ร้ายเพ(ร)าะรัก
10.0
เขียนโดย giffgiw
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.42 น.
5
1 วิจารณ์
8,191 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 16.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4 ข้อตกลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 4 ข้อตกลง
อีตาทามพาฉันมาที่บ้านหลังหนึ่ง มันไม่ใหญ่มากเป็นบ้านชั้นเดียวสไตล์เท่ๆ โทนสีเทาขาวทั้งหลัง มีสนามหญ้าและสวนหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดโทนสีเทาขาวถึงมันจะดูเข้มแข็งแต่ช่วงเวลาหนึ่งฉันกลับรู้สึกว่ามันอ่อนแอและเศร้าหมอง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากเขากับฉัน และเจ้าหมาโกลเด้นตัวโตที่มีบ้านของตัวเองตั้งเด่นหรูหราอย่างเป็นสัดส่วน
ตาบ้านั่นบอกให้ฉันถอนหญ้าที่ขึ้นไม่เป็นที่ด้วยมือเปล่ากลางแดดเปรี้ยงๆ ในขณะที่เขานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในสวน มีโกลเด้นตัวโตนอนอยู่ข้างๆ
“เธอมองอะไร ถอนหญ้าไปสิ หรือจะกินก็ได้นะ”
“...จิ๊!”
ฉันถอนหญ้าอย่างกับคนบ้า ไม่สนใจว่าอะไรจะบาดมือ หรือเป็นแผลแค่ไหน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเจ็บไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่เจ็บใจ
“เสร็จตรงนั้นก็อาบน้ำให้ฮีโร่ด้วย”
“ต้องอาบน้ำให้ด้วยเหรอ!” นี่เขาอาบเองไม่เป็นหรือไง โตเป็นวัวขนาดนี้แล้วเนี่ย
“มีปัญหาหรือไง ...อุปกรณ์อาบน้ำวางอยู่ที่นั่น”
เขาชี้ไปที่ลานเล็กๆ ทำด้วยแผ่นหินข้างๆ สวน มีสายยาง มีแชมพูอาบน้ำสุนัขตั้งอยู่
อ้าว! อาบน้ำเจ้าหมาอ้วนนั่นหรอกเหรอ (แอบเสียดาย)
“ฮึ่ย! สั่ง สั่ง สั่งให้ตายไปเลย”
“ที่จะตายน่ะ ...เธอ” ฉันพูดเบามากเลยนะ เขาได้ยินมันได้ไง “ถ้าทนไม่ไหว ก็รีบพูดความจริงซะสิ”
เขาพูดประโยคนี้ซ้ำๆ หลังจากบีบบังคับให้ฉันทำโน่นนี่นั่น หาเรื่องสารพัดให้ฉันคลุ้มคลั่ง ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการตัวใคร และคงไม่มีวันทำสำเร็จเพราะฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันเป็นแค่ผู้เคราะห์ร้าย เข้าใจไหมอีตาจอมมารหนังจีนบ้า ไอ้คนไม่มีสมอง! “ความจริงบ้าบออะไร ไม่มีอะไรจะจริงไปกว่าที่บอกไปแล้วว้อย นายมันบ้า!”
“ฮีโร่ ฉันเพิ่งรู้ว่าแกชื่อ ฮีโร่นะเนี่ย” ฉันจัดการจับเจ้าฮีโร่ตัวโตมาสถานที่จัดเตรียมไว้สำหรับอาบน้ำ มันลำบากมากเลยเพราะเจ้าอ้วนนี่มันหนักและตัวใหญ่ ...ทุลักทุเลสุดๆ
“อย่าหนีนะ หยุดวิ่งเซ่ ไอ้หมาอ้วน” การอาบน้ำครั้งนี้มันเหมือนวิ่งไล่จับซะมากกว่า ดูเหมือนว่าไอ้หมาอ้วนนี่มันจะชอบซะด้วยสิ “อย่าสะบัดนะ อยู่นิ่งๆ สิเจ้าอ้วน ฉันเปียกไปหมดแล้วเนี่ย หยุดฮีโร่!”
ฉันจัดการฉีดน้ำในขั้นตอนสุดท้ายในการอาบน้ำเพื่อล้างฟองออกจากตัวมัน ที่พยายามวิ่งวนไปทั่วอย่างสนุกสนาน แต่ฉันเหนื่อยจนหอบแล้วว้อย
“ว้าย!” ...นี่ไม่ใช่เสียงร้องของฉัน
ผู้หญิงผมยาว รูปร่างผอมบางตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักแก้มชมพูระเรื่อ ผิวขาวละเอียดเหมือนผิวเด็ก น่าทะนุถนอม ยืนเปียกม่อลอกม่อแลกทั้งตัว เดรสสีขาวของเธอลู่ลงตามน้ำเพราะฝีมือฉันเอง
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“เกิดอะไรขึ้น!” อีตาทามวิ่งตรงเข้าไปหาเธอก่อนจะเช็ดน้ำออกจากแก้มขาวๆ นั่น “เธอทำบ้าอะไรเนี่ย ยัยบ้า!”
และแน่นอนว่าประโยคสุดท้ายเขาหันมาโวยฉันเสร็จสรรพ ...ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ
“พี่คะ ใจเย็นก่อนสิทำไมต้องดุพี่สาวด้วยล่ะ” รอยยิ้มของเธอช่างอ่อนโยน งดงามดั่งดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ...เธอช่วยฉันไว้ด้วยเสียงหวานๆ นั่น
ฉันเบ้ปากหมั่นไส้อีตาทาม เพราะหมอนั่นกำลังถอดเสื้อนอกของเขาคลุมให้เธอ
เมื่อจัดการอาบน้ำเจ้าอ้วนเรียบร้อย ตอนนี้ก็เหลือแค่เป่าขนให้แห้ง
สองคนนั้นเดินเข้าไปในบ้าน ...สักพักแล้วล่ะ เรื่องของเขาสิ ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย ชิ!!!
“พี่เป็นใครเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คะ”
ฉันเงยหน้าไปตามเสียงหวานๆ ที่ได้ยิน ตอนนี้เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตของอีตาทามเพียงตัวเดียวมันก็ยาวถึงเข่า
“อ๋อ... คือ”
“ออกมาข้างนอกจะเป็นหวัดเอานะ” ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนหรอกนอกจากจอมมารชั่ว เขาโผล่เข้ามาก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร กะว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้น้องเสียงหวานฟังแล้วพาฉันออกจากนรกนี่ซะหน่อย ว่าแต่น้ำเสียงอ่อนโยนของอีตานี่มันน่าคลื่นไส้ชะมัด ...คงเพราะฉันกับเขาตะคอกใส่กันมากกว่าจะคุยกันปกติล่ะมั้ง
“ลี่แค่มาคุยเล่นน่ะค่ะ ว่าแต่พี่สาวคนนี้เป็น...”
“เธอเป็นคนใช้น่ะ” ...เฮอะ! คนใช้! ฉันเป็นคนใช้เมื่อไรยะ!!
“จากบ้านใหญ่เหรอคะ”...จากบ้านใหญ่ของเธอนี่หมายถึงอะไร มีบ้านใหญ่บ้านน้อยด้วยเหรอเนี่ย
“อ่ะ... ดื่มนมอุ่นๆ ก่อน” เขาไม่ได้ตอบคำถามของน้องเสียงหวาน ...ฉันมองเธอรับแก้วนมจากมือของอีตาทามอยู่แว็บหนึ่ง ก่อนจะก้มลงเป่าขนคุณฮีโร่ต่อ “พี่ว่าเราเข้าไปคุยในบ้านจะดีกว่า”
ดี ไปคุยกันไกลๆ ฉันจะดีมาก น่ารำคาญ
“เธออาบน้ำเจ้าฮีโร่เสร็จแล้ว ทำไมพี่ไม่บอกให้เธอออกไปจากบ้านล่ะคะ” คำถามแบบนี้เหมือนเธอจะไม่ชอบให้ฉันอยู่ที่นี่เลยแฮะ
“เธอเป็นคนใช้ที่นี่” อีตาทามโอบไหล่คนร่างบางหลวมๆ ก่อนที่จะตวัดสายตามาหาฉัน “ตัดแต่งต้นไม้ในสวนด้านโน่นด้วย บันไดกับกรรไกรอยู่ในห้องเก็บของหลังบ้าน ...ไปสิ! นั่งโง่อยู่ได้”
น่ะ นั่ง โง่!!! เขาด่าฉัน
ฉันจ้องผู้ชายนิสัยเสียปากไม่ดีด้วยหางตาก่อนจะกระแทกเท้าเดินไปห้องเก็บของที่ว่า เพื่อหาบันได และกรรไกรตัดแต่งกิ่งออกมา ก่อนจะเริ่มจัดการกับไอ้กิ่งไม้หน้าบ้านที่ดูยังไงก็ไม่มีส่วนไหนให้แต่ง แต่ฉันก็จะทำแกให้สวยเช้งไปเลย นี่แน่ะๆ
“กรี๊ดดด!”
ฉันหลับตาทิ้งทุกอย่าง ปล่อยตัวเองร่วงลงมาจากบันไดขั้นบนสุดเพราะตกใจกลัวหนอนตัวอ้วนน่าเกลียดน่ากลัว ยึ่ย! ว่าแต่...ทำไม ทำไมไม่เจ็บเลยล่ะ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“...!” ยิ้มเจ้าชาย... เขาวางฉันลงอย่างเบามือ “ขอบคุณค่ะ”
“พี่ภู” เสียงหวานๆ ดังขึ้น แต่ไม่ใช่เสียงของฉันอีกเช่นเคย
“อ้าวเยลลี่! อยู่ที่นี่เหรอ”
อ๋า!... เธอชื่อเยลลี่หวานสมชื่อจริงๆ แฮะ ว่าแต่...ทำไมทุกคนดูอ่อนโยนกับเด็กคนนี้จัง ยิ้มเจ้าชายผู้แสนอ่อนโยนยิ่งดูอ่อนโยนเป็นสิบเท่า
“พี่ภูมาตั้งแต่เมื่อไร”
“แกมาช้านะ” อีตาทามทักเขา ก่อนจะหันมาเหน็บฉัน “ไปทำงานต่อได้ละ ฉันรู้ทันมารยาของเธอ”
ไอ้ผู้ชายนิสัยไม่ดี! ฉันเกลียดแก เกลียดๆๆ
พวกเขาสามคนหายเข้าไปในบ้านอยู่นานพอสมควรเลยล่ะ ก่อนจะออกมาอีกครั้งและเดินไปที่หน้าบ้าน ดูเหมือนว่ายิ้มเจ้าชายและน้องเยลลี่จะกลับกันแล้ว
ยิ้มเจ้าชายมองหาฉันหรือเปล่านะ เขาหันไปหันมาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้ฉันอยู่หลังพุ่มไม้ ...ก็มันเหนื่อยแล้วอะ
เฮ้อออ... ว่าแล้วก็หันหลังพิงรั้วอย่างหมดแรงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอีตาจอมมารจะหาเรื่องอะไรฉันอีก
...หิวจัง
“เฮ้!!! ใครอนุญาตให้เธอหยุดพัก”
“ก็ฉันทำเสร็จแล้ว ...จะโวยวายเสียงดังทำไม” ฉันยืนขึ้นพูดเสียงเอื่อยๆ สงสัยจะเริ่มชินกับความดิบเถื่อนของหมอนี่ซะแล้ว
“เก็บของแล้วตามมาที่รถ”
ทำไมฉันต้องตามนายไปด้วย... ฉันแกล้งไม่สนใจที่เขาพูด คนกำลังหิว อารมณ์ไม่ดีด้วย วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่าแก้วเดียว
“หูหนวกรึไงวะ!!!”
“อะไรเล่า!” ฉันตะโกนกลับไปทันทีที่เสียงของเขาดังทะลุทะลวงแก้วหูฉัน
“ฉันสั่ง เธอต้องทำ หรือจะให้ฉัน...” นัยน์ตาสีดำของเขามันทำให้ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกถึงไขสันหลัง ยะ อย่านึกว่าฉันจะกลัวนะ
กรรไกรตัดแต่งกิ่งในมือฉันจ่อไปที่อีตานั่นทันทีที่เขาเดินใกล้เข้ามาทุกที ...ทุกที
“แทงเลยสิ” ตอนนี้ปลายแหลมของกรรไกรอยู่ห่างจากเขาแค่อึดใจเดียว “ลังเลทำไม แทงสิวะ!!!”
“ถอยไปนะ ไม่งั้นฉันจะ ...กรี๊ดดด” ฉันหลับหูหลับตากรี๊ดทันทีที่หมอนั่นตรงดิ่งเข้ามาเร็วๆ ...ฉันแทงเขาตายไปแล้วใช่ไหมเนี่ย อ๊ากกก... ตายๆๆ ฉันฆ่าคนตาย
ฉันหายใจถี่ๆ ทำใจกับโศกนาฏกรรมและค่อยๆ ลืมตาทีละข้าง ...แต่
“หึ! นึกว่าจะแน่” เขากระชากกรรไกรออกจากมือฉัน ก่อนจะโยนมันทิ้งไป “เก็บของแล้วตามไปที่รถ ไปเซ่!!!”
“นี่!! เมื่อไรจะเลิกตะโกนใส่หูฉันสักที”
“เธอไม่รู้จริงๆ เหรอ...” แววตาเจ้าเล่ห์มาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกหวั่นๆ
“ถอยไปนะ” ฉันยกมือตั้งการ์ดพร้อมสู้
“ฉันจะเข้าไปบอกเธอใกล้ๆ ...เธอไม่ชอบให้ฉันตะโกนไม่ใช่รึไง” เขาขยับเท้าเข้ามาหาฉันช้าๆ โดยไม่ได้คิดจะเกรงใจกำปั้นเล็กๆ ของฉันสักนิด
“ไม่ต้อง ฉันไม่อยากรู้” ขาของฉันก้าวถอยหลังตามจังหวะที่เขาก้าวเข้ามา แต่...
“แกมาที่นี่ทำไม” อีตาทามละสายตาและหันไปพูดกับใครอีกคนด้านหลังฉัน ฮู่ววว!...อีกแค่ก้าวเดียวของเขาก็จะประชิดตัวฉันอยู่แล้ว
“บ้านนี้สวยกว่าที่คิดอีกนะ” ฉันหันหลังกลับไปมองหน้าประตูรั้วพร้อมกับต้นเสียงของคนแปลกหน้าที่
ดังขึ้น
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในชุดเสื้อโปโลกางเกงวอร์ม แต่ลักษณะท่าทางกลับดูสง่าอย่างกับพวกคุณหนูคุณชายไม่มีผิด ดูกวนประสาทเพราะคิ้วเข้มเท่ๆ นั่น ผู้ชายอะไรหน้าตาน่ารักไม่เบาเลย เขายืนพิงรถจักรยานอยู่นอกรั้วบ้านมีรอยยิ้มบางๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ...จะว่าไปเขาเหมือนพี่บิ๊ก(ดีทูบี) มองอีกทีเหมือนชินจังแฮะ
“ไปซะ!” อีตาทามผู้ไม่เคยเป็นมิตรกับใครจ้องหน้าคนแปลกหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ไปให้พ้นหน้าฉัน”
“พูดอะไรอย่างนั้น ลืมแล้วรึไงว่าฉันเป็นพี่ชายนายนะ” ชายแปลกหน้าพูดขึ้นขณะที่ตาของเขาจ้องมองไปที่อื่น ไม่ได้มีท่าทีตกใจกับเสียงตวาดเลยแม้แต่น้อย
พี่ชาย... พวกเขาเป็นพี่น้องกัน
“นายไม่ใช่พี่ฉัน!!!”
อ้าว! ตกลงใช่หรือไม่ใช่กันแน่
“...แย่จัง” คนคิ้วเข้มตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ...ฉันว่าเป็นยิ้มที่กวนโมโหมากกว่า
“ไปขึ้นรถ!” อีตาทามหันมาสั่งฉันซะงั้น
“...แต่”
“ฉันบอกให้ไปขึ้นรถไง!” เขาพาลใส่ฉัน ให้ตาย...อีตานี่!
“...” ฉันค้อนแบบเซ็งๆ ใส่เขาและเดินมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถนอกรั้วเล็กๆ ของบ้าน ฉันเดาว่าหมอนั่นคงไม่อยากให้ฉันอยู่ตรงนี้
ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวผ่านชายคิ้วหนาที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายตาบ้าทาม อยู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาจับข้อมือและจ้องหน้าฉัน ดูเหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง “เธอ...”
“คะ?” จะ...จับฉันไว้แบบนี้คงไม่ดีมั้ง...
“ทำบ้าอะไร!!!” อีตาทามกระชากมือของฉันออกจากผู้ชายคิ้วหนา และหันไปผลักอกจนเขาคนนั้นเซไปด้านหลัง ...แต่คนที่เจ็บคือฉันนะ ตาบ้า! ...แขนฉันไม่ใช่ที่สตาร์ทรถไถนะเว้ย
“ปล่อยฉันนะ นี่!! ปล่อยสิ ฉันเจ็บ” ฉันพยายามแกะมือตัวเองที่ถูกเขาจับเอาไว้ จับแรงขนาดนี้ไม่เอามีดมาสับให้ขาดไปเลยล่ะ
“ขึ้นรถ!!”
“รู้แล้ว ปล่อยสิ!” เขากระชากลากดึงฉันมาที่รถสปอร์ตของเขาก่อนจะเหวี่ยงฉันเข้าไปนั่ง “ฉันเจ็บ ปล่อย โอ้ย!”
ปึง! ปิดประตูรถกระแทกเสียงดัง ...หัวแทบจะฟาดกับพวงมาลัยรถแน่ะ ไอ้บ้าเอ้ย! เขาเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับพร้อมสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องออกตัวอย่างรวดเร็ว
ฉันมองเห็นชายแปลกหน้าร่างสูงหน้าตาน่ารักๆ แลดูกวนประสาทผ่านกระจกข้างรถ เขายังยืนอยู่ที่เดิมขณะที่อีตาทามกำลังขับรถออกไปด้วยความเร็วที่ฉันพยายามปรับตัวให้ชิน... แต่มันเร็วเกินไปแล้ว มือของฉันเริ่มกำแน่น ไม่กล้าลืมตามองทาง จะพาฉันไปลงนรกขุมไหนถึงได้ขับไม่คิดชีวิตแบบนี้
เอี๊ยดดด!!! ...ฉันจะตายไหมเนี่ย? พอเสียงเบรกดังสะเทือนหัวใจเงียบลง ฉันก็ค่อยๆ ลืมตามองเมื่อรู้สึกว่ารถหยุดนิ่ง
“รอให้ฉันอุ้มเธอลงไปรึไง”
“...” ฉันหันไปถลึงตาใส่คนที่พยายามพูดจาหาเรื่องทุกครั้งที่เริ่มบทสนทนา เขาถอนหายใจออกมาพร้อมกับที่ฉันเปิดประตูออกมาจากรถ
...เขาพาฉันมาทำอะไรที่ซูเปอร์มาร์เก็ต?
“ไปเลือกซื้ออาหารสด เพราะต่อไปเธอต้องทำอาหาร...ที่กินได้” อีตาทามย้ำคำว่า ’ที่กินได้’ แถมส่งสายตามาพิฆาตฉันสุดๆ เชอะ! อาหารที่ฉันทำไม่ใช่แค่กินได้แต่มันอร่อยมากกก! เพราะฉันเป็นศิษย์เอกของยายเชียวนะ แต่เรื่องอะไรฉันต้องทำให้นายกิน “ออ... แล้วก็เลือกของใช้จำเป็นของเธอด้วย ฉันจ่ายให้”
...ชิ! ‘ฉันจ่ายให้’ น้ำเสียงของนายเต็มใจม๊ากมากกก
“ไม่จำเป็น...” ...ทำไมต้องซื้อเพราะฉันไม่เคยคิดจะอยู่กับนาย...เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีทางออก
“ถ้าเธอเน่าอยู่ในชุดเดิมๆ มันจะทำให้ฉันหงุดหงิด จากนั้นร้านยายเธอคงไม่เหลือซาก”
“...” ฉันหันขวับไปมองหน้าอีตาจอมมารทามอย่างหาเรื่อง ก่อนจะเม้มริมฝีปากกัดฟันแน่นเพื่อข่มอารมณ์ “งั้นฉันจะกลับไปเอาที่บ้าน”
“...” สายตาเฉือดเชือนแบบนั้น ...ฉะ ฉันไม่ได้กลัวนะ
“ก็ได้!” ฉันกลัวว่าไอ้บ้านี่จะทำอะไรยายฉันอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ ถึงยอม
“หึ! พูดรู้เรื่องก็ดี เพราะฉันเริ่มรำคาญละ”
เฮอะ!!! แล้วฉันไม่รำคาญนายรึไงยะ
ฉันลากรถเข็นเดินนำหน้าเขาไปโซนข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้หญิง หยิบนั่นนี่โน่นตามใจชอบเลือกเฉพาะของที่จำเป็นมากกก! และแพงที่สุดเท่านั้น แต่อีตาบ้านั่นไม่ยักจะสั่นสะท้านแถมไม่คัดค้านสักคำ
ดี! รวยนักใช่ไหม!!
...ฉันเหล่มองหน้านิ่งๆ ของเขาที่ยืนกอดอกทำเท่อยู่ไม่ไกลนัก พอเลือกของใช้ครบฉันก็เดินไปฝั่งอาหารสดเพื่อนำพวกมันกลับไปทำอาหารที่กินได้ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เลือกหรอกเห็นอันไหนก็จับโยนๆ ใส่รถเข็นไปเรื่อยตามอารมณ์หงุดหงิด
“ยกเว้นไอ้นั้น”
“...” พอฉันเอื้อมไปสัมผัสแครอทเท่านั้นแหละ เสียงทุ้มต่ำที่เงียบไปนานก็ดังขึ้น ฉันหยิบแครอทขึ้นมาแล้วหันไปมองหน้าเขาเพราะต้องการรู้เหตุผลว่าทำไมต้องยกเว้น
“เธอสามารถใช้ผักทุกอย่างได้ ยกเว้นนั่น”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันสั่ง เธอทำ ไม่ต้องถามแล้ววางมันลง ถ้าไม่อยากตาย”
ฉันคิดว่าฉันต้องทำอะไรสักอย่าง... กับเรื่องสั่งๆ ทำๆ รู้สึกมันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว
“...” ฉันวางแครอทลงตามเดิม ก่อนจะตัดสินใจพูดกับหมอนี่อีกครั้ง “ก็ได้! งั้นเรามาตกลงกัน”
“เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ” ...สิทธิ์สามสิบบาทรักษาทุกโรคก็ไม่ได้เหรอ
คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้กับสิ่งที่ตาเฟรมทำ ถึงแม้... น้องฉันผิดจริงเรื่องรถนั่น แต่...สิ่งที่นายทำมันก็เกินไปแล้วเหมือนกันนะ
“งั้นแสดงว่านายปรักปรำฉัน” ...เพราะฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุของพี่โย
“ฮึ! ปรักปรำ”
“จากนี้ไปสามเดือนฉันจะทำงานชดใช้ค่าเสียหายเรื่องรถนาย มันอาจจะเทียบไม่ได้กับรถแพงๆ นั่น แต่ฉันถูกใส่ร้ายเรื่องนั้น... ถ้านายไม่มีหลักฐานว่าฉันทำผิดจริงหลังจากนี้สามเดือนสิ่งที่น้องฉันทำจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนเรื่องที่นายใส่ร้ายฉันก็เจ๊ากันไป ฉันเองก็จะไม่ติดใจอะไรกับสิ่งที่นายทำ ถือว่าเป็นการเข้าใจผิด ต่อจากนี้ฉันจะช่วยหาหลักฐาน ตกลงไหม?”
“หลักฐานมันก็คาคอเธออยู่นั่นไง เพียงแต่เธอมันพวกผู้ร้ายปากแข็งมารยาสาไถย”
“สิ่งที่ทำให้ผู้ร้ายดิ้นไม่หลุดต่างหากคือหลักฐานที่แท้จริง ...กลัวแพ้หรือไงถึงไม่กล้ารับข้อเสนอ”
“ได้! ถ้าฉันชนะ ...เธอจะได้ตั๋วทัวร์นรกไปไม่กลับ”
“ถือว่าตกลงแล้วนะ” ฉันคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่ต่อรองกับเขาแบบนี้ ทำไมรู้สึกหวั่นๆ ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแบบนี้ เซ็งชะมัดเลย
หลังจากที่ทามและเพลงเลือกซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมาที่บ้านปลายน้ำอีกครั้งโดยที่ไม่ได้มีการสนทนาใดๆ อีกเลย ระหว่างทางเพลงนั่งอมยิ้มกับแผนดีๆ เกี่ยวกับแครอทที่เธอแอบใส่ในรถเข็นก่อนจ่ายเงิน แน่นอนว่าทามไม่รู้เรื่องนี้
“สวัสดีครับ” พอลงจากรถ คนที่รออยู่หน้าบ้านก็ค้อมศรีษะทักทายทามอย่างนอบน้อม
“คาโตะซัง รอนานแล้วเหรอครับ” ทามพยักหน้ารับคำทักทายนั้น
คาโตะคือคนดูแลทามมาตั้งแต่เป็นเด็กชายที่เริ่มจำความได้ ก่อนที่พ่อของทามจะเสียชีวิต ชายสูงวัยคนนี้ทำงานให้พ่อของเขามานาน เป็นเหมือนคนสนิท เป็นผู้ช่วย เป็นที่ปรึกษา เป็นอะไรหลายๆ อย่าง ยิ่งกว่าคนในครอบครัวเดียวกันที่จะสามารถให้ความไว้วางใจได้ ...แต่สำหรับทามแล้วคาโตะคือคนที่เขาเชื่อมั่นยิ่งกว่าครอบครัวของตัวเองซะอีก
“เอาของลงจากรถ แล้วก็ไปทำงานที่ค้างไว้ซะ อ้อ! เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหาร ...ไปสิ! ยืนสมองกลวงอยู่ได้” ทามหันไปสั่งเพลงที่ยืนชำเลืองมองคาโตะอย่างสงสัย
เพลงอดทนอดกลั้นบังคับใจตัวเองไม่ให้มีปากมีเสียงเพราะตั้งใจทำตามข้อตกลงที่พูดไว้ แอบเสียดายที่วันนี้ยังไม่ได้ทำเมนูแครอทแก้เผ็ดอย่างที่วางแผนไว้จึงทำได้แค่ล้อเลียนท่าทางประชดประชันทามลับหลังอย่างหมั่นไส้ คาโตะอมยิ้มมองท่าทางของเธออย่างขบขัน เพลงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แก้เขินกลับไป เธอโค้งตัวอย่างรวดเร็วเพราะไม่ได้ตั้งตัวที่คาโตะโค้งทักทายให้เธอก่อน จากนั้นเขาก็เดินตามทามเข้าไปในบ้านพร้อมกระเป๋าเอกสารในมือ
“เธอคือคนที่คุณหนูให้ผมไปสืบใช่ไหมครับ”
“อืม... เป็นคนๆ เดียวกับในรูปที่ผมเจอ”
“ถึงว่าผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอ” เสียงแหบพร่าของชายสูงวัยพูดพลางปิดประตูห้องที่ทามเปิดเข้าไปก่อน มันคือห้องหนังสือที่เขาชอบหมกตัวเองอยู่ในนี้ถ้าไม่มีธุระที่ไหน
“นั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณครับคุณหนู”
ทามรอจนกระทั่งคาโตะนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ “...วันก่อนยายของยัยนั่นไม่เป็นไรใช่ไหมคาโตะซัง”
“ครับ ก่อนหน้านั้นคนของเราแกล้งบอกว่ากำลังถ่ายหนัง เธอจึงไม่ได้ตกใจอะไร ผมให้คนทำความสะอาดและจ่ายค่าเสียหายเรียบร้อยแล้วครับ”
“อือ... นอกจากข้อมูลคราวก่อน มีอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้บ้างไหม” ทามหยิบรูปที่เพลงถ่ายคู่กับโยขึ้นมาก่อนจะเงยหน้าสบตากับชายมีอายุตรงหน้า
“นิดหน่อยครับ เธอเรียนอยู่ที่เบอริเทจปีสุดท้าย น่าแปลกที่ได้ทุนเพราะผลการเรียนปานกลาง เป็นทุนจากภายนอกไม่เปิดเผยบุคคลผู้ให้ทุน”
“งั้นเหรอ...”
“ผมขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักที่สามารถสืบเรื่องพวกนี้ได้แล้วครับ กว่าจะได้ข้อมูลอาจจะนานหน่อยเพราะเป็นข้อมูลลับ ส่วนเรื่องนาฬิกา” คาโตะหยิบรูปผู้ชายหน้าตี๋หล่อเหลาคนหนึ่งพร้อมกับนาฬิกาผู้ชายแบรนด์ดัง ของทั้งหมดถูกวางไว้ตรงหน้าทาม นาฬิกาเรือนนี้ คือสิ่งที่โรงพยาบาลคืนให้หลังเกิดอุบัติเหตุกับโย มันถูกรวมอยู่กับของมีค่าอื่นๆ ทามมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของโย “นาฬิการุ่นนี้มีทั้งหมดสามเรือนในโลก ส่วนเจ้าของเรือนนี้คือ อาเทม ทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในไต้หวันครับ”
“ได้ตัวไอ้หมอนี่รึยัง” ทามเบิกตากว้างทันทีที่รู้ชื่อเจ้าของนาฬิกา เพราะเขาคิดเสมอมาว่าเจ้าของนาฬิกาเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุของเพื่อน
“ยังครับ รู้แค่ว่าเขาท่องเที่ยวไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่เคยอยู่เป็นที่”
“เวรชิบ!” ทามสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“ผมส่งคนไปบ้านเกิดของเขาที่ไต้หวัน อาจจะได้ข้อมูลจากคนในครอบครัวไม่มากก็น้อยครับ”
“เดี๋ยวนะ! หมอนั่นเป็นเศรษฐีเหรอ ...บางทีคนที่ให้ทุนและผู้ชายคนใหม่ของยัยนั่นอาจเป็นไอ้เจ้าของ
นาฬิกานี่ก็เป็นได้” ทามหยิบรูปของนายหน้าตี๋เจ้าของนาฬิกาเรือนแพงวางใกล้ๆ กับรูปของเพลง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบโดยไม่เงยหน้า “ต่อให้หมอนี่มุดหัวอยู่รูไหนบนโลก ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยัยนี่ยังไง”
“ครับคุณหนู”
พวกเขาคุยกันเรื่องงานอื่นๆ อีกนิดหน่อยก่อนที่คาโตะจะขอตัวกลับ แต่ทามยังคงนั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ และคิดแผนการที่จะทำให้เพลงยอมจำนนต่อหลักฐาน เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในลิ้นชักออกมา เปิดค้างไว้ที่กลางเล่มอ่านข้อความในแผ่นกระดาษที่สอดอยู่ เป็นจดหมายที่เขาคิดว่าผู้หญิงของโยเป็นคนเขียนทิ้งไว้ก่อนเกิดอุบัติเหตุ มันถูกพบอยู่ในห้องพักบนชั้นสองของร้านทูเก็ทเทอร์คลับ หลักฐานทั้งหมดนี้ทำให้เขาและเพื่อนๆ เชื่อว่าเรื่องที่เกิดกับโยไม่ใช่แค่อุบัติเหตุอย่างที่ตำรวจสรุปคดี
“ถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าเธอเขียนจดหมายนี้ ดิ้นไม่หลุดแน่ ...ยัยสมองกลวง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ