มนตร์หงส์ NC 18+
เขียนโดย WiwaWriter
วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.02 น.
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 21.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ความหึงหวงอันรุนแรงเกิดจากปริมาณความรักที่ไม่สามาร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ@เสียงเอะอะซึ่งดังมาออกมาจากห้องพักของกันติยาทำให้กันต์กรที่รีบวิ่งมารู้ดีว่าสถานการณ์ในนั้นคงไม่ค่อยเงียบสงบ ยิ่งเสียงที่โดดเด่นและดังที่สุดเป็นของสุทัตตาด้วยแล้ว เชื่อแน่ว่าความรุนแรงใดๆ ก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นคงเพิ่มขึ้นแบบคูณสาม กันต์กรจึงรีบผลักประตูเข้าไปเพื่อยุติเหตุการณ์รุนแรงนั้น
พอกันต์กรเผยตัวให้เจ้าของเสียงวีนแหลมปรี๊ดเห็น เธอก็ปรี่เข้ามากระชากแขนใหญ่ของชายหนุ่มแล้วถาม
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะกร น้องยาบอกว่าเป็นกิ๊กกร”
กันต์กรถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองไปที่หญิงสาวอีกคนข้างๆ สุทัตตา แล้วชายหนุ่มก็ถึงกับหยุดหายใจ เธอคนนั้นเข้ามาป่วนในห้องพักของกันติยาอีกแล้ว เขาเคยขอร้องไม่ให้เธอมาที่นี่ แล้วเธอยังจะรั้นมาก่อเรื่องที่นี่อีกทำไม
แต่ตอนนี้หญิงสาวผิวขาวผ่อง ร่างเพรียวระหงในชุดเดรสสีขาวลายดอกกุหลาบดูสวยงามและบริสุทธิ์ ทำให้ชายหนุ่มแทบไม่ได้สนใจจะหาคำตอบต่อข้อสงสัยของตนหรือแม้แต่เสียงของสุทัตตาที่ถามย้ำคำถามเดิม เขาได้แต่มองเธอด้วยความหลงใหล จนกระทั่งสุทัตตาแว้ดเสียงลั่นจึงทำให้กันต์กรหลุดจากภวังค์
“ก๊อนนนน!!”
“คะ...ครับ?”
“ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ กรมองตาเป็นมันแบบนี้ เลิกพูด” ว่าแล้วสุทัตตาก็สะบัดตัวรีบก้าวเร็วๆ จากห้อง ก่อนจะหันมาทำหน้าดุใส่ “ฝากไว้ก่อนนะคะกร”
“ซูซี่” กันต์กรพยายามตามไปเพื่อจะอธิบาย แต่สุทัตตาก็ปิดประตูใส่หน้าเขา
เสียงหัวเราะคิกคักของใครบางคนทำให้กันต์กรต้องหันไปมอง น้องสาวตัวแสบของเขานั่นเอง ว่าแล้วก็เอ็ดมันสักหน่อย
“ตลกใช่มั้ย ยายยา”
เด็กสาวรีบหุบรอยยิ้มขบขันแล้วปั้นหน้าเรียบขรึม คนเป็นพี่ก็พอจะเดานิสัยยายน้องตัวแสบนี่ออก “แกอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“เปล่านะคะพี่กรขา หนูยาไม่รู้เรื่อง” ยายตัวดีทำหน้าซื่อ ตาใสแป๋ว จ้างให้เขาก็ไม่เชื่อหรอก กันต์กรทำหน้าดุคาดโทษก่อนจะตั้งท่าให้สุขุมแล้วหันมามองหญิงสาวแปลกหน้า
“ครั้งนี้จะมาป่วนอะไรในห้องน้องสาวผมอีกล่ะ” ถามไปแล้วอีกฝ่ายก็ทำหน้านิ่งๆ เหมือนหูทวนลมเช่นเคย
“ป่วนอะไรกันพี่กร” กันติยาทำหน้างงๆ “พี่เขาเพิ่งมาครั้งแรก”
“นี่แกจำไม่ได้เหรอไง คนคนนี้แหละที่เกือบทำให้แกแย่เมื่อวันก่อน” กันต์กรพูดอย่างหงุดหงิด และพยายามไม่มองหน้าอีกฝ่าย ส่วนกันติยานั้นทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกก่อนจะรีบปฏิเสธ
“พูดอะไรของพี่เนี่ย ครั้งที่แล้วหนูอาการกำเริบเอง ไม่มีใครมาทำอะไรสักหน่อย เนี่ยพี่เขาเอาลูกชุบจากป้าเมี้ยนมาให้”
ยิ่งทำให้ชายหนุ่มงุนงงหนักกว่ากันติยาหลายเท่าตัว เธอคนนี้เป็นคนรู้จักของหมออโร ไม่ได้เป็นอะไรกับป้าเมี้ยนสักหน่อย ทำไมแม่บ้านของเขาถึงฝากขนมมากับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ได้
ท่ามกลางความงุนงงของสองพี่น้อง จู่ๆ แม่สาวคนสวยก็เอ่ยขึ้น
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ขณะที่เธอหมุนตัวจะก้าวจากไป กันต์กรก็อยากจัดการอะไรเธอสักหน่อย
“เดี๋ยว” เขารีบทัก หญิงสาวชะงักแล้วหันกลับมาอย่างนิ่มนวลราวกับหญิงมารยาทงาม ต่างจากชุดที่เธอใส่ไปผับเมื่อคืนนั้นลิบลับ พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่หนี แถมรอฟังเรื่องที่เขาพูด ชายหนุ่มจึงรีบจัดคำถามหนักให้เธอ
“ทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธว่าคุณไม่ใช่กิ๊กผม หรือว่าคุณต้องการอะไร”
“กิ๊ก” อีกฝ่ายทวนคำด้วยเสียงนิ่งๆ สีหน้าก็ใสซื่อเหมือนเด็กกำลังคิดความหมายของคำที่ไม่รู้จัก
“ก็ใช่น่ะสิ คุณไม่ปฏิเสธซูซี่เลย แบบนี้ผมก็เสียหายน่ะสิ” ขณะที่พูดไปชายหนุ่มก็นึกขำคำพูดของตัวเอง แต่ก็ยังตีหน้าเข้มเล่นงานอีกฝ่ายต่อ “ซูซี่ต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่”
“ฉันไม่เข้าใจ” เธอตอบด้วยเสียงเรียบๆ “กิ๊กคืออะไร”
กันติยาหัวเราะเสียงหลง พอโดนกันต์กรตวัดสายตาพิฆาตใส่ น้องสาวตัวแสบเลยเอ่ยถามตัดหน้า
“อ้าว พวกพี่สองคนไม่ได้กิ๊กกั๊กกุ๊กโก๊ะกันอยู่เหรอ”
กันต์กรส่ายหน้าเร็วแล้วรีบยกมือปราม “หยุดพูดเลย ยายตัวดี ปากดีวันดีคืนจังเลยนะ”
“เหมือนใครล่ะคะ พี่กรขา” กันติยาย้อนพร้อมยักคิ้ว
“เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ”
กันต์กรตบหน้าผากตัวเองเบาๆ เขามีหลายเรื่องอยากจะคุยกับผู้หญิงคนนี้ แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวหรือเพราะเหตุผลจำเป็นที่ต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องกันแน่ เขาจึงเชิญหญิงสาวแปลกหน้าออกไปคุยกันข้างนอกตามลำพัง โดยมีกันติยายิ้มเจ้าเล่ห์ส่งพวกเขาออกจากห้อง พอถึงแยกทางเดินที่ไม่ค่อยมีคน กันต์กรจึงเริ่มซักเธอทันที
“คุณรู้จักป้าเมี้ยนเหรอ”
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ
“คุณเป็นอะไรกับป้าเมี้ยน”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเหมือนสงสัยว่าจะถามอะไรนักหนา แต่เธอก็ตอบ
“เป็นคนรู้จัก”
กันต์กรรู้สึกคุ้นกลิ่นที่อยู่กับผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน เหมือนกลิ่นที่เขาเคยดมที่ไหนมาก่อน ช่างหอมแปลกๆ แต่ก็น่าหลงใหลจริงๆ กลิ่นที่บริสุทธิ์ แต่บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ หากจะใช้คำว่าบริสุทธิ์กับผู้หญิงสมัยนี้ คงจะเป็นไปได้ยากพอสมควร คิดไปคิดมาก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ป้าเมี้ยนเป็นลมขึ้นได้ หรือว่านางฟ้าที่ป้าเมี้ยนว่าจะหมายถึงเธอคนนี้ เพื่อความแน่ใจเขาจึงต้องถามอีก
“คุณหรือเปล่าที่เป็นคนช่วยป้าเมี้ยนตอนเป็นลม”
หญิงสาวพยักหน้าตอบเช่นเคย
“อ๋อ” กันต์กรร้อง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจถามคำถามที่ต้องการคำตอบมากที่สุด “หมออโรไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณยังมาที่นี่อีกทำไม และที่คุณไม่ปฏิเสธว่าเป็นกิ๊กผม หรือว่าคุณต้องการจีบผมทางอ้อม”
กันต์กรยิ้มมุมปาก แต่คำตอบที่ได้จากเธอกลับเป็นคำพูดเย็นชา
“ขอตัวนะคะ”
ว่าแล้วเธอก็ปลีกตัวออกไป ทว่าสุทัตตาก็ก้าวเข้ามาขวางไว้พร้อมสีหน้าดูแคลน
“นี่ถ้าซูซี่ไม่ออกมาก็คงจะเมกเลิฟกันกลางทางเดินไปแล้วสิ”
กันต์กรอ้าปากค้าง แล้วพยายามอธิบายให้สุทัตตาฟังด้วยเสียงอ่อนโยน
“ใจเย็นสิ เราไม่มีอะไรกันทั้งนั้น”
“ไม่มีอะไรกันแล้วทำไมยายนี่ถึงไม่ปฏิเสธอะไรเลย ช่างเถอะ ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น กรจะเลิกกับยายนี่มั้ย” เธอย้ำเสียงแข็ง
“คุณคิดมากน่า เราสองคนแค่คุยกัน”
“คุยกันเหรอ คุยกันในห้องไม่ได้หรือไง ต้องแยกออกมาคุยกันสองต่อสอง เดี๋ยวจะชวนกันไปต่อโฮเต็ลที่ไหนอีกล่ะ”
รู้สึกว่าการพูดดีๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณหนูลูกครึ่งคนนี้สงบลงเลย กันต์กรก็ชักจะเริ่มยัวะกับความไม่สุภาพของผู้หญิงคนนี้จนเขาต้องปรามเธออย่างเสียอารมณ์
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะซูซี่”
“เกินไปเหรอ เกินไปใช่มั้ย” ซูซี่แผดเสียง ก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนนิภิศา แล้วกระชากให้มาประจันหน้ากับเธอ
“แกต้องการเท่าไหร่ว่ามา ต้องการอะไรจากกร บอกมาสิ นังผู้หญิงขายตัว”
“เฮ้ย!! ซูซี่ไม่เอาน่า” กันต์กรรีบเข้าไปห้ามพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากสาวใช้ “แจ๋น มาพาคุณซูซี่ไปเร็ว”
“อย่ามายุ่งนังแจ๋น” พอเจอคำสั่งดังสายฟ้าฟาด ยายแจ๋นก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย สุทัตตาเป็นคนอารมณ์ร้อนแถมยังเย็นลงยาก หากไม่ได้สิ่งที่ตนพอใจ กันต์กรจึงพยายามอ้อนวอน
“ซูซี่ใจเย็นก่อน”
แต่สุทัตตาไม่ฟัง เธอยังคงหึงหวงเขาจนเลือดขึ้นหน้าและลงอารมณ์ที่หญิงสาวผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“แกบอกฉันมานังบ้า แกต้องการอะไร”
แต่หญิงสาวในชุดขาวก็นิ่งได้เหลือเชื่อ
“ได้ ไม่พูดใช่มั้ย” สุทัตตาง้างมือขึ้นทันที แต่อีกฝ่ายรั้งมือเธอไว้ได้แล้วผลักให้คนเดือดดาลล้มลงตรงนั้น ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่า ทิ้งให้นางมารร้ายก้นจ้ำเบ้าร้องโอดครวญอยู่กับพื้น ครั้นจะลุกขึ้นตามไปเอาคืนก็เห็นทีจะไม่ไหว ได้แต่แหกปากร้องลั่น
“นังบ้า! แน่จริงกลับมานะ”
กันต์กรรีบเข้าไปประคองตัวสุทัตตาให้ลุกขึ้นยืน
“สงบหน่อย ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ”
แต่สาวลูกครึ่งไม่ฟัง สะบัดตัวออกจากแขนชายหนุ่ม ก่อนจะชี้ที่อกกว้างของเขา
“กร กรก็รู้ว่าซูซี่ไม่ชอบให้กรมีคนอื่น”
กันต์กรเม้มปากแน่น อารมณ์ชายหนุ่มเริ่มเดือดแล้วเหมือนกันที่ปฏิเสธเท่าไรสุทัตตาก็ไม่ยอมเชื่อสักที กระทั่งตอนนี้เขาชักเหลืออดจนต้องออกคำสั่งกับเธอด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ซูซี่ ผมไม่ต้องการให้คุณทำแบบนี้อีก”
“ทำไม คุณแคร์นังนั่นมากขนาดนี้เลยเหรอ”
“คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ผมบอกไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร”
กันต์กรส่ายหน้าเหลืออด นี่ยังเห็นแก่หน้าพ่อแม่และพี่ชายเธอถึงทำให้เขาไม่ตวาดกลับไป ยิ่งคุยกับเธอก็ยิ่งอารมณ์เสีย ชายหนุ่มจึงรีบสั่งให้สาวใช้เอายายลูกครึ่งคนนี้ไปไกลๆ ก่อน “แจ๋น พาคุณซูซี่ไปสงบสติอารมณ์ก่อน หายบ้าแล้วค่อยคุณกัน”
กันต์กรเร่งเท้าออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องตามหลังของสุทัตตา เขาอยากออกไปจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเพราะอายผู้คนที่มองพวกเขาเหมือนคนไร้มารยาท สุทัตตาอารมณ์ร้อนจนน่ากลัว ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนหรือแต่งงานกันยังเป็นได้ขนาดนี้ หากแต่งงานอยู่กินด้วยกันจะเลวร้ายขนาดไหน กันต์กรไม่อยากจะคิดถึงอนาคต เพราะเขาต้องเหมือนตกนรกแน่ๆ!
@กันต์กรเดินหงุดหงิดหัวเสียไปที่รถ กำลังจะสตาร์ตรถออกจากลานจอด เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มมองหน้าจอ ปรากฏชื่อป้าเมี้ยนเด่นหรา เขาจึงกดรับสายของแม่บ้าน
“ไงครับป้าเมี้ยน”
“คุณกรคะ คุณญานุชจัยมาหาที่บ้านค่ะ”
ใจของกันต์กรเต้นแรงขึ้นทันที ชายหนุ่มรู้ว่าที่ญานุชจัยมาถึงที่บ้านต้องเป็นเพราะเรื่องขนนกที่เขาส่งให้เธอตรวจสอบแน่
“วันนี้คุณกรจะเข้าบริษัทหรือเปล่าคะ”
“ไม่ละครับ ว่าแต่ยายนุชจัยมาทำไม” กันต์กรถามเพื่อความแน่ใจ
“เห็นแกบอกว่าจะคุยเรื่องขนนกที่คุณกรเจอ”
นั่นไง! กันต์กรร้องในใจที่ตนเองทายแม่นอย่างกับถูกหวย เห็นทีตอนนี้จะมีอะไรให้ทำมากกว่าคิดหนักใจเรื่องสุทัตตา เขารีบขับรถให้ถึงที่บ้านโดยเร็วที่สุดด้วยความตื่นเต้น พอมาถึงบ้านก็รีบถอดรองเท้า มุ่งสู่ห้องนั่งเล่นทันที
สาวร่างท้วมนั่งอยู่บนโซฟารับแขก กำลังจิบกาแฟและมองหน้าจอโน้ตบุ๊กด้วยท่าทีสนใจอยู่กับอะไรบางอย่างในนั้น พอสายตาเหลือบเห็นเจ้าของบ้านยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วกวักมือเรียกทักที
“กรมาดูนี่”
ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบทิ้งก้นลงนั่งข้างเธอ นิ้วป้อมๆ ชี้ไปที่ภาพบนหน้าจอ ซึ่งเป็นภาพของขนที่กันต์กรสแกนส่งไปให้
“แกรู้มั้ยมันเป็นขนของอะไร” ญานุชจัยถาม น้ำเสียงทรงภูมิสมกับเป็นนักวิจัยสัตว์ปีกผู้เชี่ยวชาญ
“อ้าว แกนี่ ถ้าฉันรู้ฉันคงไม่ถามแกหรอก”
พอกวนไป มือหนาใหญ่ของเธอก็ตบเข้าที่หลังแข็งๆ ของเพื่อนหนุ่มฉาดใหญ่ ชายหนุ่มสูดปากร้องอย่างเจ็บปวด
“สม กวนเท้าดีนัก”
“ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า เห็นทำเสียงซะเข้มเชียว กระดูกสันหลังหักกี่ท่อนวะเนี่ย” กันต์กรบ่นพลางเอาหลังถูกับพนักพิง สาวหน้ากลมหันมาทำตาขวางใส่ ชายหนุ่มจึงรีบกลับเข้าประเด็นเพื่อไม่ให้โดนงวงของมันฟาดหลังซ้ำ
“แล้วมันขนอะไรล่ะ”
“ขนหงส์”
เพื่อนร่างท้วมเฉลยด้วยเสียงจริงจังกว่าเดิม ก่อนจะมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ “ถามจริงเถอะ แกเก็บมันมาจากสระว่ายน้ำหลังบ้านจริงๆ เหรอ ประเทศไทยไม่ใช่จะพบหงส์ได้ง่ายๆ นอกจากในสวนสัตว์”
กันต์กรหันไปมองหน้าป้าเมี้ยน เขาอยากจะเล่ามากกว่านี้ เรื่องผู้หญิงที่เล่นน้ำอยู่แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นนกบินหนีไป หากบอกไปญานุชจัยได้จับเขาส่งเช็กประสาทที่โรงพยาบาลบ้าแน่ ชายหนุ่มที่น้ำท่วมปากจึงให้ข้อมูลได้แค่นั้น
“ฉันเจอมันที่สระว่ายน้ำจริงๆ”
“เป็นไปไม่ได้ หงส์ไม่ได้พบตามธรรมชาติของประเทศไทยนะแก” ญานุชจัยยังไม่ปักใจเชื่อ
กันต์กรจึงขึ้นไปบนห้องนอน แล้วเอาขนนกเส้นนั้นที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักหัวเตียง มาให้เพื่อนสาววิเคราะห์ เธอรับมันมาพิจารณาด้วยสีหน้าตื่นๆ ทั้งเอานิ้วเกลี่ยตามไรขนและดมกลิ่นมัน ครู่หนึ่งสีหน้าของเธอก็ฉายแววประหลาดใจ
“แปลก เส้นขนทั้งละเอียดนุ่มนวล และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนดอกมะลิ”
“ไม่ใช่กลิ่นดอกมะลิ แต่เป็นดอกมหาหงส์น่ะ” กันต์กรบอกชื่อดอกไม้ที่มีกลิ่นแบบนี้ให้นักวิจัยสัตว์ปีกฟัง เขาชอบปลูกต้นมหาหงส์หรือสเลเตคู่กับต้นหงส์เหินอยู่แล้ว จึงคุ้นกับกลิ่นนี้ดี
“แกรู้จักดอกไม้นี้ด้วยเหรอ” ดวงตาเล็กกลมฉายแววประหลาดใจ
“ก็ฉันปลูกไว้หน้าบ้านตั้งเยอะ แกไม่เห็นเหรอ”
“อ้อ” ญานุชจัยยิ้มกริ่ม “ลืมสังเกตน่ะ”
“แล้วตกลงว่ามันเป็นขนหงส์ใช่มั้ย” กันต์กรถามย้ำขณะมองขนนกสีขาวเส้นนั้นในมืออวบอิ่ม
“ฉันผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ปีกเลยนะยะ” ญานุชจัยพูดอย่างมั่นใจ “ขนนกเส้นนี้คือขนหงส์อย่างแน่นอน ฉันยืนยันได้ แต่หงส์ไม่ได้มีกลิ่นหอมแบบนี้นี่”
กันต์กรก็ให้คำตอบในเรื่องกลิ่นไม่ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เถียงว่าสิ่งที่เขาเห็นคือ ‘หงส์’ ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะสืบสาวเรื่องแบบนี้ต่อ เพราะเมื่อคิดถึงคืนนั้นก็รู้สึกขนลุกเกรียวจนไม่อยากมองไปที่สระว่ายน้ำ ชายหนุ่มไม่ถามเรื่องขนนกกับญานุชจัยต่อ เขาเงียบไปครู่หนึ่งจนเพื่อนสาวร่างอ้วนเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง
“เออนี่ แล้วเรื่องเนื้อคู่แกที่ฉันทักไว้เป็นไงบ้าง”
คนโดนทำนายอย่างไม่ได้รับเชิญส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะตอบปนหัวเราะ
“นี่ยังไม่เลิกอีกเหรอ”
“ก็ดวงของแกมันน่าทำนายนี่นา” ญานุชจัยขยิบตา
เขาไม่เถียงหรอกที่ยายช้างน้ำทำนายแม่น ไหนๆ ก็เข้ามาถึงเรื่องนี้แล้ว กันต์กรเลยถามต่อ
“แล้วแกว่าเนื้อคู่ฉันจะมาเมื่อไหร่ล่ะ”
ใครจะคิดว่าญานุชจัยจะหยิบกระดาษขึ้นมา ก่อนจะขีดเขียนตัวเลขโบราณลงไป ขณะที่กันต์กรจับจ้องตารางดวงของเขาอย่างไม่วางตา และครู่หนึ่งเธอก็เบิกตาโพลง พร้อมกับหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ชายหนุ่ม
“ฮั่นแน่ แกแอบซ่อนใครไว้หรือเปล่า”
“ซ่อนอะไรของแก”
“ตามดวงที่ฉันทำนาย มันบอกว่าเนื้อคู่แกมาแล้ว และแกเจอเธอแล้วด้วย” ญานุชจัยพูดอย่างตื่นเต้น
ส่วนเจ้าของดวงยังทำหน้างงๆ แบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ใครกันวะ ฉันไม่ยักรู้ สาวสวยคนไหนกัน” กันต์กรพูดติดตลก
สาวสวยหรือ? ชายหนุ่มสะดุดกับคำนี้ของตัวเอง หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น ไม่ เป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นเขาแทบไม่รู้จักเลย แถมเธอก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเขาเลยสักนิด
“บอกมานะกร ใคร” ญานุชจัยเค้นพร้อมกับยิ้มพราย
กันต์กรไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ยายเพื่อนอ้วนเลยเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กรเอ๊ย แต่นี้ต่อไปดวงแกอาจจะไม่ค่อยดีนัก เนื้อคู่คนนี้จะพาแกไปพบกับเรื่องร้ายๆ”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ทำเสียงหายใจฟึดฟัด “โหย แช่งกันนี่หว่า”
“แช่งบ้านแกสิ” ญานุชจัยหมายจะเอาปากกาเคาะหัวกันต์กร แต่ชายหนุ่มหลบทัน ใบหน้ากลมของเธอไม่ได้แสดงแววล้อเล่นแต่อย่างใด ส่วนปากอิ่มก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกังวลใจ “แต่ถ้าแกลงหลักปักฐานกับซูซี่ แกจะมีความสุข เว้นอย่างเดียว แกอาจไม่ได้รักเธอ”
หากคำทำนายของยายนี่เป็นจริง เขาก็คงจะแย่ ให้ครองคู่กับซูซี่ต้องทรมานใจไปชั่วชีวิตแน่ ถึงอย่างไรเขาก็อยากเจอเนื้อคู่ก่อน ชายหนุ่มจึงรีบถามต่ออย่างสนใจ
“เรื่องร้ายที่แกว่าหมายความว่าไง”
“ฉันบอกไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อคู่แกเลย หากรู้ชื่อหรือวันเกิดเธอสักหน่อยฉันก็คงจะบอกแกได้”
กันต์กรยิ้มเจื่อนๆ ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อเรื่องคำทำนาย แต่นี่เป็นคำพูดจากปากของญานุชจัย ซึ่งเพื่อนสาวคนนี้ไม่เคยพลาดเรื่องดูดวง จึงอาจส่งผลให้ใจเขาว้าวุ่นกับคำทำนาย ครู่หนึ่งมืออวบของเธอก็วางไว้บนหน้าขาชายหนุ่มพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คนเราบางทีก็ไม่จำเป็นต้องลงเอยกับเนื้อคู่หรอก ดูอย่างฉันนี่ แต่งงานไปก็มีแต่ความสุข ไม่ได้เลือกเนื้อคู่หรอกนะ ฉันเลือกผู้ชายแสนดี สามีฉันแสนดีมากๆ รู้สึกโล่งใจที่ไม่เลือกไอ้เลวนั่น ตอนนี้เห็นว่าไปขโมยของจนติดคุกไปแล้ว ตามดวงแล้วฉันต้องคู่กับมัน หากฉันอดทนจนผ่านมรสุมชีวิตไปได้ ก็จะอยู่อย่างสบาย แต่เมินซะเถอะ ฉันไม่เสียเวลากับมันแน่”
ญานุชจัยกำลังพูดถึงแฟนเก่าของเธอที่เป็นนักเลง กันต์กรจำได้ว่าตอนที่ทั้งคู่เลิกกันใหม่ๆ ยายนี่ร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่สุดท้ายก็ทำใจได้เพราะมีแฟนใหม่แสนดีเข้ามาปลอบใจ แต่เธอจะรักผู้ชายคนนั้นเหมือนที่เธอรักแฟนคนเก่าหรือเปล่า กันต์กรก็ไม่อาจรู้ใจเธอเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาน่าจะปรึกษาเธอ
“ถ้าเป็นแก แกจะให้ฉันเลือกใครล่ะ เนื้อคู่ หรือซูซี่”
ญานุชจัยเอาปากกาเคาะคาง กลอกตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็โพล่งคำตอบออกมา
“เป็นฉันจะเลือกเนื้อคู่”
“อ้าว” กันต์กรร้องเบาๆ อย่างแปลกใจ ยิ่งทำให้เขาอยากจะด่ายายเพื่อนนี่ทันที “ไหนแกบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกเนื้อคู่ไง”
“ก็เพราะฉันไม่ชอบยายซูซี่นี่” ญานุชจัยแบะปากพูด
กันต์กรยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ
“แกนี่นะ ไหนบอกอยู่กับซูซี่แล้วจะโชคดีตลอดชาติ”
“แล้วแต่แกเลย” ญานุชจัยว่าก่อนจะพับหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลง “ฉันต้องไปแล้วแก วันนี้แค่แวะมาเที่ยว”
ไปเร็วมาเร็วจนยังไม่หายข้องใจ กันต์กรไปส่งญานุชจัยที่หน้าบ้าน หญิงสาวร่างอ้วนผู้มีอารมณ์ขันยิ้มกว้างกล่าวลาขอบคุณป้าเมี้ยน ก่อนจะขับรถเก๋งคันหรูออกจากบ้านไป กันต์กรลดมือที่โบกลาเธอลงจนท้ายรถหายไปจากสายตา ชายหนุ่มจึงหันมาคุยเรื่องวุ่นวายที่เพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ให้ป้าเมี้ยนฟัง
“เมื่อกี้ไปแวะหายายยามา น้องคนนี้แสบมาก บอกซูซี่ว่าคนที่ป้าส่งไปเป็นกิ๊กผม”
“กิ๊ก!” ป้าเมี้ยนอุทาน “หนูศาน่ะเหรอ”
“อ้อ ชื่อศาเองหรอ”
“ใช่จ้ะ ชื่อนิภิศา” ป้าเมี้ยนตอบขณะที่ทำหน้าสงสัย “ว่าแต่คุณซูซี่แกไม่ปรี๊ดเหรอคะ”
“จะเหลือเหรอป้า โรง’บาลเกือบพัง” กันต์กรพูดอย่างอารมณ์เสีย แต่ประเด็นที่เขาสนใจไม่ใช่สุทัตตา แต่เป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นมากกว่า “หนูศาอะไรนี่ คนนี้ใช่มั้ยที่ช่วยป้าตอนเป็นลม”
“ใช่แล้ว คนนี้แหละ” ป้าเมี้ยนยิ้มกว้าง “ทั้งสวยทั้งใจดี ใช่มั้ยคุณกร”
“ใช่ เอ๊ย!” ชายหนุ่มลืมตัวและรีบปฏิเสธทันควัน “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกป้า ว่าแต่เธอเป็นใครกัน”
“น่าจะเป็นคนแถวนี้แหละค่ะ”
“ระวังนะป้า สมัยนี้คนหน้าตาดีๆ ก็ไว้ใจยาก”
“ไม่หรอก” ป้าเมี้ยนพูดปัดๆ “คนนี้ป้าดูออกว่าใสซื่อบริสุทธิ์”
กันต์กรอยากจะหัวเราะดังๆ กับคำพูดนี้ ถ้าป้าเมี้ยนไปเห็นยายนี่แต่งตัวตอนเข้าผับแล้วป้าแกจะทำหน้าอย่างไรนะ คิดแล้วก็ลองแกล้งป้าเมี้ยนดูสักหน่อย
“ผมเคยเจอเธอในผับด้วยนะ แต่งตัว...หืม...อย่าให้พูดเลย”
“จริงเหรอ” ป้าเมี้ยนทำตาโต
“ก็ใช่น่ะสิ”
“คุณกรตาฝาดหรือเปล่า อย่างหนูศาเนี่ยนะ” ป้าเมี้ยนส่ายหน้า
“ไม่เชื่อก็ตามใจ เอาเป็นว่าป้าก็ระวังตัวไว้ละกัน”
กันต์กรไม่ได้ห่วงอะไรมากนัก ทรัพย์สินในบ้านก็มีแต่ของธรรมดา หากจะยกเค้าไปชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร แต่อย่าให้จับได้ จะหักคอแทงเข่าเสียให้น่วม
“เออนี่คุณกร ป้ามีเรื่องจะขออนุญาต”
“เรื่องอะไรครับ”
“ป้าจะให้หนูศาแกมาช่วยทำขนมตอนกลางวันน่ะ พอดีป้าอยู่ว่างๆ อยากจะทำขนมขาย”
“โธ่ป้า กลางวันก็พักบ้างเถอะ แก่แล้ว เงินเดือนที่ผมให้ไม่พอเหรอ” กันต์กรทำหน้ามุ่ย เขาเป็นห่วงป้าเมี้ยนเพราะแกมีโรคประจำตัวทั้งเบาหวานและความดันโลหิตสูง
“เงินเดือนน่ะพอค่ะ แต่กลางวันมันว่างเกิน ป้าเลยอยากหาอะไรทำ”
กันต์กรเข้าไปกอดร่างอวบของป้าเมี้ยน พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นปนฉายแววอ้อนวอนอันน่ารัก ชายหนุ่มจึงยอมใจอ่อน
“เอ้าๆ ตามใจป้าเมี้ยนละกัน”
แม่บ้านสูงวัยยิ้มกว้างอย่างดีใจ กันต์กรไม่เห็นป้าเมี้ยนยิ้มมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่กันติยาต้องไปนอนโรงพยาบาล
“ขอบคุณค่ะคุณกร คุณกรนี่ใจดีจริงๆ”
“ใจดีเฉพาะป้านี่แหละ” กันต์กรอมยิ้ม
ชายหนุ่มครุ่นคิดในใจ หากเธอคนที่ชื่อ ‘นิภิศา’ คนนั้นเป็นคนคนเดียวกับที่เขาเห็นในผับจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องอะไรที่น่าบังเอิญ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอนุญาตให้ป้าเมี้ยนยอมเอาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านได้
“ดูเหมือนว่าหนูศาแกจะชอบต้นหงส์เหินนะคะคุณกร เห็นจ้องอยู่นานเชียว ช่างน่ารักจริง”
ไม่ทันที่ป้าเมี้ยนจะพูดจบ กันต์กรก็รีบวิ่งไปหน้าบ้านเพื่อดูต้นหงส์เหินในกระถาง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เป็นอะไรคะ คุณกร” ป้าเมี้ยนที่ตามมารีบถามอย่างกัวล
“ผมก็นึกว่าป้าจะยกให้ยายศานั่นไปแล้วซะอีก”
“โธ่ ป้าไม่กล้าแตะต้องของของคุณกรหรอกค่ะ”
กันต์กรยิ้มอย่างพอใจ หงส์เหินต้นนี้เขาหวงมากที่สุดเพราะเป็นต้นไม้ที่แม่ของเขาปลูกไว้ และพอดอกมันบานในช่วงเข้าพรรษา ครอบครัวของเขาก็จะตัดไปทำบุญที่วัดกัน ภาพความทรงจำในสมัยเด็กของชายหนุ่มกลับมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ถูกทำลายลงด้วยภาพงานศพของพ่อกับแม่ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน
@เรื่องที่เจอมาทั้งวันทำให้กันต์กรนัดเพื่อนไปดื่มแก้เซ็งที่สวอนผับตอนหัวค่ำ ชายหนุ่มกลับเข้าบริษัทเพื่อเคลียร์งานที่เหลือให้เสร็จก่อน จึงทำให้เขาไปถึงผับช้าไปเกือบชั่วโมง แต่พวกเพื่อนๆ ก็คงไม่สนใจว่าเขาจะมาตอนไหน เพราะพวกมันมีความสุขที่ได้นั่งดริงก์โดยมีสาวๆ ขนาบข้างอยู่จนอาจลืมไปว่ายังมีเขาอีกคนหนึ่ง พอกล้ากับหมอสมชัยเริ่มกึ่มๆ ได้ที่ หมอปากสุนัขก็เริ่มพล่าม
“ไอ้กร ข้าว่าเอ็งระวังน้องสาวไว้ให้ดีๆ นะเว้ย”
“ระวังน้องสาว ระวังทำไมวะ”
“ระวังจะถูกหมออโรเขมือบน่ะสิ”
ในใจนึกขุ่นเคืองเพื่อนที่มาดูถูกน้องสาว แต่กันต์กรก็ยังหันไปถามอย่างสงสัย
“เอ็งหมายความว่าไง ไอ้ชัย”
“ก็ข้าน่ะ เห็นหมออโรมาเยี่ยมยายยาทุกวันเลย ทั้งที่ลาออกไปแล้วก็ยังเวียนมาเฝ้าน้องแกอยู่เช้าเย็น บางทีก็มาเฝ้าค้างคืนเลยนะโว้ย”
“ทำไมข้าไปแล้วไม่เห็นเลยวะ”
“ฮ่าๆๆ” สมชัยหัวเราะ
กันต์กรจึงเขย่าแขนคะยั้นคะยอให้เพื่อนพูดให้เคลียร์ “เฮ้ยไอ้ชัย เอ็งพูดจริงพูดเล่นเนี่ย”
“เอ็งก็คอยจับตาดูเองละกัน” หมอสมชัยยิ้มกว้างขณะที่ตาเยิ้ม
กันต์กรนิ่งไปนิด หน้าคมเข้มดูขรึมเสียจนสมชัยต้องเอ่ยทำลายความเงียบ “โธ่ ไอ้กร หมออโรเขาก็เป็นคนดี ยายยาก็จะยี่สิบแล้ว แกจะหวงน้องไปทำไมวะ แกจะปล่อยให้ยายยาเอาแต่เฮี้ยวๆ กับดาราไปถึงไหนวะ ปล่อยให้มันมีแฟนได้แล้ว เผื่อมันจะโตขึ้นบ้าง”
กับคนอื่นกันต์กรอาจไม่เป็นห่วง แต่กับหมออโร ชายหนุ่มผู้นั้นดูสุภาพอ่อนโยนก็จริง แต่ก็ดูลึกลับ เหมือนมีบางอย่างซึ่งเขาก็ไม่อาจรู้ ไหนจะเรื่องหญิงสาวแปลกหน้าชื่อนิภิศาที่เข้ามาในห้องกันติยาถึงสองครั้งสองครา สองคนที่เขาเพิ่งรู้จักนั่นวางแผนจะก่อการอะไรกับกันติยาหรือเปล่า
และที่สำคัญเขากลัวว่ากันติยาจะเผลอใจให้หมออโร ซึ่งถ้าหมอหนุ่มคนนั้นมีเมียอยู่แล้ว อาจทำให้กันติยาต้องอกหักจมทุกข์เหมือนตกนรกแน่ ยิ่งตอนนี้จิตใจของเธอไม่เข้มแข็งมั่นคง เหมือนแก้วบนขอบโต๊ะที่พร้อมจะหล่นแตกได้ทุกเมื่อ ยิ่งถ้าจะให้ไปเป็นน้อยใคร พี่ชายอย่างเขาไม่มีทางยอมเสียหรอก เขาต้องจัดการเรื่องนี้โดยด่วน
และเขาก็ไม่เชื่อด้วยว่าผู้หญิงที่ชื่อนิภิศาคนนั้นจะเป็นแค่ญาติของหมออโร ที่ให้เธอมาทำงานกับป้าเมี้ยนเพราะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอจะมาไม้ไหน จะได้โต้กลับได้สาสม!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ