"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) แม่ผู้เข้มแข็ง และแม่ผู้อ่อนแอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความถนนดินสีน้ำตาลอ่อน ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นโบราณ ยาวไปจนสุดทาง ยามเย็นเช่นนี้ช่างเงียบสงัด บ้านยูทากะอยู่ห่างจากบ้านของคนรักไม่ไกลนัก เขาเดินนำผ่านรั้วไม้สีน้ำตาลเข้ม เข้ามายังบ้านขนาดกลาง ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่
“กลับมาแล้วครับ” ยูทากะตะโกนบอก เมื่อมือหนาเลื่อนเปิดประตู ก่อนก้าวเข้ามาภายในบ้าน อริสาที่เดินตามหลัง กวาดตามองสำรวจบริเวณรอบๆ บ้าน แล้วตามเข้าไป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงสอดส่องไม่หยุด ก่อนจะพบเข้ากับรูปนายทหาร และโกศหินอ่อนสีขาวที่วางอยู่บนหิ้ง
“วาตานาเบะ ฮารุกิ” เธออ่านชื่อบนป้ายไม้ ที่วางอยู่ข้างรูปเบา ๆ อย่างพิจารณาอยู่นาน จนยูทากะเก็บถ้วยชามข้าว ในห้องรับประทานอาหารไปล้างเสร็จ อริสาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
“ฮิเดโกะจัง เข้ามานั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก จากห้องรับประทาอาหารที่เลื่อนเปิดประตูไว้กว้าง เสียงเรียกดึงเธอหลุกจากห้วงความคิด จึงเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าโต๊ะเตี้ย ตรงข้ามยูทากะ
“บ้านนายน่าอยู่ดีนะ ร่มรื่นดี ต้นไม้เพียบเลย” อริสาพูดเสียงเรียบ ก่อนรับจอกน้ำชาที่ชายหนุ่มรินแล้วส่งให้
“น่าอยู่แล้ว...อยากมาอยู่ด้วยกันไหมหละ” เขาแกล้งถามแหย่ แต่ดวงตาสีนิลกลับคมวาวอย่างจริงจัง
“ห๊ะ...เอ่อ...รูปที่อยู่บนหิ้งข้างนอกหนะ คือคุณพ่อของนายใช่ไหม” คนเขิน รีบถามเปลี่ยนเรื่อง แล้วก้มหน้าจิบชา ยูทากะยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นคนรักเหนียมอาย ก่อนตอบ
“อืม ใช่”
“แล้วแม่นายหละ” เธอถามพรางกวาดตามองหา คำถามนี้ ทำเอานัยน์ตาสีนิลคู่คม หม่นลงทันที อริสาเหลือบมองคู่สนทนา หลังจากรอฟังคำตอบอยู่นาน
“ยูทากะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถามต่อ เขาใช้เวลาอยู่พักนึงกว่าจะตอบได้
“แม่ของฉันหนะ...ท่านไม่สบายนิดหน่อย” เสียงที่เปล่งออกมา จากปากชายหนุ่ม แสดงถึงความเหนื่อยอ่อนใจ จนคนฟังรู้สึกได้
“เอ่อ....ฉันขอเข้าไปเยี่ยมท่านได้ไหม” อริสาเอ่ยถาม พร้อมสบตาเขา ด้วยความรู้สึกห่วงใย ยูทากะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนออก พร้อมลุกขึ้นยืน แล้วเดินนำออกจากห้องรับประทานอาหาร ไปยังห้องถัดไป ที่ประตูปิดสนิทอยู่ คนอยากรู้อยากเห็นเดินตามมาอย่างไม่รอช้า
“คือ...ถ้าเธอเห็นแม่ฉัน อย่าตกใจกลัวหละ” เขาบอกขณะยืนอยู่หน้าประตู อริสาพยักหน้าหงึกๆ รับคำ เห็นดังนั้น มือหนาจึงค่อยๆ เลื่อนประตูเปิดออก ภาพหญิงมีอายุในชุดยูกาตะสีขาว สภาพผอมโซ ผมยุ่งรุงรัง นอนขดอยู่บนเสื่อหวาย ปูไว้ใกล้หน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ทำเอาอริสาตกใจ ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง...เหมือนผีในหนังญี่ปุ่นไม่มีผิด!!!!!... ยูทากะเห็นคนรักยืนตัวแข็ง หน้าซีดเผือก จึงเลื่นปิดประตู คนที่ยังตกใจค้างอยู่หันมามองเขาอย่างเห็นใจ
“แม่นาย...เป็นโรคอะไรหรอ ทำไมถึงได้....”
“ถ้าพูดภาษาวิชาการ เขาเรียกอาการอย่างนี้ว่าโรคซึมเศร้าหนะ แต่ถ้าภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตรอมใจ” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเรียกกำลังให้ตัวเอง
“นาย...เอ่อ..ไม่เป็นไรใช่ไหมยูทากะ” อริสาถาม พร้อมช้อนตามอง คนที่ยืนก้มหน้า เขาพยักหน้าน้อยๆตอบ
“แม่หนะ เริ่มไม่พูดคุยกับใคร ไม่ทำงานบ้าน ไม่ทำกับข้าว ไม่ไปข้างนอก ไม่ทานอาหาร ไม่ดูแลสุขอนามัย ตอนกลางคืนก็ไม่นอน เอาแต่นั่งจ้องท้องฟ้า ตั้งแต่รู้ข่าวการจากไปของพ่อ” เขาค่อยๆ เล่า อย่างลำบาก เพราะต้องคอยกล้ำกลืนก้อนความเจ็บปวดที่ขึ้นมาจุกในลำคอ ไม่มีคำพูดใดๆ จากหญิงสาว อริสาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ เธอทำได้เพียงกุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้แน่น อย่างส่งกำลังใจ
“ฉัน...ฉันก็แค่...ไม่อยากเสียแม่ไปอีกคน” ยูทากะพูดเสียงสั่นเครือ แม้ใจจริงไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนรัก แต่ก็ไม่มีใครแล้วจริงๆ ที่เขาจะแบ่งปันเรื่องแบบนี้ให้รับรู้ได้
“ร้องไห้เถอะยูทากะ ปล่อยมันออกมา อย่าเก็บไว้อีกเลยนะ ฉันไม่บอกใครหรอก” พอสิ้นประโยค เขาก็โผเข้ากอดคนรักแน่น อริสาไม่ได้ตกใจ หรือมีท่าทีจะผลักไสแต่อย่างใด เวลาแบบนี้ยูทากะควรได้รับกอดจากใครสักคน เธอได้ยินเสียงสะอื้นของชายหนุ่มเบาๆ มือเรียวลูบหลังปลอบร่างที่สั่นเทา เธอไม่คิดเลยว่า ยูทากะที่ดูอารมณ์ดีทุกครั้งที่เจอกัน เบื้องหลังเขาต้องแบกรับ เรื่องราวทุกข์ใจไว้มากมายขนาดนี้
ระหว่างเดินทางมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน พี่สาวคนโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แก้มใสวาวเรื่อขึ้นมาบางๆ เมื่อนึกถึงหน้าชายหนุ่มที่ตนแอบชอบมานาน เมื่อเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะเป็นครั้งแรกที่ซาซาโกะได้พูดคุยกับโกโร่นานๆ
เธอเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าตึกประถมไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เด็กๆนักเรียน ที่ซ้อมร้องเพลงกันเสร็จแล้ว ทะยอยเดินเรียงแถวออกมา จากห้องประชุม เพื่อรับชุดที่จะต้องใส่แสดงร้องเพลงประสานเสียง ที่โบสถ์อุราคามิ ในเช้าวันพรุ่งนี้
ซาซาโกะกำลังมองหาคนที่เธออยากเจอ ไม่นานก็พบร่างสูงกำลังเดินออกมาจากห้องประชุม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้น ก่อนจะจางลง เมื่อเห็นผู้หญิงอีกคนเดินตามออกมา แล้วคล้องแขนครูหนุ่มอย่างสนิทสนม ขาที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าจึงถูกลากกลับมา
“พี่ซาซาโกะ” ฮิคารุเรียก หลังจากยืนดูพี่สาวเหม่อลอยพักหนึ่ง
“อ้าวฮิคารุ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ซาซาโกะถามงงๆ
“นานแล้วฮะ กลับบ้านกันเถอะ” เด็กชายตอบก่อนยื่นชุดคลุมยาวสีขาว ที่มีเสื้อแขนยาวสีแดงซ้อนอยู่ด้านใน ส่งให้พี่สาวถือ พร้อมกับข้าวกล่อง แล้วเดินนำหน้าไปก่อน เธอเหลือบมองโกโร่อีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ด้วยความรู้สึกแน่นๆ ในช่องอก...หายใจไม่ออก...ทำไมเป็นอย่างนี้นะ...
“คุณครูโกโร่ค่ะ พรุ่งนี้ก็วันจริงแล้วสินะคะ มาริซะรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยคะ” ครูสาวคล้องแขนโกโร่แน่น พูดจาดี๊ด๊า ไม่สนใจสายตาเหล่าลูกศิษย์ ที่ลอบมองอย่างฉงน
“คุณครูมาริซะครับ ขอโทษนะครับ” โกโร่พูดอย่างสุภาพก่อนแกะมือกาวของหญิงสาวออกเบาๆ
“ทำแบบนี้ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีเลยนะครับ เราเป็นครูจะต้องสำรวมกิริยานะครับคุณครูมาริซะ” เขาตำหนิเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีท่าทีถือสาอะไร
“ขอโทษนะคะ” มาริซะเสียงอ่อย หน้าจ๋อย เธอโค้งขอโทษ ก่อนรีบเดินหนีไป ครูหนุ่มที่มองตามหลัง สายหัวเบาๆ พร้อมถอนหายใจ เขาคิดว่าที่พูดไปเมื่อกี้คงไม่โหดร้ายจนเกินไป ยังไงเขาก็ต้องแสดงท่าทีให้หญิงสาวทราบบ้าง ว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากไปกว่าเพื่อนร่วมงาน
โกโร่เบือนหน้า หันมามองออกไปยัง นอกรั้วโรงเรียน ก่อนขยับแว่นเบาๆ เขารู้สึกเหมือนเห็นหลังไวๆ ของซาซาโกะ และลูกศิษย์ตัวแซบ เผลอแป๊บเดียวก็ลับตาไปซะแล้ว
อริสาใช้เวลานานพอสมควร ในการอยู่เป็นเพื่อนยูทากะ คอยให้กำลังใจ และปลอบใจเขา จนรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว จึงขอตัวกลับบ้าน ชายหนุ่มอาสามาส่ง แต่เธอปฏิเสธ อริสาอยากให้เขาพักผ่อนมากๆ และหนทางก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก เธอจึงจำทางกลับบ้านได้
“กลับมาแล้วคะ” เธอตะโกนขณะกำลังถอดรองเท้าเกี๊ยะออก แล้วก็ก้มมองรองเท้าอยู่ครู่หนึ่ง อย่างนึกประหลาดใจ...ลืมไปเลยว่าใส่ไม่เป็น เดินซะคล่องเลยเรา แปลกจัง... แม้ข้อเท้าจะยังปวดแปลบๆ อยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ตัวเองจะเดินบนเกี๊ยะได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้
“กลับมาแล้วหรอลูก แม่ทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย” เสียงคนเป็นแม่ร้องบอกจากห้องครัว อริสาจึงเดินเข้าไป เพื่อช่วยเหลือ
“ขอบใจจ๊ะ” คุมิโกะกล่าวขณะส่งจานกับข้าวให้ลูกสาวคนรอง เธอเองก็ตระเตรียมหยิบถ้วยข้าว และตะเกียบ ให้ครบจำนวนคน แล้วตามออกมาที่ห้องรับประทานอาหาร ก่อนนั่งลง มือกร้านใช้ผ้าสีขาวผืนเล็กๆ เช็ดที่ถ้วยข้าวแต่ละใบอย่างพิถีพิถัน เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองอย่างมีคำถาม
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ เห็นจ้องหน้าแม่นานแล้ว” คุมิโกะเอ่ยถาม
“เปล่าหรอกคะ ก็แค่...สงสัยว่าทำไม..แม่เข้มแข็งจัง” คำถามของลูกสาวทำเอาคนแม่หลุดขำเบาๆ
“อ้าว แล้วไม่ดีหรอ? หือ?”
“ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ แค่สงสัยว่า ทำไมแม่ถึงเข้มแข็งได้มากขนาดนี้ ในขณะที่บางคน เขาเข้มแข็งไม่ได้เหมือนแม่เลย” คุมิโกะสบตาซื่อๆ ของลูกสาว ก่อนยิ้มอย่างเอ็นดู
“ถ้าแม่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน ลูกๆจะอยู่กันได้ยังไง ยิ่งเสียพ่อไป แม่ยิ่งต้องเข้มแข็ง เพื่อดูแลลูกๆ พ่อจะได้วางใจ และหมดห่วง” คนแม่พูด มือวางถ้วยข้าวแล้วเอื้อมมาลูบหัวลูกสาวเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันใจผุดขึ้น ในใจของอริสาอย่างอธิบายไม่ถูก เธอได้แต่ยิ้มคืนให้คุมิโกะเหมือนส่งกำลังใจ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“แม่ค่ะ ทำไมเราไม่ซื้อโกศมาใส่เถ้ากระดูก พ่อหละค่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นหนะ แม่คุยกับพี่เราแล้ว รอตัดกิโมโนชุดนี้เสร็จ ขายได้เมื่อไหร่ก็จะไปซื้อจ๊ะ” แม่อธิบาย
“แล้วนานไหมค่ะกว่าจะขายได้” คนขี้สงสัยถามต่อ
“ปกติก็ไม่นานหรอกจ๊ะ แต่ช่วงบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ใครๆ เขาก็อยากจะประหยัด คงจะนานหน่อยกว่าจะขายได้” คุมิโกะพูดจบก็ถอนหายใจเฮือก แล้วหันไปเช็ดถ้วยข้าวต่อ อริสานึกสงสัยว่าโกศหินอ่อนสวยๆ แบบนั้นราคาเท่าไหร่กัน แล้วจู่ๆก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนเดินมาหลบที่ห้องนอน มือเรียวล้วงถุงเงินสีแดงที่เหน็บไว้ในผ้าคาดเอว ออกมา ก่อนเทเหรียญทั้งหมดใส่มือ นี่เป็นค่าแรงที่เธอทำงานมาสองวันครึ่ง อริสาขมุบขมิบปากนับเบาๆ...จะพอไหมน้า...
มื้อค่ำวันนั้นดำเนินไปตามปกติ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า จิโร่เอ่ยถามหลานชายถึงเรื่องการแสดงว่าพร้อมไหม ฮิคารุบอกว่าพร้อม แต่หน้ากลับซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพตัวเองต้องยืนอยู่หน้าผู้คนมากมาย ทำเอาทุกคนหัวเราะ เอ็นดูเด็กชาย ยกเว้นซาซาโกะ ที่เอาแต่นั่งเขี่ยข้าวไปมาอย่างเหม่อลอย จนอริสารู้สึกแปลกใจ เธออุตส่าห์วางแผน ให้พี่สาวได้ไปพบกับชายหนุ่มที่แอบชอบ แต่ทำไมถึงได้มีผลกลับมาเป็นอย่างนี้ ซาซาโกะควรจะยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข อย่างที่คนมีความรักเขาเป็นกันสิ ถึงจะถูก
อริสาเก็บความสงสัยไว้ก่อน จนรับประทานอาหารกันเสร็จ ก็ช่วยฮิคารุซ้อมร้องเพลงอีกสองสามรอบ สักพักจึงปลีกตัวมาหาซาซาโกะ ที่กำลังปูที่นอนอยู่ในห้องนอน
“พี่ซาซาโกะ” อริสาเรียก
“หือ?” คนพี่ขานโดยไม่หันมามอง น้องสาวจึงเข้ามาทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ
“วันนี้เจอโกโร่ซังไหมค่ะ”
“เจอ”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง” เธอถามต่อ
“ก็..ไม่เป็นยังไงหนิ” พี่สาวตอบเสียงเรียบ
“หื๊อ? ไม่เป็นยังไงหรอ พูดอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่ๆเลย พี่ซาซาโกะเล่ามาให้หมดเลยนะ” อริสาดึงมือพี่สาว ที่ง้วนอยู่กับผ้าห่มมากุมไว้ทั้งสองข้าง
“โกโร่ซังหนะ...เขาคงมีคนรักแล้วหละ” พี่สาวถอนหายใจเบาๆ
“คนรักหรอ? เป็นไปได้ยังไง คนไหนกัน?....อย่าบอกนะว่าผู้หญิงสวยๆ ที่แต่งตัวทันสมัยหนะ” อริสาตั้งข้อสันนิษฐาน ว่าคนรักของครูหนุ่มที่ซาซาโกะกำลังพูดถึง น่าจะเป็นมาริซะ เพราะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ เธอก็นึกถึงใครไม่ออกแล้ว พี่สาวคนโตพยักหน้าน้อยๆ อย่างท้อใจ แค่เทียบกันที่ภายนอก ซาซาโกะคิดว่าเธอไม่มีอะไรสู้ผู้หญิงคนนั้นได้สักอย่าง
“ไม่ใช่หรอก ผู้หญิงคนนั้นหนะ ไม่ได้เป็นคนรักของโกโร่ซังสักหน่อย ฉันถามมาแล้ว” อริสาบอกเสียงหนักแน่น เรียกพี่สาวให้เงยหน้าขึ้นมามอง
“จริงหรอ??”
“อืม” คนน้องพยักหน้าย้ำอีกครั้ง ซาซาโกะเลยยิ้มแหยๆ แก้เขินที่คิดมากไปเองอยู่คนเดียว
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่ก็ไม่ควรวางใจนะ”
“หมายความว่ายังไงหนะ ฮิเดโกะ” คนพี่ไม่เข้าใจ
“พี่ควรบอกให้โกโร่ซังรู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับเขา”
“จะบ้าหรอ..ให้ทำแบบนั้น พี่ทำไม่ได้หรอก” ซาซาโกะก้มหน้างุด
“ถ้าไม่บอก แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงหละ ยิ่งบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เกิดวันดี คืนดี มีระเบิดลูกใหญ่หล่นมาจากฟ้า ถึงวันนั้นพี่อยากจะบอกเขา ก็ไม่มีโอกาสให้บอกแล้วนะ” อริสาพูดน้ำเสียงจริงจัง
กลางดึกทุกคนต่างหลับไหลกันหมดแล้ว เว้นแต่ซาซาโกะ ที่แอบจุดตะเกียง ออกมานั่ง ที่ห้องรับประทานอาหาร ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็ก เธอกำลังบรรจงปักลายดอกไม่ไว้ตรงมุมผ้า อย่างตั้งใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ