันจริงๆ อนาคตต่อไป เขาอายุน้อยกว่าคนพวกนี้ถึงยี่สิบกว่าปีเชียว
“หยาบคาย!” จู่ๆฐิติกานต์ก็กรีดร้อง หันมาทางนภัสรา แต่มือชี้ไปที่คนนั่งพื้น
“คนของเธอมันสามหาว หยาบคาย ไร้สกุลที่สุด!”
คน ‘ไร้สกุล’ หัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งเป็น “ยืดขายืดแขน” แถมยังกระดิกนิ้วเท้าเล่นอีกต่างหาก
“ดูๆ ดูมันทำ ดูมันทั๊ม!!” ฐิติกานต์หันไปโวยวายใส่เพื่อนผู้ได้แต่ เอ่อ อ่า
“พิง! อย่าทำแบบนี้!” ในที่สุด นภัสราก็หันไปขึงตาใส่ลูกจ้างตัวเอง ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มกว้างขวางอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก
“ตกลงพวกคุณเรียกฉันมาดูคนบ้าเหรอ” เขาว่าพลางแคะจมูก
“ใครบ้า! ไอ้สถุล!” ฐิติกานต์ตะคอกอย่างเหลืออด คนประเภทที่ฐิติกานต์เกลียดที่สุดคือคนที่ไร้ความยำเกรงหล่อนและคนที่ไร้มารยาท ซึ่งรพิชมีทั้งสองอย่าง
“โอเคๆ คุณผู้ดีตีนแดง ไม่มีใครบ้า ถ้างั้นคุณก็ควรจะนั่งลงไม่ใช่ยืนกรี๊ดๆเป็นแม่ค้าในตลาด...เด็กในบ้านมันมามุงดูหยั่งกะดูเมียงูแล้วแน่ะ” เขาว่าพลางพยักเพยิดไปทางประตูที่มีสาวใช้ห้าหกคนมายืนออ แต่ละคนถือไม้ปัดแมลงวัน ไม้กวาด ไม้ถูพื้น สารพัดจะไม้อยู่ในท่าเตรียมโจมตี หากคนที่ยืนกรี๊ดจะคุ้มคลั่งแล้วพุ่งทำร้ายเจ้านาย
“พวกไพร่!” ‘ไพร่’ ตัวจริงสะดุ้งโหยงกันเป็นแถว
“ส้ม!!!” ทั้งสามประสานเสียง เมื่อเห็นว่าเพื่อนชักจะหยาบคายเกินไป
“พิง...ไปไหนก็ไป” นภัสราหันไปไล่คนยียวนออกจากพื้นที่ ซึ่งรพิชก็ไหวไหล่ก่อนลุกขึ้น แล้วบิดขี้เกียจส่งเสียงอื้ออ้าเป็นการทิ้งท้าย
“ไอ้บ้า!” เสียงขู่ฟ่อๆของนางพญามาดหลุดดังตามหลัง หญิงสาวผู้ถูกด่าตลอดสิบนาทีเพียงแต่ยิ้มเยาะ
วีธีปราบผู้หญิงอย่างเธอน่ะเหรอ...ก็ทำให้น็อตหลุดไง สะใจดี!!
“บ้าจริง ส้ม เป็นอะไรไปน่ะ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้นะ” สินีเป็นคนแรกที่ต่อว่าเพื่อนสาว เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ฐิติกานต์ไม่เคยใช้เสียงเกินห้าสิบเดซิเบลเลยด้วยซ้ำ
“ใช่ๆ” ลลินชะโงกหน้ามาสำทับ
“หมั่นไส้มันอ่ะ! กวนที่สุดเลยคนอะไรไม่รู้” หญิงสาวว่าพลางทำหน้ามุ่ย
“ป่าน! เธอทนคนแบบนั้นได้ยังไง หา! ไปขุดมาจากไหน ไอ้คนกวนบาทาเนี่ย!” สุดท้ายก็หันไปไล่เบี้ยกับเพื่อนรัก ซึ่งทำหน้าแหยๆ หัวเราะแห้งๆให้
“เขาน่ารักออก ส้มนั่นแหล่ะ ไปทำท่าแบบนั้นก่อน เขาเลยหมั่นไส้ล่ะมั้ง” ลลินว่า พลางชี้นิ้วอย่างเป็นการเป็นงาน
นภัสราแอบเบ้ปาก...อย่างยายนั่นเรียกน่ารัก โลกนี้ก็คงบรรลุธรรมกันหมดแล้ว!
“ตาบอดหรือไงหนูลิน ไอ้บ้านั่นมันกวนบาทาจะตาย ไม่เห็นตอนตอบคำถามหรือไง กวนซะไม่มี!”
“นั่นสิ...ตอบซะจนเราไม่ได้อะไรเลยนอกจากชื่อ แถมยังรู้จากเจ้าหญิงอีกต่างหาก กวนเรื่องเก่งชะมัดยาก” สาวผิวเข้มว่าพลางหัวเราะ รู้สึกสนใจคนๆนี้ขึ้นมาตงิดๆ ทั้งๆที่ตั้งใจเอาตัวมาซักแท้ๆ กลับกลายเป็นโดนหลอกล่อให้เขวจนหมดสิ้น
“จริงสินะ...” สินีไม่รู้ว่าคำพูดนั้น จุดประกายใดให้กับนางพญาที่หน้าหัก...อ่า...หมายถึงหน้าแตก
ฝั่งคนกวนที่เดินหนีมาจากลานซักประวัติก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“โชคดีชะมัด ที่ยายคุณหนูนั่นหลุดง่าย...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ดูฉลาดซะขนาดนั้น ต่อให้มีอีกสิบยายตัวแสบคงช่วยเราไม่ได้” รพิชหันกลับไปมองที่ๆเพิ่งจากมา
“ลาขาดล่ะนะยายนางพญา ขอเจอเธอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพอ”
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ชอบหน้ารพิชเท่าไหร่ เพราะสามวันต่อมา ‘ยายนางพญา’ ติดรถกลับมาที่บ้านนภัสราอีกแล้ว และจุดประสงค์คราวนี้ พุ่งเป้ามาที่รพิชโดยตรง!!
ฮืม ฮืม
เสียงฮึมฮัมจากลำคอคนตัวสูง ทำให้ฐิติกานต์ที่ยืนรออยู่นึกหมั่นไส้
อารมณ์ดีจริงจริ๊ง เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะทำให้พูดไม่ออกเลย!
“นี่ คนใช้!” ฐิติกานต์ก้าวพรวดมาดักหน้าเขาไว้ตรงเก๋งจีนพร้อมกับทักแบบเขม่นขี้หน้า
“โอ้ว...คุณผู้ดีตีนแดงนี่เอง” รพิชบิดยิ้มทั้งที่ในใจเหงื่อแตก
‘มาทำไมอีกฟระ!’
“ปากดีไปเถอะแก อีกเดี๋ยวจะพูดไม่ออก” ดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์เพิ่มความเข้มคมหรี่มองคนตรงหน้า
“พูดเรื่องอะไร ประสาทกลับเรอะเธอ”
“หึ...อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ว่าเมื่อวานแกพยายามเบี่ยงประเด็นน่ะ”
“...”
“เพราะอย่างนั้น ฉันเลยไม่เสียเวลาถามให้ยุ่งยาก...” หล่อนก้าวมาใกล้รพิช จนเขาต้องเอนตัวหลบ สลับข้างมาอยู่อีกฝั่ง
“ฉันสั่งลูกน้องให้สืบประวัติเธออย่างละเอียดแล้ว!”
“!!!” รพิชเผลอตกใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้าง แต่ครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติ
หาได้ก็แปลก ตอนนี้เรายังตัวกะเปี๋ยกเดียวอยู่เลย
คิดได้ดังนั้น ฝ่ายเขาจึงยิ้มเยาะ พลางพูดท้าทาย
“หาได้ก็เอาสิ ...แต่ว่า พอเจอแล้วบอกฉันด้วยนะ ว่ามันมีอะไรน่าตื่นเต้น” ว่าพลางทำท่าจะหันหลังกลับ แต่อีกฝ่ายหนึ่งรั้งไว้เสียก่อน
“มันต้องตื่นเต้นสิ แกอุตส่าเก็บเงียบไม่บอก แถมยังโกหกพี่วินตอนสมัครงานเสียบานตะไท...” ประโยคนี้จริงๆที่ทำเขาตาเหลือก...บ้าชิบ! ยายนั่นรู้!
“พี่วินเขาไม่ใช่คนโง่นะ...ระวังตัวเถอะ พอฉันได้ประวัติแกเมื่อไหร่ แกอยู่ยากแน่!” หญิงสาวหันกลับไปเผชิญหน้ากับนางมารร้าย ที่เขาไม่รู้ว่าหล่อนเคียดแค้นอะไรเขานักหนา
“ทำเพื่อ?”
“แกเข้ามายุ่งกับป่าน!!” หล่อนว่าด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“หา...” เขาครางในลำคอ หน้าตาดูงงงัน ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นตะลึงสุดขีด
“...นี่ไม่ใช่ว่า...คู่ขากันหรอกนะ!”
“ไอ้บ้า ไอ้ชั่ว ไอ้หัวสมองอกุศล”คนถูกกล่าวหากรีดร้องลั่น
แล้วเจ๊พูดให้คิดทำไมล่ะ??
“จำไว้เลยนะ ไม่ว่าจุดประสงค์แกคืออะไร...” รพิชเอียงคอ
“ฉันไม่มีวันยอมให้แก...” รพิชขมวดคิ้ว
“มาทำร้ายป่านอย่างเด็ดขาด...” ดวงตาเริ่มเบิกกว้างหน่อยๆ
“ฉันจะขัดขวางแกทุกวิถีทาง...” ปากเริ่มอ้านิดๆ
“ไม่ให้แกทำชั่วอย่างที่หวังไว้!” คราวนี้รพิชหน้าเริ่มซึด
“หึ...เริ่มกลัวแล้วสินะ” ฐิติกานต์มองหน้าซีดๆของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกระหยิ่ม
“นี่คุณ...” เขากระซิบเรียกฐิติกานต์เบาๆ
“อะไร”
“อย่าโวยวายนะ...”
“...???”
“มีงูอยู่ข้างหลังคุณแน่ะ...”
“กรี๊ดดดดดดด!!!”
หญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องกระโดดเกาะที่พึ่งสุดท้ายหมับ กะว่าถ้างูจะฉกต้องโดนไอ้คนกวนบาทานี่คนแรก
“เฮ้ยๆ คุณ อย่าหมุนซี่!” รพิชว่า พลางกลั้นหัวเราะให้กับวิธีเอาตัวรอดของผู้หญิงปากจัด...กลัวก็กลัว แต่ยังมีสติเอาคนอื่นไปรับเคราะห์แทน เออ เข้าท่า!
“เอามันออกไป ไล่มันๆ ชิ่วๆ” หญิงสาวร่างสูงหันกลับไปมองงูเจ้าปัญหา ที่เขาเห็นกับตาเลยว่ามันสะดุ้งเสียงกรี๊ด...ถ้าอาการเอนตัวไปข้างหลังของมันพอจะอนุโลมว่าสะดุ้งได้น่ะนะ
แล้วพอฐิติกานต์ส่งเสียงอีก ดูเหมือนมันจะตัดสินใจได้ว่ามนุษย์เสียงแหลมคนนี้มีพิษจึงได้รีบถอย
เขามองเหตุการณ์อย่างขบขัน...ไม่น่าเชื่อ กรี๊ดจนงูหนี!
“มันไปยังๆ” คนที่เอาหน้าซุกซอกคอเขาเอ่ยถามเสียงสั่น ทำเอารพิชอยากแกล้งขึ้นมาตงิดๆ
“ยังเลยคุณ เฮ้ยๆ” เขาแกล้งร้องเสียงหลง
“อะไรๆ” อีกฝ่ายก็กรีดร้องเต้นเร่าๆแต่ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
“มันเลื้อยไปข้างหลังคุณแล้ว มาแล้วๆ เฉียดขาเลยๆ”
“กรี๊ดดด!! เอามันออกป๊าย! อี๋ๆ มันโดนขาฉัน มันโดนขาช้าน! อ๊าย!!”
“ฮ่าๆๆ” ในที่สุดความอดทนก็หมดลง หลังกลั้นหัวเราะจนเจ็บกระพุ้งแก้ม เขาก็ปล่อยก๊ากอย่างอดไม่อยู่
“นี่แก แกล้งฉันเหรอ ฮะ!” หญิงสาวรู้ถึงความผิดปกตินั้น ค่อยๆถอยออกมา มองคนหัวเราะหน้าดำหน้าแดง แล้วเอ่ยถามด้วยความฉุน
“ฮ่าๆๆ” ฐิติกานต์มองท่าทางนั้นด้วยความโกรธปนๆกับความอาย เลยแก้เกี้ยวด้วยการทุบไหล่คนขี้แกล้งหนักๆ
“โอ๊ย!คุณ ตีฉันทำไมเนี่ย!” เขาถามทั้งๆที่ยังกลั้นหัวเราะ
“แกหลอกฉัน! หลอกว่ามีงู แต่มันไม่มี!”
“มีสิ!”
“ไหนล่ะ” ถึงตอนนี้รพิชที่กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง ค่อยๆยืนตรงแล้วชี้ไปที่พุ่มไม้ข้างเก๋งจีน
“แต่มันไปแล้วอ่ะ คุณจะตามไปดูมั้ยล่ะ เผื่อมันกำลังเตรียมงานปาร์ตี้รวมญาติต้อนรับคุณอยู่”
“บ้า!”
“ไม่ต้องกลัวหรอกคุณ พอมันทำท่าจะฉกนะ คุณก็แค่กรี๊ดใส่หน้ามัน เดี๋ยวมันก็ไปเองแหล่ะ แบบเมื่อกี้ไง ฮ่ะๆๆ ฮ่าๆ”
“ไอ้บ้า!” ฐิติกานต์กรีดร้องอย่างเจ็บใจ ก่อนจะกระแทกเท้าเดินหนี ทิ้งให้รพิชยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น
โดยไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของคนกี่คน!
“อะไรนะ? ไม่มี” เสียงนั้นถามมาจากเก้าอี้ที่หมุนหันหลังอยู่
“ครับ” ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบ
“เป็นไปได้ยังไง?” คล้ายกับว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ก็เป็นฝ่ายตอบให้ผู้เป็นนาย
“เราตรวจสอบมาหมดแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชื่อรพิช บุญสูงเนิน หรือจะเป็น จีเส่ง ตามที่คุณวิลเลียมเอ่ยอ้างมา ล้วนไม่มีตัวตน”
เสียงปิดแฟ้มดังฉับ ก่อนที่มันจะถูกวางไว้ที่โต๊ะ โดยคนวาง ไม่ยอมหันมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“ชื่อปลอม?”
“เป็นความเป็นไปได้แค่ทางเดียวครับ”
ร่างหลังเก้าอี้ถอนหายใจเบาๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากล้อของเก้าอี้หนังบุมาอย่างดีดังในความเงียบ ชวนให้อึดอัด
“สืบหามาให้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นใครมาจากไหน ก่อนที่มันจะมารับงานให้วิลเลียม มันต้องมีตัวตน...”
“ครับนาย...เอ่อ นายครับ” สุ้มเสียงของชายร่างสูงใหญ่ คล้ายอึดอัดไม่แน่ใจ
“ทำไม?”
“คนของเราบอกว่า นอกจากฝ่ายเราแล้ว ยังมีคุณฐิติกานต์ ลูกสาวท่านรัฐมนตรีพงษ์พิสุทธิ์กับ คุณอติเทพ เจ้าของบริษัท ไทยรุ่งเรือง ที่กำลังตามสืบเรื่องของคนๆนี้อยู่ด้วยครับ” เสียง หึ เบาๆดังจากลำคอของอีกฝ่าย
“ยายลูกคุณหนูนั่นก็แค่เล่นไปตามประสาเด็ก...แต่ไอ้หมาจิ้งจอก มันมีส่วนอะไรกับผู้หญิงคนนี้?” น้ำเสียงนั้นเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ
รพิช...เธอเพิ่งโผล่มา แต่ดึงความสนใจของหมาล่าเนื้อได้เยอะพอควรเชียวนะ
“เร่งสืบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ให้เร็วกว่าไอ้อติเทพ”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะค่อยๆถอยฉากออกไปอย่างรู้งาน
เสียงประตูปิดเบาๆเป็นสัญญาณว่านสนิทได้จากไปแล้ว เสียงจากล้อพลาสติกดังบาดหู แต่ไม่อาจกลบเสียงพึมพำด้วยความพึงใจได้
“เก่งให้ได้ตลอดล่ะ...”
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย” เสียงกรีดร้องไม่พอใจของฐิติกานต์ทำเอาลูกน้องหนุ่มห่อไหล่ด้วยความหวาดเกรง
“คนบ้าอะไรไม่มีตัวตน หา!” หล่อนฟาดแฟ้มลงกับโต๊ะด้วยความฉุนเฉียว
“เราตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ ไม่เคยมีคนชื่อนี้อยู่ในรายชื่อตรวจคนเข้าเมือง หรือในทะเบียนราษฎ์เลยครับ” คราแรกที่เขารู้เรื่อง ก็งง งันพอสมควร ราวกับว่า คนๆนี้เพิ่งโผล่มาไม่กี่วัน ราวกับว่าเพิ่งมีตัวตน...
“มันจะเป็นไปได้ยังไง? มันต้องมีสิ! ไอ้นั่นมันเป็นคนนะ ไม่ใช่ฝุ่นละออง จะได้ผุดขึ้นมาจากอากาศเฉยๆน่ะ!”
“อ่ะ...เอ่อ” คนสนิทหนุ่มกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก เพราะเกรงพายุอารมณ์จากนายสาว
“อะไร!”
“เป็นไปได้ไหมครับ ว่าเป็นชื่อปลอม!” เขาว่า ก่อนจะเอามือขึ้นการ์ดศีรษะ หากอะไรร่วงลงมา จะได้หัวไม่แตก
“ชื่อปลอม?...” ฐิติกานต์ทวนคำอย่างครุ่นคิด ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เรื่องก็ชักไม่ธรรมดาเสียแล้วสิ เอาเข้าจริงๆ เธอก็แค่อยากสืบค้นประวัติผู้หญิงกวนประสาทนั่น หาเรื่องน่าอับอายมาประจานเล่นแค่นั้นเอง...แต่ถึงขั้นใช้ชื่อปลอมนี่มัน...ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว
“เอกสารการสมัครงานอะไรมันก็ไม่มี พี่วินเลินเล่อถึงขั้นรับเข้าทำงานเลยเหรอ?” ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย รู้สึกเหมือนมันจะไกลสมองของหญิงสาววัยเพิ่งจะถึงยี่สิบขึ้นทุกที
“สืบให้ละเอียด ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่มีตัวตน เอารูปมันไป ไปถามให้ทั่วเลยว่ารู้จักคนหน้าแบบนี้มั่งไหม!”
“ครับๆ” ชายหนุ่มรับรูปแอบถ่ายมาประคองไว้ เพราะสาวเจ้าเล่นโยนมาให้ ก่อนจะโค้งตัวแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่ว่าฉันเจอตัวปัญหาเข้าให้แล้วล่ะ” หล่อนว่าพลางกัดเล็บอย่างหงุดหงิดใจ
“ฮัดเช้ย!!” เสียงจามดังสนั่นลั่นครัว ซึ่งมีเหตุมาจากคนร่างสูงที่กำลังนั่งเด็ดใบกระเพราะอยู่นี่เอง
“พี่พิงไม่สบายหรือเปล่า จามหลายรอบแล้วนะ” เพียงออเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นหนุ่ม(?)ในดวงใจเช็ดถูจนจมูกแดงอย่างน่าสงสาร
“ไอ้เอ็นไอ อันอะอูกเอ๋ยๆ (ไม่เป็นไร คันจมูกเฉยๆ)” รพิชว่าเสียงอู้อี้ เพราะเอาหน้าซุกกับแขนเสื้อแล้วถูกขยี้แรงๆแบบที่ชอบทำ
“ถ้าหนักนักก็พอก่อน พิงเอ๊ย! เอากาแฟไปเสิร์ฟให้คุณวินที่ห้องทำงานหน่อยเถอะ” เสียงจากป้าแช่มที่ยังวุ่นวายอยู่หน้าเตา ทำให้รพิชวางมือก่อนะจเดินไปยังบาร์นอกครัว
หญิงสาวเปิดตู้ลอย หยิบเค้กโรลออกมา จัดใส่จาน ก่อนจะชงกาแฟ เพราะวิลเลียมเกลียดกาแฟสำเร็จรูป บ้านนี้จึงมักมีกาแฟสดติดอยู่เสมอ
รพิชยกถาดก่อนจะเดินไปทางห้องทำงาน ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของตึกและอยู่ติดกับสวน
“อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ” หญิงสาวพึมพำเมื่อเห็นว่า ไม่มีใครนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานขนาดใหญ่นั้นเลย เขาวางถาดกาฟลงบนโต๊ะรับแขกขนาดเล็กที่อยู่เยื้องโต๊ะทำงานนิดหน่อย และทำท่าจะหันหลังกลับ
“อ้าว!” รพิชอุทานอย่างเหนื่อยใจ เมื่อหางตา ทันเห็นกระแสลมแผ่วเบาพัดเอกสารหลายใบปลิวตกลงบนพื้น
“เฮ้อ!” เขาพ่นลมหายใจเหนื่อยๆ ก่อนจะก้มลงคลานไล่เก็บเอกสารทีละแผ่นๆ
จนรวบรวมเกือบครบ ทว่ายังมีอีกใบ ที่หล่อนไปอยู่ใต้ชั้นเก็บเอกสาร เขาจึงจำเป็นต้องก้มมุดลงไปเอา
“ทำอะไรน่ะ!” สุ้มเสียงงวดเข้มนั้น ทำให้รพิชรีบถอนตัวออกมา ในมือยังถือกระดาษเจ้าปัญหา
“เธอกำลังทำอะไร” เป็นวิลเลียมนั่นเอง ที่กำลังมองเขม็งและเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ลมพัดเอกสารปลิวน่ะค่ะ เลยเก็บให้” หล่อนตอบไปตามความจริง ทันเห็นดวงตาสีน้ำทะเลหรี่ลง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอบใจ เธอไปได้แล้ว” หญิงสาววางเอกสารและค้อมตัวเดินผ่านเขาไป
“เสิร์ฟกาแฟให้คุณวินแล้วเหรอ พิง” ป้าแช่มเป้นแม่ครัวที่รพิชทึ่งมากๆ เพราะคนสูงวัยไม่เคยหันมามองแต่กลับรู้หมดว่าเป็นใคร
“จ้าป้า...แล้วอ้อไปไหนล่ะ” หญิงสาวถามถึงสาวน้อยที่คอยเกาะแกะ คลอเคลียอยู่เสมอ บัดนี้ไม่เห็นหน้าอยู่ในห้องครัว
“เห็นว่าจะไปห้องน้ำ แต่หายไปนานแล้วเหมือนกันว่ะ”
“เหรอ...ป้า ฉันแวะกลับห้องก่อนนะ ว่าจะไปกินยา ไม่ไหวแล้ว คัดจมูกเหลือเกิน”
“เออๆ ไปเถอะ กินยาแก้ไข้ด้วยนะ”
“จ้า” รพิชยิ้ม แม้ว่าคนที่นี่จะไม่ได้มีถ้อยคำหวานหู แต่ก็เป็นความจริงใจห่วงใยในแบบที่เขาต้องการเสมอ
รพิชเดินลัดเลาะไปตามเรือนคนใช้ ห้องของเขานั้นเป็นห้องสุดท้าย ห่างจากรั้วบ้านแค่ร้อยเมตร ดังนั้นรพิชจึงชะงัก เมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนคุยกับใครสักคนผ่านรั้วบ้าน
ทีแรกรพิชก็ว่าจะไม่ทักแล้วเดินเข้าห้องไปเลย เพราะส่วนตัวหญิงสาวไม่ใช่พวกอยากรู้เรื่องชาวบ้านมากนัก เพียงแต่ว่า ร่างบางนั้นหันมาเห็นหล่อนเข้าเสียก่อน หล่อนทันเห็นว่าคนๆนั้นพูดอะไรรัวๆกับคนนอกกำแพงที่มีความสูงแค่ไหล่ของทั้งคู่
“พี่พิง” เพียงออเอ่ยเรียก เมื่อเจ้าตัวเดินเร่งเข้ามาจนใกล้หล่อนพอสมควร
“คุยกับใครน่ะ อ้อ” รพิชถามไปงั้นๆ แต่เพียงออสะดุ้ง
“พี่พิง อย่าบอกป้านะ คือๆ...พี่ป๊อดมันแค่มาจีบฉันเฉยๆ แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับมันนะ” หญิงสาวมองท่าทีของสาวน้อยด้วยความขบขัน
“ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้...เอาเถอะๆพี่ไม่บอกใครหรอก”
“จริงๆนะ”
“เออสิ ...หมอนั่น วินมอเตอร์ไซค์สินะ”
“ถึงเขาจะเป้นวินมอเตอร์ไซค์แต่ก็นิสัยดีนะพี่!” เพียงออทำหน้ามุ่ย ราวกับว่ารพิชไปดูแคลนเจ้าหนุ่มคนนั้น
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แหม...แล้วบอกไม่ได้คิด” หญิงสาวเอ่ยเย้าสาวน้อย จนอีกฝ่ายหน้ามุ่ยหนักเข้าไปอีก
“ไม่คุยด้วยแล้ว” เด็กสาวว่า ก่อนจะเดินจากไป ขณะที่รพิชหัวเราะ หึหึ
คืนนั้นเอง ที่ยาลดน้ำมูกและยาแก้ไข้สร้างปัญหาให้รพิช...
เช้าวันต่อมา รพิชที่กินยาแล้วฝืนทำงานต่อ พอหัวถึงหมอนก็หลับยาว เดินหน้าตาสดชื่นมาในครัว ก่อนจะประสบปัญหา เมื่อทุกคนมองเขาแปลกๆ
“มี...อะไรกันหรือเปล่าเนี่ย” รพิชเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนที่จะเป็นเพียงออ ซึ่งทำหน้าลำบากใจก่อนจะเอ่ยถามเขา
“เมื่อคืนพี่พิงไปไหนมา” รพิชทำหน้าประหลาดใจกับคำถาม แต่ก็ยอมบอก
“เปล่านี่ พี่ก็นอนอยู่ที่ห้องนั่นแหล่ะ”
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น พี่ไม่รู้เหรอ” เขารู้สึกว่าคำถามนั้นจะเริ่มแปลกขึ้นทุกที รพิชตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคนถาม
“เมื่อคืนทำไม?”
“ก็...”
“พอแล้วนังอ้อ!” ป้าแช่มถลาเข้ามาห้ามเพียงออไว้ และนั่นยิ่งทำให้สัญญาณในตัวรพิชดังมากขึ้นไปอีก
“นี่มันอะไรกัน?”
“แกไปคุยกับคุณวินเองเถอะ ท่านบอกว่าถ้าแกมาทำงานแล้ว ให้ไปพบ”
รพิชเดินมุ่งหน้าไปยังห้องอาหาร โดยมีแต่คำถามเต็มหัวไปหมด
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอโทษ เพราะเมื่อเข้าไปแล้ว ก็พบว่ามีแขกแปลกหน้านั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่เป็นไร นี่ทนายฉัน เธอมาก็ดีแล้ว” วิลเลียมเอ่ยขัด ก่อนที่หญิงสาวจะเดินจากไป
“เมื่อคืนนี้เธออยู่ไหน” รพิชขมวดคิ้วมุ่นให้กับคำถามแปลกประหลาด
“อยู่ที่ห้องค่ะ”
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เธอรู้หรือเปล่า” นี่ก็อีกคำถามที่หล่อนไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด
“ไม่ทราบค่ะ”
“เมื่อคืนมีโจรบุกขึ้นมาในบ้าน!”
“หา!”
นี่หล่อนตกใจจริงๆนะ! เมื่อคืนเกิดเรื่องแบบนั้นด้วยหรือเนี่ย!
“น่าแปลกที่ไม่มีอะไรหาย...”
“แล้ว?”
“และที่น่าแปลกยิ่งกว่า มันมุ่งเข้าไปในห้องทำงานของฉัน รื้อค้นเสียกระจาย”
“มีอะไรหายไหมคะ”
“ไม่...” ดวงหน้าที่บ่งบอกเชื้อชาติขมวดคิ้วแน่น มองหน้ารพิชอย่างค้นหา
“เมื่อคืนเสียงดังออกอย่างนั้น เธอไม่รู้เรื่องเลยรึ?”
“ไม่ค่ะ เมื่อคืนฉันทานยาเข้าไป เลยหลับยาวถึงเช้า” วิลเลียมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ไปได้”
เป็นอีกวันที่หญิงสาวรู้สึกว่ามันแปลกเหลือเกิน...
หลังจากถูลู่ถูกัง ลากนภัสราออกจากนิทรารมณ์แล้วพาไปส่งที่มหาวิทยาลัยแล้วควมคิดหนึ่งก็วูบเข้า ทำให้พวงมาลัยรถ หักเลี้ยวไปยังซอยลัด...ซอยที่จะตรงไปบ้านของเธอ
เขาอยู่ตรงนั้น...รพิชมองดูอย่างผ่อนคลาย มารดาเธอยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ตรงนั้น ก่อนที่ประตูรั้วจะเปิด
“นิตยา! บอกให้เอาเด็กนี่ออกไป!” เสียงโหวกเหวกที่หล่อนเกลียดดังแว่ว พร้อมกับร่างสมส่วนของผู้ที่หล่อนกล้ำกลืนเรียกว่าพ่อจะปรากฏ
ร่างระหงของมารดา ก้าวไปรับร่างเล็กของอดีตตัวหล่อนไว้ ซึ่งกำลังเบิกตามองผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ
รพิชก้มตัวลงวูบ หลบสายตาคมกริบของรพีที่กวาดมองมา
“ผมจะไปดูโรงงานเสียหน่อย คอยดูมันอย่าให้แอบตามไปได้อีกล่ะ!” นิตยาเพียงแต่รับคำแผ่วเบา เฝ้ามองดูสามีขึ้นรถไปอย่างเศร้าใจ
“พิง ทำไมหนูดื้ออย่างนี้ลูก ทีหลังอย่าแอบตามขึ้นไปอีกนะ”
“อยากอยู่กับพ่อ” เสียงแผ่วของเด็กน้อยทำเอาคนมองปวดใจ
รพิชขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่เคยยอมรับหล่อน
ทำไม?
เพียงเพราะเหตุบังเอิญต่างๆ จะทำให้รพีเกลียดชังลูกตัวเองได้ถึงเพียงนี้เชียว?
อารมณ์ที่คิดว่าดีๆหายไปหมด รพิชจึงตัดสินใจออกรถหลังจากมารดาเดินเข้าบ้านไปแล้ว
รพิชเลี้ยวรถเข้ามาในบ้าน หญิงสาวหรี่ตามองคนเปิดประตูที่ไม่คุ้นหน้า จวบจนกระทั่งจอดรถเสร็จก็ได้แต่เก็บความในใจเอาไว้
“นั่นใครน่ะลุง” รพิชเลือกจะเดินไปถามลุงป่วนที่ยืนล้างรถอีกคันหนึ่งอยู่ ซึ่งชายวันกลางคนก็หันมาทำหน้าฉงน ก่อนจะระลึกขึ้นได้ มื่อเห็นเธอชี้ไปที่ชายร่างผอมสูงที่กำลังวิ่งเหยาะๆไปทางโรงเก็บของ
“อ้อ! ไอ้ปู คนขับรถใหม่น่ะ คุณหนูลินแนะนำมา” รพิชทำเสียงในลำคออย่างหนึ่งเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหมดความสนใจเพียงเท่านั้น
“พิง” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากทอร์เรซของบ้าน
“คะ?”
“ขับรถให้ฉันที เอ้านี่!” วิลเลียมยื่นกระดาษสีขาวสะอาดตาและบัตรกระดาษขนาดฝ่ามือสีชมพูให้หล่อนอย่างละหนึ่งใบ รพิชรับมา กวาดสายตาอ่านแล้วยิ้มมุมปาก
“ว้าว ของผิดกฏหมายนี่นา...”
“หุบปากน่า” เขาว่าก่อนจะเดินไปขึ้นรถ หญิงสาวผิวปากหวือ...ใช่แล้ว ในมือของหล่อนมันคือ ใบอนุญาตทำงานในประเทศ และแน่นอนว่าขั้นตอนการทำงานของมัน หญิงสาวเองก็พอจะรู้อยู่บ้าง และคนที่หลักฐานการมีตัวตนของตัวเองที่ไม่มีสักอย่าง อย่างรพิช การจะออกใบพวกนี้ได้ก็มีแค่สองอย่าง ...ไม่ใช่หลักฐานการมีตัวตนมันปลอม งั้นไอ้ใบอนุญาตนี่ก็ปลอมล่ะวะ!
“ไปไหนคะ เจ้านาย” วิลเลียมเหลือบตามองนิดๆ ก่อนจะยอมบอก
“ไปโรงงานที่นนฯ” รพิชชะงักกึก จำได้ว่าโรงงานของบิดาก็อยู่แถวนั้นเหมือนกัน...มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกกระมัง
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วออกรถ
รถยนตร์คันสีเทาควันบุหรี่โลดแล่นไปตามถนนเรื่อยๆ เพราะวันนี้รถไม่เยอะนัก จนกระทั่งถึงปากทางเข้าไทรน้อย ตอนนั้นเองที่หญิงสาวสังเกตุอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้านะ” เสียงนายจ้างหนุ่มทำให้หล่อนออกจากภวังค์
“ค่ะ”
สิ่งที่สัมผัสได้คือความไม่ชอบมาพากล เมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยลูกรังแล้ว รถยนตร์คันสีดำสนิทก็ยังแล่นตามมา เส้นประสาทรับรู้ภายในกายตื่นเกร็ง ดวงตาเรียวยาวจ้องเขม็งที่กระจกหลังสลับกับมองไปข้างหน้า
“เฮ้ย!” ทั้งสองร้องเสียงหลง เมื่อรพิชเกือบจะขับชนต้นหูกวางต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ดีแต่ว่ารู้ตัวเสียก่อน
“เหม่ออะไรน่ะ พิง เดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก” วิลเลียมทำตาดุเอ่ยตำหนิลูกจ้าง
“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจ เมื่อเห็นว่ารถคันดังกล่าว ขับนำหน้าไปอย่างไร้พิรุธ ทำให้ รพิชได้แต่หัวเราะตัวเองในใจ
เขาคงจะระแวงมากไป จากเหตุการณ์โจรบุกเข้ามาวันนั้น
หญิงสาวถอยรถกลับเข้าทางเดิม และขับไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
ปุ! ปุ! ปุ! ปุ!
เสียงปึงปังดังติดๆกัน พร้อมๆกับที่รถเสียการทรงตัวเป๋ไปมา กระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด
“อะไรวะเนี่ย!” หญิงสาวสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะรีบลงไปดู
“เวรเอ้ย!” รพิชว่าอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าล้อรถทั้งสี่ข้างแบนแต๊ดแต๋
“มีอะไร พิง” วิลเลียมชะโงกหน้าออกมาถาม
“ยางแบนค่ะ” หล่อนตอบอย่างเหนื่อยหน่าย อีกตั้งไกลกว่าจะถึงโรงงาน
“แย่จริง” ชายหนุ่มตัดสินใจเดินลงมาดู ...ทว่าตอนนั้นเองที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น!
ปัง!
ลูกกระสุนเฉี่ยวหน้าวิลเลียมไปเจาะกระจกข้างคนข้างอย่างเฉียดฉิว! ทั้งสองย่อตัวลงอัตโนมัติ
ปัง!
กระสุนอีกนัดตามมา รพิชย่อตัววิ่งไปหานายจ้าง ฉุดเขาไปแอบอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าป่าโปร่งอีกด้าน
“เฮ้ย! มันหนีไปแล้ว ตามไป!” เสียงแว่วๆ จากเจ้าของลูกกระสุน ทำให้ทั้งสองวิ่งเร็วขึ้น โดยไม่สนใจว่าจะไปโผล่ที่ใด
โชคร้ายที่มันเป็นป่าโปร่ง ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหน ก็ยังคงถูกเห็นตัวอยู่ดี
ปัง!
“โอ๊ย!” ชายหนุ่มอุทาน เอามือกุมแขน จังหวะการวิ่งรวนเร จนหญิงสาวต้องรั้งให้วิ่งต่อ
“เป็นอะไรไปคะ?” รพิชตะโกนถาม ไม่ต้องกลัวจะถูกคนร้ายได้ยิน เพราะมันก็เห็นตัวพวกเขาทั้งสองอยู่แล้ว
“เฉียด กระสุนเฉียดไปเฉยๆ!” ชายหนุ่มว่าพลางเอามือกุมต้นแขน ถึงมันจะเฉียด แต่ก็เจ็บเอาการ!
“บ้าจริง! ร้อยวันพันปี ไม่เคยโดน!” วิลเลียมสบถอย่างโมโห ทำเอารพิชสะดุ้ง อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเธอหรือเปล่าหนอ? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ที่นี่เธอเป็นแค่คนรับใช้ จะมีคนให้ความสำคัญขนาดไล่ยิงเชียว!
ปัง! ปัง!
เสียงกระสุนเฉียดตัวเองไปเจาหมุนโดนต้นไม้จนเนื้อในมันหลุดลุ่ย ทำให้ทั้งสองผวา พยายามวิ่งเร็วขึ้น ทั้งวิ่งเลี้ยวลด อาศัยต้นไม้เป็นเกราะกำบัง แต่คงจะรอดไม่ได้ตลอดไป
“แบบนี้ไม่ดีแน่” หญิงสาวรำพึง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วเอามือฉุดแขนกำยำกระโดดทะลึ่งพรวดหายวับไปกับตา!
“เฮ้ย! แม่งหายไปไหนวะ!” ชายฉกรรจ์สี่คนที่วิ่งตามมา หยุดหอบหายใจ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น
“ไวเป็นลิงเลยโว้ย!” อีคนหนึ่งว่า พลางเตะลมเตะแล้งอย่างหงุดหงิดใจ
“ไม่ไปไหนไกลหรอกมึง” ชายคนที่สามพูดเบาๆ ก่อนจะพยักเพยิดลงไปที่ทางลาดชัน ซึ่งข้างล่างเป็นถนน และเป็นชั้นดินสั้นๆอีกต่อหนึ่ง
“ร้ายนักนะมึง” ชายคนแรกสบถ ก่อนจะพากันเดินไปเงียบๆ
“ไหวไหมคะคุณวิลเลียม” รพิชกระซิบถามชายหนุ่มซึ่งหน้าซีดเซียวเพราะเสียเลือดมาก
“พอไหว” เขาพยักหน้าตอบอย่างเหนื่อยอ่อน แค่วิ่งอย่างเดียวก็เหนื่อยพออยู่แล้ว แต่เลือดที่ไหลเป็นท่อประปาแตกนี่สิ!
วิลเลียมถูกหญิงสาวฉุดกระโดดลงมาตรงทางลาดซึ่งชันพอสมควร ตามผิวกายโดนหญ้าบาดจนแสบไปหมด พอกลิ้งหลุนๆลงมากระแทกกับพื้นถนนดินแดงซึ่งมีหินเล็กหินน้อยระเกะระกะแล้ว เขาก็ถูกฉุดให้กระโดดลงไปตรงเหวขอบถนน ทำเอาเขาตกใจเกือบตาย แต่สุดท้ายฝ่าเท้าก็มากระทบนิ่งกับชั้นดินที่ซ่อนอยู่ใต้ถนนอีกที
“มันคงไปแล้วมั้ง” เขาพูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปนาน
“เราน่าจะรอดแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวว่า พยายามเอามือที่เป็นรอยถูกบาดเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาถึงเปลือกตา ทว่าตอนนั้นเองที่ดวงตาเรียวเบิกกว้าง!
แกร็ก!
เสียงแกร็กเบาๆพร้อมกับความรู้สึกถูกดันอยู่ตรงศีรษะทำให้วิลเลียมเงยหน้าขวับ ผิดกับรพิชที่ดูเหมือนจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว
“วิ่งเล่นกันพอแล้วมั้งครับคุณชาย” หนึ่งในสี่พูดขึ้นอย่างยียวน ทั้งสองถูกลากขึ้นมายืนบนถนน
“พวกแกต้องการอะไร? เงินเหรอ ฉันมีนะ” วิลเลียมพยายามแก้สถานะการณ์โดยเสนอเงินให้เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นโจรดักปล้น
“เท่าไหร่ล่ะ เสนอมาสิเผื่อเราจะสน” หนึ่งในนั้นเลิกคิ้วว่ายิ้มๆ
“ฉันมีติดตัวอยู่หนึ่งหมื่น” วิลเลียมเสนออย่างใจป้ำ
ขณะที่ฝ่ายนั้นมองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่น
“หนึ่งหมื่น พวกผมไม่อิ่มหรอกคุณชาย หารตั้งสี่แน่ะ” ฝ่ายที่ถือปืนจ่อหัวรพิชอยู่พูดขึ้น
“ฉันมีเงินสดติดมาแค่นี้”
“สองเท่า” จู่ๆรพิชก็พูดขึ้น
“แกว่าอะไรนะ?” ทั้งหมดหันมามองหญิงสาวอย่างสงสัย ก่อนที่ฝ่ายเจรจาคนแรกจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
รพิชเงยหน้าขึ้นจ้องตากับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้า
“คนที่จ้างแกมาให้เท่าไหร่ ฉันเพิ่มให้เป็นสองเท่าถ้าปล่อยเราไป” ทั้งสี่มองหน้ากันอย่างอึ้งนิดๆ ก่อนที่คนที่รพิชเจรจาด้วยจะหัวเราะเหี้ยม
“หัวไวมากคุณผู้ชาย แต่ผมไม่ใช่คนหักหลังใครง่ายๆนะครับ” รพิชหรี่ตามองอย่างโกรธแค้น ไม่ใช่ที่โดนไล่ล่าแถมยังโดนเอาปืนจ่อหัว แต่เป็นเพราะฝ่ายนั้นเรียกเธอว่า คุณผู้ชายต่างหาก!
“สามเท่า ลบคดีติดตัว!” หญิงสาวเสนออย่างใจป้ำ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่เพื่อความอยู่รอดก็จำต้องพูด
คราวนี้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่หันมามองหน้ากันอย่างปรึกษา เพราะข้อเสนอนั้นยั่วยวนไม่น้อย
“แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะทำแบบนั้นจริงๆ” คนที่เจรจาด้วยแต่แรกพูดขึ้น รพิชใจชื้นที่อีกฝ่ายเริ่มเอนเอียง
“ตามไปเฝ้าที่บ้านเลยก็ได้ รู้อยู่แล้วนี่ว่าอยู่ตรงไหน ห่างจากตรงนี้แค่ไม่กี่กิโล จากซอยถนนลูกรังทางเข้าไปโรงงานคุณวินครึ่งทาง ก่อนออกไปถนนใหญ่ น่าจะรู้อยู่แล้วนะ” ถ้าให้เขาเดา คนพวกนี้น่าจะตามมาตั้งแต่ปากซอย เพราะเขาสังเกตุเห็นตั้งแต่ติดไฟแดงสี่แยกแรก
ตัวหัวหน้าเริ่มลังเล การลบคดีให้ถือว่าไม่ง่าย แต่ถ้าคนตรงหน้าทำได้จริง เขาก็จะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ แถมยังมีเงินใช้อีกต่างหาก
“เฮีย!” ลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่เรียกด้วยสีหน้าตระหนก
“อะไร!”
ลูกน้องคนนั้นเดินมากระซิบข้างหู
รพิชเห็นท่าไม่ดี อีหรอบนี้มันต้องรู้ตัวแล้วแน่ หญิงตัดสินใจใช้แผนที่บ้าบิ่นที่สุด
“เฮ้ย!” เสียงร้องของชายหนุ่มที่ยืนเอาปืนจ่อรพิชอยู่ดังขึ้น และก่อนที่ทุกคนจะได้ตั้งตัวนั้นเอง รพิชคว้ามือกำยำนั้นไว้กระโดดล้มทับตัวของชายผู้นั้นไว้โชคดีที่ส่วนสูงไม่ต่างกันมากนัก ทั้งอีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว หญิงสาวจับหักข้อมืออีกฝ่ายที่งอแนบลำตัวอยู่แล้วเข้าหากระดูกเชิงกรานแล้วเหนี่ยวไก
ปัง!
“อั้ก!” ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือก ร้องดังอั้ก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก โดยที่อีกฝ่ายไม่มีสติได้ทันไตร่ตรอง
“เฮ้ยๆๆ ทำไรกันวะ!” เสียงร้องโวยวายจากโค้งถนนซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่สองร้อยเมตรดังขึ้น ร่างชายฉกรรจ์อีกหกเจ็ดคนวิ่งมาพร้อมกับไม้หน้าสาม ทำให้เหล่าโจรทั้งสามตะลึงลาน ตัวหัวหน้าสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะให้ลูกน้องอีกสองคนลากเพื่อนที่นอนกระตุกอยู่กับพื้น ฉุดตัวหนีขึ้นไปทางลาดเดิมอย่างรวดเร็ว
“ไปเร็วเว้ย!” เหล่าโจรกำมะลอถูลู่ถูกังกันไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้รพิชและวิลเลียมยืนอยู่ที่เดิม
“คุณวิน!” หญิงสาวร้องเรียกอย่างตระหนก เมื่อพบว่าเจ้านายทรุดฮวบลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นลูกรัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ