The Coven ชุมนุมแม่มด First Season
เขียนโดย LoosDim
วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.37 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) THE COVEN ชุมนุมแม่มด EPISODE 5: DEMON-GOD
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความเดิมจากตอนที่แล้ว ละมุดกับโมรีพบกันโดยบังเอิญ โมรีมีเรื่องที่จะให้ละมุดช่วยเลยตามสืบบ้านของละมุดจนไปเจอกันแต่ตอนนั้นละมุดไม่ว่างเลยไม่ได้คุยอะไรกัน และนี่คือทั้งหมดของ The Coven
...........กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว บนสวรรค์ชั้นล่างสุดซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่าเทพอสูรทั้งหลายและถูกปกครองโดยเหล่าราชันเทพอสูรทั้ง 13 ตน คือ เดทเฟียท์ รานี่ วอนด์ราล์ม โมโน่ แพสแอส แรสเนฟ คูมอน เมอร์ โมนาร์ช่า แซมแปน มอร์ทราห์ แมนนัวล์และซิลลุส ซึ่งซิลลุสเป็นมหาราชันของอสูรกายทั้งปวงและยังเป็นหัวหน้าของราชันอสูรทั้ง 12 ตน เขามีอำนาจมากมายและมีพลังเทียบเท่ากับอีฟ อสุรีผู้ให้กำเนิดอสูรกายทั้งหลาย ซิลลุสเป็นจอมอสูรที่หลงใหลในอำนาจและชอบการทำลายล้าง เขามีความสุขที่ได้เห็นมนุษย์ทั้งปวงตกอยู่บนความทุกข์ การทำลายล้างของเขาทำให้แผ่นดินในยุคนั้นถึงกาลวิบัติจนผู้วิเศษทุกคนต้องเดือดร้อน สวรรค์เบื้องบนต่างก็ไม่พอใจ เหล่าราชันอสูรทั้ง 12 ตนต่างก็พยายามจะห้ามเขาแต่ก็ทำไม่สำเร็จไม่มีอสูรตนไหนสามารถต่อกรกับซิลลุสได้เลย เขาแข็งแกร่งมาก มอร์ทราห์ซึ่งเป็นอสุรีแห่งความถูกต้อง นางต้องการล่มบัลลังก์ของซิลลุสแต่นางไม่สามารถสู้กับเขาได้นางเลยไปขอความร่วมมือจากแมนนัวล์ เขาเป็นตัวแทนของความมีอำนาจ
แมนนัวล์ที่ต้องการจะครอบครองบัลลังก์เลยยอมร่วมมือกับมอร์ทราห์กำจัดซิลลุสออกจากสวรรค์โดยมีเหล่าราชันอสูรอีก 10 ตนที่เหลือร่วมด้วย ทั้งหมดสามารถกำจัดซิลลุสได้สำเร็จ เขาพ่ายแพ้ถูกขับออกจากสวรรค์ มอร์ทราห์ส่งเขาลงไปที่ใต้พิภพและได้ทำการผนึกเขาไว้ตลอดกาล นางสั่งให้เดทเฟียท์ราชันเทพอสูรผู้ปกครองใต้พิภพเฝ้าเขาไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้ แมนนัวล์ก็ได้ครองบัลลังก์ของมหาราชันเทพอสูรตามสัญญาที่มอร์ทราห์ได้ให้ไว้ว่าถ้าเขายอมร่วมมือกำจัดซิลลุส เขาจะได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน ส่วนซิลลุสก็ถูกจองจำอยู่ในที่มืดมิดอันไร้ซึ่งแสงสว่างในใต้พิภพไปตลอดกาล...............
1500 ปีต่อมา ที่อ่าวเมนจางัน ประเทศอินโดนีเซีย เรือประมงหาปลาลำนึงที่กำลังแล่นเรือกลับเข้าฝั่ง พวกเขาทำอาชีพอย่างสุดจริต วันนี้พวกเขาแล่นเรือไปไกลเกินกว่าปกติพอตอนกลับมาก็พบว่ามันมืดเสียแล้ว ว่ากันว่าทะเลในยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบและน่ากลัวกว่าตอนกลางวันเสียอีก ชาวประมงชาวเรือทุกคนในอ่าวแห่งนี้รู้ดีถึงเรื่องเล่าตำนานของอ่าวพวกเขาหวาดหวั่นอยากจะรีบไปให้ถึงฝั่งไวๆและตอนนั้นเองก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในท้องทะเลน้ำทะเลเริ่มแปรปรวน เริ่มมีคลื่นซัดแรงขึ้นจากที่น้ำนิ่งสงบราวกับว่าพายุกำลังจะมาแต่มันไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น ท้องทะเลเริ่มมีน้ำวนทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางเรือไปได้ แล้วจู่ๆก็มีกลุ่มคลื่นขนาดยักษ์ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาตรงหน้าของพวกเขา ทุกคนบนเรือแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกแม้แต่กัปตันของเรือลำนี้ก็สติแตกเช่นกันและตอนนั้นเองคลื่นขนาดยักษ์นั่นก็แตกกระจายเป็นละอองน้ำมากมายเหมือนไข่ไก่ที่โดนทุบจนละเอียด
มีลำแสงสีน้ำเงินที่พุ่งออกมาจากคลื่นน้ำนั้น มันพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ผ่าไปตรงกลางหมู่เมฆบนท้องนภาเพียงไม่กี่วินาทีก็หายวับกับตาทำเอาทุกคนบนเรืออึ้งไปตามๆกันแต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น เพราะจู่ๆก็เกิดเสียงร้องอันทรมานของอะไรบางอย่างดังลั่นสนั่นไปทั่วท้องทะเลและน้ำทะเลก็เริ่มเปลี่ยนสีจากสีน้ำเงินเข้มก็กลายเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัดแม้จะในเวลากลางคืน พวกเขาเริ่มวิ่งไปดูที่ริมขอบเรือมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นและสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือเงาของสัตว์บางอย่างคล้ายกับงูยักษ์ขนาดใหญ่มโหฬารแหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลผ่านเรือของพวกเขาไป ดวงตาของมันเป็นสีเหลือง ลำตัวยาวและใหญ่ มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนราวกับว่าถูกทรมาน พวกคนบนเรือเริ่มสติแตกกรีดร้องลั่นวิ่งไปทั่วทั้งเรือ
ตัดมาที่หมู่บ้านต้นฝัก เมืองชาน เขตปกครองเมทาโพลิส ที่บ้านของละมุด
“สำหรับข่าวต่อไปนะคะ เป็นข่าวแจ้งคนหายคะ นาย กรินทร์ กฤตานนท์ อายุ 20 ปี มีคนพบเห็นครั้งสุดท้ายที่อ่าวพังงา เขตปกครองฮาวาลานซ์ค่ะ” ผู้ประกาศข่าวหญิงในรายการข่าว TV ช่วงเช้าที่ละมุดเปิดดูอยู่รายงานข่าว
“ครับ” ผู้ประกาศข่าวชายตอบรับ
“คือนายกรินทร์หรือน้องช้างเนี่ย ไปเที่ยวทะเลหลังสอบเสร็จกับเพื่อนๆแล้วก็หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพื่อนๆของน้องช้างก็ออกตามหาตัวไม่เจอ เลยโทรไปบอกที่บ้านปรากฏว่าน้องช้างก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ของนองช้างก็เริ่มเป็นห่วงเลยไปแจ้งความประกาศตามหาคนหายอ่าค่ะนี่ก็ 1 เดือนมาแล้วนะคะ ยังไม่เจอตัวเลย อื้ม” ผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานใบหน้าของชายคนนั้นก็โผล่ขึ้นมาบนจอ
“ก็ถ้าใครพบเห็นน้องช้างหรือว่านายกรินทร์นะครับ โทรมาที่เบอร์ 108-395-4802 หรือว่าโทรไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นะครับ โอเค ก็ฝากๆกันด้วยนะครับ” ผู้ประกาศข่าวชายแจ้งเบอร์ติดต่อกลับสำหรับผู้พบเห็น ขณะนั้นเองละมุดที่นั่งดูอยู่ก็กำลังทานข้าวเช้า เธอใส่เสื้อกล้ามสีดำ กระโปรงเอวสูงทรงเอสั้นมาก ถุงน่องตาข่ายสีดำ เสื้อคลุมสีน้ำเงินรูปทรงที่เก๋และทันสมัย ทำผมลอนแล้วเบี่ยงข้าง เธอแต่งเต็มมากเพราะวันนี้มีนัดกับชะเอมจะไปที่ชอคโกแลตวิลล์กันหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเธอก็รีบปิด TV เช็คอะไรต่างๆในบ้านแล้วก็ค่อยออกจากบ้านเธอเดินไปจนถึงช่วงที่ต้องเลี้ยวออกจากซอยย่อยของหมู่บ้านซึ่งต้องผ่านบ้านของรุจ ในละแวกนั้นมีแต่คนงานก่อสร้างที่ต้องมาซ่อมแซมความเสียหายของบ้านละแวกนั้น ที่หนักที่สุดคือบ้านของรุจเพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้บ้านของรุจพังยับเยินแล้วสิทธิ์ก็เดินเข้ามา เขาใส่โปโลสีเขียวเข้ม กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน รองเท้าแตะ
“ไงหมุด ไปไหนแต่เช้า เห้ย โอ้โห นี่จะแต่งไปไหนเนี่ย?” สิทธิ์เดินเข้ามาทักละมุดแต่ก็ต้องตะลึงกับการแต่งตัวของเธอ
“ไปที่ชอคโกแลตวิลล์อะ นัดไอเอมไว้” ละมุดตอบ เธอรู้สึกอายนิดๆ
“ถึงกับต้องแต่งขนาดนี้เลย มีถ่ายแบบเหรอ?” สิทธิ์ถามต่อ
“แบบบ้าอะไรล่ะชั้นนี่แบบไหนล่ะเนี่ย 555555 ไปกินข้าวเฉยๆ”
“แค่กินข้าว เยอะไปมั้ยเนี้ย?”
“เยอะเหรอ? จริงดิ?” ละมุดทำหน้ายิ้มเขินๆ
“ว่าแต่ว่าเรื่องเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่ใครอยู่บ้านเลยเนอะ ไม่คิดว่านักล่ามันจะมาแบบโจ่งแจ้งขนาดนั้น เสียดาย ถ้าเราอยู่นะจะอัดมันให้เละเลย” สิทธิ์พูดถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อน เขาทำโชว์เท่
“เหรออออ แกอัดพวกมันหรือว่ามันอัดแกกันแน่ คิดดูใหม่” ละมุดย้อน
“โห่ ไม่ไว้ใจกันเลยอะ เชื่อใจกันหน่อยดิ” สิทธิ์พยายามจะเล่นมุขแต่ละมุดก็แค่ยิ้มๆไม่ได้ตอบอะไร
“เออหมุดแล้วเรื่องเพื่อนหมุดคนนั้นอะ?” สิทธิ์ถามถึงใครบางคน
“คลอเบียตเหรอ ตอนนี้อยู่ในการควบคุมและดูแลของสภาอะเพราะว่าเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนเลยทำให้พวกผู้ใหญ่รู้เข้า ยัยออมก็โดนพ่อเฉ่งเละเรื่องที่บ้าน มันก็โดนหนักอยู่เหมือนกัน ส่วนไอดาวแม่รินก็สั่งห้ามออกไปไหนไม่เฝ้าบ้านก็ต้องไปร้าน ไอรุจก็อย่างที่เห็นโดนหนักสุดหลายกระทง 55555 เวหาได้ข่าวโดนที่บ้านด่าเฉยๆมั่ง ส่วนไอดินรายนี้ก็หนัก ดันไอรถลุงชัยที่จอดอยู่ข้างบ้านสิทธิ์อะมันเอาไปจอดทิ้งไว้ที่บริษัทที่ไปช่วยคลอเบียตกันอะแล้วไปเอาปอร์ตของใครไม่รู้มา คนเขาก็นึกว่าโดนขโมยรถ ตามหาตัวกันใหญ่ 555” ละมุดเม้าอย่างสนุก
“5555 ซวยไปตามๆกัน” สิทธิ์ก็ขำสนุกสนาน ขณะนั้นเองโทรศัพท์ของละมุดก็ดังขึ้นเธอหยิบขึ้นมาแล้วรับสาย
“ฮัลโหล เออว่าไง” ละมุดพูดกับปลายสายอย่างสนิทสนม
“เอ้าแล้วทำไงล่ะ.............ซะงั้นอะ โหแก ชั้นแต่งเต็มมาก เซ็งเบย............โอเคๆพรุ่งนี้ก็ได้ อะไรวะ เอมนะเอม.......งั้นพรุ่งนี้ละกัน.......โอเค บาย” ละมุดพูดกับปลายสายนั้นคือ ชะเอมเหมือนว่าจะมีเรื่องติดขัด
“มีอะไรกันเหรอ?” สิทธิ์เห็นสีหน้าละมุดดูเซ็งๆเลยถามด้วยความสงสัย
“ก็ไอเอมอะดิ ต้องไปธุระกับพ่อวันนี้ มันเลยโทรมาขอเลื่อนไปพรุ่งนี้ แล้วดูเราดิ เราแต่งเต็มมากเซ็งเลยอะ” ละมุดบ่นด้วยความผิดหวัง
“55555555555555” สิทธิ์ขำกระจาย
“ขำไร? ตลกมากเหรอ?” ละมุดเริ่มพาล
“ป่าวๆ 555 โอเคไม่ขำก็ได้ แต่...55555” สิทธิ์หยุดขำไม่ได้
“โอ๊ยยยย” ละมุดทำหน้าเหวี่ยงๆปนเขินอาย
“ก็นะ แต่งมาซะเต็ม 555 เอาน่าๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้หมุดก็แต่งใหม่ไง ไม่เป็นไรหรอก 55” สิทธิ์ถากถาง
“ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่แต่งแล้ว”
“เออพรุ่งนี้เราไปด้วยดิ พอดีมันว่างอะ”
“ไม่!! อยากไปก็ไปกับน้องวาโยของแกสิ ยุ่ง” ละมุดประชดประชัน
“เอ่อ......ไม่เอาอะ เราอยากไปกับแก” สิทธิ์แสยะยิ้ม
“ตามใจ อยากไปก็ไป แต่ตอนเนี้ย ชั้นแต่งมาแล้วอะ ไอเอมนะไอเอม”
“เอาน่า อย่าบ่น เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปเป็นเพื่อน”
“ยิ่งโคตรน่าบ่นเลย”
“ว่าแต่ว่าเราจะไปในฐานะอะไรกันดีอะ เพื่อนสนิทหรือว่าคนเคยรักกัน” สิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลงเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ละมุดแล้วหยักคิ้ว
“ไม่เอาสักอย่าง” ละมุดทำหันหน้าหนี เธอเริ่มเขินนิดๆ
“ไม่เอาละ เราว่าไปในฐานะคนรักกันดีกว่า นะครับ ที่รัก” สิทธิ์หยอดต่อ
“จ้า ที่รักเหรอออออ” ละมุดหันแล้วหยิกหัวนมของสิทธิ์
“โอ๊ยยยยย หยิกหัวนมทำไมเนี่ย ยัยหื่น” สิทธิ์โวยวาย
“ช่วยไม่ได้ แบร่” ละมุดเยาะเย้ยแล้วเดินกลับเข้าบ้าน สิทธิ์ได้แต่ยืนยิ้มสายตาของเขาไม่อาจละไปมองที่อื่นใดได้นอกจากหญิงสาวที่แต่งตัวเวอร์กำลังเดินเข้าบ้าน
ตัดมาที่เมืองหลวง เขตปกครองเมทาโพลิส ที่ป้ายรถเมล์หน้ากองฉลาก หญิงสาวหน้าตาสละสลวยกำลังยืนรอรถเมล์อยู่นั้น เธอใส่เสื้อฮู้ดสีขาว กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบสีแดง เธอคือโมรีหญิงสาวที่เจอกับละมุดโดยบังเอิญ ในขณะที่โมรีรอรถเมล์อยู่นั้นเธอได้หันไปเห็นผู้ชายคนนึงกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอเธอตกใจมาก
“เจอตัวซะที” ผู้ชายคนนั้นคือช้าง บุคคลในข่าวที่ออกประกาศตามหาตัวเขาทำท่าเหมือนรู้จักกับโมรี เธอตกใจมากเมื่อเห็นหน้าเขา แล้วจู่ๆช้างก็ยื่นมือไปข้างหน้าเกิดลำแสงพลังงานสีน้ำเงินยิงกระแทกใส่โมรีเข้าอย่างจัง เธอกระเด็นไปกระแทกกับบันไดหน้ากองสลากทำเอาผู้คนแถวนั้นเริ่มแตกตื่นกันไปหมด ช้างไม่รอช้า เขาพุ่งตรงเข้าไปหาเธอ โมรีตั้งตัวได้ เธอยื่นมือไปที่ถังขยะแล้วจู่ๆก็เกิดละอองสีทองจากมือของเธอพุ่งไปที่ถังขยะละอองสีทองนั้นครอบคลุมไปทั่วถังขยะ โมรีควบคุมถังขยะนั้นด้วยละอองสีทองให้ปลิวไปกระแทกใส่ช้าง เขาเอามือป้องไว้การกระแทกของขังขยะนั้นไม่สะทกสะท้านเขาเลยสักนิด เขายื่นมือออกไปที่โมรีอีกครั้งแล้วยิงลำแสงสีน้ำเงินใส่เธอ เธอใช้ละอองสีทองนั่นทำให้ตัวเองบินได้ เธอบินหลบลำแสงทำลายล้างทำให้ลำแสงนั้นพุ่งใส่บันไดเกิดการระเบิดเสียงดังสนั่นลั่น ไฟไหม้ โมรีที่เหาะอยู่กลางอากาศด้วยละอองสีทองของเธอเริ่มคิดที่จะโต้ตอบ จริงๆแล้วความสามารถของเธอถูกเรียกว่า ละอองนางฟ้า เป็นเวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์ภูติจิ๋ว
เธอพุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกับสาดกระสุนละอองนางฟ้าใส่ไม่ยั้ง ช้างเอามือป้องไว้ เขาสร้างสนามพลังกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวรั้งตัวเธอแล้วดึงตัวเธอเข้าไปใกล้โมรีเสียท่าเธอถูกช้างจับแขนทั้งสองข้าง เขาปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตไปที่เธอ เธอร้องด้วยความเจ็บปวดและขยับตัวไม่ได้เขาควบคุมสนามพลังที่กางอยู่ให้มันบีบตัวแล้วดีดออกจนทำให้โมรีที่ได้รับผลกระทบของพลังกระเด็นไปด้วยเขาไม่จบแค่นั้น เขาจับขาของโมรีไว้แล้วเหวี่ยงตัวเธอกระเด็นไปกลางถนนจนทำให้เธอหัวแตก รถลาบนทองถนนต่างก็ต้องแบรกกะทันหันทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนท้ายติดกันมากมาย ช้างไม่รอช้า เขาดึงพลังลำแสงทำลายล้างออกมาอีกครั้งเตรียมที่จะยิงใส่โมรี เธอรู้คงสู้ไม่ได้เลยใช้ละอองนางฟ้าเทเลพอร์ตหายตัวไป ช้างโมโหมาก เขาไม่สามารถจัดการกับเธอได้จึงอาละวาดยิงลำแสงใส่กองสลากถล่มกองสลากลงภายในพริบตาแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เช้าอีกวันนึงที่หมู่บ้านต้นฝัก บ้านของละมุด เธอนั่งทานข้าวเช้าเหมือนเคยพร้อมกับเปิด TV ดูข่าววันนี้ เธอใส่เสื้อยืดคอกว้างสีดำเอวลอยกับกระโปรงเองสูงทรงเอสีดำตัวนี้ยาวกว่าตัวเมื่อวานหน่อย
“มากันที่ข่าวการก่อการร้ายนะคะ ที่เมืองหลวง เขตปกครองเมทาโพลิสของเรานี่เอง ตรงกองสลากอ่าค่ะ” ผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานข่าวเรื่องเมื่อวาน
“ครับ” ผู้ประกาศข่าวชายขานรับ
“มีพ่อมดคนนึงนะค่ะ ใช้พลังลำแสงทำลายล้างสีน้ำเงิน ยิงใส่ตึกกองสลากจนถล่มอ่าค่ะ ทำให้การจราจรแถวนั้นติดขัด เกิดอุบัติเหตุทางจราจร มีผู้เสียชีวิตทั้งในตึกและบริเวณรอบๆนะคะ รวมทั้งหมด 40 ราย บาทเจ็บ 4 รายค่ะ” ผู้ประกาศข่าวหญิงรายงาน
“ครับซึ่งพ่อมดคนดั่งกล่าวมีรูปพันสัณฐานตรงกับนาย กรินทร์ กฤตานนท์ หรือน้องช้างที่ประกาศตามหาตัวเมื่อวานนี้เองนะครับ ในส่วนของพยายามผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้บอกว่าทีแรกเขาไม่ได้จงใจมาถล่มกองสลาก” ผู้ประกาศข่าวชายพูดถึงช้าง
“ค่ะ” ผู้ประกาศข่าวหญิงขานรับ
“เขาบอกว่าคือหมายถึงพยานอ่านะครับ ว่ามีแม่มดผู้หญิงคนนึงถูกน้องช้างหรือนายช้างเนี่ยทำร้ายร่างกายจนเกิดการต่อสู้กัน แล้วแม่มดคนนั้นได้หายตัวไป จากนั้นนายช้างก็หันมาถล่มกองสลากแทน โอ้น่ากลัวจริงๆ” ผู้ประกาศข่าวชายรายงาน
“แหม คนเราสมัยนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยนะคะ หายตัวไปเดือนนึงพอโผล่มาก็ก่อการร้ายซะอย่างนั้น” ผู้ประกาศข่าวหญิงพูดเสริม
“อื้ม ตอนนี้นะครับ ทางสภาผู้วิเศษและตำรวจได้ออกหมายจับ.............................” ผู้ประกาศข่าวชายรายงานต่อ ตอนนั้นเองสิทธิ์ก็เดินเข้ามาข้างหลังของละมุดเอามือเท้าเก้าอี้ยืนคร่อมหัวละมุด เขาใส่เสื้อยืดคอกลมสีแดงเลือดหมูตัดกับเขียวขี้ม้ากางเองยีนส์เดฟสีดำ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? หมุด” สิทธิ์ถามขึ้นทำเอาละมุดตกใจ เธอไม่รู้ว่าสิทธิ์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ก็ไอนายเนี่ย ที่เป็นข่าวอะเมื่อวานเขาออกข่าวประกาศตามหาตัวนายเนี่ยเพราะหายตัวไป 1 เดือนนึงพ่อแม่เขาก็เลยประกาศตามหาผ่านสื่อ แต่พอวันนี้กลับก่อการร้ายซะงั้น เนี่ยดูดิ ถล่มกองสลากซะ คนตายตั้ง 40 คนแหน่ะ” ระหว่างที่ละมุดเล่าให้สิทธิ์ฟัง เขาก็ก้มหน้าลงมาเรื่อยมาที่ข้างแก้มของละมุดแต่เธอไม่รู้ตัว
“จริงดิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตกใจแต่สายตากลับมองไปที่เธอ จมูกของเขาแทบจะไปชนกับแก้มของละมุด
“ก็จริ.....................หื้มมมมม” เธอกำลังพูดต่อ หันมาเจอเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของสิทธิ์ที่แทบจะประชิดที่ใบหน้าก็เธอ หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นแต่เธอก็ดึงอารมณ์มาทันแล้วผลักหน้าของสิทธิ์ออก
“โอ๊ยยย 555 แค่นี้ต้องผลักด้วยเหรอ?” สิทธิ์ทำเป็นแกล้งเจ็บ
“ไปนั่งตรงนู้นเลย ไป” ละมุดไล่ให้สิทธิ์ไปนั่งตรงโซฟา เขาก็เดินไปนั่ง
“แล้วชะเอมล่ะ จะไปเจอกันที่ไหน?” สิทธิ์ตามถึงชะเอม
“ก็เจอกันที่นี่ล่ะ นัดให้มันมาเจอบ้านเรา เราจะได้ไม่ออกเก้ออีก” ละมุดพูดไปทานข้าวไป
“อ่อๆ แล้ววันนี้ไม่แต่งเต็มแล้วเหรอจ๊ะ” สิทธิ์ดึงกลับมาเรื่องชุดเมื่อวาน
“หึ พอเถอะ วันนี้จะไปชุดนี้ล่ะ ไม่เอาแล้ว” ละมุดพูดไปพร้อมกับเดินไปเก็บจานที่ห้องครัว
“55555 เราว่าหมุดใส่ถุงน่องเมื่อวานก็เซ็กซี่ดีนะ” ระหว่างที่ละมุดกำลังเดินมานั่งที่เก้าอี้สิทธิ์ก็พูดแซวถึงถุงน่องตาข่ายเมื่อวาน
“พอเลย เดี๋ยวแม่เอาฟันออกสักซี่ดีมั้ย?” ละมุดทำขู่
“โห โหดจัง”
“หมุด หมุดโว๊ยย” ชะเอมมาถึงแล้ว เธอตะโกนเรียกละมุดที่หน้าบ้าน วันเธอใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงชีฟองสั้นสีดำมีระบายกับรองเท้าคัทชูสีส้ม
“อ่าว เอมมาแล้วไปกันเถอะ” ละมุดเห็นว่าชะเอมมาแล้วเลยไม่รอช้าหยิบกระเป๋าใส่รองเท้าเตรียมตัวออกจากบ้าน สิทธิ์ก็เช่นกัน
“อ่าว สิทธิ์” ชะเอมเอ่ยทักทายสิทธิ์
“หวัดดี ชะเอม” สิทธิ์ทักทายกลับ
“อิจฉาจัง เขาไปเป็นคู่เนี่ย งั้นชั้นก็เดินคนเดียวสินะ” ชะเอมพูดแซวละมุด
“คู่บ้าอะไร เพ้อเจ้อ” ละมุดตอบกลับ
“อ่าว งั้นเรามา เธอ ฉันและเขา เรา 3 คนก็ได้ ชั้นโอเค” ชะเอมเดินไปควงแขนสิทธิ์ทันทีแกล้งละมุดเล่น
“เชิญแก 2 คนเถอะค่ะ ชั้นยอมเดินคนเดียวก็ได้” ละมุดพูดขึ้น
“งั้นชั้นขอสิทธิ์วันนึงนะ ไปกันเถอะสิทธิ์” ชะเอมได้ทีก็เล่นใหญ่ สิทธิ์ก็รวมด้วยช่วยกันเล่นตาม
“ได้เลยจ่ะ ที่รัก” เขาหยิกคางของชะเอม เขาเล่นตาม
“อุ้ย เขินจัง 5555 อยากมีแฟนแบบนี้บ้าง นี่ชั้นเริ่มใจละลายจริงๆแล้วนะเนี้ย 5555” ชะเอมเล่นกับสิทธิ์กันสนุกสนาน ทั้ง 2 คนเดินไปก่อน
“จะบ้าตาย” ละมุดขำเล็กๆ
“ซี กลมทรุม เซร่า” เธอร่ายคาถาล็อคกุญแจหน้าบ้านแล้วเดินตามทั้ง 2 คนไป
ตัดมาที่ 4 แยกบ้านแขก เมืองสคูล เขตปกครองเมทาโพลิส โมรีที่หนีรอดจากการตามล่าของช้าง เธอกำลังเดินอยู่ริมถนน เธอใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์เอวสูง รองเท้าผ้าใบ ทุกย่างก้าวของเธอตอนนี้มีแต่ความอันตราย เธอมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลาแต่สุดท้ายเธอก็ไม่พ้น ช้างโผล่มาจากไหนไม่รู้เข้ามาที่หลังเธอจับไหล่เธอไว้ เธอตกใจหันไปหาเขาแล้วสาดละอองนางฟ้าใส่ที่ใบหน้าของช้าง เขาแสบตาจนต้องปล่อยมือ โมรีได้จังหวะเลยวิ่งหนีสุดชีวิต ช้างตั้งตัวได้ เขาตามไล่ล่าเธอพร้อมกับสาดสำแสงทำลายล้างไปทั่วเธอทั้งวิ่งทั้งหลบลำแสงของช้างทำเอาผู้คนแถวนั้นตกใจกันไปหมด โมรีวิ่งไปชนกับตังเตที่กำลังเดินอยู่พอดี เธอใส่เสื้อแขนขาวคอกลมสีเทาลายการ์ตูนกับกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ตังเตตกใจนิดๆ
“ช่วยด้วยค่ะ” โมรีสัมผัสได้ว่าตังเตเป็นแม่มด เธอจึงขอความช่วยเหลือแต่ตังเตยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ขณะนั้นเองช้างก็ตามโมรีจนทัน
“หลบไป!!!!” เขาตะคอกใส่ตังเตทำให้เธอโมโห เธอจึงทำให้พื้นดินตรงเท้าของช้างแตกจนเป็นหลุมเขาตกลงไปแล้วถูกพื้นดินพันธนาการขาทั้ง 2 ไว้ นั้นคือความสามารถของตังเต เธอสามารถควบคุมธาตุดินได้ เธอคิดว่าสามารถจับเขาไว้ได้แต่เธอคิดผิด ช้างหลุดออกมาจากพันธนาการนั้นอย่างง่ายดาย เขาฟาดกระแสไฟฟ้าใส่ตังเตและโมรีจนทั้งสองคนกระเด็นไปกลางถนน เขาใช้กระแสไฟฟ้าช็อตไปที่รถยนต์ทุกคันจนจอดนิ่งสนิททำให้รถวิ่งมาไม่ได้ ผู้คนเริ่มตื่นตระหนก เกิดที่โล่งกว้างกลางถนน โมรีไม่รอช้าเธอลุกขึ้นแล้วใช้ละอองนางฟ้าสีทองของเธอ ทำให้เธอเหาะขึ้นกลางอากาศ เธอกระหน่ำสาดละอองนางฟ้าใส่ช้างอย่างไม่ยั้งจนเขาต้องนั่งคุกเข่าลง เมื่อโมรีเข้าใกล้ตัวช้างขึ้นเรื่อยๆ เขาใช้โอกาสนี้เตะเธอจนล้มลงกับพื้น เขาลุกขึ้น เธอม้วนตัวถีบไปที่ใบหน้าของจนเขากระเด็น เขาหันมาฟาดกระแสไฟฟ้าใส่เธอจนเธอกระเด็น แล้วเขาก็ชูมือขึ้นบนฟ้าท้องฟ้าเริ่มแปรปรวนเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมากมาย มันผ่าลงมาที่เขา ช้างดูดซับกระแสไฟฟ้าพวกนั้นได้สบายๆโดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
เขาเริ่มใช้พลังสร้างลำแสงทำลายล้างขึ้นที่มือยิงใส่โมรี ลำแสงอนุภาพรุนแรงขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ เธอคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่แล้ว ตอนนั้นเองแผ่นถนนข้างหน้าตัวเธอก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงต้านลำแสงของเขาไว้ซึ่งคนที่ทำมันได้ก็คือตังเตนั้นเอง เธอใช้พลังควบคุมธาตุดินสร้างกำแพงดินขึ้นมา ช้างรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังลองดีกับเขาอยู่ ตังเตเดินไปข้างหน้าเผชิญหน้ากับช้าง ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเลนถนนทั้งสองฝั่ง ตังเตไม่รอช้า เธอดึงพลังออกมาแล้วระเบิดมันใส่ช้าง พื้นดินมากมายเริ่มแตกเป็นส่วนๆพุ่งเข้าหาตัวช้างมันก่อตัวเป็นเหมือนก้อนหินเล็กๆค่อยๆเกาะไปตามร่างกายของเขาจนกลายเป็นคุกพันธนาการขังเขาไว้ เขาก็สะบันหลุดออกได้เหมือนเดิม เขาสร้างลำแสงทำลายล้างสีน้ำเงินยิงใส่เธอ
“ลอเรม มิบซุม โดเลอร์ ซิท ตรามาตุส!” ตังเตร่ายคาถาสร้างโล่ป้องกันแต่โล่ของเธอไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านลำแสงของช้างได้ เธอสะบัดมันออกลำแสงเกิดการหักเหเบี่ยงไปยิงใส่แนวตึกแถวนั้นจนเกิดไฟไหม้บ้านเรือนแถวนั้นพังทลายหมด ตังเตได้โอกาสโต้กลับ เธอทำให้พื้นดินก่อตัวคล้ายกับเชือกหลายเส้นพวกมันขดเลื้อยไปมาเหมือนกับงู เธอบังคับให้มันพุ่งเข้าใส่ช้างเชือกดินพวกนั้นเป็นเหมือนกระสุนพุ่งกระแทกใส่ช้างอย่างไม่ยั้งจนเขาโมโหระเบิดกระแสไฟฟ้าโต้กลับใส่ตังเตจนเธอกระเด็น เธอดึงพลังธาตุดินก่อตัวเป็นหิน 4 ก้อนเข้าประกบไปที่แขนและขาทั้ง 2 ข้างของเขา
“ดิสปูตาทีโอ” เธอร่ายคาถาเสร็จจากนั้นก้อนหินทั้ง 4 ก็เข้าพันธนาการเขาอีกครั้งจนเขาขยับไปไหนไม่ได้ มนต์พันธนาการนี้มันแข็งแกร่งกว่าพละกำลังของเขา ตังเตเธอกำลังคิดว่าเธอชนะแล้วแต่เธอคิดผิด ช้างไม่ยอมแพ้ เขาสร้างสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่มากจนดูดทุกอย่างที่มีผลต่อแม่เหล็กเข้ามาหาตัวของเขา สนามพลังไฟฟ้าพุ่งเข้าช็อตที่ตังเตพันธนาการตัวเธอไว้ เขาเอาคืนเธอ สนามพลังของช้างค่อยๆดูดเธอเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สามารถดิ้นหนีได้ เขาแข็งแกร่งมาก เธอจึงเพ่งจิตพยามควบคุมดินให้ก่อตัวเป็นกำแพงปกป้องเธอไว้แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เมื่อเธอเข้าใครตัวเขา
“เจ้ามันแส่หาเรื่อง นังแม่มดน้อย เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถต่อกรกับข้าได้อย่างงั้นเหรอ!!” น้ำเสียงของช้างดูแปลกๆเหมือนกับเสียงซ้อน สิ้นเสียงของเขา ช้างดึงสนามพลังทั้งหมดกลับมาทั้งหมดแล้วรวมมันเป็นกระแสพลังงานสีน้ำเงินก่อตัวเป็นลำแสงทำลายล้างจากนั้นระเบิดยิงใส่เธอเต็มๆ ตังเตรับพลังมหาศาลที่ช้างส่งให้แรงปะทะทำให้เธอกระเด็นไปอีกฟากถึงของถนน เธอถึงกับกระอักเลือด ถ้าไม่ได้โล่ที่เธอสร้างช่วยกันไว้เธอคงตายไปแล้ว เขาหลุดจากมนต์พันธนาการของเธอ ตังเตลุกขึ้นไม่ไหว เธอพยายามจะขยับตัวหนีแต่กลับไร้ซึ้งเรี่ยวแรง ช้างกำลังเดินเข้ามาหาเธอและตอนนั้นเองโมรีที่บินอยู่บนฟ้า เธอสาดละอองนางฟ้าสีทองมากมายเข้าใส่ตัวเขาจนร่างกายของเขาเริ่มมีอาการชาขยับตัวไม่ได้ ความพิเศษอีกอย่างนึงของละอองนางฟ้าก็คือ มันสามารถทำให้เกิดอาการชาเมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามเตะต้องละออง แล้วเธอก็บินไปหาตังเตโมรีพยุงตัวเธอขึ้นมา
“นึกถึงที่ๆคุณจะไปนะ” โมรีหันไปพูดกับตังเตจากนั้นทั้งสองคนก็เทเลพอร์ตหายตัวไปด้วยละอองนางฟ้าของโมรี เมื่อฤทธิ์ของละอองนางฟ้าในตัวของช้างหมดลง เขาโมโหมาก ในตอนนั้นเองคนของสภาผู้วิเศษและเจ้าหน้าตำรวจมากมายต่างก็เข้าล้อมตัวเขาไว้
“อย่าขยับ ยอมมอบตัวซะดีๆ” นายตำรวจคนนึงพูดขึ้น
“55555555555555555” ช้างขำแบบไม่สนใจใคร เขากางมือทั้งสองออกแล้วจากนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าเริ่มมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเต็มไปหมด เขาดึงพลังธาตุสายฟ้าลงมาสถิตที่ตัวเขา สายฟ้าผ่าลงมารอบๆตัวเขาเต็มไปหมด เขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวด้วยสายฟ้า ไม่มีอะไรมาขวางเขาได้เลย
ตัดมาที่หมู่บ้านกัลยาณ์ เมืองสคูล บ้านของโบ๊ท ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุเท่าไหร่ โมรีและตังเตหายตัวมาโผล่ที่ลานหลังบ้านของเขาหน้าห้องของโบ๊ท เขาได้ยินเสียงแปลกๆจึงเดินไปดู เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีน้ำเงิน ปรากฏว่าคือโมรีที่กำลังพยุงตัวตังเตไว้อยู่ เขาไม่รู้จักกับโมรีเลยรู้สึกงงๆแต่เอาเห็นสภาพของเพื่อนรักของเขา เขาถึงกับตกใจทันที
“โบ๊ท” ตังเตพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีเรี่ยวแรง เขาตกใจมากรีบวิ่งเข้าไปพยุงตัวตังเตมานอนที่เตียงเขา เธอนอนสลบไป
“ไปโดนอะไรมา?” เขาถามตังเต
“เธอโดนลำแสงมหาศาลยิงใส่อะ ชั้นขอโทษ ชั้นช่วยเธอไม่ทัน” โมรีพูดแทน เธอเสียใจที่มีคนมาบาดเจ็บเพราะเธอ
“แล้วคุณเป็นใคร?!!” โบ๊ทหันไปถามโมรีด้วยน้ำเสียงแข็ง
“ตอนนี้อย่าเพิ่งถาม ช่วยเพื่อนนายก่อน” โมรีตอบปัดไปเธอสะบัดข้อมือเบาๆจากนั้นละอองนางฟ้าสีทองก็กระจายออกมามันซึมเข้าไปในร่างของตังเต ความพิเศษอีกอย่างนึงของละอองนางฟ้าก็คือมันสามารถรักษาบาดแผลและฟื้นฟูร่างกายได้
“เพื่อนนายปลอดภัยแล้วล่ะ” โมรีหันไปบอกกับโบ๊ท
“แล้วสรุปจะบอกได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร รู้จักกับเต็งได้ยังไง?” โบ๊ทเข้าคำถามเดิม
“ชั้นชื่อโมรี ชั้นไม่รู้จักอะไรกับเพื่อนของนายหรอก แต่เธอเป็นคนช่วยชีวิตชั้นไว้” โมรีตอบไป
“ห๊ะ?” โบ๊ทงง
“โอ๊ยย” ตอนนั้นเองตังเตก็ฟื้นขึ้น เธอมึนหัวและก็ปวดตามร่างกาย
“ค่อยๆ” โบ๊ทเข้าไปพยุงตัวตังเตขึ้นมานั่งพิงกับกำแพง เตียงของโบ๊ทชิดติดกับกำแพง
“พลังของหมอนั้นรุนแรงชิบหายโอ๊ย” ตังเตฟื้นขึ้นมาก็บ่นเลย
“แล้วสรุปมันเกิดอะไรขึ้น? มีใครจะเล่าอะไรมั้ย?” โบ๊ทถาม
“นั้นสิ ทำไมมันถึงตามล่าเธอ เธอ........?” ตังเตนึกชื่อของโมรีไม่ออก
“โมรี ชั้นชื่อว่าโมรี หมอนั้นต้องการที่จะฆ่าชั้น ขอโทษนะที่เธอต้องมาเจ็บตัวแทน” โมรีรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นชื่อตังเตนะ นี่เพื่อนสนิทชั้นชื่อโบ๊ท แล้วนายนั้นมันเป็นใคร?” ตังเตแนะนำตัว เธอถามต่อ
“อ่าวเธอสองคนไม่ได้เป็น.............” โมรีเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง
“เป็น?” โบ๊ทกับตังเตพูดพร้อมกัน
“ก็นะ ชั้นก็หมายถึงเป็นแบบ........แบบที่ชายกับหญิ...” โมรีไม่กล้าพูดตรงๆ
“เป็นแฟนอะเหรอ? 5555555555” โบ๊ทขำ
“เห้ย!! ไม่ใช่ เป็นเพื่อนสนิท เพื่อนสนิท!” ตังเตถึงกับตกใจ
“เข้าเรื่องเถอะ ตกลงหมอนั้นมันเป็นใคร?” ตังเตดึงกลับ
“โอเค พวกเธอหมายถึงเจ้าของร่างหรือคนอาศัยร่างล่ะ?” โมรีพูดกำกวม
“คืออะไรเจ้าของร่างกับผู้อาศัย อะไร พูดจาให้มันเข้าใจง่ายๆได้มั้ย?” โบ๊ทงงเข้าไปอีก
“ถ้าเจ้าของร่าง เขาชื่อช้างที่เป็นข่าวว่าหายตัวไปเดือนนึงอะแต่ถ้าคนที่จ้องทำร้ายชั้นและก็เธอเขาชื่อซิลลุส เป็นมหาราชันจอมอสูร เขาแกร่งมาก พ่อมดแม่มดแบบเราไม่มีทางสู้ได้หรอก” โมรีอธิบายไป
“ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่เลย ช่วยอธิบายให้มันละเอียดกว่านี้ได้มั้ย?” โบ๊ททั้งงงและมึน
“เคยได้ยินเรื่องจอมอสูรมั้ย? ซิลลุสเขาคือมาหาราชันของจอมอสูรทั้ง 12 ตน ที่อาศัยอยู่บนสวรรค์เขามีอำนาจสูงสุดแต่เขาบ้าคลั่งและชอบในการทำลายล้างจนทำให้จอมอสูรนางนึงไม่พอใจ เธอชื่อว่ามอร์ทราห์ เธอพยายามขัดขวางซิลลุสแต่ทำไม่สำเร็จ เธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากแมนนัวล์และจอมอสูรคนอื่นๆที่เหลือ ทุกตนร่วมมือกันปราบซิลลุสและในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ เขาถูกขับออกจากสวรรค์ถูกล้มล้มบัลลังก์ เขาถูกผนึกอยู่ใต้พิภพแถวทะเลอินโดนีเซียโดยฝีมือของมอร์ทราห์ นางจองจำเขาไว้จนกระทั่งเมื่อ 1 เดือนก่อน เขาหลุดออกจากมนต์ผนึกของมอร์ทราห์ได้ในที่สุด ส่วนนายช้างเนี่ยเท่าที่ชั้นรู้มาคือเขาไปเที่ยวทะเลที่อ่าวพังงาหลังสอบเสร็จกับเพื่อนๆของเขาและตอนนั้นเองซิลลุสก็โผล่มาเขาไม่สามารถปรากฏกายในรูปกายเนื้อได้ เขาต้องการร่างทรงและซึ่งตอนนั้นช้างก็เหมาะสมที่สุดซิลลุสล่อลวงให้ช้างเชื่อใจยอมตรงลง เขาเสแสร้งว่าคือองค์เทพแห่งสรวงสวรรค์บอกว่ามาเพื่อช่วยช้างเพื่อมอบพลังและความแข็งแกร่งให้กับเขาหากช้างยอมตกลง เขาจะทำให้ช้างกลายเป็นพ่อมดที่ไร้เทียมทาน ด้วยความที่เขาไม่คิดอะไร ช้างจึงยอมตกลงอย่างง่ายดาย เขายอมเป็นร่างสถิตของซิลลุสและในที่สุดซิลลุสก็มีร่างเป็นของตนเองสมใจ” โมรีอธิบายความเป็นมา
“เทพเจ้าเหรอ? บ้าไปแล้ว” ตังเตถึงกับอึ้ง
“โอเคชั้นพอรู้ที่มาที่ไปล่ะ แต่ชั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมดมันไปเกี่ยวอะไรกับเธอ” โบ๊ทยังคงสงสัยอยู่
“ก็เพราะว่าชั้นถูกเลือกให้เป็นร่างสถิตของมอร์ทราห์น่ะสิ มอร์ทราห์รู้ว่าซิลลุสหลุดออกมาได้ เธอจึงรีบหาร่างสถิตเพื่อที่จะลงมาจัดการกับซิลลุส ในขณะที่พละกำลังเขายังไม่ฟื้นฟู แล้วเธอก็เจอชั้นแต่ตอนนี้ร่างกายของชั้นยังไม่พร้อม เธอบอกว่าชั้นเหมาะสมที่สุดแต่ยังมีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถลงมาสถิตที่ร่างชั้นได้ หลังจากที่ชั้นยอมตกลง ซิลลุสรู้ว่ามอร์ทราห์จะลงมา เขาออกตามหาชั้นเพื่อที่จะได้ฆ่าชั้นทิ้งซะ เขาจะไม่ยอมให้มอร์ทราห์ลงมาเด็ดขาด ชั้นต้องหนีออกจากบ้านห่างจากครอบครัวเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เขาตามล่าชั้นไม่หยุด ชั้นอยู่ที่ไหนไม่ได้นาน” โมรีเฉลยเรื่องทุกอย่าง
“นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ” ตังเตอึ้ง
“ชั้นว่าเราควรไปหาสภาผู้วิเศษนะ พวกเขาต้องช่วยได้แน่นอน” โบ๊ทเสนอ
“ไม่มีประโยชน์ ชั้นยื่นเรื่องไปที่สภาใหญ่แต่กลับไม่มีใครสนใจ ทุกคนคิดว่าชั้นงมงาย” โมรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
“ทำไมกันล่ะ?” ตังเตสงสัย
“เพราะว่าเรื่องของราชันเทพอสูรมันเป็นตำนานเมื่อ1500 ปีก่อน ไม่ใครรู้ว่ามันมีจริงมั้ย พวกเขาลงมติว่าเรื่องของชั้นมันเชื่อถือไม่ได้แล้วเรื่องก็เงียบไป” โมรีอธิบาย
“แล้วเธอคิดว่าเขาจะหาพวกเราเจอมั้ย?” ตังเตเริ่มกังวล
“ก็คงเจอล่ะมั่ง ชั้นไม่เคยหนีเขาพ้น อีกไม่นานเขาก็จะมาที่นี่ มาตามล่าชั้น” โมรีพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเช่นกัน
“งั้นเธอก็ควรรีบไปซะ พวกเราช่วยเธอไม่ได้หรอก เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป” โบ๊ทไล่ให้โมรีออกไป
“เห้ย ไอโบ๊ท ทำไมนายพูดแบบนี้วะ?” ตังเตขึ้นเสียง
“มึงลองคิดดูนะ เต็ง ถ้าไอซิลลงซิ่วอะไรนั้นตามมาแล้วมันจะเป็นยังไง กูมีครอบครัว มีพวกป้าๆน้าๆที่ต้องคอยดูแล พวกเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย แล้วถ้ามันบุกมาพังบ้านกูล่ะ ใครจะรับผิดชอบ เราไม่ได้ว่านะแต่ตัวเธอเองยังต้องหนีเลย แล้วพวกเราล่ะ คิดดู” โบ๊ทจัดยาว
“ถูกของนายนะ เราว่าเราไปดีกว่าขืนอยู่ไปจะทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน” โมรีพูดด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง
“ไม่! เธอไม่ต้องไปทั้งนั้น โมรี เราสองคนจะช่วยเธอเอง!” ตังเตยืนกรานเสียงแข็ง
“เห้ย ไอเต็ง พูดอะไรออกไปรู้มั่งป่ะเนี่ย?!” โบ๊ทหันไปขึ้นเสียงใส่ตังเต
“มึงเงียบปากไปเลย ไอโบ๊ท ทำตัวให้มันเป็นลูกผู้ชายหน่อย โมรี เธอบอกเรามาว่าเราต้องทำอะไร?” ตังเตหันไปตอกหน้าโบ๊ท
“ถ้าพวกเราคิดสู้คงไม่ไหวแน่ๆ ชั้นจะไปที่บ้านของแม่มดคนนึง เธอเป็นแม่มดที่ทรงพลังมาก เธอต้องช่วยเราได้แน่นอ...” โมรียังไม่ทันพูดจบลำแสงทำลายล้างสีน้ำเงินก็ผ่าเข้ามากลางบ้านทั้งหลังของโบ๊ท เกิดเสียงดังตู้มต้ามทำเอาทุกคนตกใจกันไปหมด ช้างปรากฏตัวขึ้น เขาตามมาจนเจอ
“เห้ย ป้า!!!!!!” โบ๊ทเป็นห่วงพวกป้าๆของเขาแต่ตังเตดึงตัวเขาไว้โมรีได้โอกาสเลยจับตัวทั้งสองคนไว้ ขณะนั้นเองช้างก็สร้างลำแสงขึ้นมาอีกครั้งเตรียมที่จะยิงอีกรอบเขายิงเข้ามาในห้องของโบ๊ท โมรีใช้ละอองนางฟ้าของเธอ เทเลพอร์ตหายตัวไปทั้ง 3 คน
ตัดกลับมาที่หมู่บ้านต้นฝัก ละมุด สิทธิ์และชะเอม ทั้ง 3 คนกลับมาจากทริปวันนี้ ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินมาถึงทางแยกที่ต้องเลี้ยวไปบ้านของละมุดนั้นพวกเขาก็บังเอิญเจอกับสมาร์ทที่เลี้ยวออกมาจากทางบ้านของสิทธิ์พอดิบพอดี
“อ่าว พี่สมาร์ทหวัดดีครับ” สิทธิ์เอ่ยทัก
“พี่สมาร์ทหวัดดีค่ะ” ละมุดและชะเอมทักทายสมาร์ทพร้อมกัน
“อ่าว หวัดดีไปไหนกันมาล่ะ?” สมาร์ทถามกลับ
“ไปหาอะไรกินมาอะพี่ 555”ละมุดตอบกลับแต่เธอขำอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่
“แล้วขำอะไรกัน?” สมาร์ทถามต่อ
“5555 พี่ใส่เสื้อกลับด้าน” ชะเอมตอบ
“เห้ย จริงด้วยพี่ 555” สิทธิ์ก็เพิ่งสังเกต
“ชิบหายล่ะกู ตอนเดินออกมาจากบ้านไอเราก็นึกว่าเขามองอะไรกัน โถ่” สมาร์ทอายนิดๆ เขาถอดเสื้อตรงนั้นไม่เกรงใจสายตาของสาวๆเพื่อกลับด้านเสื้อ หุ่นนักกีฬาที่เห็นกล้ามเนื้ออย่างชัดเจนของสมาร์ททำเอาละมุดกับชะเอมถึงกับเคลิ้มเลยทีเดียว
“โอ้” ชะเอมอุทานออกมา สาวๆยืนเขินกัน วันนี้สมาร์ทใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาตัด รองเท้าแตะ
“ถอดไม่เกรงใจไอพวกนี้เลยนะ พี่ 555” สิทธิ์พูดเชิงแขวะละมุดและตังเต
“จะอายอะไร คนกันเอง” สมาร์ทตอบหน้าตาเฉย
“ใช่ๆคนกันเอง อายทำไมเนอะ หมุด” ชะเอมตัวบิดเชียว
“ฟินเลยยยย 555555” ละมุดดูหื่นมาก
“ไอพวกหื่นนนน” สิทธิ์หันไปด่าพวกละมุด
“ยุ่ง อย่าเยอะๆ ค่ารถยังไม่จ่ายนะ” ละมุดตีกลับ
“ก็มันไม่มีเศษอะ” สิทธิ์ต่อ
“ก็บอกให้เอาแบงค์ 1000 มาก็ไม่หยิบ” ละมุดยังไม่จบ สิทธิ์กับละมุดเถียงกันต่อจนชะเอมรำคาญ
“พอเถอะค่ะ คุณๆทั้งสอง กลับไปเถียงต่อในไลน์มั้ย?” สิทธิ์กับละมุดถึงจะหยุด
“ว่าแต่วันนี้พี่มาทำไรอะ?” สิทธิ์เปลี่ยนเรื่องหันไปถามสมาร์ท
“พี่มาหาไอขาววะ พอดี CPU มันเจ๊งเลยเอามาให้ไอขาวมันซ่อม แล้วมันก็นัดให้พี่มาเอาวันนี้ แต่พอไปที่บ้านมันก็ไม่อยู่” สมาร์ทพูดต่อ
“สงสัยมันยังไม่กลับจากมอมั่งพี่ เดี๋ยวมันก็มา” สิทธิ์คาดเดา
“เอ่อ ไอสิทธิ์ สรุปขาวกับพี่แอนดี้นี่เขาดีกันหรือยังวะ?” สมาร์ทวนหกลับมาตามเรื่องประเด็นของขาวกับแอนดี้
“ก็ยังนะพี่ ต่างคนก็ต่างเฉยๆ ไม่พูดไม่คุยกัน” สิทธิ์ตอบไป
“555 แม่งงอนกันเป็นเด็กเลยวะ” สมาร์ทต่อ
“แล้วไอเรื่องที่ทะเลาะนี่โคตรไร้สาระอะ ผมพูดจริงๆ” สิทธิ์พูดต่อ
“เห้ยหมุด พวกผู้ชายเขาพูดเรื่องอะไรกันวะ” ชะเอมสงสัย
“นั้นดิ พวกเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ไง” ละมุดก็พอรู้มาบ้างแต่ยังไม่รู้รายละเอียด ขณะนั้นเองโมรีที่พาตังเตและโบ๊ทหายตัวหนีจากการตามล่าของซิลลุสมาโผล่ที่หมู่บ้านต้นฝักไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่พวกละมุดยืนกันอยู่
“เพราะเธอคนเดียว ชั้นบอกเธอแล้วใช่มั้ย ว่าให้เธอรีบหนีไป ถ้าพวกป้าชั้นเป็นอะไรขึ้นมานะ ชั้นจะโทษว่าเป็นความผิดของเธอ!” โบ๊ทใส่โมรียับเขาโกรธที่ซิลลุสตามมาถล่มบ้านของเขา
“มึงจะไปด่าเขาทำไม โมรีช่วยชีวิตเรา 2 คนไว้นะ” ตังเตสวนกลับ
“ช่วยเรา แล้วยัยนี่ช่วยญาติกูได้มั้ยล่ะ ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาก็มีแต่ปัญหา ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จะไปช่วยใครได้” โบ๊ทสวนคืน
“เราไม่ได้ขอให้นายช่วย ถ้านายไม่พอใจอะไรก็ก้าวออกไป ผู้ชายแบบนายมันมีผู้หญิงคนไหนเขาอยากได้เป็นที่พึ่งหรอก!” โมรีขึ้นแต่โบ๊ทขึ้นกว่า เขายืนมือออกไปที่เสาไฟฟ้าดึงกระแสไฟฟ้าเข้ามาที่มือของเขาแล้วส่งผ่านไปที่มืออีกข้างนึงกระแสไฟฟ้าพุ่งใส่โมรีช็อตจนเธอกระเด็น
“เห้ย ไอโบ๊ท เป็นบ้าอะไรเนี่ย!!” ตังเตตกใจเธอหันไปต่อว่าโบ๊ทแต่เขายังไม่จบ โบ๊ทจะเดินเข้าไปหาโมรี เธอลุกขึ้นมาแล้วสาดละอองฟ้าใส่โบ๊ทจนตัวของเขาชาล้มลงกับพื้น
“จะทะเลาะกับทำไมเนี่ย พอได้แล้ว ทั้งสองคน!!!” ตังเตตระโกนเสียงดังเธอห้ามไม่ให้ทั้งสองต่อสู้กัน
“ไอหน้าตัวเมีย ชั้นยอมถูกซิลลุสฆ่าตายดีกว่าอยู่กับผู้ชายอย่างนาย!” โมรีใส่ต่อ ในขณะที่โบ๊ทยังขยับตัวไม่ได้เพราะฤทธิ์ของละอองนางฟ้า ตอนนั้นเองพวกละมุดก็ได้ยินเสียงเอะอะโว๊ยวายเลยเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็พบกับพวกตัวเต
“ตังเต” ละมุดเอ่ยทักทายตังเต เขาทั้ง 2 คนรู้จักกันดีเพราะว่าเรียนม.ปลายมาด้วยกัน ห้องเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน โบ๊ทก็เช่นกันแต่เขาอยู่คนละห้องกับละมุดและตังเต
“เห้ย ละมุด” ตังเตเดินเข้าไปหาละมุด เขาทั้งสองกอดกัน เธอตกใจไม่คิดว่าจะมาเจอเพื่อนที่นี่การที่ ละมุดกับตังเตทักทายกันทำให้สถานการณ์ตรงนั้นเริ่มเบาลง
“มาทำอะไรที่นี่วะ?” ตังเตถามละมุด
“เอ้า ก็นี่บ้านชั้นน่ะ แกนั้นล่ะ มาทำอะไรแถวนี้?” ละมุดมองว่าตังเตน่าจะสับสน เธอถามกลับ
“เออ จริงด้วยว่ะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยอะ” ตังเตตอบไป
“ไงโบ๊ท เป็นอะไรหรือเปล่า?” ละมุดหันไปทักทายโบ๊ท
“ป่าวๆ หวัดดีละมุด”เขาขยับตัวได้ โบ๊ทลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทักทายละมุด สายตาของเขายังคงโกรธโมรีอยู่
“หวัดดี ชะเอม” ตังเตทักทายชะเอม
“ไงๆ” ชะเอมทักกลับ ละมุดรู้สึกว่าผู้หญิงอีกคนตรงหน้าเธอใบหน้าของเขาช่างคุ้นเหลือเกิน
“เห้ย เธอ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าอะ?” ละมุดหันไปถามโมรี
“เธอจำเราไม่ได้เหรอ ที่ตอนนั้นระ.....” โมรีกำลังจะเท้าความ
“อ๋อๆ โมรี ใช่มั้ย? แล้วนี่มาด้วยกันเหรอ?” ละมุดนึกออกแล้ว
“ใช่ๆ ดีใจจัง เธอจำเราได้” โมรีตอบ
“แล้วไปรู้จักกันตอนไหนล่ะเนี่ย?” ละมุดถาม
“อย่าบอกนะ แม่มดที่เธอบอกก็คือละมุดเนี่ย” ตังเตหันไปถามโมรี
“อะไรวะ ตังเต เธอพูดอะไรเหรอโมรี?” ละมุดงง
“เล่าไปสิ” ตังเตให้โมรีอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฟัง พวกเขามีเวลาไม่มาก โมรีจึงต้องรีบพูดก่อนที่ซิลลุสจะตามมาถึงที่นี่ เมื่อเธอพูดจบ
“โห นี่มันเรื่องใหญ่นะเนี้ย” ละมุดอึ้ง
“ใช่มั้ย ละมุดยังคิดเหมือนชั้นเลย ยัยเนี้ยมันตัวซวย” โบ๊ทสวนขึ้น
“ปากคอเราะร้ายเหมือนเดินเลยนะโบ๊ท” ละมุดหันไปแขวะ
“แดกหมามาหรือไงมึงอะ” ตังเตด่า
“อีกเรื่องนึงนะ ชั้นไม่ใช่แม่มดที่ทรงพลังอะไรอย่างที่เธอคิดหรอก ชั้นก็เหมือนคนอื่นๆก็แค่แม่มด ชั้นช่วยเธอไม่ได้หรอก นั้นมันเทพเชียวนะ” ละมุดปฏิเสธให้การช่วยเหลือ
“แต่ชั้นไม่มีใครแล้ว” โมรีก็หมดหนทาง
“อีกอย่างนึงที่ชั้นสงสัยก็คือ ทำไมเขาถึงหาเธอเจอทุกครั้งล่ะเพราะอะไร?” ละมุดถามต่อ
“เพราะว่าราชันเทพอสูรทุกตนจะรับรู้ได้ว่าร่างทรงของทุกตนอยู่ที่ไหนกันบ้าง มันเป็นกระแสจิต อย่าลืมสิว่าซิลลุสก็เป็นราชันเทพอสูร ชั้นเป็นร่างทรงของมอร์ทราห์ ไม่ว่าชั้นจะหนีไปไหน สุดท้ายเขาก็ต้องหาชั้นเจอ” โมรีอธิบายเพิ่ม
“แถมเป็นตัวพ่อซะด้วย” ชะเอมเสริมขึ้นมา
“ไม่คิดว่าราชันเทพอสูรจะเป็นเรื่องจริงนะเนี้ย พ่อเราเคยเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ฟังตอนเด็กๆ” สิทธิ์ก็อึ้งกับสิ่งที่ตนได้รับรู้
“พวกเจ้าคิดถูกแล้วล่ะ ไม่มีใครช่วยนางคนนี้ได้ทั้งนั้น” เสียงของซิลลุสที่อยู่ในร่างช้างดังขึ้นด้านหลังของทุกคนในที่สุดเขาก็ตามมาจนเจอ
“เห้ย!!” ทุกคนต่างก็ตกใจไปตามกัน
“ความตายเท่านั้น ที่จะช่วยเจ้าได้ ร่างทรงเอ๋ย” ซิลลุสพูดต่อ
“ครอบครัวของชั้น!!” โบ๊ทจะเข้าไปใส่ สมาร์ทกับสิทธิ์ดึงตัวไว้
“ครอบครัวของเจ้าก็แค่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย พวกนางไม่ถึงแก่ชีวิต พวกเจ้าคิดจริงๆเหรอว่าถ้ารวมตัวกันจะล้มข้าได้ เมื่อข้าได้พลังกลับคืนมาเมื่อไหร่ ข้าจะกลับไปสวรรค์จัดการกับพวกทรยศ แต่ก่อนอื่นข้าจะต้องขัดขวางการลงมาของมอร์ทราห์ นังร่านซะก่อน โดยที่ต้องฆ่าเจ้าไง ส่งตัวนางมาให้ข้าซะ!!!!!” ประโยคสุดท้ายเขาตะคอกทำเอาทุกคนสะดุ้ง
“จะตะคอกทำไมวะ รู้ว่ายิ่งใหญ่แต่มันปวดหูโว๊ยยย” ชะเอมยังปากกล้าเหมือนเดิม
“อย่าปากดีนะ นังแม่มดขี้ข้าซาตาน พวกขี้แพ้ ส่งตัวร่างทรงมาแล้วข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” ซิลลุสตอกหน้าชะเอมไป 1 ดอก
“ไม่ ไม่มีทาง ท่านมีความแค้นกับคนของท่านก็ไปจัดการกันเองสิ เธอไม่เกี่ยว!” ละมุดยืนกรานจะต่อต้าน
“จะลองดีงั้นเหรอ?” ซิลลุสถามนิ่งๆ
“ก็ต้องลองดู ดิสเซนซุส!!! โพลเซท!!” สิทธิ์ร่ายคาถาผลักให้กระเด็นไปไกลๆสวนขึ้นทันที ร่างของซิลลุสกระเด็นลอยไปถึงหัวซอยย่อยแต่เขาทรงตัวได้ไม่ล้มลงกับพื้น
“วิ่ง!!!” ละมุดให้สัญญาณ ทุกคนวิ่งหนีไปทางบ้านของขาวอย่างไว ซิลลุสค่อยๆเดินตามมา
“หมุด พรางตัวเดี๋ยวนี้เลย” สิทธิ์หันไปบอกให้ละมุดใช้พลังเพื่อซ่อนตัวทุกคนไว้ เธอหันไปพยักหน้าแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นสภาวะอากาศก็เริ่มเย็นลงจนเกิดหมอกหนาทึบพรางตัวทุกคนไว้ สมาร์ทสั่งให้ทุกคนหยุดวิ่งเพื่อที่จะได้ไม่หลงกัน ทุกคนเงียบไม่ขยับตัวคอยฟังเสียงฝีเท้าของซิลลุสที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ
“จะเล่นซ่อนงั้นเหรอ?” ซิลลุสขู่ เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็ลุ้นไปตามๆกัน
“ว่าไงจะไม่ออกมาดีๆใช่มั้ย?” ซิลลุสพูดขึ้นอีกครั้ง เขาเริ่มรำคาญเลยชูมือขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นกระแสไฟฟ้าบนท้องฟ้าก็ผ่าลงมาที่เขา เขาดูดซับพลังแล้วตบมือที่ชูขึ้นลงที่พื้นกระแสไฟฟ้าที่ดูดซับไว้วิ่งกระจายออกไปรอบๆตัว เขาไล่หมอกของละมุดจนหมดสิ้นเว้นไว้แค่ตรงที่พวกละมุดยืนทำให้ซิลลุสรู้แล้วว่าแอบกันตรงไหน
“พวกเราลุย!!” พวกสิทธิ์ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่สู้ก็ตาย สิทธิ์กระโดดถีบซิลลุสแต่เขาก็หลบได้ เขาเตะเข้ากลางหลังของสิทธิ์จนเขาล้มลง ละมุดใช้ความสามารถธาตุลมม้วนตัวเธอให้เข้ามาใกล้ตัวของซิลลุสแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่เขา ซิลลุสดูดซับกระแสไฟฟ้าของเธอแล้วปล่อยคืน เธอพยายามจะดูดซับมันคืนแต่เธอรับไม่ไหวเลยกระเด็น สิทธิ์ได้จังหวะใช้พลังของเขาสาดกระสุนไฟใส่ซิลลุส เขาเอามือป้องไว้แล้วกางสนามพลังไฟฟ้าระหว่างนั้นเองสมาร์ทก็เข้ามาด้านหลังล็อคตัวเขาไว้ เขาถ่ายเทกระแสไฟไปที่สมาร์ทจนช็อตเขา ซิลลุสยื่นมือออกไประเบิดสนามพลังไฟฟ้าจนสิทธิ์และสมาร์ทกระเด็นออกไป ชะเอมวิ่งเข้ามา เธอสร้างลูกไฟยักษ์มากมายโจมตีใส่ซิลลุส เขาก้มตัวลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างทุบไปที่พื้นดินกระแสไฟฟ้ามหาศาลวิ่งไปตามพื้นดินโจมตีใส่ชะเอมจนเกิดการระเบิด เธอกระเด็นปลิวออกไป รถและเสาไฟฟ้าแถวนั้นก็เกิดการระเบิดเช่นกันเนื่องจากผลกระทบจากกระแสไฟฟ้ามหาศาล ละมุดใช้พลังของเธอสั่งให้ต้นไม้งอกกิ่งก้านไปรับตัวของชะเอมไว้
ตอนนั้นเองตังเตที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินตรงหน้าของซิลลุส เธอปล่อยทั้งลูกเตะและหมัดอย่างไม่ยั้ง ซิลลุสพยายามโต้กลับแต่ไม่โดนเธอมุดดินหนีทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งขึ้นบริเวณรอบตัวเขา โบ๊ทเข้ามาเขาดึงกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในตัวปล่อยใส่ซิลลุส เขาก็ดูดซับไว้ได้เช่นเดิม ซิลลุสหันไปแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่โบ๊ทซึ่งมันรุนแรงกว่าเดิม ตอนนั้นเองโมรีก็เข้ามา เธอใช้ละอองนางฟ้าสีทองของเธอสร้างเป็นบาเรียป้องกันกระแสไฟฟ้าของเขาไว้แต่ก็ต้านทานไม่ไหว เธอรับมันไปเต็มๆกระเด็นล้มไปที่พื้น โบ๊ทตกใจมาก เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาช่วยเขาไว้ เขาพุ่งตัวเข้าไปปะทะกับซิลลุสโดยตรง เขาพยายามจะต่อยจะเตะแต่ไม่โดนซิลลุสเลยสักครั้ง ซิลลุสเริ่มรำคาญ เขาอัดกระแสไฟฟ้ากระแทกไปท้องของโบ๊ทจนเขากระเด็น แม้เขาจะดูดซับมันได้แต่ก็ต้านแรงกระแทกไม่ไหว สมาร์ทใช้ความสามารถของเขาทำให้เสาไฟฟ้ามีชีวิต มันเลื้อยเหมือนงูไปพันรอบตัวของซิลลุสไว้ เขาฉีดมันขาดกระจายอย่างง่ายได้ ละมุดได้โอกาสพุ่งเข้าไปหาเขา เธอควบคุมน้ำจากในท่อน้ำขึ้นมาสาดใส่เขาแล้วเธอก็สั่งให้สายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้าใส่เขาอีกครั้ง เขาถูกน้ำที่เป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าและถูกสายฟ้าช็อตเข้าไป มันทำให้เขาทรุดตัวลง เขาพยายามทำตัวเองให้ร้อนขึ้นจนเนื้อตัวเริ่มแห้งแล้วลุกขึ้นยืน
“คีวี ดูกูเล่” ซิลลุสร่ายคาถาผลักละมุดให้กระเด็น เขาใช้คาถาสายหมอผี สิทธิ์เห็นว่าเขาทำร้ายละมุดเลยโมโหพุ่งตัวเข้าใส่ซิลลุส เขาใช้พลังทำให้มือทั้งสองข้างไฟลุก เขากำมือทั้งสองข้างแล้วซัดรัวไปที่ซิลลุส เขาสร้างสนามพลังไฟฟ้าเล็กๆเพื่อกันหมัดเพลิงของสิทธิ์ แล้วสะบัดกระแสไฟฟ้าใส่สิทธิ์จนเขากระเด็น เขาม้วนกระแสไฟฟ้าจนเป็นเหมือนจรวดพุ่งใส่สิทธิ์จนเขากระเด็นไปติดกับกำแพงเลือดกบปาก ละมุดเธอตกใจมากรีบวิ่งไปดู โบ๊ทลุกคืนบ้าง เขาดูซับประจุไฟฟ้าจากหม้อแปลงไฟฟ้าออกมาทั้งหมดดึงมาไว้ที่ตัวแล้วระเบิดมันใส่ซิลลุสจนเขากระเด็น
“วา เซดาลาว ลงทิเทคาตา ลงทิเท ดงวอร์ติง กิงน์วอร์ค” ซิลลุสค่อยๆลุกขึ้น เขาร่ายคาถาระเบิดประจุไฟฟ้าทำให้หลอดไฟทุกดวงแตกระเบิด มันทำให้เกิดอาการการปวดหัวตาพร่ามัวอย่างรุนแรงชั่วขณะ ทุกคนล้มลงกับพื้นและกุมศีรษะไว้เนื่องจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยเฉพาะโบ๊ทที่อยู่ใกล้สุด ซิลลุสเดินเข้าไปหาเขาแล้วจับไปที่คอของเขา ซิลลุสยกเขาลอยขึ้น จากนั้นซิลลุสก็โยนเขากระเด็นออกไปหาโมรี เธอกอดตัวเขาไว้ ละมุดเริ่มอาการดีขึ้น เธอลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเขา
“ธาตุสายฟ้างั้นเหรอ!! เอาสิ เจอกันหน่อย” เธอโมโหของจริงท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเหมือนกับพายุเข้า เธอรู้ว่าซิลลุสใช้ธาตุสายฟ้าซึ่งก็เป็น 1 ในธาตุที่เธอถนัดใช้และใช้บ่อยที่สุด
“น่าสนใจดีนิ่” ซิลลุสยิ้ม เขารับคำท้า ทั้งสองคนเรียกกระแสไฟฟ้ามหาศาลมาจากบนฟ้ามาสถิตที่ร่างของทั้งสองทั้ง ละมุดและซิลลุสต่างก็ซึมซับกระแสไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย เกิดแรงสถิตของกระแสไฟไปทั่วร่างกายของทั้งสอง ลมเริ่มพัดแรงขึ้นจนเหมือนจะกระชากแล้วทั้งสองก็เริ่มปะทะกัน ซิลลุสปล่อยกระแสไฟฟ้าทั้งหมดออกไปมันพุ่งตรงไปที่ละมุดและเช่นเดียวกับเธอที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าทั้งหมดออกไปเหมือนกัน สายฟ้าของทั้งสองปะทะกันเหมือนปืนใหญ่ 2 กระบอกที่ยิงใส่กันไม่ยั้ง แรงกระชากของกระแสไฟที่รุนแรงปะทะและดีดใส่กันจนกระเด็นไปโดนสิ่งของรอบๆบริเวณรวมถึงบ้านเรือนของผู้อื่น คนอื่นๆไม่กล้าเข้าไปช่วยเพราะมันอันตรายแต่ในที่สุดละมุดก็ต้านพลังของซิลลุสไว้ไม่ไหว เธอกระเด็นออกมากระอักเลือด สิทธิ์เอาตัวรับเธอไว้ได้ทันการปะทะของทั้งสองคนทำให้ไฟฟ้าทั้งหมู่บ้านดับลง แล้วตอนนั้นเองวินที่อยู่ในบ้านก็วิ่งออกมาดูทั้งๆที่เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็ไม่กล้าวิ่งออกมา เขาใส่ยืดสีดำคอวีกับกางเกงนักเรียนสีดำ
“เห้ยเกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย!!!” เขาออกมาตระโกนหน้าบ้าน
“อย่าเพิ่งถาม พี่วินช่วยก่อน เร็ว!!!” สิทธิ์ตระโกนกลับ เขาพยุงตัวละมุดไว้เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ช่วยอะไร?!!” วินถามกลับ
“จัดการ ไอเหี้ยนั้นอะ มันทำร้ายพวกผมเนี่ย!” สิทธิ์ชี้ตัวไปที่ซิลลุส
“เออ ได้” เขายอมช่วยอย่างง่ายดายไม่ถามเหตุผลซักคำ วินทำให้กระแสลมให้กระชากแรงขึ้นจนเป็นลมสลาตันพัดซิลลุสกระเด็นออกไป คราวนี้เขาทรงตัวไม่ได้ล้มลงกับพื้นทันที นี่คือความสามารถของวิน เขาสามารถควบคุมธาตุลมได้ หลังจากนั้นวินก็ใช้ลมในการพยุงตัวให้ลอยขึ้นกลางอากาศเหมือนกับพ่อมดแม่มดที่เหาะหรือบินได้ โมรีได้โอกาสเธอใช้ละอองนางฟ้าของเธอควบคุมท่อนเสาไฟฟ้าที่ล้มกองไว้ที่พื้นให้ลอยไปฟาดซิลลุสแต่เขาหลบได้ เธอจึงบุกเข้าไปเอง โมรีใช้ละอองนางฟ้ายิงเป็นกระสุนแต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านเขาผลักเธอกระเด็นออกไป คราวนี้ชะเอมและตังเตบุกพร้อมกัน ชะเอมพุ่งเข้าไปตัวเปล่าไม่ใช้พลังของเธอ ส่วนตังเตควบคุมพื้นดินให้เป็นรูปร่างเหมือนแหลมพุ่งเข้าใส่ซิลลุส เขาปัดมันออกอย่างง่ายได้ ซิลลุสกระแทกฝ่ามือที่หน้าอกของตังเตกระตุ้นให้กระแสไฟฟ้าในตัวเธอช็อตจนเธอกระอักเลือด ตอนนั้นเองชะเอมสะบัดเพลิงโลกันต์ของเธอใส่ซิลลุสเขาเอามือป้องไว้แต่ไฟของเธอมันดับไม่ได้ เธอจึงได้โอกาสคว้าตัวตังเตออกมา วินที่เหาะอยู่บนฟ้าเขาควบคุมอากาศทำให้เกิดพายุทอนนาโด 2-3 ลูก ก่อตัวขึ้นรวมเป็นลูกเดียวกันทุกคนต้องหาที่เกาะไว้เพราะกลัวว่าจะถูกดูดเข้าไปในพายุ มันดูดตัวซิลลุสเข้าไปในใจกลางของพายุ ละมุดใช้พลังธาตุลมของเธอช่วยหนุนพายุของวินให้รุนแรงขึ้น
“เราต้องผนึกเขาไว้เหมือนเดิม!” โมรีต้องการจะผนึกซิลลุสไว้ เธอจึงใช้ละอองนางฟ้าของเธอทำให้เธอบินฝ่าเข้าไปในใจกลางของพายุเข้าไปหาซิลลุส เธอปล่อยละอองนางฟ้าของเธอออกมาใส่เขาแต่เธอคิดผิดซิลลุสจับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้
“นังโง่” ซิลลุสได้โอกาสในการปิดบัญชีของเขา ทั้ง 2 คนติดอยู่ท่ามกลางใจกลางของพายุ
“ยัยบ้าเอ้ย โมรี!!” โบ๊ทตระโกนลั่น เขารวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายดึงประจุไฟฟ้าจากรอบตัวแล้วดีดตัวเองเข้าไปในพายุด้วยแรงระเบิดของกระแสไฟฟ้าเข้าไปช่วยโมรี เขาเข้าไปถึงตัวซิลลุส โบ๊ทกับแขนเขาไว้ ซิลลุสคิดจะทำอะไรบางอย่าง
“โอบองเย วายนอง ตุท มงเซอร์มัว เฟเม้า ปัดเตนอง ดิมอนสิ-ยง กิตี มีลุปาริโปกีล่า!!” ซิลลุสเขาร่ายคาถาชั้นสูงมากเปิดประตูมิติทำให้ทั้ง 3 คนและพายุหายเข้าไปในหลุมมิติของซิลลุสทันที
“3 คนนั้นหายกันไปไหนแล้วอะ!” ตังเตตกใจ เธอตั้งตัวไม่ทัน
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ซิลลุสใช้มนต์ชั้นสูงแต่ชั้นไม่รู้ว่าพวกเขาหายไปไหน” ละมุดตอบ
“ใช้มนต์ค้นหาสิ” ชะเอมเสนอ
“จริงด้วย” ตังเตเห็นด้วย เธอหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหารูปถ่ายของโบ๊ท
“ชั้นมีรูป เอาเลย ชะเอมมา” ตังเตเรียกให้ชะเอมมาช่วยเธอกุมรูปถ่ายของโบ๊ทไว้ในมือ จากนั้นทั้งสองสาวก็กุมมือไว้ด้วยกัน
“โปเตสตาเตม แมกู ไปโตนิสซัม ซิตอมอู อินเวนีเร่ โปเตนเจียมานีมาย...........โปเตสตาเตม แมกู ไปโตนิสซัม ซิตอมอู อินเวนีเร่ โปเตนเจียมานีมาย..........โปเตสตาเตม แมกู ไปโตนิสซัม ซิตอมอู อินเวนีเร่ โปเตนเจียมานีมาย........อ๊บเซโคร อุน มี มอนสตราร์” สิ้นประโยคของการร่ายคาถาก็เกิดแรงผลักบางอย่างทำให้มือที่กุมอยู่ของทั้งสองคนหลุดออกจากกัน นั้นแปลว่าคาถาไม่สัมฤทธิ์ผล พวกเธองง
“ซิลลุสคงไม่อยากให้ใครตามเจออะ” ละมุดบอก
“แล้วแบบนี้จะตามไปได้ยังไงล่ะ?” ตังเตหันไปถามละมุด
“ตามไม่เจอหรอก คงต้องรอพวกกลับมา ภาวนาขออย่าให้มีใครเป็นอะไร” ละมุดพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงและตอนนั้นเองเธอรู้สึกเหมือนมีคนแอบจ้องมองพวกเธออยู่ ละมุดจึงหันหลังไปมอง แล้วเธอก็พบกับศีรษะของผู้หญิงคนนึงโผล่ออกมาจากกำแพงหัวมุมของถนนกำลังจ้องมองพวกเธออยู่
“ใครอะ!!!” ละมุดเธอตระโกนแล้ววิ่งไปดูทำให้คนอื่นๆตกใจเลยวิ่งตามกันมาแต่สิ่งที่เธอพบเห็นก็คือแมงมุมสีดำฝูงนึงกำลังไต่ไปตามกำแพงเรียงแถวต่อๆกัน
“แมงมุมเหรอ?” สมาร์ทถาม
“ไม่ใช่นะ เมื่อกี้ชั้นเหมือนเห็น.................เอิ่ม ชั่งมันเถอะ สงสัยตาฝาดอะ” เธอยื่นยันไม่ได้ว่าเธอเห็นอะไรเลยไม่พูดออกไป
“โอ๊ย หมุดนะหมุด ตกใจหมด” ชะเอมบ่น แล้วเธอก็เดินกลับไปพร้อมกับคนอื่นๆ
“ไปกันเถอะหมุด” สิทธิ์ดึงแขนละมุดให้กลับกัน เธอจะคงสงสัยอยู่ว่าเมื่อกี้เธอเห็นอะไร
ตัดมาที่อ่าวเมนจางัน ประเทศอินโดนีเซีย ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าต้อนรับเข้าสู่ยามราตรี ซิลลุสร่ายคาถาเปิดช่องว่างของมิติดึงตัวโมรีและโบ๊ทมาโผล่ที่ริมชายหาดพร้อมกับทอนนาโดของวินด้วยแรงหมุนของพายุทำให้ทั้ง 3 คนกระเด็นไปคนล่ะทิศล่ะทางก่อนที่มันจะจางหายไป เมื่อห่างไกลจากจิตของชะเอมเปลวไฟของเธอที่ลุกไหม้เสื้อผ้าของซิลลุสอยู่นั้นก็ดับลงเช่นกัน เขากลับมาที่นี่ที่ที่ทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้น บทสรุปสุดท้าย
“ที่นี่มันที่ไหนกันอะ?” โมรีทั้งตกใจและมึนงง
“หลุมฝังศพของเจ้าไง จะสั่งลาอะไรมั้ย?” ซิลลุสพูดขึ้น
“ไม่มีทาง!!!” โบ๊ทไม่ยอม เขาคิดจะเปิดฉากกับซิลลุสอีกสักรอบ โบ๊ทดึงประจุไฟฟ้าจากเสาไฟบนถนนแล้วสาดมันใส่ซิลลุสอย่างไม่ออมมือ ซิลลุสหลบการจู่โจมของโบ๊ทได้หมด เขาเพียงแค่เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของโบ๊ทจากนั้นกระแสไฟฟ้ามหาศาลก็ช็อตไปที่ตัวเขาจนกระเด็นออกมาแต่กลับกลายเป็นเรื่องดี โบ๊ทดูดซับกระแสไฟฟ้าที่ได้รับมาจากซิลลุส เขาปล่อยพลังนั้นออกมาเป็นเหมือนสายฟ้าฟาดโต้กลับไปที่ซิลลุสจนเขาต้องหลบ ซิลลุสได้โอกาส เขาเข้าประชิดตัวโมรี เขาจับตัวเธอไว้ โมรีสะบัดตัวทำให้ละอองนางฟ้ามากมายจากตัวเธอซึมเข้าสู่ร่างกายของซิลลุสจนชาไปทั้งตัว เธอจึงได้โอกาสรีบวิ่งไปหาโบ๊ท ซิลลุสแม้ตัวจะยังขยับไม่ได้แต่เขาใช้จิตสั่งการธาตุสายฟ้าซึ่งทำให้เกิดฟ้าผ่าลงมาตรงหน้าของเธอ โมรีถึงกับชะงัก เธอต้องหลบกระแสไฟฟ้าที่ผ่าลงมา ซิลลุสเริ่มขยับตัวได้แล้ว เขายืนขึ้น โมรีไม่มีทางเลือก เธอจึงหันหน้าเข้าปะทะกับซิลลุส เธอสู้แบบไม่มีท่วงท่าใส่ไม่ยั้ง ซิลลุสก็โต้กลับด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าเล็กๆช็อตใส่เธอ เธอจึงฟาดละอองนางฟ้าสีทองใส่เขาซิลลุสจึงต้องหลบเพราะไม่อยากที่จะตัวชาอีกและตอนนั้นเองโบ๊ทที่เข้ามาด้านหลังปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่เขา ซิลลุสหันไปเห็นพอดีเลยปล่อยกระแสไฟฟ้าของตนเข้าต้านเช่นกัน ทั้งสองคนใช้พลังต้านกันอยู่ชั่วครู่หนึ่งซิลลุสจึงเร่งพลังไฟฟ้าจนกลายเป็นลำแสงทำลายล้างของเขา โบ๊ทไม่สามารถต่อกรกับลำแสงของซิลลุสได้เลยในที่สุดเขาก็ถูกลำแสงยิงเข้าใส่เต็มๆจนกระอักเลือดออกมา โมรีรีบวิ่งเข้าไปดู
“ไม่เป็นอะไรนะ” โมรีพยุงตัวโบ๊ทขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นคลอ
“ไม่เป็นไร หนีไปซะ หายตัวได้ไม่ใช่เหรอ ไปสิ!!!” โบ๊ทต้องการให้โมรีหนีเอาชีวิตรอด
“ไม่ ชั้นจะไม่ทิ้งนาย” โมรีไม่ยอมหนี เธอเริ่มทำบางอย่าง
“แหม ช่างหวานซึ้งกันซะจริง” ซิลลุสพูดแดกดันในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ตัวของทั้งสองคน ตอนนั้นเองโมรีเอาหน้าผากของเธอไปติดกับหน้าผากของโบ๊ทแล้วหลับตา โบ๊ทก็หลับตาเช่นกัน จากนั้นก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นเมื่อพลังของเธอถ่ายทอดเข้าไปในตัวของโบ๊ทเพื่อรักษาชีวิตของเขา ละอองสีทองที่ออกมาจากตัวเธอส่งผ่านเข้าไปในร่างของเขากลายเป็นประจุไฟฟ้าที่เปล่งประกาย ทั้งกระแสไฟฟ้าและละอองของเธอต่างรวมตัวซึ่งกันและกัน ในสิ่งที่เธอทำนั้นเรียกว่า Vitalum Vitalis หนึ่งในความอัศจรรย์ทั้ง 7 ประการของแม่มด สภาพร่างกายของโบ๊ทเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เราจะสู้ไปด้วยกัน” โมรีให้คำมั่นกับโบ๊ท
“เป็นไงเป็นกัน” แววตาของโบ๊ทตอนนี้ทั้งดุดันและบ้าบิ่น เขาพุ่งตัวชาร์จเข้าใส่ซิลลุส โบ๊ทสร้างไฟฟ้าสถิตรอบๆตัวของเขา ซิลลุสไม่สามารถดูดซับกระแสไฟฟ้าของโบ๊ทที่ปล่อยออกมาได้ เลยต้องรับมันไปเต็มๆ โบ๊ทใช้แรงระเบิดจากไฟฟ้าสถิตของเขาดีดตัวของซิลลุสไปกลางทะเล ซิลลุสรู้ตัวว่าเขากำลังเสียท่าเลยใช้ไม้ตายสุดท้ายคือการกางสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อดูดตัวของโบ๊ทเข้าไปหาเขาเหมือนกับตอนที่ตังเตโดน โบ๊ทถูกดูดจนเข้าไปใกล้ตัวของเขา ซิลลุสจับแขนทั้งสองข้างเขาไว้ เขาปล่อยกระแสไฟฟ้าทั้งหมดช็อตไปที่ตัวของโบ๊ทแล้วโยนเขากระเด็นออกไป โบ๊ทถึงกับสลบ ส่วนซิลลุสก็อ่อนล้าจากการใช้พลังต่อเนื่องกันหลายๆครั้ง เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวจึงตกลงไปในท้องทะเล
“ตอนนี้ล่ะ ผนึกเขาซะ” เสียงของสตรีนางนึงดังขึ้นมาในหัวของโมรี นั้นคือเสียงของมอร์ทราห์
“ใช้คาถานั้นซะ ร่างทรง” มอร์ทราห์บอกให้โมรีใช้คาถาบางอย่าง เธอรับฟังคำขอร้องจากมอร์ทราห์ โมรีบินไปตรงจุดที่ซิลลุสจมลงด้วยละอองนางฟ้าของเธอ
“วาตะตุชิวะ มอนจานิปาวาว โอโมะเกอิตะ วาตะกุชิวะ ชิเซนะ ชิกาดะโอชิโอชิมัดสึ โซเนโอ จือสือลึ โกโนะจากุนามอนตรา เอนโนะ ชิกานาโตะ จิเนะ วาตาตุชินิ ชิกะโละ อาไต๊เตกุดาซาอิ โอ้MORZAR โกโนะมาโฮ ตะเซสึรึกาเนะมินาวะ โตะจีโอซาโอะโมะเตะกึรึ เดมอน สเปล เซเครด!!!!!!” ละมุดบินไปรอบๆเป็นวงกลมตรงบริเวณที่ซิลลุสจม ระหว่างที่เธอร่ายคาถาก็เกิดละอองสีขาวสว่างจ้าเป็นประกายจนเป็นสีรุ้งออกมาจากตัวของเธอ มันก่อตัวเป็นรูปเหมือนยันต์ผนึกขนาดใหญ่ที่มีตราสัญลักษณ์ขนาดใหญ่เป็นตราอันศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าเป็นตัวแทนของมอร์ทราห์ เมื่อเธอร่ายคาถาจบผนึกก็พุ่งลงไปที่ทะเล ตอนนั้นเองซิลลุสก็โผล่ออกมาจากทะเล เขาพยายามจะต่อต้านมนต์ผนึก ทันใดนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเกิดกระแสไฟฟ้าสถิตสีทองผ่าลงมาที่ผนึกช่วยหนุนคาถาของโมรีไว้ดันตัวของซิลลุสจมลงก้นทะเล
“แมนนัวล์ ไอลูกหมา!!!!” เขาตระโกนชื่อของแมนนัวล์ก่อนที่จะถูกตราผนึกตึงลงสู่ก้นทะเล ที่แท้สายฟ้าสีทองก็เป็นฝีมือของแมนนัวล์ เขาส่งมันลงมาช่วยโมรีในการจัดการกับซิลลุสแล้วเธอก็ทำสำเร็จทุกอย่างจบลงได้ด้วยดีเธอรีบบินกลับไปหาโบ๊ทที่ยังคงนอนสลบอยู่ คาถาที่เธอใช้เมื่อกี้คือคาถาของสายโลกตะวันออก เธอพยุงตัวเขาขึ้นแล้วเทเลพอร์ตหายตัวไป
ตัดกลับมาที่หมู่บ้านต้นฝัก ละมุดพยุงตัวของสิทธิ์เข้ามานั่งพักในบ้านของเขา เธอให้เขานั่งลงตรงโซฟาแล้วเธอก็เดินไปหยิบกล่องยา สิทธิ์นั่งกุมหัวตัวเอง เขาฟกช้ำไปหมดทั้งตัว หัวของสิทธิ์แตกนิดๆจากตอนที่ล้มและโดนกระแทก ไม่นานละมุดก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยา
“โอ๊ย เจ็บไปหมดเลยเนี่ย ดูดิ” สิทธิ์บ่นพร้อมกับมองดูแผลของตัวเอง
“อย่าบ่นน่า เป็นผู้ชายอะไรวะ บ่นจัง” ละมุดพูด
“เอ้าแล้วที่เราเจ็บตัวเนี่ย มันเพราะใคร”
“อ๋อนี่แกจะโทษเราใช่มั้ย ทำแผลเองเลยไป” ละมุดงอน
“โอ๋ๆ ขอโทษนะคร้าบบ ทำแผลให้ผมเถอะนะ นะ” สิทธิ์อ้อนทันดี เขาทำให้ละมุดยิ้มได้เสมอ
“ไอบ้า ขอบใจนะ เจ็บน่าดูเลย”
“เอ้า เมื่อกี้บอกไม่ให้บ่น สรุปจะเอาไงเนี่ย”
“อยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งพูด” ละมุดยื่นมือไปแตะเบาๆที่แผลบนหัวของสิทธิ์ บนมือของเธอคือสำลีชุบยาทำแผล
“โอ๊ะ...โอ๊ะ....เบาๆ.....โอ๊ย” สิทธิ์แสบแผล
“จะร้องทำไมเนี่ย แผลนิดเดียวเอง”
“มาโดนเองมั้ยล่ะ แม่คุณ โถ่”
“เอาน่า อดทนหน่อย” และตอนนั้นเองสายตาของทั้งสองคนก็ประสานกัน ทั้งสองคนมองหน้ากันและกันอย่างไม่ละสายตาเลย สิทธิ์ค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ละมุด
“ดูๆไป แกก็น่ารักขึ้นนะเนี้ย” เขาพูดหวานใส่ละมุด
“งั้นก็แปลว่า.....” ละมุดพูดแบบเขิน ในขณะที่ใบหน้าของเขาใกล้เธอมากทั้งสองแทบจะหายใจรดใส่กัน
“ว่า.....” สิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ เขายิ้มมีความสุข
“ว่าหายเจ็บแผลแล้วใช่มั้ย!!!” ที่แท้ละมุดก็แกล้งสิทธิ์เหมือนเดิม เธอหยิกไปที่ไหล่ของเขาจนสิทธิ์ถึงกับสะดุ้ง
“โอ๊ยยยย จะหยิกทำไมเนี่ย แกเขินก็บอกกันดีๆดิ” สิทธิ์โวยวาย
“ไอบ้า” ละมุดรีบเดินไปเก็บกล่องยา สิทธิ์ยิ้ม สีหน้าเขาดูมีความสุข
ตัดกลับมาที่หมู่บ้านกัลยาณ์เมืองสคูล โมรีพาโบ๊ทกลับมาที่บ้าน เธอพยุงเขาเข้ามาในบ้าน น้าๆและป้าๆของโบ๊ทต่างก็ตกใจรีบวิ่งเข้ามาดูหลายของตน ทุกคนช่วยกันพาโบ๊ทมานอนที่โซฟาแล้วก็วิ่งไปหายาดมอะไรต่างๆมากมายทิ้งไว้แค่โมรีกับโบ๊ท 2 คน เธอรู้สึกผิดที่ทำให้เขาบาดเจ็บ เธอใช้ละอองนางฟ้าของเธอโปรยใส่เขาเพื่อให้เขาฟื้น เธอเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างให้กับเขา มันช่างเป็นความรู้สึกที่พิเศษเล็กๆ เธอเอามือลูบที่ใบหน้าเขาเบาๆแล้วตอนนั้นเองโบ๊ทก็คว้าข้อมือของเธอไว้ทำเธอสะดุ้ง โบ๊ทลืมตาขึ้นมาช้าๆ เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้ม เขากับเธอได้สบตายตากันเป็นครั้งแรกแล้วพวกป้าๆก็เข้ามา โบ๊ทเลยปล่อยมือ โมรีเขินนิดๆเลยถอยตัวออกมาให้พวกป้าๆของโบ๊ทดูแลเขาแทน
“ขอบใจนะ!” โบ๊ทตระโกนออกไป โมรีจึงหันมามอง
“เธอช่วยชีวิตชั้นไว้ ขอบใจนะ” เขาพูดอย่างมีความสุข
“นายเองก็ช่วยชั้นไว้ ขอบใจนะ” โมรีก็เริ่มคิดในแง่ดีกับโบ๊ทขึ้นมา แล้วตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“เออ ว่าไง?” เขารับโทรศัพท์ถามปลายสาย
“อยู่ไหนเนี่ย โทรไปทำไมปิดเครื่อง?” ปลายสายถามกลับ
“อยู่บ้านแล้ว ปลอดภัยดี มึงอะเต็ง?” โบ๊ทถามกลับ ที่แท้ก็คือตังเต
“เอ้ากลับบ้านแล้วก็ไม่บอกกู ตอนนี้อยู่บ้านเด็กแถวบ้านไอละ..........”
เรื่องราวก็จบลงด้วยดี ทุกคนปลอดภัยแต่มันจะจบจริงหรือเปล่าล่ะ
หมายเหตุ :
-ช้าง นาย กรินทร์ กฤตานนท์ อายุ 20 ปี คือพ่อมดที่เป็นร่างทรงของซิลลุส เขาแค่อยากมีอำนาจเหนือกว่าใครจึงถูกซิลลุสล่อลวงได้ง่ายๆ ช้างเป็นพ่อมดที่มีความสามารถในการสร้างสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นความสามารถที่ทรงพลัง เมื่อซิลลุสได้ครองร่างของเขา ซิลลุสจึงเก็บความสามารถนี้ไว้ใช้เมื่อจำเป็น
-เทพอสูรพิทักษ์
คือเทพแห่งเหล่าอสูรมีทั้งดีและร้ายเหมือนเช่นมนุษย์คอยปกปักษ์รักษามอบพลังให้กับเหล่าผู้วิเศษหรือบางคนก็ใช้ร่างของผู้วิเศษเพื่อการทำลายล้าง มีชนชั้นอาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นล่างสุดอยู่สูงกว่าพวกภูติเพียงแค่นิดเดียวเทพอสูรพิทักษ์จะมีราชันปกครองทั้ง 13 ตน เป็นตัวแทนต่างๆ แต่การที่เทพอสูรพิทักษ์จะลงมาหยั่งโลกได้นั้นต้องหาร่างสถิตให้เจอก่อนเพื่อที่จะใช้ร่างนั้นในการใช้ชีวิตบนโลก เป็นเหมือนเสื้อผ้าที่เราต้องใส่
13 เทพอสูรพิทักษ์
1.เดทเฟียท์ คือราชันเทพอสูรตนที่ 1 มีรูปร่างคล้ายกับพญานาคผสมกับมังกรน้ำ เป็นอสูรผู้ครองใต้พิภพ เดทเฟียท์เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณอันร้อนแรง
2.รานี่ คือราชันเทพอสูรตนที่ 2 มีรูปร่างคล้ายกับตัวสิงห์จีนแต่มีกระดองหุ้มไว้ที่หลัง มีหนามแหลมคมรอบกระดองและมีปลายหางที่เหมือนกับตุ้มเหล็กขนาดใหญ่ เป็นอสูรผู้ครองผืนแผ่นดิน รานี่เป็นตัวแทนของมิตรภาพ สหายและความอดทน
3.วอนด์ราล์ม คือราชันเทพอสูรตนที่ 3 มีรูปร่างคล้ายกับกิ้งก่าบินขนาดใหญ่แต่มีพังผืดที่ออกมาจากนิ้วเท้าจนคล้ายกับปีกของค้างคาวทำให้บินทรงตัวในอากาศได้ เป็นอสูรผู้ครองเวหา วอนด์ราล์มเป็นตัวแทนของอิสรภาพ การตักเตือนและความเมตตา
4.โมโน่ คือราชันเทพอสูรตนที่ 4 มีรูปร่างคล้ายกับปูทะเลกับกุ้งมังกรผสมกัน เป็นอสูรผู้ครองท้องทะเลและพื้นน้ำ โมโน่เป็นตัวแทนของเรื่องอาเพศต่างๆและความไม่สมหวัง
5.แพสแอส คือราชันเทพอสูรตนที่ 5 มีรูปร่างคล้ายกับเด็กทารกแต่ตัวสูงเท่ามนุษย์ เป็นอสูรผู้ครองพืชผักและไร่สวน แพสแอสเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และความสดใส
6.แรสเนฟ คือราชันเทพอสูรตนที่ 6 มีรูปร่างคล้ายกับตั๊กแตนตำข้าวตัวเมียขนาดใหญ่แต่เขาเป็นเพศผู้ แรสเนฟเป็นอสูรผู้ครองความอุดมสมบูรณ์ เป็นตัวแทนของความสูญเสียและความตะกะ
7.คูมอน คือราชันเทพอสูรตนที่ 7 มีรูปร่างคล้ายกับแมงมุมยักษ์ เป็นอสูรผู้ครองแผ่นดินทะเลทราย คูมอนเป็นตัวแทนของการสังเวยและการบูชายัญ
8.เมอร์ คือราชันเทพอสูรตนที่ 8 เป็นเทพอสูรที่ไม่มีรูปกายหยาบ มักจะปรากฏตัวเป็นควันสีดำหรือบางที่ก็มาเป็นกลุ่มโคลนเลนรวมกับกองขยะ เมอร์เป็นอสูรผู้ครองที่รกร้าง เป็นตัวแทนของความสกปรกและมลพิษ
9.โมนาร์ช่า คือราชันเทพอสูรตนที่ 9 มีรูปร่างคล้ายกับตัวสิงห์ เป็นอสูรผู้ครองเทือกเขา โมนาร์ซ่าเป็นตัวแทนของความกล้าและความมีเสน่ห์
10.แซมแปน คือราชันเทพอสูรตนที่ 10 มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าแต่ยืน 2 ขาเหมือนไดโนเสาร์และใส่ชุดเกาะตลอดเวลา เป็นอสูรผู้ครองความเจริญและวัตถุนิยม แซมแปนเป็นตัวแทนของความก้าวหน้าและวิทยาการ
11.มอร์ทราห์ คือราชันเทพอสูรตนที่ 11 มีรูปร่างคล้ายกับผีเสื้อยักษ์บ้างก็บอกว่าเป็นพญานกอินทรีย์ เป็นอสูรผู้ครองความอัศจรรย์บนพื้นโลก เป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ แสงสว่างและความถูกต้อง
12.แมนนัวล์ คือราชันเทพอสูรตนที่ 12 มีรูปร่างคล้ายกับมักกรจีนผสมกับมังกรตะวันตก มี 3 หัวตัวสีทองอร่าม เป็นอสูรผู้ครองแกนโลก เป็นตัวแทนของการมีอำนาจและความโกรธเกลียด
ความสามารถพิเศษ –ควบคุมธาตุสายฟ้าแต่เป็นลักษณะพิเศษคือเป็นสีทอง
13.ซิลลุส คือราชันเทพอสูรตนที่ 13 มีรูปร่างคล้ายกับไดโนเสาร์ ตัวสีดำทมิฬขนาดใหญ่ เป็นมหาราชันแห่งราชันอสูรยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนอสูรกายเท่าๆกับอีฟ เป็นตัวแทนของความเป็นที่หนึ่งและการทำลายล้าง
ความสามารถพิเศษ –ควบคุมธาตุสายฟ้า
-สร้างลำแสงทำลายล้างมหาศาลสีน้ำเงินที่ไม่มีใครต้านทานได้
-พละกำลังเยอะ
-ความแตกต่างระหว่างธาตุสายฟ้ากับประจุไฟฟ้าอิเล็กตรอน ธาตุสายฟ้านั้นผู้ใช้สามารถดึงพลังธาตุออกมาจากสิ่งที่ธรรมชาติสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นอย่างเช่น ท้องฟ้า เป็นต้น หรือผู้ใช้สามารถเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง ส่วนผู้ใช้ประจุไฟฟ้าอิเล็กตรอนนั้นไม่สามารถดึงกระแสไฟฟ้าจากธรรมชาติได้จึงต้องอาศัยสื่อในการชักนำไฟฟ้าซึ่งก็มาจากข้าวของเทคโนโลยีต่างๆที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าแทน เมื่อดูดซับกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บไว้พอใช้ไปมันก็มีวันหมดเลยต้องดึงกระแสไฟฟ้าเพิ่ม ไม่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาเองได้
-เวทมนตร์คาถานั้นแบ่งได้ใหญ่ๆมีทั้งหมด 3 สาย คือ
1.สายสากลที่ผู้วิเศษทุกคนส่วนใหญ่ใช้กัน เป็นคาถาภาษาละติน ปีศาจที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็มักจะใช้ภาษาละตินเช่นกัน
2.สายหมอผีเป็นสายของพวกเฮคซ์ แม่หมอ พ่อหมอต่างๆใช้กัน เป็นคาถาภาษาเนโครแมนซิส มีต้นกำเนิดมาจากภูติและอสูรกาย
3.สายผู้วิเศษฝั่งตะวันออกจะใช้คาถาแยกออกมาอีกทีนึง ถูกบัญญัติโดยสภาใหญ่แห่งฝั่งตะวันออก ใช้คาถาภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษร่วมกัน
EPISODE 6:SISTER
COMING SOON
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ