"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
8.9
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
37 ตอน
25 วิจารณ์
42.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) สายใย ความผูกพันเก่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ธงปลาคาร์ฟห้าตัว ที่ผูกไว้บนไม้ไผ่ลำยาว ถูกปักประดับไว้ตรงหน้าบ้าน ตั้งแต่เทศกาลทังโกะ ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กำลังพริ้วสะบัดด้วยแรงลม ดูราวกับเจ้าเหล่าปลาคาร์ฟนั้น แหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า โดยมีตัวสีดำ ซึ่งขนาดใหญ่ที่สุดเป็นตัวแทนของบิดาอยู่บนยอด ตัวรองลงมาสีชมพูแทนมารดา สีเขียวแทนลูกชาย ส่วนสีเหลือง และส้ม ที่ตัวเล็กและอยู่ล่างสุดแทนลูกสาว แม้จะโดนแสงแดดจากดวงอาทิตย์ กัดสีที่เคยสดใสจนซีดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังสวยงาม
คุมิโกะดูรูปสามีในเครื่องแบบนายทหารเต็มยศ ในกรอบไม้สีเข้มขนาดไม่ใหญ่นักในมือ แววตาไม่ได้สะท้อนความโศกเศร้าแต่อย่างใด กลับมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นแทน ไม่สำคัญหรอกที่ ฟูคูดะ ทาคาชิ ได้จากโลกไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังอยู่ในใจเธอเสมอ คุมิโกะตั้งรูปนั้นไว้บนหลังตู้ไม้ข้างๆ กับกล่องที่เก็บเถ้ากระดูกของสามี ก่อนจะเดินออกมาที่ห้องรับประทานอาหาร เห็นลูกสาวคนโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่
“ซาซาโกะเป็นอะไรหนะลูก ตั้งแต่กลับมาจากไปส่งฮิคารุที่โรงเรียน ยังยิ้มไม่หยุดเลยนะเนี่ย” คนเป็นแม่ถามหลังจากนั่งลงข้างๆ
“เอ่อ..ปะ..เปล่ายิ้มนะแม่” ลูกสาวคนโตทำหน้านิ่วกลบเกลื่อน
“เปล่าอะไร แม่เห็นนะ เอ...หรือว่า ลูกสาวจอมโหดของแม่ จะมีความรักกับเขาเข้าซะแล้ว”
“มะ..ไม่ใช่นะ แม่ก็พูดอะไรไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว” ซาซาโกะรีบปฏิเสธ ก่อนจะลุกหนี เพราะกลัวผู้แป็นแม่เห็นอาการเขินอาย ที่เธอเก็บไม่อยู่แล้วในขณะนี้ คุมิโกะเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะพร้อมส่ายหัวน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู
ที่โรงเรีย เด็กๆ ต่างพากันเข้าห้องเรียนหมดแล้ว ยกเว้นคนที่มีเรียนวิชาพละ จะรวมตัวกันอยู่ที่สนามกีฬา หลังตึกมัธยมปลาย
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” โกโร่กล่าว ขณะก้าวเข้าห้องเรียน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงพูดคุยของเหล่าลูกศิษย์ที่ดังระงมจึงเงียบลง
“อรุณสวัสดิ์ครับ/คะ” เด็กๆ ทักทายกลับ
“จำได้ไหมว่าวันนี้เรามีนัดอะไรกัน” ครูประจำชั้นถาม ก่อนหันไปเขียนตัวอักษรบนกระดานว่า ‘อนาคตฉันอยากเป็น...’ ตัวโตๆ เมื่อวานเขาให้ลูกศิษย์ กลับไปเขียนเรียงความมาหนึ่งหน้ากระดาษ โดยให้บรรยายว่า แต่ละคนอยากทำอาชีพอะไรในอนาคต เพราะอะไร ซึ่งวันนี้จะให้ออกมารายงานย่อๆ หน้าชั้นเรียน โดยเรียงจากเลขที่น้อยไปมาก
เด็กชายตัวอ้วน รู้ว่าตัวเองเป็นคนแรก ก็ไม่รอช้า หยิบกระดาษสีขาวแผ่นบางออกมายืนหน้าห้อง กึ่งกลางกระดานดำ โดยมีโกโร่ นั่งดูอยู่ที่โต๊ะครู ทางขวามือ ครูหนุ่มยิ้มภาคภูมิใจ ในตัวลูกศิษย์แต่ละคน ที่ออกมารายงาน พวกเขายังเด็กและไร้เดียงสามาก เหมือนตัวเขาเอง ในอดีต โกโร่เปรียบนักเรียน เสมือนต้นกล้า ที่กำลังเติบโต โดยมีเขาและครูคนอื่นๆ คอยรดน้ำ หมั่นพรวนดิน กำจัดแมลงร้าย และวัชพืช เฝ้ารอดูวันที่ต้นกล้าเหล่านั้นจะผลิดอกออกผล นั่นถือเป็นความสุขสูงสุดของอาชีพนี้ แน่นอนว่าครูคืออาชีพที่เขาใฝ่ฝันจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ
การรายงานดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงคิวของลูกศิษย์ตัวแสบของเขา ฮิคารุนั่นเอง เด็กชายเดินออกมายืนหน้าห้อง ยกกระดาษขึ้นมาบังหน้า เพราะยังไม่ชินกับการยืนอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ และถูกจับจ้องเป็นตาเดียวแบบนี้
“อนาคตผมอยากเป็นทหารฮะ ที่อยากเป็นก็เพราะว่า ผมอยากเป็นเหมือนพ่อ พ่อผมเป็นทหารที่เท่ห์มาก พ่อเคยบอกว่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ได้เป็นทหารรับใช้ชาติบ้านเมืองถือเป็นเกียรติสูงสุด ผมเลยตั้งใจจะเป็นให้ได้...ถึงแม้ว่า...พ่อจะไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว แต่ผมก็มั่นใจว่าพ่อจะรับรู้... และภูมิใจในตัวผม” ฮิคารุกล้ำกลืนความเศร้า ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล จนเล่าจบ ก็เดินไปส่งเรียงความนั้น ให้โกโร่ เพียงแวบเดียวที่สบตากับลูกศิษย์ เขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เกาะกินหัวใจดวงน้อย โกโร่ไม่รู้มาก่อนเลยว่า พ่อของฮิคารุเสียชิวิตแล้ว เขามองตามหลังลูกศิษย์ที่กำลังเดินไปนั่งที่อย่างเป็นห่วง
ร้านหนังสือเล็กๆ สไตล์ตะวันตก ที่ถูกรายล้อมด้วยร้านค้า และบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กลับให้ความรู้สึกลงตัวอย่างประหลาด วันนี้ที่นี่คึกครื้นกว่าปกติ เพราะมีลูกค้าถึงสองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่กำลังจริงจังกับหนังสือตรงหน้า มีแอบมองพนักงานดูแลร้าน และแอบยิ้มบ้างบางครั้ง ส่วนอีกคนคือลูกค้าขาประจำ เด็กน้อยแก้มป่อง กำลังหาหนังสือนิทานภาพสวยๆ พอได้แล้วก็เดินมาหยุดยืนข้างๆ อริสา ที่กำลังจัดหนังสือเข้าชั้น มือเล็กกระตุกชายชุดยูกาตะ ของผู้ใหญ่เบาๆ เรียกให้อริสาหันมามอง
“อ้าว ว่าไงจ๊ะฮิมาวาริจัง” เธอถาม เด็กน้อยไม่ได้ตอบแต่ยื่นหนังสือเล่มเล็กส่งให้แทน
“เด็กหญิงไม้ขีดไฟ อยากให้พี่อ่านให้ฟังแล้วหรอจ๊ะ” อริสารับหนังสือนั้นมาดูก่อนถามต่อ เด็กหญิงตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ เธอยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนพาเด็กน้อย เดินมาทรุดตัวนั่งลงที่พื้น ข้างชั้นวางหนังสือมุมหนึ่ง แล้วเริ่มเล่านิทานให้ฮิมาวาริฟัง จากภาษาอักฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี วันส่งท้ายปีเก่าเพื่อต้อนรับปีใหม่ ในถนนสายหนึ่ง มีผู้คนมากมายออกมาเดินเลือกซื้อของขวัญกันด้วยความสุข ท่ามกลางความหนาวเยียบเย็น และความขวักไขว่ของผู้คนเหล่านั้น ยังมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าและสกปรกคนหนึ่ง เดินไปตามถนนสายนั้นเพื่อ ขายไม้ขีดไฟ....”
“นี่มันภาษอังกฤษนี่นา ฮิเดโกะจังอ่านออกด้วยหรอ” ยูทากะถามขึ้นอย่างประหลาดใจ หลังจากละความสนใจจากหนังสือ แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ อริสา
“อ๋อ...เอ่อ พอดีคริสโตเฟอร์ นายจ้างของฉันสอนให้หน่ะ แล้วฉันก็เดาๆ จากภาพเอา” เธอยิ้มแห้งๆ คิดคำอธิบายแทบไม่ทัน
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง ทำงานไม่กี่วัน เก่งภาษาอังกฤษขนาดนี้เลยหรอเนี่ย ดีจังเลยนะ” เขาพูดพรางทำท่าครุ่นคิด อริสาแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แล้วอ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ เด็กหญิงตัวเล็กนัยน์ตาวาวเรื่อ เหมือนกำลังจิตนาการตามคำบรรยาย อ่านจบเรื่องนี้ ฮิมาวาริจังก็อยากฟังเรื่องอื่นๆ ต่ออีก อริสาจึงกลายเป็นพนักงานเล่านิทานไปโดยปริยาย พอช่วงเที่ยง ไดกิเจ้าของร้านพลุ ฝั่งตรงข้ามก็มารับตัวหลานสาวเหมือนอย่างทุกวัน แต่ฮิมาวาริติดอริสาไปซะแล้ว กว่าเด็กน้อยจะยอมกลับบ้าน อริสา ยูทากะ และคริสโตเฟอร์ ต้องช่วยหลอกล่อสารพัด ทำเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน
วันนี้เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว อริสามองดูนาฬิกาคลาสสิค ที่แขวนอยู่บนผนังอย่างประหลาดใจ...เพราะยูทากะหรือเปล่า...อริสาส่ายหัวไล่ความคิด ที่อยู่ๆ ก็แทรกเข้ามาเบาๆ เธอไม่อยากคิดต่อไปว่า เวลาของความสุขผ่านไปเร็วเสมอ เพราะนั่นจะหมายความว่า ที่ยูทากะมาคลุกตัวอยู่ร้านหนังสือวันนี้ ทำให้เธอมีความสุข
“คริสโตเฟอร์ พรุ่งนี้ฉันขอลางานครึ่งวันเช้าได้ไหมค่ะ พอดีที่โบสถ์อุราคามิ จะมีการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียง ของนักเรียน ฮิคารุน้องชายฉันร่วมแสดงด้วยหนะคะ ฉันอยากไปให้กำลังใจน้องชาย” อริสาเดินมาถามนายจ้างที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ได้สิ ฉันก็ว่าจะไปดูด้วยเหมือนกัน น่าสนุกดีนะว่าไหม อ่ะนี่ค่าแรงเธอ รับไปสิ” เจ้านายใจดีอนุญาต ก่อนส่งถุงเงินสีแดงให้อริสา เธอรับมาก่อนบอกลาคริสโตเฟอร์ แล้วเดินออกจากร้านหนังสือ โดยมียูทากะเดินตามหลัง
“อ้าววันนี้ไม่ไปรับฮิคารุที่โรงเรียนแล้วหรอ ฮิเดโกะจัง” เขาถามขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวเดินนำไปทางกลับบ้าน
“ไม่ต้องแล้วหละ วันนี้พี่ซาซาโกะอาสาไปรับเอง” อริสาตอบพรางยิ้มกรุ่มกริ่ม เธอกำลังนึกถึงพี่สาวจอมโหด แสนขี้อาย และโกโร่ ครูหนุ่มที่ดูเย็นชา แต่ก็ขี้อายเหมือนกัน ...เวลาเจอกันจะเป็นยังไงนะ...
“อืม...ถ้าอย่างนั้น แวะไปบ้านฉันกัน ดีไหม” ยูทากะถามเสียงเรียบ แต่ประโยคคำถามนั้นทำเอาคนฟังลมออกหู
“นี่!!! นายพูออย่างนี้หมายความว่ายังไงฮะยูทากะ!!!” หญิงสาวพูดเสียงแข็งอย่างโกรธจัด
“เดี๋ยวก่อนนะ คือ ฉันแค่อยากพาฮิเดโกะจังไปเจอแม่ฉัน ก็เท่านั้น” เขาตอบอย่างงงๆ อริสาได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนจากท่าทางโกรธจัดเป็นยิ้มเจื่อนๆ
“นี่ฮิเดโกะจัง กำลังคิดอะไรอยู่หนะ” ชายหนุ่มถามใบหน้ายิ้มหยอก
“เอ่อ.....” อริสารู้สึกหน้าแตกสุดๆ เธอรีบเดินหนี พรางสบถตำหนิตัวเอง ยูทากะเดินตามไปอย่างช้าๆ เขาหัวเราะในลำคอดังเกินไป จนเสียงหลุดออกมา
“นี่นายขำอะไรห๊ะ” คนหน้าแตกหันมาค้อนใส่
“ฉันเปล่าขำนะ” เขาทำเป็นเอามือปิดปาก แต่ก็ทนได้ไม่นาน เลยหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นั่นไง ขำอะไรหนะ หยุดขำเดี๋ยวนี้นะ” อริสาหยิบกิ่งไม้เล็กๆ ที่พื้นขึ้นมาทำท่าจะฟาดเข้าที่แขนของชายหนุ่ม แต่เขาหลบได้ซะก่อน
“นี่ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายกันเลยหรอฮิเดโกะจัง ทำไม่ใจร้ายอย่างนี้นะ” ยูทากะทำเป็นพูดน้อยใจ แต่ใบหน้ายังหัวเราะร่า พรางวิ่งหลบไม้ ที่คนรักตวัดไปมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ยูทากะ” อริสาที่หน้าแตกอยู่แล้ว รู้สึกขายหน้าขึ้นไปอีก เธอวิ่งไล่ พยายามจะตีเขาให้ได้ แต่ชายหนุ่มชิงจังหวะ หันกลับไปคว้ามือข้างที่ถือกิ่งไม้อยู่ ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีนิลส่งแววจริงใจ ไปยังอีกฝ่าย เขาไม่ได้มีท่าทีจะล่วงเกินเธอแต่อย่างใด เหมือนพยายามจะสื่อให้รู้ว่า เธอไว้ใจเข้าได้
“ไม่เล่นด้วยแล้ว” อริสารับรู้ได้ถึงเจตนาดีของเขา จึงลดมือลง แล้วทิ้งกิ่งไม้ลงพื้น ก่อนจะเดินอมยิ้ม หนีไปอีกครั้ง โดยมียูทากะเดินตามหลังเช่นเดิม อริสาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตชาติ ระหว่างเธอกับเขาไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าสายใยความผูกพันเก่า จะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบๆ โดยที่อริสาเองไม่รู้ตัว ไม่แค่เพียงกับยูทากะเท่านั้น แต่กับแม่ พี่สาว และน้องชายของเธอด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://j-everyday.com/detail.php?cat=4&id=176
http://www.no-poor.com/stang/might.htm
คุมิโกะดูรูปสามีในเครื่องแบบนายทหารเต็มยศ ในกรอบไม้สีเข้มขนาดไม่ใหญ่นักในมือ แววตาไม่ได้สะท้อนความโศกเศร้าแต่อย่างใด กลับมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นแทน ไม่สำคัญหรอกที่ ฟูคูดะ ทาคาชิ ได้จากโลกไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังอยู่ในใจเธอเสมอ คุมิโกะตั้งรูปนั้นไว้บนหลังตู้ไม้ข้างๆ กับกล่องที่เก็บเถ้ากระดูกของสามี ก่อนจะเดินออกมาที่ห้องรับประทานอาหาร เห็นลูกสาวคนโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่
“ซาซาโกะเป็นอะไรหนะลูก ตั้งแต่กลับมาจากไปส่งฮิคารุที่โรงเรียน ยังยิ้มไม่หยุดเลยนะเนี่ย” คนเป็นแม่ถามหลังจากนั่งลงข้างๆ
“เอ่อ..ปะ..เปล่ายิ้มนะแม่” ลูกสาวคนโตทำหน้านิ่วกลบเกลื่อน
“เปล่าอะไร แม่เห็นนะ เอ...หรือว่า ลูกสาวจอมโหดของแม่ จะมีความรักกับเขาเข้าซะแล้ว”
“มะ..ไม่ใช่นะ แม่ก็พูดอะไรไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว” ซาซาโกะรีบปฏิเสธ ก่อนจะลุกหนี เพราะกลัวผู้แป็นแม่เห็นอาการเขินอาย ที่เธอเก็บไม่อยู่แล้วในขณะนี้ คุมิโกะเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะพร้อมส่ายหัวน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู
ที่โรงเรีย เด็กๆ ต่างพากันเข้าห้องเรียนหมดแล้ว ยกเว้นคนที่มีเรียนวิชาพละ จะรวมตัวกันอยู่ที่สนามกีฬา หลังตึกมัธยมปลาย
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” โกโร่กล่าว ขณะก้าวเข้าห้องเรียน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงพูดคุยของเหล่าลูกศิษย์ที่ดังระงมจึงเงียบลง
“อรุณสวัสดิ์ครับ/คะ” เด็กๆ ทักทายกลับ
“จำได้ไหมว่าวันนี้เรามีนัดอะไรกัน” ครูประจำชั้นถาม ก่อนหันไปเขียนตัวอักษรบนกระดานว่า ‘อนาคตฉันอยากเป็น...’ ตัวโตๆ เมื่อวานเขาให้ลูกศิษย์ กลับไปเขียนเรียงความมาหนึ่งหน้ากระดาษ โดยให้บรรยายว่า แต่ละคนอยากทำอาชีพอะไรในอนาคต เพราะอะไร ซึ่งวันนี้จะให้ออกมารายงานย่อๆ หน้าชั้นเรียน โดยเรียงจากเลขที่น้อยไปมาก
เด็กชายตัวอ้วน รู้ว่าตัวเองเป็นคนแรก ก็ไม่รอช้า หยิบกระดาษสีขาวแผ่นบางออกมายืนหน้าห้อง กึ่งกลางกระดานดำ โดยมีโกโร่ นั่งดูอยู่ที่โต๊ะครู ทางขวามือ ครูหนุ่มยิ้มภาคภูมิใจ ในตัวลูกศิษย์แต่ละคน ที่ออกมารายงาน พวกเขายังเด็กและไร้เดียงสามาก เหมือนตัวเขาเอง ในอดีต โกโร่เปรียบนักเรียน เสมือนต้นกล้า ที่กำลังเติบโต โดยมีเขาและครูคนอื่นๆ คอยรดน้ำ หมั่นพรวนดิน กำจัดแมลงร้าย และวัชพืช เฝ้ารอดูวันที่ต้นกล้าเหล่านั้นจะผลิดอกออกผล นั่นถือเป็นความสุขสูงสุดของอาชีพนี้ แน่นอนว่าครูคืออาชีพที่เขาใฝ่ฝันจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ
การรายงานดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงคิวของลูกศิษย์ตัวแสบของเขา ฮิคารุนั่นเอง เด็กชายเดินออกมายืนหน้าห้อง ยกกระดาษขึ้นมาบังหน้า เพราะยังไม่ชินกับการยืนอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ และถูกจับจ้องเป็นตาเดียวแบบนี้
“อนาคตผมอยากเป็นทหารฮะ ที่อยากเป็นก็เพราะว่า ผมอยากเป็นเหมือนพ่อ พ่อผมเป็นทหารที่เท่ห์มาก พ่อเคยบอกว่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ได้เป็นทหารรับใช้ชาติบ้านเมืองถือเป็นเกียรติสูงสุด ผมเลยตั้งใจจะเป็นให้ได้...ถึงแม้ว่า...พ่อจะไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว แต่ผมก็มั่นใจว่าพ่อจะรับรู้... และภูมิใจในตัวผม” ฮิคารุกล้ำกลืนความเศร้า ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล จนเล่าจบ ก็เดินไปส่งเรียงความนั้น ให้โกโร่ เพียงแวบเดียวที่สบตากับลูกศิษย์ เขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เกาะกินหัวใจดวงน้อย โกโร่ไม่รู้มาก่อนเลยว่า พ่อของฮิคารุเสียชิวิตแล้ว เขามองตามหลังลูกศิษย์ที่กำลังเดินไปนั่งที่อย่างเป็นห่วง
ร้านหนังสือเล็กๆ สไตล์ตะวันตก ที่ถูกรายล้อมด้วยร้านค้า และบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กลับให้ความรู้สึกลงตัวอย่างประหลาด วันนี้ที่นี่คึกครื้นกว่าปกติ เพราะมีลูกค้าถึงสองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่กำลังจริงจังกับหนังสือตรงหน้า มีแอบมองพนักงานดูแลร้าน และแอบยิ้มบ้างบางครั้ง ส่วนอีกคนคือลูกค้าขาประจำ เด็กน้อยแก้มป่อง กำลังหาหนังสือนิทานภาพสวยๆ พอได้แล้วก็เดินมาหยุดยืนข้างๆ อริสา ที่กำลังจัดหนังสือเข้าชั้น มือเล็กกระตุกชายชุดยูกาตะ ของผู้ใหญ่เบาๆ เรียกให้อริสาหันมามอง
“อ้าว ว่าไงจ๊ะฮิมาวาริจัง” เธอถาม เด็กน้อยไม่ได้ตอบแต่ยื่นหนังสือเล่มเล็กส่งให้แทน
“เด็กหญิงไม้ขีดไฟ อยากให้พี่อ่านให้ฟังแล้วหรอจ๊ะ” อริสารับหนังสือนั้นมาดูก่อนถามต่อ เด็กหญิงตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ เธอยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนพาเด็กน้อย เดินมาทรุดตัวนั่งลงที่พื้น ข้างชั้นวางหนังสือมุมหนึ่ง แล้วเริ่มเล่านิทานให้ฮิมาวาริฟัง จากภาษาอักฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี วันส่งท้ายปีเก่าเพื่อต้อนรับปีใหม่ ในถนนสายหนึ่ง มีผู้คนมากมายออกมาเดินเลือกซื้อของขวัญกันด้วยความสุข ท่ามกลางความหนาวเยียบเย็น และความขวักไขว่ของผู้คนเหล่านั้น ยังมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าและสกปรกคนหนึ่ง เดินไปตามถนนสายนั้นเพื่อ ขายไม้ขีดไฟ....”
“นี่มันภาษอังกฤษนี่นา ฮิเดโกะจังอ่านออกด้วยหรอ” ยูทากะถามขึ้นอย่างประหลาดใจ หลังจากละความสนใจจากหนังสือ แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ อริสา
“อ๋อ...เอ่อ พอดีคริสโตเฟอร์ นายจ้างของฉันสอนให้หน่ะ แล้วฉันก็เดาๆ จากภาพเอา” เธอยิ้มแห้งๆ คิดคำอธิบายแทบไม่ทัน
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง ทำงานไม่กี่วัน เก่งภาษาอังกฤษขนาดนี้เลยหรอเนี่ย ดีจังเลยนะ” เขาพูดพรางทำท่าครุ่นคิด อริสาแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แล้วอ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ เด็กหญิงตัวเล็กนัยน์ตาวาวเรื่อ เหมือนกำลังจิตนาการตามคำบรรยาย อ่านจบเรื่องนี้ ฮิมาวาริจังก็อยากฟังเรื่องอื่นๆ ต่ออีก อริสาจึงกลายเป็นพนักงานเล่านิทานไปโดยปริยาย พอช่วงเที่ยง ไดกิเจ้าของร้านพลุ ฝั่งตรงข้ามก็มารับตัวหลานสาวเหมือนอย่างทุกวัน แต่ฮิมาวาริติดอริสาไปซะแล้ว กว่าเด็กน้อยจะยอมกลับบ้าน อริสา ยูทากะ และคริสโตเฟอร์ ต้องช่วยหลอกล่อสารพัด ทำเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน
วันนี้เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว อริสามองดูนาฬิกาคลาสสิค ที่แขวนอยู่บนผนังอย่างประหลาดใจ...เพราะยูทากะหรือเปล่า...อริสาส่ายหัวไล่ความคิด ที่อยู่ๆ ก็แทรกเข้ามาเบาๆ เธอไม่อยากคิดต่อไปว่า เวลาของความสุขผ่านไปเร็วเสมอ เพราะนั่นจะหมายความว่า ที่ยูทากะมาคลุกตัวอยู่ร้านหนังสือวันนี้ ทำให้เธอมีความสุข
“คริสโตเฟอร์ พรุ่งนี้ฉันขอลางานครึ่งวันเช้าได้ไหมค่ะ พอดีที่โบสถ์อุราคามิ จะมีการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียง ของนักเรียน ฮิคารุน้องชายฉันร่วมแสดงด้วยหนะคะ ฉันอยากไปให้กำลังใจน้องชาย” อริสาเดินมาถามนายจ้างที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ได้สิ ฉันก็ว่าจะไปดูด้วยเหมือนกัน น่าสนุกดีนะว่าไหม อ่ะนี่ค่าแรงเธอ รับไปสิ” เจ้านายใจดีอนุญาต ก่อนส่งถุงเงินสีแดงให้อริสา เธอรับมาก่อนบอกลาคริสโตเฟอร์ แล้วเดินออกจากร้านหนังสือ โดยมียูทากะเดินตามหลัง
“อ้าววันนี้ไม่ไปรับฮิคารุที่โรงเรียนแล้วหรอ ฮิเดโกะจัง” เขาถามขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวเดินนำไปทางกลับบ้าน
“ไม่ต้องแล้วหละ วันนี้พี่ซาซาโกะอาสาไปรับเอง” อริสาตอบพรางยิ้มกรุ่มกริ่ม เธอกำลังนึกถึงพี่สาวจอมโหด แสนขี้อาย และโกโร่ ครูหนุ่มที่ดูเย็นชา แต่ก็ขี้อายเหมือนกัน ...เวลาเจอกันจะเป็นยังไงนะ...
“อืม...ถ้าอย่างนั้น แวะไปบ้านฉันกัน ดีไหม” ยูทากะถามเสียงเรียบ แต่ประโยคคำถามนั้นทำเอาคนฟังลมออกหู
“นี่!!! นายพูออย่างนี้หมายความว่ายังไงฮะยูทากะ!!!” หญิงสาวพูดเสียงแข็งอย่างโกรธจัด
“เดี๋ยวก่อนนะ คือ ฉันแค่อยากพาฮิเดโกะจังไปเจอแม่ฉัน ก็เท่านั้น” เขาตอบอย่างงงๆ อริสาได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนจากท่าทางโกรธจัดเป็นยิ้มเจื่อนๆ
“นี่ฮิเดโกะจัง กำลังคิดอะไรอยู่หนะ” ชายหนุ่มถามใบหน้ายิ้มหยอก
“เอ่อ.....” อริสารู้สึกหน้าแตกสุดๆ เธอรีบเดินหนี พรางสบถตำหนิตัวเอง ยูทากะเดินตามไปอย่างช้าๆ เขาหัวเราะในลำคอดังเกินไป จนเสียงหลุดออกมา
“นี่นายขำอะไรห๊ะ” คนหน้าแตกหันมาค้อนใส่
“ฉันเปล่าขำนะ” เขาทำเป็นเอามือปิดปาก แต่ก็ทนได้ไม่นาน เลยหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นั่นไง ขำอะไรหนะ หยุดขำเดี๋ยวนี้นะ” อริสาหยิบกิ่งไม้เล็กๆ ที่พื้นขึ้นมาทำท่าจะฟาดเข้าที่แขนของชายหนุ่ม แต่เขาหลบได้ซะก่อน
“นี่ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายกันเลยหรอฮิเดโกะจัง ทำไม่ใจร้ายอย่างนี้นะ” ยูทากะทำเป็นพูดน้อยใจ แต่ใบหน้ายังหัวเราะร่า พรางวิ่งหลบไม้ ที่คนรักตวัดไปมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ยูทากะ” อริสาที่หน้าแตกอยู่แล้ว รู้สึกขายหน้าขึ้นไปอีก เธอวิ่งไล่ พยายามจะตีเขาให้ได้ แต่ชายหนุ่มชิงจังหวะ หันกลับไปคว้ามือข้างที่ถือกิ่งไม้อยู่ ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีนิลส่งแววจริงใจ ไปยังอีกฝ่าย เขาไม่ได้มีท่าทีจะล่วงเกินเธอแต่อย่างใด เหมือนพยายามจะสื่อให้รู้ว่า เธอไว้ใจเข้าได้
“ไม่เล่นด้วยแล้ว” อริสารับรู้ได้ถึงเจตนาดีของเขา จึงลดมือลง แล้วทิ้งกิ่งไม้ลงพื้น ก่อนจะเดินอมยิ้ม หนีไปอีกครั้ง โดยมียูทากะเดินตามหลังเช่นเดิม อริสาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตชาติ ระหว่างเธอกับเขาไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าสายใยความผูกพันเก่า จะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบๆ โดยที่อริสาเองไม่รู้ตัว ไม่แค่เพียงกับยูทากะเท่านั้น แต่กับแม่ พี่สาว และน้องชายของเธอด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://j-everyday.com/detail.php?cat=4&id=176
http://www.no-poor.com/stang/might.htm
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ