"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) จดหมายจากโตเกียว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินจอแจ ในบรรยากาศตลาดยามเช้า ของหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง ในจังหวัดนางาซากิ ยังมีเสียงพรึมพรำของคนบ้างคนแทรกอยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ถ้านี่คือความฝัน เราไม่น่าจะมีความรู้สึกเจ็บ แล้วจะว่าไป ตอนเกิดอุบัติเหตุก็ไม่เห็นจะมีประตูมิติเหมือนอย่างในหนังไซไฟเหนือจิตนาการที่เคยดู ถ้าเราคืออริสาแล้วผู้หญิงที่ชื่อฮิเดโกะหล่ะหายไปไหน นี่มันเกิดอะไรขึ้น เราหลุดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง??!! แล้วจะกลับไปยังไง??!!” อริสาครุ่นคิด ขณะก้มหน้าเดินกระโผลกกระเผลก ไม่ทันสังเกตเห็นฝีเท้าของม้าสีน้ำตาลตัวโตที่วิ่งสวนมา
“ว๊ายยยยย!!!!!” ร่างเล็กโดนเฉี่ยวจนเกือบล้มหน้าหงาย หากไม่มีอ้อมแขนของใครบางคนขว้าไว้ทัน
“ฮิเดโกะจัง!!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มเรียกหญิงสาวที่หลับตาปี๋อยู่ในอ้อมแขน อริสาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีนิล และปลายจมูกโด่งโค้งอยู่ห่างเธอเพียงคืบ
“นาย!!!!!” เธออุทานก่อนจะรีบคลายมือที่โอบไหล่กว้างของยูทากะไว้แน่นออก แล้วพยายามกลับมายืนทรงตัว
“ระวังหน่อยสิ เธอเจ็บอยู่นะ” ยูทากะเอ็ดอย่างเป็นห่วง ขณะพยุงตัวหญิงสาวขึ้น
“ขอบใจ” อริสาพูดห้วนๆ ก่อนรีบหันหลังเดินหนีไป กลัวเขาจะเห็นว่าแก้มเธอแดงเป็นลูกตำลึงสุกอยู่ขณะนี้
“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนหละ เจอเธอก็ดีแล้วฉันว่าจะเข้าไปหาที่บ้านอยู่พอดี” มือใหญ่คว้าแขนเธอไว้ได้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นกุมมือเรียวของเธอแทน อริสาหันกลับไปขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ...ผู้ชายคนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ...เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสามารถแต่เนื้อต้องตัวเธอได้มากขนาดนี้ ยกเว้นเคนอิจิ ยูทากะเลิกคิ้วประหลาดใจในท่าทีของคนรัก...โกรธอะไรเราหรือเปล่านะ...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาปล่อยมือเธอ
ยูทากะจูงมืออริสาเดินมายังร้านน้ำชาที่อยู่ไกลๆ กันนั้น เขาลากเก้าอี้ไม้ทรงกลมตัวเตี้ยๆ ที่ถูกสอดไว้ใต้โต๊ะไม้ทรงเดียวกันออกมา จัดแจงให้หญิงสาวนั่ง ก่อนจะหยิบม้วนผ้ายืดในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่สะพายพาดเฉียงไหล่ออกมา แล้วทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว
“ถึงข้อเท้าเธอจะไม่ได้บวมมากแต่ก็ไม่ควรละเลย ดูวิธีที่ฉันพันผ้าเอาไว้ดีๆนะเวลาอยู่บ้านเธอจะได้ทำเองได้” เขาพูดขณะบรรจงพันผ้ายืดรอบข้อเท้า ส่วนอริสาก็ก้มดูวิธีการอย่างจริงจัง
“อ่ะ เสร็จแล้ว เวลาพันเองก็อย่าให้แน่นมากหล่ะ” ยูทากะเงยหน้าขึ้นมาบอก เป็นอีกครั้งที่อริสาสบตากับเขา นัยน์ตาสีนิลที่ดูอบอุ่นคู่นั้นทำเอาเธอแก้มร้อนผ่าว
“ขอบใจ” เธอพูดโดยเซหลบตา ก่อนจะรีบเม้มปากเพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มของตัวเอง ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนรักกำลังเขินอาย...น่ารักจัง...เขาคิด
“ฮิเดโกะอยู่นี่เองพี่เดินหาตั้งนาน อ้าวยูทากะอยู่ด้วยกันหรอกหรอ” ซาซาโกะเดินเข้ามา ตะกร้าหวายใบเล็กที่ถืออยู่มีถุงข้าว และผักสดสองสามอย่าง
“สวัสดีครับพี่ซาซาโกะ มาครับผมช่วย” เขาลุกขึ้นยืนแล้วโค้งทักทายอย่างสุภาพ ก่อนยืนมือไปรับตะกร้ามาจากหญิงสาวที่อายุมากกว่า
“ขอบใจจ๊ะ แล้วนี่เธอสองคนทำอะไรกันอยู่หรอ”
“พอดีนาย...เอ่อ ยูทากะเขาพันข้อเท้าให้หน่ะคะ” อริสาพูดขณะพยายามลุกขึ้นยืน คนพี่ส่งมือช่วยพยุงเธออีกแรง
“แหม ยูทากะนี่ น่ารักจริงๆ เลยนะ ขอบใจนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องแค่นี้ สำหรับฮิเดโกะหน่ะ...ผมเต็มใจ ” เขากล่าวเสียงนุ่มแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ อริสาช้อนตามองคนพูด ก่อนทำเป็นหันไปมองทางอื่น เธอไม่สามารถสบตาเขาได้นาน
“นั่นโกโร่ซังหนิ โกโร่ซังๆ” อริสาเรียกชายร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีครีมแขนยาว กางเกงทรงเอวสูง ขายาวสีน้ำตาลเข้ม สวมแว่นสายตา ที่กำลังเดินมาทางนี้ ซาซาโกะตกใจ ทำท่าจะเดินหนีไปอีก แต่อริสารั้งแขนพี่สาวไว้ได้
“อ้าวสวัสดีครับ ซาซาโกะ ฮิเดโกะ ยูทากะ มาจ่ายตลาดกันหรอครับ” โกโร่ คุณครูหนุ่มใจดีถามขึ้น
“ขะ..ขะ คะ” ซาซาโกะตอบ ก้มหน้าก้มตา เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเห็นหลักฐานความเขินบนแก้มชมพูเรื่อของเธอ
“อีกไม่กี่วันที่โบสถ์อุราคามิ จะมีการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียงของนักเรียนชั้นประถมสี่ ถ้าพอมีเวลาก็แวะมาดูกันนะครับ มาช่วยเป็นกำลังใจให้เด็กๆ” คุณครูเล่าใบหน้าแต้มยิ้มด้วยความภูมิใจในเหล่าลูกศิษย์
“แล้วฮิคารุร่วมขับร้องด้วยหรือเปล่าคะ” อริสาถามขึ้น
“ครับ เด็กๆ ทุกห้อง ของชั้นประถมสี่ ต้องเข้าร่วมครับ งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคริสต์ศาสนา”
“ไม่เห็นฮิคารุพูดถึงเลย” ซาซาโกะประหลาดใจ เจ้าน้องชายจอมซนหลังเลิกเรียน มีแต่เที่ยวเล่นการบ้านก็ไม่ค่อยใส่ใจ โรงเรียนมีงานแสดงก็ไม่บอกกล่าว
“เจ้าฮิคารุหน่ะ ฝากพี่ๆ ช่วยดูด้วยนะครับ รายนั้นหาตัวจับยาก” โกโร่บอกพรางหัวเราะเบาๆ พี่สาวสองคนมองหน้ากัน
“เอ่อ..ค่ะ” ซาซาโกะหันมาตอบรับคำ นึกโมโหในใจที่เจ้าน้องชายตัวแซบทำให้เสียหน้า
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปยืนตอนรับ เด็กๆหน้าโรงเรียน” เขากล่าวก่อนโค้งลา ซาซาโกะ อริสา และยูทากะโค้งตอบ โกโร่เดินคล้อยหลังไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องแผ่นหลังของเขาอยู่
“อ่ะแฮ่มๆ นี่เราจะกลับบ้านกันเลยไหมคะ” อริสากระแอมไอใส่คนที่ยืนเหม่อ คนพี่สะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมาเห็นรอยยิ้มหยอกๆ ของน้องสาว
“เอ่อ...กลับสิ กลับ” ซาซาโกทำสีหน้าเข้มกลบเกลื่อน แล้วเดินนำหน้า อริสาที่แอบหัวเราะอยู่ข้างหลัง หันมาเห็นใบหน้าคมยิ้มหวาน จ้องมองเธออยู่ จึงรีบหุบยิ้มแล้วเดินตามพี่สาวไป ยูทากะเดินรั้งท้าย เห็นท่าเดินตลกๆ ของคนรัก ก็อดขำไม่ได้ แม้จะแอบขำอยู่เบาๆ แต่สาวเจ้าดันรู้ตัว หันควับมาค้อนใส่ ดีที่เขาเปลี่ยนสีหน้าได้ทันแล้วทำเฉไฉมองไปทางอื่น เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบ ระหว่างเดินสวนผู้คนที่เริ่มบางตา ออกจากตลาด
ม้าสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่หยุดฝีเท้าลงหน้าบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นหลังกระทัดรัด คนขี่ม้าในชุดทหารชั้นผู้น้อยกระโดดลงจากอานม้า ก่อนยื่นกระเป๋าผ้าสีเขียวเข้มที่สะพายมา ให้หญิงมีอายุที่ออกมาต้อนรับ ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มอย่างมีความหวัง เธอเฝ้ารอจดหมายของผู้เป็นสามีทุกวัน
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาส่งข่าวล่าช้า พอดีที่โตเกียวโดนโจมตีอย่างหนัก ท่านทาเคชิได้สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศชาติ ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของชายชาติทหาร ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” พูดจบเขาก็โค้งตัวให้คุมิโกะ ก่อนขี่มาจากไป ทิ้งเธอให้ยืนใจสลายอยู่เบื้องหลัง
“ทาเคชิ!!...” ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆเมื่อครู่ หม่นลง น้ำใสๆไหลอาบแก้มสองข้าง เธอคิดอะไรไม่ออก สามีผู้เป็นที่รักของเธอและลูกๆ จากไปแล้วหรือ ทุกค่ำคืนที่เธอเฝ้าอ้อนวอนพระเจ้าตลอดเวลาหกเดือน ว่าโปรดจงปกป้องคุ้มครองให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรืออย่างไร เธอรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนใจจะขาด กอดถุงผ้าในอ้อมแขนไว้แน่น ก่อนหมดสติล้มพับลง
“แม่!!!!!!” พี่สาวคนโตเห็นผู้เป็นแม่ เป็นลมอยู่หน้าบ้านจึงรีบวิ่งเข้ามา แต่ช้ากว่ายูทากะ เขาวางตะกร้าหวายลงก่อนอุ้มคุมิโกะขึ้น ซาซาโกะที่มาถึงทีหลังรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ แล้วตามเข้าไปอย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้นนะ” อริสาเดินกะเผลกๆ มาช้าๆ คว้าตะกร้าหวายที่ยูทากะวางทิ้งไว้ที่พื้น ก่อนตามเข้าไปในบ้าน เธอวางข้าวของไว้บนโต๊ะทานอาหาร แล้วเดินไปยังห้องนอนที่ประตูเปิดอยู่ ซาซาโกะนั่งคุกเข่าโบกยาดมให้แม่ ที่นอนหมดสติอยู่บนเสื่อ ยูทากะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ก่อนส่งถุงผ้าให้อริสา
“อ่ะ...นี่ของคุณลุง” เธอรับมา แล้วนั่งลงเปิดดูข้าวของข้างใน มือเรียวค่อยๆ หยิบป้ายไม้สลักชื่อ ‘ฟูคูดะ ทาเคชิ’ ขึ้นมาอ่านแล้ววางลง ชิ้นต่อมาเป็นโหลแก้ว ภายในมีผ้าสีขาวมัดปลาย ห่อบางอย่างเอาไว้ ซึ่งถ้าให้เดา อริสาคิดว่านั้นคือเถ้ากระดูกของเจ้าของป้ายชื่อ ซาซาโกะน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นสิ่งนั้น เธอใช้มือข้างที่ว่างปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังออกมา อริสาเองแม้ไม่รู้จักคนๆ นี้มาก่อน แต่ก็อดน้ำตาคลอตามไม่ได้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธออย่างห่วงใย คุมิโกะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาลูกสาวคนโตจึงช่วยประครองให้ลุกขึ้นนั่ง
“พ่อเราหน่ะ...ฮือๆๆ” คนแม่พูดพรางร่ำไห้ ซาซาโกะสวมกอดแม่แล้วปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ คุมิโกลูบหลังปลอบลูกสาวเบาๆ ทั้งน้ำตา อริสาถอนหายใจเฮือก เธอเองก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน ยังไม่หมดในกระเป๋านั้นยังมีกระดาษยับๆ ที่พับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอคลี่ออกมา เห็นตัวอักษรญี่ปุ่นลายมือหวัดๆ เขียนอยู่ คงเป็นจดหมายที่ตั้งใจจะตอบกลับครอบครัวตั้งแต่อาทิตย์ก่อน อริสาถึงจะยังอ่านไม่ค่อยคล่องแต่ก็พยายามจะอ่านให้ทุกคนฟัง
ถึง คุมิโกะ และลูกๆ ที่รัก
ตอนนี้พ่อสบายดี ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง แต่เสียดายที่ปีนี้ พ่อคงไม่ได้พาทุกคนไปดูดอกไม้ไฟเหมือนทุกๆปี ซาซาโกะจังดูแลแม่และน้องๆให้ดีนะ อย่าดุเจ้าฮิคารุมากหล่ะ ฮิเดโกะจังก็ด้วย อย่าเอาแต่ตามใจน้อง ส่วนเจ้าฮิคารุตัวแซบของพ่อ อย่าทำให้แม่และพี่ๆหนักใจนักหล่ะรู้ไหม คุมิโกะก็อย่าโหมงานหนักมากจนเกินไป ดูแลสุขภาพด้วย อีกไม่นานสงครามยุติลง เราจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม พ่อสัญญา
รัก
พระเจ้าคุ้มครอง
ทาเคชิ
สิ้นสุดเสียงอ่าน น้ำใสๆ หล่นแหมะลงบนกระดาษ...เศร้าจัง... คนอ่านกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คุมิโกะและซาซาโกะกอดกันร่ำไห้อย่างใจสลาย ยูทากะคว้ามือคนรักมากุมไว้แน่น ดวงตาคู่คมส่งแววห่วงใยและให้กำลังใจในเวลาเดียว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ