มนตร์หงส์ NC 18+
เขียนโดย WiwaWriter
วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.02 น.
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 21.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ลวงตาหรือลวงใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนิภิศาต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงต้องมาตั้งหลักปักฐานสร้างรังบนต้นไทรใหญ่บริเวณสวนหลังบ้านของเขา โชคดีที่เจ้านกกระจิบอยู่แถวนี้และบังเอิญรู้จักกับเป้าหมายของเธอด้วย มันจึงให้คำปรึกษาแก่นิภิศาได้เป็นอย่างดี แถมยังเล่าเรื่องของชายคนนั้นให้เธอฟังอย่างละเอียด
“เจ้าของบ้านหลังนี้เขาชื่อกันต์กร อยู่กับแม่บ้านที่ชื่อป้าเมี้ยน”
จากบนต้นไม้นี้มองเห็นหลังบ้านของกันต์กรได้ชัดเจน และสายตาของนิภิศาก็สามารถมองได้ไกลดุจพญาอินทรี เธอจึงเห็นผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางปราดเปรียวมีสง่าราศีเดินออกมาจากประตู และหยุดนั่งที่เก้าอี้ริมสระน้ำสีฟ้าใส จากนั้นหญิงสาวท่าทางแก่นๆ อีกคนก็ยกน้ำมาและปรนนิบัติพัดวีราวกับเป็นบ่าว
“ยายนั่นคือสุทัตตาหรือซูซี่ กับนังแจ๋นสาวใช้” กระจิบรีบบอก “ไปๆ มาๆ อยู่แบบนี้แหละ”
นิภิศาไม่ค่อยได้สนใจว่าใครจะมาหรือไป เธอเลิกคิดก่อนจะหยิบเอายอดไม้อ่อนมาเคี้ยวกรุบ
วันนี้เธอติดตามชายผู้นั้นไปทุกหนแห่ง ช่วงเช้าเธอเห็นเขาเข้าไปในตึกสูง ซึ่งกระจิบน้อยที่ตามไปด้วยบอกว่ามันคือที่ทำงานของชายหนุ่ม ส่วนช่วงบ่ายเขาก็เข้าไปอีกตึกหนึ่ง ซึ่งกระจิบเรียกมันว่า โรงพยาบาล สถานที่ที่มนุษย์ใช้รักษาตัว นิภิศาจึงคาดการณ์ว่าหงส์อโรคาผู้มีฤทธีเก่งกาจด้านการรักษาจะอยู่ที่นั่น ถึงข้างในโรงพยาบาลจะมีห้องย่อยๆ ใหญ่เล็กมากมาย แต่เธอก็ตามชายหนุ่มนามกันต์กรจนเขาเข้าไปในห้องห้องหนึ่งได้จากขนนกติดตาม นิภิศาใจเต้นเบาๆ เมื่อกันต์กรเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับหนุ่มร่างสูงผิวพรรณขาวผ่อง พินิจอยู่ครู่หนึ่งเธอจึงรู้ว่าเป็นร่างมนุษย์ของอโรคา
นั่นทำให้หงส์สาวเกิดความรู้สึกแปลกในใจ ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นหงส์ศักดิ์สิทธิ์ตัวใดบำเพ็ญเพียรจนสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์หนุ่มได้อย่างอโรคา เพราะหงส์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังไว้เพื่อปกปักรักษาจิตตกูฏเท่านั้น หาใช่เพื่อแปลงกายหรือฝึกวิชาไม่ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปทบทวนดูดีๆ ก็คงมิใช่เรื่องแปลกเท่าไร เพราะวันๆ หนึ่งอโรคาได้แต่นั่งบำเพ็ญเพียรเพิ่มตบะและนั่งจับยามสามตา จะหยุดพักก็เพียงตอนกินยอดใบไม้ ที่สำคัญเขาไม่ค่อยสุงสิงกับหงส์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นเท่าไรนัก เหตุนี้เองพลังของเขาจึงก้าวหน้าไปไกล แม้จะไม่เทียบเท่าเธอแต่ก็ถือว่าเหนือกว่าหงส์อีกแปดตัวไปสองขั้น
นิภิศาอยากเข้าไปดึงตัวอโรคาออกมาเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่ในโรงพยาบาลมีคนมากเกินไป หากอโรคาไม่ยอมกลับและเกิดต้องลงไม้ลงมือขึ้นคงทำให้มนุษย์ได้รับบาดเจ็บ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้นิภิศาอยากหาคำตอบว่าเขามาช่วยเหลือใครให้เร็วที่สุด
หญิงสาวลองสืบถามจากสตรีในชุดขาวสวมหมวกแปลกๆ จึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอโรคาเป็นหมออยู่ในโรงพยาบาลนี้ แถมยังร่ำเรียนสรรพวิชาแพทย์ของมนุษย์ได้อย่างแยบยล เพราะคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของอโรคา ซึ่งเป็นหงส์แห่งการรักษาทุกแขนงเลย และสิ่งสำคัญที่นิภิศาได้รู้เพิ่มเติมก็คือ ห้องที่เธอพบอโรคานั้นมีใครสักคนกำลังป่วยหนักอยู่
@นิภิศากลับถึงรังบนต้นไม้อย่างเหนื่อยล้าหลังจากสะกดรอยตามชายหนุ่มผู้นั้นทั้งวัน หงส์สาวต้องนอนพักไปหลายชั่วยาม
หนอนน้อยตัวอ้วนคือสิ่งแรกที่นิภิศาเห็นหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา เป็นอาหารจากนกกระจิบซึ่งมีน้ำใจหามาให้ แต่หงส์สาวมังสวิรัติรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที และขอร้องให้นกกระจิบปล่อยมันไปเสีย แต่ไม่ทันสิ้นคำขอจากนิภิศา เจ้านกน้อยก็กลืนหนอนตัวอ้วนลงปากอย่างไม่ไยดีแถมยังเรอเสียเสียงดัง ผู้ถือศีลจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ หากเธอบริโภคอาหารเหมือนอย่างเจ้ากระจิบก็คงผิดศีลที่บำเพ็ญอยู่จนพลังถดถอยแน่ ชีวิตนี้เธอพึงพอใจที่จะกินยอดไม้อ่อนหรือเกสรดอกไม้สดมากกว่า
“เค้าอยากแปลงร่างได้อย่างตัวเองจัง” นกกระจิบพูดขึ้น ดวงตาดำขลับของมันลุกวาว
นิภิศาใช้นิ้วชี้เกลี่ยหัวแล้วตอบเบาๆ
“ต้องหมั่นบำเพ็ญตบะ”
“ทำไม่ได้หรอก เค้าเป็นสัตว์ จะทำอย่างตัวเองไม่ได้หรอกเพราะตัวเองเกิดมาในภพภูมิที่ดีกว่า”
หงส์สาวกระตุกยิ้มกับคำค้านของนกกระจิบ ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยปกติแล้วสัตว์โลกมิสามารถบำเพ็ญเพียรจนมีพลังวิเศษได้ นอกเหนือจากว่าจะเกิดมาในร่างกายและภพภูมิที่เหมาะสม แต่นิภิศาก็ยังเทศนามันต่อ
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่แห่งไหนก็สามารถประพฤติได้เหมือนกัน นั่นคือการประพฤติดี”
เจ้านกกระจิบหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชมกลับในอีกเรื่องเสียงแจ้ว
“ตัวเองรู้มั้ย ตัวเองเป็นผู้หญิงที่โคตรสวยเลย”
นิภิศาถอนหายใจเบาๆ เดชาธรเคยเล่าว่าหงส์หนุ่มหลายตัวเคยพูดถึงเธอเช่นนั้น แต่เธอไม่ได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์ของตนเองสักเท่าไร
“หงส์สาวในจิตตกูฏ ส่วนใหญ่ก็งดงามไม่ต่างกัน” นิภิศาตอบด้วยกิริยาแช่มช้อย
“ว้าว เค้าชักอยากไปจิตตกูฏซะแล้วสิ” นกน้อยตีปีกอย่างครึกครื้น นิภิศาส่ายหน้าเบาๆ แล้วแนะแนวทาง
“หากเจ้าอยากไปที่นั่น เจ้าต้องหมั่นทำบุญให้มาก”
มันทำหน้าเศร้าลงทันใด “ว้า…ชาตินี้เค้าคงไม่ได้ไปหรอก”
“จิตตกูฏคงไม่เหมาะกับเจ้าหรอก กระจิบน้อย เจ้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว”
“เค้ารู้ เค้าเป็นเพียงนกน้อย ไม่ใช่หงส์สวย”
“คนเรามีดีในที่ของตน” หงส์สาวสอนเสียงใส “เจ้ามีพ่อมีแม่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วจะต้องการอะไรอีก”
“เค้าเบื่อ”
นิภิศาฟังแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ คลี่ยิ้มแต่พองาม
“สักวันเจ้าจะรู้ว่าความสุขมันไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าเลย”
“ให้มันจริงเหอะ แต่ตอนนี้เค้าเจอความสุขแล้วละ” เจ้านกกระจิบชี้ปีกไปยังใต้ต้นไม้ เห็นใครบางคนวิ่งมาทางนี้พร้อมกับไม้ด้ามยาว นิภิศาสร้างมนตร์อำพรางกายไว้แล้ว คนข้างล่างจึงมองไม่เห็น
คนที่รุกล้ำเข้ามาในเขตรังของนิภิศาเป็นหญิงสาวหน้าตาเรียบๆ มัดผมจุกสองข้าง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด
ไม่ต้องรอให้คิ้วคมสวยขมวดนานเพราะความสงสัย นกกระจิบรีบเล่าให้นิภิศาฟัง
“นั่นนังแจ๋น คนรับใช้ยายซูซี่ มาที่นี่ทีไรชอบมาสอยมะม่วงแถวนี้ตลอด วันนั้นก็สอยถูกรังของเค้าจนตก”
นิภิศาเอียงคอมองเจ้านกกระจิบที่อารมณ์เสีย ก่อนจะมองไปยังแจ๋น เธอจำได้แล้ว ผู้หญิงที่ยกน้ำมาให้และปรนนิบัติพัดวีหญิงร่างสูงคนนั้นที่ริมสระน้ำหลังบ้านของกันต์กรนั่นเอง
“เธอเป็นคนไม่ดีหรือ”
“ก็ตอนสอยรังเค้าตกจะช่วยเก็บขึ้นให้หน่อยก็ไม่ได้ ดีนะที่ไม่มีไข่อยู่ในรัง…” กระจิบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดอย่างโกรธแค้น ขณะที่สาวแจ๋นกำลังเอาไม้สอยลูกมะม่วงพร้อมกับสูดปากน้ำลายสอ
“อยู่เมืองนอก น้ำปลาหวานหากินยากชะมัด คุณซูซี่ก็ไม่ชอบกลิ่นปลาร้า คราวนี้จะกินให้หนำใจเลย แจ๋นเอ๊ย ข้อยละมักแท้”
“นิภิศา ช่วยเค้าหน่อยได้มั้ย” นกน้อยเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแฝงเลศนัย
หงส์สาวมองหน้ามันอย่างประเมิน
“คลายมนตร์พรางตัวของตัวเองได้มั้ย”
คำขอของมันทำให้นิภิศาหายข้องใจ ที่แท้มันต้องการเอาคืนผู้หญิงคนนี้นี่เอง การหลอกคนอื่นให้ตกใจโดยไม่จำเป็นถือเป็นบาป นิภิศาจึงปฏิเสธไปอย่างรักษาน้ำใจ
“ข้าถือศีล ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก”
“แล้วที่มันทำกับรังของเค้าล่ะ”
ถึงจะพูดอย่างไร นิภิศาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่จู่ๆ เจ้านกกระจิบก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ดี” คำเดียว ก่อนตัวมันจะบินพุ่งลงไปทึ้งหัวหญิงผมจุก
คนที่สอยมะม่วงอยู่ร้องลั่น ดิ้นเร่าพลางปัดนกออกจากหัว ครู่หนึ่งนกกระจิบก็ถูกปัดลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ยายแจ๋นกัดฟันกรอดอย่างหัวเสีย
“ไอ้นกกระจิบบ้าเอ๊ย ดีละ เสร็จข้าแน่ เอาไปปิ้งจิ้มกับน้ำพริกแมงดาคงเป็นตาแซบแน่”
เจ้ากระจิบ!
นิภิศาที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้อุทานในใจ ใครคนใดที่เคยพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์พันธุ์เดียวที่เจ้าเล่ห์เพทุบายควรคิดเสียใหม่ นกกระจิบตัวนี้ก็ร้ายกาจมิเบาเหมือนกัน ถึงขั้นยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อให้ได้แก้แค้น แถมมันคงมั่นใจเต็มทีว่านิภิศาจะยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตมัน แต่ถึงรู้ว่าเป็นแผน นิภิศาก็ไม่อาจใจแข็งพอจะทนเห็นนกกระจิบที่เป็นเพื่อนเพียงผู้เดียวในโลกมนุษย์และคุ้นเคยกันมาสองวันแล้วถูกจับไปเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ได้
หงส์สาวตัดสินใจร่ายมนตร์ นกน้อยที่อยู่ตรงหน้าสาวแจ๋นก็พลันหายวับไป กลับมานอนขดอยู่ในมือของนิภิศา
“กรี๊ดดด!! ผีนกกระจิบ”
ยายแจ๋นร้องลั่นเหมือนโดนผีหลอกพร้อมกับรีบทิ้งไม้สอยมะม่วงเตลิดกลับเข้าประตูหลังบ้านอย่างคนเสียสติ ส่วนตัวการที่อยู่ในอุ้งมือนิภิศาหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ หงส์สาวก้มมองมันด้วยสายตาตำหนิพร้อมกับดุเบาๆ
“เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูกนะ”
นกกระจิบทำปากเบ้ก่อนจะหุบปีกและยืดอกสู้
“แล้วตัวเองช่วยเค้าทำไม ไม่ปล่อยให้มันจับเค้าไปกินเลยล่ะ แต่ผิดแผนชะมัด เค้านึกว่าตัวเองจะเสกมะม่วงให้หล่นใส่หัวนังแจ๋นซะอีก”
นิภิศาถอนหายใจกับคนไม่สำนึกผิด
“แต่ก็เยี่ยมยอดที่เอาคืนได้สำเร็จ รอมาเป็นปีแล้ว” เจ้ากระจิบน้อยหัวเราะร่าด้วยความพอใจ “คราวนี้ยายแจ๋นคงไม่กล้ามาที่นี่อีก ฮิฮิ”
“พอเถอะ ข้าไม่มีเวลามาเล่นแบบนี้หรอก” นิภิศาตัดบทก่อนจะลุกขึ้น “ได้เวลาที่ข้าต้องไปนำตัวอโรคากลับแล้ว”
“เจ้าจะไปที่โรงพยาบาลเหรอนิภิศา”
หงส์สาวมองไปที่ฟ้าสลัว แลเห็นอาทิตย์อัสดงกำลังจะลาลับขอบฟ้า ก่อนริมฝีปากบางอิ่มจะเอ่ยเบาๆ
“คืนนี้แหละ”
“ว้า…พอได้ตัวอโรคาแล้วตัวเองก็จะกลับไปจิตตกูฏ เราก็ไม่ได้เจอกันแล้วน่ะสิ”
นิภิศาไม่ทันได้ตอบเจ้านกกระจิบไปว่าเรามีบุญร่วมกันแค่นี้ ตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างจากไฟที่ระเบียงชั้นสองของบ้านกันต์กร ม่านที่เปิดกว้างทำให้เธอเห็นชายหนุ่มในห้องปลดกระดุมก่อนจะถอดเสื้อ เธอไม่ได้มองร่างกายกำยำของเขา แต่กำลังสนใจสร้อยบ่วงบาศหงส์ที่คอเขาต่างหาก ใจจริงแล้วเธออยากอยู่ที่นี่เพื่อสืบสาวเรื่องของสิ่งนี้ต่อ เพราะมันเป็นกุญแจสำคัญที่เกี่ยวพันกับชีวิตเธอ หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะขอสร้อยเส้นนั้นกลับคืนจิตตกูฏด้วย ซึ่งเขาคงไม่มีทางยื่นคืนให้ง่ายๆ แน่ มีทางเดียวที่จะได้มันมาคือขโมย แต่หากทำเช่นนั้นเธอก็ต้องมีตราบาปเพราะทำผิดศีลข้อสองอย่างรุนแรง และอาจทำให้บุญบารมีที่เพียรบำเพ็ญมาต้องเสื่อมถอย
“อะแฮ่ม…มองไม่วางตาเลยนะ”
เสียงทักจากนกกระจิบ ทำให้นิภิศากลับมาอยู่บนโลกแห่งความจริง เจ้านกน้อยยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหยอกล้อเสียงหวาน
“สนใจกันต์กรหรือไง”
นิภิศาทำหน้างงกับคำว่า ‘สนใจ’ ของเจ้านกกระจิบ ว่ามันสื่อความหมายอันใด นกน้อยได้แต่ถอนหายใจหนัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหมดอารมณ์
“เออๆ ช่างมันเถอะ คนอย่างตัวเองคงไม่ได้มองผู้ชายคนนั้นด้วยความเสน่หาหรอก”
ความเสน่หา...นิภิศาพอจะเข้าใจความหมายของคำว่าสนใจของเจ้านกกระจิบ เธอตอบกับตัวเองได้ทันทีเลยว่า ไม่ เธอไม่มีวันแยแสมนุษย์แน่นอน เพราะเธอมีเดชาธรเป็นคู่แท้อยู่แล้ว ที่เธอสนใจนั้นมีแต่สร้อยบ่วงบาศหงส์กับอโรคาเท่านั้น
@“คุณซูซี่ แจ๋นอยู่ไม่ได้แล้ว แจ๋นเจอผีนกกระจิบ” สาวใช้ร่างเล็กที่วิ่งแจ้นกลับเข้ามาในบ้านของกันต์กรโวยวายตัวสั่นเครือ
“ผีนกกระจิบเหรอ ไร้สาระน่ายายแจ๋น” ป้าเมี้ยนว่าพลางส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ “ผีเผอมีที่ไหนกัน แล้วยิ่งเป็นผีนกกระจิบด้วย เกิดมาไม่เคยได้ยิน”
“แจ๋นเห็นจริงๆ นะคะ นกตัวนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตาเลย” สาวใช้ทำหน้าตาตื่นก่อนจะร้องไห้ร้องเสียงหลง
“แจ๋น ชัตอัปเดี๋ยวนี้” สุทัตตาสั่งอย่างหนักแน่น สาวใช้จึงเปลี่ยนจากแหกปากร้องมาเป็นสะอื้นเบาๆ
กันต์กรที่อาบน้ำเสร็จพอได้ยินเสียงสาวใช้จึงรีบลงมาดู
“เกิดอะไรขึ้น”
“ยายแจ๋นมันบอกว่ามันเจอผีนกกระจิบค่ะ คุณกร” ป้าเมี้ยนรายงานด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“ยายแจ๋นคงหลอนน่ะค่ะ” สุทัตตากอดอกว่า “มันกลัวผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงจะจิตตกคิดไปเองมากกว่า”
ชายหนุ่มมองไปที่สาวใช้ เธอตัวสั่นเทา หน้าตาตื่น และผมเผ้ากระเซิงเหมือนเห็นผีมาจริงๆ
“แจ๋นเห็นจริงๆ นะคุณกร”
กันต์กรถอนหายใจ แต่ก็แอบยิ้มกับสภาพของสาวใช้ไม่ได้ สังเวชก็สังเวช น่าขันก็น่าขัน แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็อุตริคิดแผนการบางอย่างขึ้น หากสำเร็จสุทัตตาคงเปลี่ยนใจไม่พักที่บ้านเขา เพราะเขารู้ว่าหญิงสาวก็กลัวผีไม่ใช่น้อยเธอถึงสั่งให้แจ๋นหยุดพูด และเธอก็ไม่เคยมาพักที่นี่ เพราะแม้สุทัตตาและครอบครัวจะอยู่ต่างประเทศ แต่คุณหญิงทรงศรีผู้เป็นมารดาก็ยังคงถือเรื่องประเพณีอันดีงามระหว่างหญิงชาย หากคุณหนูลูกครึ่งจะโดนคนอย่างเขาอำสักหน่อยคุณหญิงคงไม่ขัดเคือง
ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยขึ้นตามแผนที่คิดไว้
“สงสัยจะเป็นผีจริงๆ คนเฒ่าคนแก่แถวนี้เขาเล่าว่าเคยมีคนเลี้ยงนกถูกนกจิกตาย”
“จริงเหรอคะกร” สุทัตตาหันมาทำหน้าตะลึง
“เห็นมั้ยล่ะ คุณซูซี่ แจ๋นเห็นจริงๆ” สาวใช้รีบเข้าไปเกาะแขนเจ้านาย
แม่บ้านเมี้ยนทำหน้างง แต่ก็พอจะรู้ว่าคุณผู้ชายต้องการอะไร เธอจึงเงียบฟังไม่คัดค้าน พอบรรยากาศวังเวงได้ที่กันต์กรก็รีบเล่าต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ก่อนแถวนี้เป็นสวนนก และค่อนข้างเฮี้ยน ทางเจ้าของหมู่บ้านก็สร้างบ้านตรงนั้นด้วยเพราะเคยเจอดีนอนไม่หลับไปหลายอาทิตย์จึงต้องทุบบ้านทิ้งแล้วสร้างเป็นสวนแทน และเมื่อร้อยปีก่อนแถวนี้ก็เคยเป็นป่าช้าคนจีนมาก่อนด้วยนะ”
อันหลังนี่เป็นเรื่องจริงที่กันต์กรไม่ได้ตกแต่งขึ้นแต่ประการใด สุทัตตาเริ่มหน้าซีดพร้อมกับเกาะแขนกันต์กรหนึบ
“กรน่ะ ทำให้ซูซี่กลัวนะคะ”
“เอาแบบนี้มั้ยครับซูซี่ ผมว่าคุณไปพักที่คฤหาสน์ของคุณดีกว่านะ” กันต์กรรีบเสนอแนะ “ที่นั่นไม่มีอะไรหรอก เชื่อผม”
“ไม่เอา” สุทัตตาปฏิเสธเสียงแข็ง “ซูซี่จะอยู่กับกรจนกว่าร็อบจะมา”
“ซูซี่ครับ อยู่ที่นี่ผมก็ไม่ได้ดูแลคุณเท่าไหร่นะ ผมอยากให้คุณไปอยู่ในที่กว้างๆ มีคนรับใช้เยอะๆ ดีกว่า” กันต์กรทำเสียงออดอ้อน “ป้าเมี้ยนทำเป็นแต่อาหารไทย พอทำอาหารฝรั่งให้กินคุณก็บอกว่าไม่อร่อย รบเร้าผมไปนอกบ้าน ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างเสียด้วยสิ”
“คุณกรคะ เดี๋ยวป้าจะเอาธูปไปไหว้เจ้าที่ก่อนนะคะ เพื่อขอขมาแทนนางแจ๋น” ป้าเมี้ยนพูดขึ้นและทำหน้าตาหวาดกลัวได้สมบทบาท
นางแจ๋นพอได้ยินป้าเมี้ยนพูดเช่นนั้นก็ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ส่วนสุทัตตาแม้กลัวแต่ก็ยังทำหน้าเข้มเข้าสู้ ทว่าเกาะแขนชายหนุ่มแน่นก่อนกำชับหนัก
“โอเคค่ะ ย้ายก็ย้ายค่ะ แต่ว่ากรต้องสัญญากับซูซี่ว่าพรุ่งนี้จะไปหาซูซี่ และห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนด้วย”
“โธ่ ซูซี่ เรื่องแบบนั้นผมเลิกแล้วครับ” กันต์กรทำหน้ากร่อย
“ก็ลองไม่เลิกสิคะ ซูซี่จะตามไปเอาเรื่องถึงที่เลย”
“คุณซูซี่ยังไม่ได้แต่งงานกับคุณกรเลยนะคะ พูดแบบนี้มาดามรู้เข้า ท่านต้องดุคุณซูซี่แน่ๆ” นังแจ๋นที่กำลังกลัวแทรกขึ้นมา เจ้านายสาวจึงหันขวับไปแว้ดใส่ทันที
“ชัตอัป ฉันไม่ได้ขอความเห็นจากแก แล้วนี่หายกลัวผีหลอกแล้วรึไงฮ้า”
แจ๋นที่ลืมตัวไปก็ทำหน้าผวาอีกครั้ง
“แจ๋นขอตัวไปเก็บของนะคะ” ว่าแล้วคนรับใช้สาวก็วิ่งจู๊ดขึ้นไปบนบ้าน
“นังนี่เนี่ย ถ้าคุณแม่ไม่รับมันมาดูแล จ้างให้ซูซี่ก็ไม่ยอมเอามาเป็นเมดหรอกค่ะ” สุทัตตาว่าก่อนจะถอนใจอย่างหน่ายๆ
“เอาน่า แจ๋นมันก็ซื่อออก” กันต์กรพยายามปรามอารมณ์หงุดหงิดของอีกฝ่าย
“ซื่อจนเซ่อน่ะสิคะ” สุทัตตากอดอกว่าก่อนจะมองอาหารบนโต๊ะอย่างขยาด “คืนนี้ไปดินเนอร์ข้างนอกกันดีกว่ามั้ยคะกร”
“โธ่ เสียน้ำใจป้าเมี้ยน ป้าเขาอุตส่าห์ทำ” ชายหนุ่มมองไปที่แม่ครัว หญิงสูงวัยส่ายหน้าเบาๆ แล้วยิ้มบอก “พาคุณซูซี่ไปทานนอกบ้านเถอะค่ะ”
“เห็นมั้ย ป้าเมี้ยนไม่ว่าอะไรเลย ซูซี่ไม่ชอบอาหารไทยนี่คะ” เธอพูดก่อนจะเว้าวอน “นะคะ กร พาซูซี่ไปดินเนอร์นอกบ้านหน่อยนะ”
กันต์กรถอนหายใจ เขาคงไม่มีทางเลี่ยงได้อีก
“งั้นคุณไปรอผมที่รถนะครับ”
“ได้ค่ะกร” ว่าแล้วสุทัตตาก็กระโดดหอมแก้มกันต์กรทีหนึ่ง ก่อนจะกระวีกระวาดถือกระเป๋าแบรนด์เนมเดินออกไปจากบ้าน
กันต์กรถึงกับปาดเหงื่อที่พราวอยู่บนใบหน้า ในที่สุดแผนการไล่สุทัตตากลับบ้านตัวเองก็เป็นอันสำเร็จ ส่วนป้าเมี้ยนนั้นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วถามยิ้มๆ
“ตกลงเรื่องผีนกกระจิบมีจริงหรือเปล่าคะ”
คนเจ้าเล่ห์ยังไม่ตอบเพราะมัวแต่ลอบยิ้มขำที่เห็นยายแจ๋นลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาจากบันไดอย่างทุลักทุเล เมื่อสาวใช้ผมจุกพ้นประตูบ้านไปชายหนุ่มจึงให้คำตอบแก่แม่บ้าน
“มันจะมีได้ไงล่ะป้า ผมซื้อบ้านหลังนี้ไว้หลายปีแล้วไม่ยักเห็นผีสักตัว”
“คุณกรนี่แสบจริงๆ นะคะ”
“ไม่หรอก ผมอยากให้ซูซี่ไปอยู่ในที่ดีๆ มากกว่า” กันต์กรยักคิ้ว “ป้าเก็บกับข้าวพวกนี้ไว้อุ่นให้ผมกินพรุ่งนี้นะ”
“ได้ค่ะ” ป้าเมี้ยนจัดการเก็บจานบนโต๊ะ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่กันต์กรกำลังจะเดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มมองหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อเห็นเป็นเบอร์คุณโรเบิร์ต พี่ชายของสุทัตตา หรือประธานบริษัทคอลลี คอร์เปอเรชั่น จึงรีบรับสาย
“ว่ายังไงครับ คุณร็อบ”
“ไฮ กร ซูซี่เป็นไงบ้าง” เสียงปลายสายเอ่ยถาม
“เธออยู่กับผมนี่แหละครับ”
“คงวุ่นวายมากละสิ”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย” กันต์กรปฏิเสธเสียงสูง “แล้วคุณร็อบจะมาเมื่อไหร่ครับเนี่ย”
“อีกสองสามวันน่ะ”
“ครับ ถ้ามาเมื่อไหร่ก็โทร.มาบอกล่วงหน้า ผมจะเตรียมต้อนรับอย่างดี”
“ไม่ต้องหรอก” ปลายสายพูดเหมือนขำๆ “สบายๆ ดีกว่า ยังไงเราก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน” ท้ายประโยคน้ำเสียงปลายสายดูจริงจังขึ้นมาทันที ไม่เพียงเท่านั้น โรเบิร์ตยังเอ่ยคำพูดแปลกๆ
“ระวังตัวให้ดีนะกร เธอใกล้เข้ามาแล้ว”
“ครับ!?”
“ไม่มีอะไร อย่าปล่อยให้ซูซี่รอยูนาน”
“ครับ” กันต์กรรับคำอย่างสงสัย ก่อนอีกฝ่ายจะวางสายไปแล้วทิ้งคำถามไว้ในใจกันต์กร...แล้วนี่โรเบิร์ตรู้ได้อย่างไรว่าสุทัตตารอเขาอยู่ อย่างกับพวกมีตาทิพย์หรือหยั่งรู้อนาคต
โรเบิร์ตเป็นคนแปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก มักทำนายทายทักได้แม่นยำบ่อยครั้ง เผลอๆ แม่นยิ่งกว่าญานุชจัยเสียอีก บ่อยครั้งที่โรเบิร์ตจะโทร.มาเตือนเรื่องอุบัติเหตุให้กันต์กรรู้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงจนกันต์กรต้องขนลุก บางครั้งชายหนุ่มก็เกิดคำถามที่คิดไม่ตกว่าทำไมชีวิตเขาถึงต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ด้วย
แต่แล้วกันต์กรก็ต้องหยุดคิด สุทัตตาคงจะรอนานจนหน้าบึ้งแล้ว แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นของโรเบิร์ตอีกเช่นเคย กันต์กรขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบกดรับ
“กันติยาอยู่ไหน”
“อยู่โรงพยาบาลครับ” กันต์กรรีบถามกลับ “ว่าแต่มีอะไร…”
“โก แดร์ นาว”
“ทำไมครับ”
“น้องยูกำลังแย่”
คนฟังขมวดคิ้วมากกว่าเดิมอย่างสงสัย แต่ก็ยังถามต่อ
“หมอชัยไม่เห็นโทร.มาบอกผมเลย”
“บีลีฟมี ยูต้องเชื่อไอ ไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” โรเบิร์ตย้ำเสียงหนักแน่น
“ครับ”
กันต์กรรับปากแล้วรีบวางสายก่อนจะหันไปสวมรองเท้าอย่างเร่งๆ นานๆ ครั้งโรเบิร์ตจะเตือนเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนี้ ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ถึงเขาไม่ค่อยอยากเชื่อพวกเรื่องลางสังหรณ์หรือเรื่องเหนือธรรมชาติเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะคำเตือนของโรเบิร์ตทำให้เขาพ้นเคราะห์มาหลายครั้ง
ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องอดีต นอกจากเรื่องของน้องสาวเท่านั้น!
กันต์กรรีบต่อสายไปถึงหมอสมชัย ครู่หนึ่งเพื่อนหมอก็รับสายด้วยเสียงงัวเงียบอกว่านอนอยู่บ้าน มีแต่หมออโรเท่านั้นที่อยู่เวร คนใจร้อนรีบกดวางสายก่อนจะมุ่งไปที่รถซึ่งมีสุทัตตานั่งแต่งหน้าทาปากอยู่ หญิงสาวละสายตาจากกระจกแป้งพับแล้วหันมาถามชายหนุ่มที่เปิดประตูรถแล้วกระแทกตัวนั่งบนเบาะ
“เป็นอะไรคะกร ดูรีบร้อนเชียว”
“ผมจะไปโรงพยาบาล ผมเป็นห่วงยายยา” ชายหนุ่มปิดประตูดังปังแล้วสตาร์ตรถทันที
ซูซี่อ้าปากค้าง ก่อนจะทวงสัญญา
“ไหนกรบอกจะพาไปดินเนอร์”
กันต์กรหันมาทำหน้าเข้มใส่อีกฝ่าย จนเธอถึงกับเหวอและปิดปากเงียบ คงประมาณว่าเจอหน้ายักษ์หน้ามารฉบับแท้ ชายหนุ่มถอนหายใจให้อารมณ์เบาลงแล้วตอบห้วนๆ
“ไปโรงพยาบาลก่อน”
ว่าแล้วก็กระชากเกียร์อัตโนมัติแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถออกจากบ้าน ยายแจ๋นที่เปิดประตูบ้านรอแทบจะกระโจนขึ้นรถ เพราะกันต์กรไม่มีแก่จิตแก่ใจจะจอดนิ่งรับเธอ ไม่ทันที่สาวใช้จะปิดประตูสนิท ชายหนุ่มก็เร่งเครื่องจนยายแจ๋นร้องกรี๊ดหงายหลังไปกับเบาะหลัง
ตอนนี้ใจของกันต์กรเต้นเร็วและร้อนรุ่มยิ่งกว่าเครื่องยนต์รถ เขากลัวน้องสาวเพียงคนเดียวจะเป็นอะไรไป!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ