"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) งานใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแดดยามสายในฤดูร้อน ถูกผ่อนให้เย็นลงจากลมชายฝั่งที่พัดเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยคลายความร้อนรุ่มในอกของหญิงวัยกลางคนที่ต้องสูญเสียสามีผู้เป็นที่รักไปได้ มือกร้านที่ผ่านการทำงานหนักมาตลอดชีวิตค่อยๆวางป้ายชื่อ และเถ้ากระดูของสามีลงในกล่องไม้สี่เหลี่ยมสีเข้ม ก่อนลุกขึ้นเก็บไว้หลังตู้ เปลือกตาสองข้างยังเปียกอยู่ ทั้งซาซาโกะ และคุมิโกะ ซึมหงอยไม่พูดไม่จาตั้งแต่เมื่อเช้า ที่ได้รับข่าวร้าย แต่ก็ยังต้องปฏิบัติงานของตัวเองตามปกติ ละทิ้งความเศร้าโศกเสียใจไปชั่วขณะ
สองคนแม่ลูกช่วยกันลากหีบผ้าที่วางแอบไว้มุมหนึ่งของห้องนอนมาบริเวณกลางห้อง ก่อนหยิบผ้าไหมสีเขียวเข้มถักทอลวดลายของดอกไม้นานาชนิดหลากหลายสี ที่พับอยู่ในหีบออกมากาง ค่อยๆวางลงบนพื้น ซาซาโกะและคุมิโกะจับชายผ้าคนละมุมด้านหนึ่ง แล้วพับลงมาบรรจบกับอีกด้าน จากนั้นคนแม่นำไม้บรรทัดไม้ยาว มาก้มๆเงยๆวัดและปักเข็มหมุดไว้แต่ละจุดอย่างชำนาญ ลูกสาวคนโตก็ไม่รอช้าหยิบกรรไกรเก่าๆ อันใหญ่มาตัดตามรอยเข็มหมุดด้วยความระมัดระวัง โดยเริ่มจากชายไปจนถึง 2/3 ของผ้า ไม่ได้ตัดขาดออกจากกันเสียทีเดียว ผ้าถูกแบ่งเป็นสามส่วนโดยที่ส่วนกลางกว้างกว่าหนึ่งเท่า
ผู้หญิงบ้านนี้ถูกถ่ายทอดความรู้และฝีมือการตัดเย็บชุดกิโมโนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่แปลกที่คุมิโกะจะเป็นช่างที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในชุมชุน การตัดชุดกิโมโมหนึ่งชุดด้วยความละเอียดปราณีตมักต้องใช้เวลานานพอสมควร แม้ผลตอบแทนต่อชุดค่อนข้างสูง แต่ในช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวายอย่างนี้ ซาซาโกะต้องบริหารการจับจ่ายใช้สอยเงินอย่างรอบครอบ เพื่อไม่ให้ครอบครัวเกิดขัดสนในอนาคต เธอต้องดูแลแม่และน้องๆ ให้ดีตามที่ผู้เป็นพ่อได้ฝากไว้ อริสานั่งมองคิ้วผูกโบว์อยู่ใกล้ๆ
“ทำอะไรกันหรอคะ” เธอถามแทรกความเงียบขึ้นมาเบาๆ
“ก็เย็บชุดกิโมโนหน่ะสิ รีบทำให้เสร็จจะได้เอาไปส่งให้อาเบะซังขายที่ร้าน ตอนนี้เงินใกล้หมดเต็มทีแล้ว” พี่สาวตอบ ตาของเธอบวมฉึ่งหลังจากการร้องไห้อย่างหนัก มือพรางร้อยด้ายเข้าเข็มส่งให้แม่ ก่อนหันมามองน้องสาวที่ยังนั่งงง
“แล้วนั่นเธอจะนั่งเฉยอยู่ทำไมหล่ะ มาช่วยกันเดินลายเส้นสิ ” อริสาโดนเอ็ด จึงขยับมาหยิบม้วนด้าย กะความยาวพอประมาณ แล้วตัดด้วยกรรไกรเก่าๆ อันใหญ่ ก่อนหันมาหยิบเข็ม เธออมปลายด้ายแล้วหลับตาลงข้างหนึ่งเพื่อการเล็งที่แม่นยำ เส้นด้ายถูกสอดเข้ารูเข็มอย่างง่ายดาย อริสาจำได้ว่าสมัยเรียนวิชาการงานอาชีพ ในคาบที่เรียนสอยผ้า สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือการร้อยด้ายเข้าเข็มจนขนาดเพื่อนๆ ทั้งห้องต้องพึ่งเธอกันหมด ดูภายนอกเธออาจเป็นสาวหวานเรียบร้อยก็จริง แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องานฝีมือ เธอไม่เอาไหนซะเลย มือเรียวหยิบผ้าขึ้นมามุมหนึ่ง ก่อนจะชะโงกดูหญิงมีอายุสอดเข็มขึ้นลงบนผ้าอย่างชำนาญ คิ้วสองข้างของอริสาชนกันจนแทบจะรวมเป็นเส้นเดียว...เอ่อ มันเริ่มยังไงนะ...ท่าทางงกๆเงิ่นๆนั้น เรียกแม่และพี่สาวให้ละสายตาจากผ้าขึ้นมามอง
“เป็นอะไรไปลูก ฮิเดโกะ” คุมิโกะหันมาถามลูกสาวคนรอง
“เอ่อ...คือ...ฉัน....ฉันทำไม่เป็นหน่ะคะ” อริสาส่งยิ้มแหยๆ
“อ้าว ก็ทำมาตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย เสร็จไปก็ตั้งหลายชุด อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้ แค่กลิ้งลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ นี่เธอจะลืมหมดทุกอย่างเลยหรอ ลำพังช่วยกันสามคนก็ใช้เวลามากอยู่แล้ว ทีนี้เหลือสองคนเมื่อไหร่จะเสร็จหล่ะ หาเงินไม่ทันใช้กันพอดี” ซาซาโกะบ่นยาวเป็นชุดจนคนแม่ต้องปรามไว้
“พอเถอะซาซาโกะ น้องเจ็บอยู่นะ ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวนั่งดูแม่กับพี่ทำไปก่อนเผื่อจะจำได้”
“นี่ถ้าเจ้าฮิคารุกลับมาจะฟาดให้ก้นลายเลย พากันไปเล่นซนจนเป็นเรื่อง” คนพี่ยังฉุนอยู่
“ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ” อริสาพูดอุบอิบพรางโค้งหัวขอโทษ
“เฮ้อ ไม่เป็นไรหรอกช่างเถอะ” ซาซาโกะผ่อนน้ำเสียงลงแล้วก้มหน้าเย็บผ้าต่อ แต่ถึงอย่างนั้นอริสาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ไหนๆก็ต้องอยู่กับครอบครัวนี้ไปสักพัก ถ้าสมมติว่านี่คือความฝัน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตื่น เพราะฉะนั้น เธอควรช่วยเหลืออะไรพวกเขาบ้าง อยู่ดีๆ เสาหลักของครอบครัวด่วนจากไปอย่างนี้ คนที่ยังอยู่ก็ต้องลำบากมากขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลอกไปมา พยายามนึกอะไรบ้างอย่าง...ร้านหนังสือ...
“เดี๋ยวฉันมานะคะ” ร่างเล็กพยายามลุกขึ้นยืน ข้อเท้าที่บวมเพียงเล็กน้อย ถูกพันไว้อย่างดี แต่ยังคงเจ็บอยู่ และเป็นปัญหาในการเคลื่อนไหวของอริสาไม่ใช่น้อย
“จะไปไหนหน่ะ” คนพี่เงยหน้าขึ้นมาถาม
“ไปร้านหนังสือที่ตลาดหน่ะคะ”
“ยังจะมีอารมณ์ไปอ่านหนังสืออีกหรอ” ซาซาโกะค่อนขอด อริสาไม่พูดอะไร ก้าวออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งให้แม่และพี่สาวมองหน้ากันอย่างสงสัย
ระยะทางจากบ้านไปยังตลาดไม่ห่างกันนัก เส้นทางก็ไม่ได้ซับซ้อน อริสาจึงจำทางได้ เธอเดินช้าๆ สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาเบาๆพรางทอดสายตามองบรรยากาศรอบๆ เมื่อเช้านี้เธอรู้สึกแตกตื่นตกใจกับภาพสองข้างทางที่เห็นอยู่นี้มาก นึกไปว่ากำลังหลงอยู่ในกองถ่ายภาพยนต์พีเรียดญี่ปุ่นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ขนาดพยายามมองหาตากล้อง และผู้กำกับแต่ก็ไม่เจอ บางทีเธออาจกำลังนอนสลบอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแห่งไหนสักแห่ง ก่อนเกิดอุบัติเหตุ นิชนกพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู เลยเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ ส่วนอาการเจ็บที่ข้อเท้า...ช่างเถอะ คิดไปก็ปวดหัวเปล่า... อริสาเลิกคิดหาเหตุผลที่ทำให้เธอหลงย้อนมาอยู่ที่นางาซากิเมื่อ 69 ปีที่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบเห็นหลังคาโบสถ์สีแดงอิฐโผล่พ้นต้นไม้ใหญ่อยู่ลิบๆ...โบสถ์อุราคามินี่.... เพราะเมื่อเช้ามัวแต่ตกใจเธอจึงไม่ได้สังเกตโบสถ์อุราคามิหลังเดิมก่อนพังทลายลงด้วยอานุภาพของระเบิดปรมาณูตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ร่างเล็กหยุดฝีเท้าลงหน้าร้านหนังสือที่แตกต่างไปจากบ้านและร้านอื่นๆ บริเวณใกล้เคียง ประตูไม้สีอ่อนของร้านไม่ได้เป็นแบบเลื่อน แต่เป็นแบบสากล ระดับสายตามีป้ายภาษาอังกฤษแขวนอยู่ ‘OPEN’ ข้างๆประตูคือราวไม้ที่แขวนหนังสือพิมพ์ เหนือราวไม้นั้นเป็นหน้าต่างกระจกสูง ซึ่งมีหนังสือถูกจัดเรียงโชว์อยู่ภายใน
“รับสมัครพนักงานดูแลร้านหนังสือ” อริสาอ่านป้ายกระดาษสีขาวเขียนอักษรญี่ปุ่นที่แปะไว้ตรงหน้าต่าง ตอนที่เธอมายืนอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าแค่มองผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจ อริสามั่นใจว่าเธอทำงานนี้ได้ดีกว่าตัดเย็บชุดกิโมโนแน่นอน ว่าแล้วก็แกะป้ายนั้นออก ก่อนเปิดประตูเข้าไป
ภายในร้านไม่กว้างนัก ผนังทุกด้านล้วนมีชั้นไม้ที่เรียงรายหนังสือไว้อย่างเป็นระเบียบเต็มไปหมด ตรงกลางห้องยังมีชั้นหนังสืออีกสองล็อค ทำให้เหลือทางเดินแคบนิดเดียว แต่ก็พอเบียดๆ เดินสวนกันได้สองคน เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองชายมีอายุ เชื้อชาติยุโรป ที่เดินตรงเข้ามา พุงกลมๆของเขาล้ำหน้านำมาก่อน
“สวัสดีสาวน้อย มีอะไรให้ช่วยไหม” เขาเอ่ยทักด้วยภาษาญี่ปุ่นสำเนียงไม่ค่อยลื่นหู ใบหน้ายิ้มแย้มส่งแววเป็นมิตรแก่ผู้มาเยือน
“อ๋อ พอดีฉันเห็นคุณรับสมัครพนักงานดูแลร้าน เลยสนใจอยากทำหน่ะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมกางการะดาษสีขาวที่ถือในมือให้ดู
“เธอสนใจหรอ อืม ว่าแต่เธอพอรู้ภาษาอังกฤษไหมหละ ร้านฉันไม่ได้มีแค่หนังสือภาษาญี่ปุ่นนะ มีหนังสือภาษาอังกฤษด้วย” เข้าถามต่อ
“ฉันพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้ดีคะ” เธอตอบน้ำเสียงมั่นใจ
“จริงหรอ อ่ะ งั้นลองอ่านนี่ให้ฉันฟังสิ” คนพุงพลุ้ยยื่นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มเล็กๆ ให้ อริสาคว้ามาดูปกหนังสือ...‘The Little Match Girl’...ก่อนเปิดอ่าน
“It was the last evening of the year….”
“พอแล้วๆ ฉันตกลงรับเธอ” ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่เหมือนเจ้าของภาษาของเธอ ทำให้เจ้าของร้านหนังสือตกลงรับเข้าทำงานทันที ทั้งๆที่อ่านไปแค่นิดเดียว
“จริงหรอค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ คุณ......”
“คริสโตเฟอร์ ชื่อผม แล้วคุณหละ”
“ฉันอริสะ...เอ่อ...เอ่อฮิเดโกะคะ” เธอชะงักเล็กน้อยตอนบอกชื่อของตัวเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฮิเดโกะ แล้วเธอจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่หละ”
“วันนี้เลยคะ ขอรับค่าจ้างเป็นรายวันนะค่ะ” พนักงานดูแลร้านหนังสือหมาดๆ แววตามุ่งมั่น
“ได้สิแต่วันนี้เธอได้ค่าจ้างแค่ครึ่งวันนะ” นายจ้างใจดีบอก อริสาพยักหน้ารับทราบ
ช่วงบ่ายจนถึงเย็นอริสาคลุกตัวอยู่แต่กับหนังสือ เรียนรู้งานใหม่จากคริสโตเฟอร์ เช่น การจัดเรียงหนังสือตามตัวอักษร วิธิการหาหนังสืออย่างรวดเร็ว และอื่นๆอีกหลายอย่าง ด้วยความที่วันนี้ลูกค้าเข้าร้านน้อยมาก เธอจึงมีเวลาอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินจนเกือบลืมไปเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ขณะนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“เย็นแล้ว เธอกลับบ้านได้แล้วหละ ที่เหลือค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้ อ่ะนี่ค่าจ้างของเธอ” เจ้านายใจดีพูดพร้อมยื่นถุงใส่เงินสีแดงให้ อริสารับมาอย่างตื่นเต้นก่อนอ้าปากถุงดู ถึงแม้จะไม่ใช่เงินจำนวนมากมายอะไรแต่ก็น่าจะพอช่วยจ่ายค่ากับข้าวได้บ้าง
“ขอบคุณคะ คริสโตเฟอร์ ไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้ฉันจะรีบมา” อริสาโค้งลา แล้วเดินออกจากร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซาซาโกะคงจะไม่ต่อว่าเธออีก ถ้าเธอสามารถหาเงินเข้าบ้านได้อีกทาง
พระอาทิยต์ยามเย็นมาถึง ตลาดก็เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง พ่อค้าแม่ค้ากลับมาตั้งร้านขายของกันอีกรอบ นักเรียนหนุ่มสาวเลิกเรียน ก็พากันเดินทางกลับบ้าน บ้างก็แวะดูของสวยๆ งามๆ ระหว่างทาง
“ฮิเดโกะจัง” เสียงคุ้นๆ แว่วอยู่ข้างหลัง คนถูกเรียกหันกลับไปมอง แม้ชื่อนั้นจะไม่ใช่ชื่อของตัวเอง
“นายคนนี้อีกแล้วหรอ” อริสาพรึมพรำ
“ฮิเดโกะจัง มาทำอะไรแถวนี้” ยูทากะถามย่างสงสัย
“มาทำงานหน่ะสิ” หญิงสาวตอบพรางค่อยๆ เดิน
“งานอะไรหรอ ไม่ช่วยคุณป้ากับพี่ซาซาโกะตัดกิโมโนแล้วหรอ”
“งานดูแลร้านหนังสือของคุณคริสโตเฟอร์ ร้านนู้ไง” อริสาหันกลับไปชี้ร้านที่ตัวเองเดินห่างออกมาสักระยะ ชายหนุ่มหยุดมองตามนิ้วที่ชี้บอก ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ตามคนรักที่เดินล่วงไปก่อนแล้วให้ทัน
“งั้นก็ดีเลยสิ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเรามาทำงานและกลับบ้านพร้อมกันนะ”
“ถามอย่างกับอยู่บ้านเดียวกัน นายก็มาของนาย ฉันก็มาของฉันสิ ทำไมต้องมาพร้อมกันด้วย” น้ำเสียงเย็นชาของคนรักทำเอายูทากะเงียบไป ร่างเล็กหยุดเดิน ก่อนหันมามองเจ้าของดวงตาสีนิลที่มีแววหม่นลง...เราพูดแรงไปหรือเปล่าเนี่ย....
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฉันทำอะไรให้เธอโกรธหน่ะ ฉันก็แค่อยากดูแลเธอก็เท่านั้นเองฮิเดโกะจัง” ยูทากะพูดเสียงอ่อน ทำเอาอริสารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ...งั้นก็..ตามใจนายแล้วกัน” สิ้นประโยคใบหน้าคมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายส่งให้ หญิงสาวต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะเกิดอาการวาบๆที่หัวใจแปลกๆ ก่อนรีบเดินกะเผลกหนี ยูทากะเดินตามหลัง มองมือเรียวของคนรัก อยากเข้าไปกุมไว้ให้แน่น แต่กลัวโดนดุอีก จึงแสร้งทำเป็นวิ่งเข้าไปเดินใกล้ๆ ให้หลังมือกระทบกัน เหมือนอริสาจะรู้ เลยยกแขนขึ้นกอดอกและแอบอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว พวกเขาสองคนเดินผ่านตลาดสู่ทางกลับบ้าน แม้จะไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างทาง แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หัวใจของยูทากะพองโตแทบจะลอยไปในอากาศ
ขอบคุณข้อมูลจาก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ