[The Doppelganger] เงาลวงร่าง
4.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 09.42 น.
4 ตอน
23 วิจารณ์
7,835 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 10.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ ๓: เด็กชายสีเทากำลังทำเรื่องไม่ดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ บทที่ ๓
“ฉันอยากไปเรียน”
จู่ๆ เจ้าดอปเปลแกงเกอร์ก็กล่าวขึ้นในขณะที่อ่านหนังสือเรียนของผมโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง ผมถอนหายใจก่อนจะกล่าว “คงไม่ได้หรอก นายเองก็ไม่มีประวัติในโลกนี้นี่ จะให้สร้างเรื่องมันก็ทำไม่ได้หรอกนะ ของแบบนี้ต้องทำตั้งแต่เกิดถึงจะใช้เป็นข้อมูลไปสมัครเข้าเรียน”
“ฉันจะไป”
“อย่าดื้อนักสิ นายอยู่บ้านก็ดีแล้วนี่ ไปโรงเรียนมันไม่สนุกหรอกนะบอกไว้ก่อนเลย ต้องมาทำงาน นั่งฟังครูสอน แต่ถ้าเกิดไปเล่นกับเพื่อนฉันก็พอพานายไปได้นะ” เจ้าดอปเปลฯ ละสายตาจากหนังสือมามองผมด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา ผมนิ่งไปราวกับถูกสะกด สักพักเขาก็ถามขึ้น
“น่าเบื่อขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“ใช่ น่าเบื่อมากๆ” ผมยืนยันอย่างหนักแน่น ใจหนึ่งก็หวังดีแต่อีกใจก็กังวลว่าหากเจ้านี่มันไปด้วยก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความวุ่นวายไหม ทางที่ดีขังไว้ในบ้านจะดีที่สุด
“…” เขาไม่พูดอะไรอีก กลับไปอ่านหนังสือดังเดิม ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย จะเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือก็นึกอะไรได้จึงกล่าวทำลายความเงียบ “นายยังไม่มีชื่อนี่ ฉันว่าตั้งชื่อก่อนดีกว่านะ เพราะจะเรียกกันแบบนี้มันก็ลำบาก เอาชื่ออะไรล่ะ ฉันตั้งให้ไหม” ผมถามในขณะที่ใช้ความคิดในการสรรหาชื่อให้มัน
“อืม”
“แกงเขียว”
“ฮะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอุทานอย่างตื่นๆ ขัดกับบุคลิกที่ดูจะเย็นชา ผมนึกขบขันในใจเกือบจะหลุดหัวเราะด้วยซ้ำ ถ้าเกิดไม่ติดว่าเห็นปืนน่ะนะ
“นี่ของโปรดฉันเลยนะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับชื่อที่จะตั้งให้ฉัน?” ใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชาเริ่มมีร่องรอยความฉงนปนหงุดหงิด ผมยืดอกเสมือนว่าตนเองเหนือกว่าทั้งๆ ที่ในใจกลัวปืนของอีกฝ่าย “ในเมื่อนายคือเงาของฉัน มีในสิ่งที่ฉันชอบมันแปลกเหรอ?”
“…” ดวงตาฉายความเบื่อหน่าย บอกว่าระอากับผมและไม่อยากอธิบายให้ผมฟังเป็นการแก้ เขากลับไปอ่านหนังสืออีกครั้งโดยที่หันร่างไปอีกทาง คงจะรำคาญผมสินะ
“แกงเขียว!” ผมตะคอกเรียก มันได้ผล เจ้าดอปเปลฯ หันมาด้วยสีหน้าที่บอกว่าถ้าพูดอีกทีร่างกายผมสีรูพรุนเพราะลูกกระสุนแน่ จากที่ผมปั้นหน้าบึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเหยๆ ด้วยความหวาดหวั่น
“ขอโทษนะ… เอ่อ ตกลงนายยอมแล้วใช่ไหม?”
“อยากเรียกก็เรียกไปเถอะ แต่ถ้านายแนะนำฉันให้คนอื่นด้วยชื่อนี้ นายตายแน่” น้ำเสียงเริ่มแสดงความอำมหิตจนผมขนลุกเล็กน้อย ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้โดยที่เจ้าตัวหันกลับไปอ่านต่อ ส่วนผมเองก็ไปนั่งทำการบ้านบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเงียบๆ
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงกลางคืน ตอนนี้เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ซึ่งได้เวลาอาหารที่บ้านผมแล้ว ผมเงยหน้าจากสมุดที่เขียนอยู่ไปมองเจ้าแกงเขียว (ชื่อของเจ้าดอปเปลแกงเกอร์ที่ผมตั้งให้) สังเกตถึงหนังสือที่เจ้าตัวอ่านอยู่ก็เห็นว่าเขาอ่านเล่มอื่นแล้วล่ะ ผมมองเขาเงียบๆ ก่อนจะถามขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมห้องอยู่
“หิวยัง? จะได้ไปทำอะไรให้กิน”
“นิดหน่อย แต่กินเลยก็ได้” เขาตอบก่อนจะปิดหนังสือลง แล้วลุกขึ้นเดินมาหาผม ผมลุกจากเก้าอี้ก่อนจะนำเขาไปที่ห้องครัว เมื่อมาถึงผมก็บอกให้เขานั่งก่อนจะลงมือทำอาหาร
“ให้ฉันช่วยไหม?”
จู่ๆ เขาก็ถามจากด้านหลังโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยก็สะดุ้งจนเผลอไข่ตกแตกที่พื้น ผมมองมันก่อนจะหันไปมองตัวต้นเหตุที่ตอนนี้ยิ้มมุมปากเล็กน้อย …หนอย! นั่นมันส่วนผสมที่เรากำลังจะทานนะ ยังทำเป็นเล่นอีก ผมนึกด้วยความเคืองพลางหยิบผ้ามาเช็ด สักพักเจ้าแกงเขียวก็นั่งคุกเข่าแล้วช่วยผมเก็บเปลือกไข่โดยที่ไม่ขอโทษ ผมพยายามไม่ใส่กับเจ้าแกงเขียวเพราะรู้ตัวว่าทะเลาะไปฝ่ายที่แพ้ก็คือผมเอง
น่าเจ็บใจนัก!
“นี่ เจ้าแกงเขียว”
ผมเรียกในขณะที่เก็บผ้าแต่พอหันไปหาอีกฝ่ายก็เผลอกลั้นหายใจ …ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าหน้าที่หันไปนั้นมันอยู่ในระยะประชิดกับใบหน้าของเจ้าแกงเขียวน่ะสิ! ไม่ได้ห่างกันสองนิ้วด้วย แต่จมูกมันชนกันเลยต่างหาก ดวงตาสีเทาที่ยากจะคาดเดาสบตากับผมนิ่งๆ ผิวขาวที่ออกซีดนั้นยิ่งทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวา มือที่ขาวซีด แห้งและเย็นของเขายื่นมาทาบอกของผมก่อนจะปลดกระดุมเม็ดหนึ่งแล้วล้วงเข้าไปทาบกับอกที่ภายใต้นั้นหัวใจกำลังเต้นแรง ผมไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ที่รู้ๆ มันเต้นแรงมาก ใบหน้าและร่างบางส่วนก็ร้อนอย่างน่าประหลาด ยิ่งพอผ่านยอดอกนี่ไม่ต้องพูดถึง อีกฝ่ายลูบไปมาจนเมื่อพอใจแล้วถึงเอามือออกโดยที่ผมยังคงนั่งนิ่งๆ ดวงตาเบิกค้างเพราะตกตะลึง
“อุ่น… รู้สึกหลังๆ นี่จะร้อนขึ้นด้วยนะ” พอเจ้าแกงเขียวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบ ผมก็ได้สติ ผมไม่รอช้าตวาดถามทันทีโดยที่ใบหน้ายังคงร้อนอยู่
“เมื่อกี้ทำอะไรของนายน่ะ!”
“แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าร่างกายเจ้าของเงาจะอุ่นไหม”
“ทำแบบนี้ลวนลามชัดๆ” ผมกล่าวแล้วหันหน้าหนีพลางติดกระดุมเสื้อก่อนจะลุกขึ้นไปทำอาหารต่อ เห็นแวบๆ ว่าอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นตามโดยไม่เดินไปนั่ง ผมเสียวๆ บอกไม่ถูก กลัวว่าเจ้าแกงเขียวจะทำมิดีมิร้ายอีก …และก็เป็นไปตามคาด เจ้าแกงเขียวเข้ามากอดผม อุณหภูมิต่ำของเขาแผ่ไปทั่วหลังของผมจนรู้สึกขนลุก ผมยืนนิ่งไปกล้าทำอะไรในขณะที่ถือช้อนที่ไว้คนไข่ ไม่กล้าหายใจ บรรยากาศน่าอึดอัดและหวาดผวา ริมฝีปากหยาบแห้งเย็นๆ นั้นไล้ไปตามคอ หัวใจของผมเต้นแรงจนยากจะสงบ
…นี่ไม่ใช่ว่า… ผมจะเสียความบริสุทธิ์ทั้งๆ ที่เป็นเด็กประถม ถึงจะผู้ชายด้วยกันก็เถอะแต่มันไม่สมควรนะ!
“หยุดทำอาหารแล้วมาให้ฉันสัมผัสดีกว่าน่า”
พลั่ก!
ผมหันไปแล้วผลักเจ้าแกงเขียวออกโดยที่ไม่กลัวว่าเขาอาจจะเอาปืนมายิง ผมเหลือบเห็นว่าในมือเขาถือโซ่อยู่ซึ่งไม่รู้ว่าเอามาจากไหนและหยิบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมองมันอย่างหวาดหวั่นก่อนจะก้าวเท้าเพื่อวิ่งออกจากห้อง ทว่าไม่เป็นผลเมื่อโซ่พุ่งเข้ามาพันร่างจนเผลอล้มลงไป
โธ่เอ๊ย! ถ้าติดว่าไม่อยากมีประวัติไม่ดี ฉันหยิบมีดมาฟันแกแน่!
เจ้าแกงเขียวเดินเข้ามาหาพร้อมกับบรรยากาศน่ากลัว รู้สึกว่าอากาศในห้องหายไป เหงื่อเริ่มไหล หัวใจเต้นรัว ในใจร่ำหาผู้ให้กำเนิดๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าทั้งสองท่านไม่รู้ว่าลูกตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายและถึงรู้ก็กลับมาช่วยไม่ทัน แต่อย่างว่าแหละ คนเราพอตกที่นั่งลำบากก็มักจะนึกถึงผู้ให้กำเนิดเป็นส่วนใหญ่โดยหวังว่าจะมาช่วยเราได้
…เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่ะ
ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ ที่มาเพิ่มช้าจนจะข้ามปี (แถมยังสั้นอีก จริงๆ แล้วเรื่องนี้หนูแต่งเล่นๆ นะคะ เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่) เนื่องจากไม่ค่อยมีกระจิตกระใจแต่งเรื่องนี้นัก แล้วไปแต่งอีกเรื่องที่แต่งบ่อยๆ บวกกับทำงานอดิเรกแล้วขึ้นมัธยมแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลานัก
มีเรื่องจะบอกค่ะ คำว่า Doppelganger ซึ่งหนูเขียนว่าดอปเปลแกงเกอร์นั้นแล้วมีสมาชิกท่านหนึ่งบอกว่าเขียนผิด จริงๆ มันสามารถเขียนคำอ่านได้ไม่แน่นอนค่ะ จากการที่หนูไปตั้งกระทู้ถามในเว็บเด็กดี ทุกท่านที่ตอบก็ล้วนบอกประมาณว่าเขียนตามที่ตนเองอ่าน ซึ่ง Doppelganger นั้นก็อ่านแตกต่างกันไป เผลอๆ มีแบบตามสำเนียงของแต่ละที่ด้วย ฉะนั้นแล้วก็ต้องใช้แบบนี้ต่อไปค่ะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ สำหรับทุกท่านที่ติดตามนะคะ
---------------------------------------------------------------------------------------------
“ฉันอยากไปเรียน”
จู่ๆ เจ้าดอปเปลแกงเกอร์ก็กล่าวขึ้นในขณะที่อ่านหนังสือเรียนของผมโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง ผมถอนหายใจก่อนจะกล่าว “คงไม่ได้หรอก นายเองก็ไม่มีประวัติในโลกนี้นี่ จะให้สร้างเรื่องมันก็ทำไม่ได้หรอกนะ ของแบบนี้ต้องทำตั้งแต่เกิดถึงจะใช้เป็นข้อมูลไปสมัครเข้าเรียน”
“ฉันจะไป”
“อย่าดื้อนักสิ นายอยู่บ้านก็ดีแล้วนี่ ไปโรงเรียนมันไม่สนุกหรอกนะบอกไว้ก่อนเลย ต้องมาทำงาน นั่งฟังครูสอน แต่ถ้าเกิดไปเล่นกับเพื่อนฉันก็พอพานายไปได้นะ” เจ้าดอปเปลฯ ละสายตาจากหนังสือมามองผมด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา ผมนิ่งไปราวกับถูกสะกด สักพักเขาก็ถามขึ้น
“น่าเบื่อขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“ใช่ น่าเบื่อมากๆ” ผมยืนยันอย่างหนักแน่น ใจหนึ่งก็หวังดีแต่อีกใจก็กังวลว่าหากเจ้านี่มันไปด้วยก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความวุ่นวายไหม ทางที่ดีขังไว้ในบ้านจะดีที่สุด
“…” เขาไม่พูดอะไรอีก กลับไปอ่านหนังสือดังเดิม ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย จะเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือก็นึกอะไรได้จึงกล่าวทำลายความเงียบ “นายยังไม่มีชื่อนี่ ฉันว่าตั้งชื่อก่อนดีกว่านะ เพราะจะเรียกกันแบบนี้มันก็ลำบาก เอาชื่ออะไรล่ะ ฉันตั้งให้ไหม” ผมถามในขณะที่ใช้ความคิดในการสรรหาชื่อให้มัน
“อืม”
“แกงเขียว”
“ฮะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอุทานอย่างตื่นๆ ขัดกับบุคลิกที่ดูจะเย็นชา ผมนึกขบขันในใจเกือบจะหลุดหัวเราะด้วยซ้ำ ถ้าเกิดไม่ติดว่าเห็นปืนน่ะนะ
“นี่ของโปรดฉันเลยนะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับชื่อที่จะตั้งให้ฉัน?” ใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชาเริ่มมีร่องรอยความฉงนปนหงุดหงิด ผมยืดอกเสมือนว่าตนเองเหนือกว่าทั้งๆ ที่ในใจกลัวปืนของอีกฝ่าย “ในเมื่อนายคือเงาของฉัน มีในสิ่งที่ฉันชอบมันแปลกเหรอ?”
“…” ดวงตาฉายความเบื่อหน่าย บอกว่าระอากับผมและไม่อยากอธิบายให้ผมฟังเป็นการแก้ เขากลับไปอ่านหนังสืออีกครั้งโดยที่หันร่างไปอีกทาง คงจะรำคาญผมสินะ
“แกงเขียว!” ผมตะคอกเรียก มันได้ผล เจ้าดอปเปลฯ หันมาด้วยสีหน้าที่บอกว่าถ้าพูดอีกทีร่างกายผมสีรูพรุนเพราะลูกกระสุนแน่ จากที่ผมปั้นหน้าบึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเหยๆ ด้วยความหวาดหวั่น
“ขอโทษนะ… เอ่อ ตกลงนายยอมแล้วใช่ไหม?”
“อยากเรียกก็เรียกไปเถอะ แต่ถ้านายแนะนำฉันให้คนอื่นด้วยชื่อนี้ นายตายแน่” น้ำเสียงเริ่มแสดงความอำมหิตจนผมขนลุกเล็กน้อย ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้โดยที่เจ้าตัวหันกลับไปอ่านต่อ ส่วนผมเองก็ไปนั่งทำการบ้านบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเงียบๆ
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงกลางคืน ตอนนี้เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ซึ่งได้เวลาอาหารที่บ้านผมแล้ว ผมเงยหน้าจากสมุดที่เขียนอยู่ไปมองเจ้าแกงเขียว (ชื่อของเจ้าดอปเปลแกงเกอร์ที่ผมตั้งให้) สังเกตถึงหนังสือที่เจ้าตัวอ่านอยู่ก็เห็นว่าเขาอ่านเล่มอื่นแล้วล่ะ ผมมองเขาเงียบๆ ก่อนจะถามขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมห้องอยู่
“หิวยัง? จะได้ไปทำอะไรให้กิน”
“นิดหน่อย แต่กินเลยก็ได้” เขาตอบก่อนจะปิดหนังสือลง แล้วลุกขึ้นเดินมาหาผม ผมลุกจากเก้าอี้ก่อนจะนำเขาไปที่ห้องครัว เมื่อมาถึงผมก็บอกให้เขานั่งก่อนจะลงมือทำอาหาร
“ให้ฉันช่วยไหม?”
จู่ๆ เขาก็ถามจากด้านหลังโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยก็สะดุ้งจนเผลอไข่ตกแตกที่พื้น ผมมองมันก่อนจะหันไปมองตัวต้นเหตุที่ตอนนี้ยิ้มมุมปากเล็กน้อย …หนอย! นั่นมันส่วนผสมที่เรากำลังจะทานนะ ยังทำเป็นเล่นอีก ผมนึกด้วยความเคืองพลางหยิบผ้ามาเช็ด สักพักเจ้าแกงเขียวก็นั่งคุกเข่าแล้วช่วยผมเก็บเปลือกไข่โดยที่ไม่ขอโทษ ผมพยายามไม่ใส่กับเจ้าแกงเขียวเพราะรู้ตัวว่าทะเลาะไปฝ่ายที่แพ้ก็คือผมเอง
น่าเจ็บใจนัก!
“นี่ เจ้าแกงเขียว”
ผมเรียกในขณะที่เก็บผ้าแต่พอหันไปหาอีกฝ่ายก็เผลอกลั้นหายใจ …ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าหน้าที่หันไปนั้นมันอยู่ในระยะประชิดกับใบหน้าของเจ้าแกงเขียวน่ะสิ! ไม่ได้ห่างกันสองนิ้วด้วย แต่จมูกมันชนกันเลยต่างหาก ดวงตาสีเทาที่ยากจะคาดเดาสบตากับผมนิ่งๆ ผิวขาวที่ออกซีดนั้นยิ่งทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวา มือที่ขาวซีด แห้งและเย็นของเขายื่นมาทาบอกของผมก่อนจะปลดกระดุมเม็ดหนึ่งแล้วล้วงเข้าไปทาบกับอกที่ภายใต้นั้นหัวใจกำลังเต้นแรง ผมไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ที่รู้ๆ มันเต้นแรงมาก ใบหน้าและร่างบางส่วนก็ร้อนอย่างน่าประหลาด ยิ่งพอผ่านยอดอกนี่ไม่ต้องพูดถึง อีกฝ่ายลูบไปมาจนเมื่อพอใจแล้วถึงเอามือออกโดยที่ผมยังคงนั่งนิ่งๆ ดวงตาเบิกค้างเพราะตกตะลึง
“อุ่น… รู้สึกหลังๆ นี่จะร้อนขึ้นด้วยนะ” พอเจ้าแกงเขียวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบ ผมก็ได้สติ ผมไม่รอช้าตวาดถามทันทีโดยที่ใบหน้ายังคงร้อนอยู่
“เมื่อกี้ทำอะไรของนายน่ะ!”
“แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าร่างกายเจ้าของเงาจะอุ่นไหม”
“ทำแบบนี้ลวนลามชัดๆ” ผมกล่าวแล้วหันหน้าหนีพลางติดกระดุมเสื้อก่อนจะลุกขึ้นไปทำอาหารต่อ เห็นแวบๆ ว่าอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นตามโดยไม่เดินไปนั่ง ผมเสียวๆ บอกไม่ถูก กลัวว่าเจ้าแกงเขียวจะทำมิดีมิร้ายอีก …และก็เป็นไปตามคาด เจ้าแกงเขียวเข้ามากอดผม อุณหภูมิต่ำของเขาแผ่ไปทั่วหลังของผมจนรู้สึกขนลุก ผมยืนนิ่งไปกล้าทำอะไรในขณะที่ถือช้อนที่ไว้คนไข่ ไม่กล้าหายใจ บรรยากาศน่าอึดอัดและหวาดผวา ริมฝีปากหยาบแห้งเย็นๆ นั้นไล้ไปตามคอ หัวใจของผมเต้นแรงจนยากจะสงบ
…นี่ไม่ใช่ว่า… ผมจะเสียความบริสุทธิ์ทั้งๆ ที่เป็นเด็กประถม ถึงจะผู้ชายด้วยกันก็เถอะแต่มันไม่สมควรนะ!
“หยุดทำอาหารแล้วมาให้ฉันสัมผัสดีกว่าน่า”
พลั่ก!
ผมหันไปแล้วผลักเจ้าแกงเขียวออกโดยที่ไม่กลัวว่าเขาอาจจะเอาปืนมายิง ผมเหลือบเห็นว่าในมือเขาถือโซ่อยู่ซึ่งไม่รู้ว่าเอามาจากไหนและหยิบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมองมันอย่างหวาดหวั่นก่อนจะก้าวเท้าเพื่อวิ่งออกจากห้อง ทว่าไม่เป็นผลเมื่อโซ่พุ่งเข้ามาพันร่างจนเผลอล้มลงไป
โธ่เอ๊ย! ถ้าติดว่าไม่อยากมีประวัติไม่ดี ฉันหยิบมีดมาฟันแกแน่!
เจ้าแกงเขียวเดินเข้ามาหาพร้อมกับบรรยากาศน่ากลัว รู้สึกว่าอากาศในห้องหายไป เหงื่อเริ่มไหล หัวใจเต้นรัว ในใจร่ำหาผู้ให้กำเนิดๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าทั้งสองท่านไม่รู้ว่าลูกตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายและถึงรู้ก็กลับมาช่วยไม่ทัน แต่อย่างว่าแหละ คนเราพอตกที่นั่งลำบากก็มักจะนึกถึงผู้ให้กำเนิดเป็นส่วนใหญ่โดยหวังว่าจะมาช่วยเราได้
…เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่ะ
ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ ที่มาเพิ่มช้าจนจะข้ามปี (แถมยังสั้นอีก จริงๆ แล้วเรื่องนี้หนูแต่งเล่นๆ นะคะ เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่) เนื่องจากไม่ค่อยมีกระจิตกระใจแต่งเรื่องนี้นัก แล้วไปแต่งอีกเรื่องที่แต่งบ่อยๆ บวกกับทำงานอดิเรกแล้วขึ้นมัธยมแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลานัก
มีเรื่องจะบอกค่ะ คำว่า Doppelganger ซึ่งหนูเขียนว่าดอปเปลแกงเกอร์นั้นแล้วมีสมาชิกท่านหนึ่งบอกว่าเขียนผิด จริงๆ มันสามารถเขียนคำอ่านได้ไม่แน่นอนค่ะ จากการที่หนูไปตั้งกระทู้ถามในเว็บเด็กดี ทุกท่านที่ตอบก็ล้วนบอกประมาณว่าเขียนตามที่ตนเองอ่าน ซึ่ง Doppelganger นั้นก็อ่านแตกต่างกันไป เผลอๆ มีแบบตามสำเนียงของแต่ละที่ด้วย ฉะนั้นแล้วก็ต้องใช้แบบนี้ต่อไปค่ะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ สำหรับทุกท่านที่ติดตามนะคะ
---------------------------------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ