Castlevania - The Rancor's Funeral
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ 4 - ตำนานเจ้าแห่งความมืด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ--- สำนักงานใหญ่องค์กร VADET ---
“ยินดีต้องรับกลับนะ บอส”
ชายรุ่นลุงคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับหัวหน้าของตนที่เพิ่งผ่านประตูเข้ามา
“เคยบอกแล้วนี่ว่าไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไรแบบนี้น่ะ มัลโก้”
เก็นยะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กับมัลโก้ ชายรุ่นลุงที่มีผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงและแซมด้วยผมหงอกประปรายราวกับว่าไม่เคยได้รับการใส่ใจเลย ซึ่งเมื่อควบคู่ไปกับเสื้อกาวน์สีขาวของเขาที่เลอะเทอะไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่ผสมปนเปกันจนไม่อาจแยกออกได้ว่าเลอะอะไรบ้าง ถ้าหากคนที่ไม่คุ้นเคยได้มาเห็นลุงคนนี้เข้า คงจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นตาลุงซกมกและดูไม่น่าไว้ใจอย่างแน่นอน
“แหมๆ~ ยังไงบอสก็เป็นหัวหน้านี่นา ให้ความเคารพกับหัวหน้าตัวเองก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ” มัลโก้หัวเราะแหะๆ อย่างร่าเริงแล้วหยิบบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อมาคาบไว้ก่อนที่จะหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่นั้น
“การพัฒนา TH-444 เป็นยังไงบ้าง?” เก็นยะตัดบทแล้วถามถึงงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่
“ก็ได้ตามที่คาดไว้ประมาณครึ่งนึงล่ะครับ” มัลโก้หยิบบุหรี่พร้อมกับพ่นควันออกมา “แต่ความทนทานของมันยังไม่ดีพอเท่าไหร่ ทดลองไปแค่ 100 ครั้งก็เกิดรอยร้าวซะแล้ว เลยกำลังคิดลงความเห็นกันอยู่ว่าจะเสริมความแข็งแกร่งยังไงที่ไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักจนมากเกินไปน่ะ”
“งั้นเหรอ…เหนื่อยแย่เลยนะ”
“ไม่หรอกน่าบอส ยังไงนี่ก็เป็นหน้าที่ของผมนี่นา” มัลโก้กล่าวอย่างไม่ได้แยแสอะไร “ว่าแต่…แล้วแขกที่บอสบอกว่าจะไปรับมาอยู่ไหนล่ะครับ?”
“กำลังมาน่ะ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย” เก็นยะพูดพร้อมกับหันไปด้านหลังในจังหวะที่แขกที่พูดถึงกับเพื่อนสาวเดินผ่านประตูเข้ามาพอดี
“ค…คุณอาริคาโด้…ที่นี่คือ…” ไวเวิร์นมองไปรอบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูกราวกับอลิซที่หลงเข้าไปในแดนมหัศจรรย์ ซากุระเองก็ได้แต่เกาะแขนเพื่อนชายของเธอโดยที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยสำหรับคนที่จู่ๆ ก็ถูกพามาในสถานที่ซึ่งเรียกได้ว่าถอดแบบออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟหลายเรื่องๆ มาผสมกันอย่างอลังการ
“โฮ่…เป็นแขกที่ธรรมดากว่าที่คิดเยอะไว้เลยนี่นา” มัลโก้มองแขกของหัวหน้าอย่างสนใจพร้อมกับยื่นมือขวาไปข้างหน้า “ผม มัลโก้ มาร์ตินี่ หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ VADET ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ว…ไวเวิร์น อัลเดน่าครับ…ส่วนเพื่อนของผมคนนี้ชื่อซากุระครับ…ซากุระ คุรุสุ” ไวเวิร์นจับมือกับมัลโก้อย่างเงอะๆ งะๆ ในขณะที่ซากุระกลับเลือกที่จะไปแอบอยู่ข้างหลังเพื่อนชายของเธอราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนโรคจิตที่ดูน่ากลัว
“มัลโก้ เดี๋ยวพวกเราจะไปที่ห้องรับแขกที่ 6 นะ ฝากบอกให้ทางครัวเอาเอิร์ลเกรย์กับทีรามิสุสำหรับสามที่มาเสิร์ฟให้ด้วย อ้อ…แล้วก็…”
เก็นยะหันหลังกลับไปทางไวเวิร์น
“ไวเวิร์น ขอเจ้านั่นหน่อยสิ”
“เอ้ะ..อ้ะ! ครับ”
ไวเวิร์นเข้าใจทันทีว่าชายชุดสูทหมายถึงอะไร จึงได้เปิดกระเป๋าสะพายออกแล้วหยิบแส้สีดำส่งให้
“ฝากจัดการเรื่องนี้ด้วยนะ ขอแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้…” เก็นยะกล่าวพร้อมยื่นแส้ให้กับมัลโก้
“รับทราบ” มัลโก้รับแส้นั้นมาแล้วเก็บเข้าไปในเสื้อกาวน์สุดเลอะของเขา(‘หวังว่าคงไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆ ติดกลับมาตอนได้กลับมานะ’ ไวเวิร์นแอบคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ)
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ชายรุ่นลุงโยนบุหรี่ลงถังขยะใกล้ๆ ตัว จากนั้นจึงหันหลังกลับแล้วเดินผ่านประตูไฟฟ้าอัตโนมัติออกไป
“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ ห้องรับแขกที่ 6 อยู่ทางนี้ ตามมาสิ”
เก็นยะเดินนำไปทางประตูไฟฟ้าซึ่งอยู่คนละฝั่งกับทางที่มัลโก้ออกไป สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากันเองซักพัก ก่อนที่จะพยักหน้าให้กันแล้วเดินตามชายชุดสูทไป
ทั้งสามคนเดินผ่านทางเดินและห้องต่างๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย เก็นยะเดินนำโดยไม่ได้หันมามองทั้งสองแม้แต่น้อย ส่วนหนุ่มสาวทั้งสองก็ได้แต่มองไปรอบๆ ภายในสถานที่แปลกตาซึ่งไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่พวกเขาได้เห็นระหว่างทางก็ยิ่งทำให้พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเลย ทั้งจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ฉายภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่โลกที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสัตว์ประหลาด และสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธ นอกจากนี้ ยังมีทั้งหนังสือต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นหนังสือยากๆ ทางวิทยาศาสตร์ และตำราเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และภาษาแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังบทสนทนาของคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าฟังยังไงก็จับใจความไม่ถูกว่าพูดถึงอะไรกันอีก
“ถึงการใช้วงแหวนเวทย์หกแฉกผสมกับอุโรโบรอสจะได้เวทย์ที่ทรงพลังมากก็เถอะ แต่มันควบคุมยากเกินไป…ไมคุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรอก”
“ลองผสมแพลตตินั่มเข้าไปด้วย น่าจะช่วยให้รวบรวมพลังเวทย์จากธรรมชาติได้มากขึ้นนะ….”
“หนังของแมนติคอร์นี่เอาไปเสริมกับชุดเครื่องแบบหน่วยรบเถอะ…”
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงได้แต่เดินตามชายตรงหน้าไป โดยได้แต่หวังว่าจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นหลังจากนี้เท่านั้น
“ถึงแล้วล่ะ” เก็นยะเดินผ่านประตูอัตโนมัติที่มีเลข 6 สีน้ำเงินเขียนเอาไว้แล้วเดินไปนั่งที่ชุดโต๊ะรับแขกที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม “นั่งก่อนสิ”
ทั้งสองคนตามเข้าไปนั่งตรงข้ามกับชายชุทสูทอย่างเชื่อฟังแต่โดยดี
“ก่อนอื่น…ชั้นคงต้องบอกว่ายินดีต้อนรับสู่ VADET สินะ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ชั้น เก็นยะ อาริคาโด้ เป็นหัวหน้าขององค์กรนี้” เก็นยะกล่าวพร้อมกับน้อมตัวเล็กน้อยอย่างมีมารยาท
“อ…เอ่อ…” ซากุระเอ่ยปากขึ้นหลังจากที่เงียบมาตลอดทาง “ก…ก่อนอื่น…ช่วยอธิบายให้พวกเราเข้าใจหน่อยได้มั้ยคะ ว่าพวกเรากำลังเจอกับอะไรอยู่ในตอนนี้น่ะค่ะ…”
“…นั่นสินะ…ถ้าจะให้พูดก็ต้องเริ่มจาก…”
“นำของที่สั่งไว้มาเสิร์ฟแล้วค่ะ”
เสียงกล่าวอันนุ่มนวลพร้อมกับเสียงประตูไฟฟ้าอัตโนมัติเปิดออกขัดจังหวะขึ้น พร้อมกับผู้หญิงในชุดเมดที่มาพร้อมกับรถเข็นของว่างที่เก็นยะสั่งเอาไว้
“ขอบคุณมากนะ” เก็นยะกล่าวขอบคุณหลังจากที่ของทุกอย่างถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ
“ด้วยความยินดีค่ะบอส” สาวในชุดเมดคำนับแล้วเข็นรถเข็นกลับออกไปนอกประตู
“เอาล่ะ ถ้างั้นเรามาว่ากันต่อเถอะนะ ก่อนอื่นก็…” เก็นยะยกชาขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
“พวกเธอน่ะ รู้จักแดร็กคูล่ารึเปล่า?”
“ด…แดร็กคูล่าเหรอคะ…?” ซากุระทวนคำถามอย่างงงๆ “ก็ต้องรู้จักสิคะ…ก็เป็นเรื่องเล่าปรัมปราที่ทุกคนเลื่องลือกันไปทั่วนี่คะ…”
“แดร็กคูล่าที่เธอพูดถึงนั่นมันก็แค่แดร็กคูล่าที่คนทั่วไปรู้จักเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงทั้งสิ้น” เก็นยะจิบชาอีกครั้ง “เรื่องที่ว่าแดร็กคูล่าเป็นแวมไพร์เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ว่าแพ้กระเทียมหรือกลัวไม้กางเขนล้วนเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปทั้งสิ้น ที่สำคัญ แดร็กคูล่าไม่ใช่แค่แวมไพร์ธรรมดา แต่เป็นถึงเจ้าแห่งความมืด ที่มีพลังขนาดสามารถทำให้โลกนี้ตกอยู่ภายใต้ความมืดได้ นี่แหละคือแดร็กคูล่าที่แท้จริง…”
“ม…หมายความว่ายังไงครับ….?” คราวนี้ไวเวิร์นเอ่ยปากถามบ้าง เก็นยะจิบชาอีกครั้งก่อนที่จะวางถ้วยลงแล้วเริ่มพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในปี ค.ศ. 1094 มีชายผู้หนึ่งนามว่ามาเทรียส ครอนควิท ซึ่งในสมัยนั้น ไม่ว่าใครต่างก็รู้จักชื่อของเขาดี เพราะว่าเขาเป็นถึงหนึ่งในสองอัศวินในตำนาน ที่มีความสามารถในการวางแผนที่ยอดเยี่ยม แต่อยู่มาวันนึง หลังจากที่เขากลับมาจากศึกสงคราม ก็พบว่าภรรยาสุดที่รักของเขานามอลิซาเบธ ได้เสียชีวิตไปแล้ว มาเทรียสเสียใจกับการจากไปของภรรยามาก เขาได้แต่เศร้าเสียใจและอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความอ่อนแอนั้น ทำให้เขากล่าวโทษพระเจ้าว่าบังอาจพรากชีวิตของภรรยาเขาไป และปฏิญาณตนว่าซักวันนึงจะล้างแค้นต่อพระผู้เป็นเจ้าให้จนได้”
เก็นยะกระแอมไอสองสามทีเพื่อให้คอโล่งก่อนที่จะเริ่มเล่าต่อ
“มาเทรียสได้พยายามหาวิธีที่จะคืนชีพอลิซาเบธขึ้นมา จนได้ทราบข่าวลือเรื่องของศิลานักปราชญ์ที่สามารถบันดาลความปรารถนาทุกอย่างให้เป็นจริงได้ แต่การจะสร้างมันขึ้นมาได้ ต้องใช้คริมสันสโตนกับเอบอนี่สโตนเป็นส่วนประกอบสำคัญ ตัวเขานั้นมีคริมสันสโตนอยู่แล้ว สิ่งที่ขาดไปมีเพียงเอบอนี่สโตนเท่านั้น เขาตัดสินใจจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ผลก็คือเขาได้เอบอนี่สโตนมาจริงๆ แต่ก็ต้องแลกกับการเปลี่ยนชีวิตของตัวเองให้กลายเป็นแวมไพร์ด้วย…”
เก็นยะยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งเพื่อบรรเทาอาการคอแห้งหลังจากที่เล่าเรื่องมานาน
“แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ได้รู้ความจริงทีหลังว่าเรื่องศิลานักปราชญ์นั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เขาไม่อาจนำชีวิตของอลิซาเบธกลับคืนมาได้ แต่ถึงกระนั้น หลังจากนั้น…”
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ เก็นยะกลับหยุดพูดไปอย่างไร้สาเหตุและก้มหน้าลงราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง
“อ…เอ่อ…คุณอาริคาโด้…” ซากรุระมองอีกฝ่ายที่ผิดปกติไปอย่างงงงวย “ป…เป็นอะไรไปเหรอคะ…?”
“…เปล่า…ไม่มีอะไรหรอก…” เก็นยะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “ที่จริงแล้ว ชั้นเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดตรงช่วงนี้ซักเท่าไหร่น่ะ…ก็เลยเล่าต่อไม่ถูก…ขอโทษด้วยนะ…”
เก็นยะกล่าวขอโทษอย่างเรียบๆ ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้
“เท่าที่ชั้นรู้ก็คือ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้มาเทรียสเกิดโกรธแค้นมนุษย์ขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจเข้าสู่หนทางชั่วร้ายอย่างสมบูรณ์ เขาได้เปลี่ยนนามตัวเองเป็นแดร็กคูล่าและตั้งตนเป็นเจ้าแห่งศาสตร์มืด โดยมีเป้าหมายคือกำจัดมนุษย์ให้สูญสิ้นไปจากโลก และนี่ก็คือต้นกำเนิดของแดร็กคูล่าล่ะ…
เก็นยะพักคอกินของว่างอีกครั้งก่อนที่จะกล่าวต่อ
“และด้วยพลังของคริมสันสโตนและเอบอนี่สโตน ทำให้แดร็กคูล่ามีพลังอำนาจเหนือกว่าสิ่งใดทั้งปวง สามารถสร้างรัตติกาลชั่วนิรันดร์ขึ้นมาได้ สามารถควบคุมวิญญาณคนตายได้ สามารถรวบรวมปีศาจที่แข็งแกร่งทั้งจากในโลกมนุษย์และจากนรกมาเป็นสมุนของตัวเอง แล้วรวมตัวกันอยู่ภายในปราสาทที่สร้างขึ้นมาด้วยพลังแห่งความมืด ซึ่งถูกขนานนามว่าปราสาทแดร็กคูล่า วันแล้ววันเล่า แดร็กคูล่าและเหล่าลูกสมุนได้เข่นฆ่ามนุษย์จำนวนมาก โดยที่มนุษย์ไม่อาจต่อกรอะไรได้ ได้แต่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว และรอวันตายเท่านั้น…”
เก็นยะหยุดพักเพื่อกินของว่างอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มกล่าวต่อ
“แต่ถึงอย่างนั้น…มนุษย์ก็ไม่ได้สูญสิ้นความหวังไปซะทั้งหมดทีเดียว…”
“ม…หมายความว่ายังไงเหรอคะ…?” ซากุระเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
“จริงอยู่ว่าพลังอำนาจของแดร็กคูล่านั้นร้ายกาจกว่าสิ่งใดทั้งปวง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครที่สามารถต่อกรกับแดร็กคูล่าได้เลย ในทุกยุคสมัยนั้น เมื่อเวลามาถึง ก็จะมีผู้กล้าปรากฏตัวออกมา ซึ่งผู้กล้าเหล่านั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง จนสามารถบุกเข้าไปในปราสาทแดร็กคูล่า และกำจัดแดร็กคูล่าลงได้สำเร็จ และทำให้โลกกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้งอยู่เสมอ…”
“อ่า…เดี๋ยวนะครับ…” คราวนี้ไวเวิร์นเป็นฝ่ายพูดขัดขึ้นมาบ้าง “เมื่อกี้คุณพูดว่าในทุกยุคสมัยใช่มั้ยครับ? หมายความว่าไงครับ? แดร็กคูล่าไม่ได้ถูกปราบลงแค่ครั้งเดียวเหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าแดร็กคูล่าจะถูกปราบลงและนำความสงบสุขคืนสู่มวลมนุษย์ได้ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงความสงบสุขชั่วคราวเท่านั้น ด้วยพลังของหินทั้งสองนั้น ทำให้แดร็กคูล่าไม่อาจหายไปจากโลกได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเวลามาถึง แดร็กคูล่าและเหล่าลูกสมุนก็จะคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งจากพลังของตัวเอง และจากความช่วยเหลือของผู้ประสงค์ในพลังแห่งความมืด ทำให้การต่อสู่ระหว่างแดร็กคูล่ากับเหล่าผู้กล้า ยาวนานมาจนถึงปี ค.ศ.1999…”
“ค.ศ. 1999…เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ…?” ไวเวิร์นถาม
“ในปี ค.ศ.1999 นั้น แดร็กคูล่าได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ แดร็กคูล่ามีพลังอำนาจสูงที่สุดชนิดที่ว่ายุคสมัยที่ผ่านมาไม่อาจเทียบได้ ซึ่งภาระของผู้กล้าในครั้งนี้ ตกเป็นของจูเลียส เบลมอนต์ ผู้สืบทอดคนสุดท้ายของตระกูลเบลมอนต์ ตระกูลที่ต่อกรกับแดร็กคูล่ามาอย่างยาวนานนับตั้งแต่อดีตกาล และด้วยผลการต่อสู้มาอย่างยาวนานของตระกูลเบลมอนต์ ทำให้ในครั้งนี้ แดร็กคูล่าได้รับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถคืนชีพขึ้นมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้โลกนี้ ได้รับความสงบสุขกลับคืนมาตลอดกาล…”
เก็นยะนิ่งเงียบและหลับตาลงก่อนที่จะลืมตาแล้วพูดต่อ
“แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น…”
“เอ๋…? หมายความว่าไงครับ…? หรือว่าแดร็กคูล่ายังคงคืนชืพขึ้นมาได้อีกครับ…?” ไวเวิร์นถาม
“เปล่า…เรื่องที่แดร็กคูล่านั้นไม่อาจคืนชีพได้อีกเป็นครั้งที่สองนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ถึงอย่างนั้นวิญญาณของแดร็กคูล่ากลับไม่ได้สูญสลายหายไป เขาได้ดิ้นรนครั้งสุดท้าย โดยการเลือกที่จะกลับมาเกิดใหม่ในร่างของมนุษย์ แล้วมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไร้ซึ่งความทรงจำและพลังอำนาจเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้กับมนุษย์เลย…จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อน…”
“เอ๋…สามปีก่อน…” ซากุระเบิกตากว้างแล้วนิ่งเงียบไปหลังจากได้ยินคำว่าสามปีก่อน สีหน้าดูกังวลราวกับนึกถึงอะไรบ้างอย่างที่ไม่ค่อยดีอยู่
“ป…เป็นอะไรไป…ซากุระ?” ไวเวิร์นหันไปมองอย่างเป็นห่วงกับปฏิกิริยาของเพื่อนสาว
“ป…เปล่า…ไม่มีอะไร…” ซากุระส่ายหน้าสองสามครั้งแล้วก้มหน้าอยู่นิ่งๆ “เล่าต่อเถอะค่ะ…”
เก็นยะจ้องไปที่หญิงสาวซักพักอย่างสงสัยก่อนที่จะเปิดปากเล่าต่อ
“เมื่อสามปีก่อน…มนุษย์คนนั้นก็ได้ทำสิ่งที่พวกเราไม่เคยคาดคิดแม้แต่น้อยขึ้นมา เขาได้เรียกพลังแห่งความมืดที่หายสาบสูญไปพร้อมกับชีวิตในฐานะแวมไพร์กลับคืนมา แล้วใช้พลังนั้นตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าแห่งความมืดอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ยุคปัจจุบันกลายเป็นยุคแห่งความสิ้นหวัง เหมือนดั่งที่เคยทำในอดีตกาล…”
เก็นยะเว้นวรรคสูดหายใจเข้าไปอีกครั้งก่อนที่จะกล่าวประโยคปิดท้ายออกมา
“และนั่นก็คือศัตรูที่พวกเรา VADET กำลังต่อกรอยู่จนถึงปัจจุบันนี้…”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องรับแขกที่ 6 อีกครั้ง หลังจากประโยคสุดท้ายของเก็นยะ ทั้งไวเวิร์นและซากุระต่างก็ได้แต่ตีสีหน้าที่เหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งโดนผีหลอกมาตอนกลางวันแสกๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะกล่าวอะไรออกมาเลย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะพูดอะไรออกมาต่างหาก ทั้งสองคนนั้นต่างก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขมาตลอดจนกระทั่งสามวันที่แล้ว แล้วในวันนี้ พวกเขาก็ได้มารับรู้เบื้องหลังที่ฟังดูเหลือเชื่อเกินจะบรรยาย ขนาดที่ว่าถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองเมื่อสามวันก่อน ก็คงจะคิดว่าชายคนนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“อ…เอ่อ…” ไวเวิร์นตัดสินใจเอ่ยปากทำลายความเงียบในห้อง “แล้ว…ทำไมแดร็กคูล่าถึงต้องการตัวซากุระล่ะครับ…แล้วชายคนนั้นที่มาช่วยพวกผมเป็นใคร กับแส้นั่นมันคืออะไรกันแน่ครับ…?”
“…ต้องขอโทษด้วยนะ ทางเราเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าชายคนนั้นที่พูดถึงเป็นใคร แล้วเราก็ไม่มีข้อมูลมากพอที่จะสรุปได้ว่าทำไมซากุระถึงตกเป็นเป้าหมายด้วย แต่สำหรับเรื่องแส้นั้นชั้นพอให้คำตอบได้…”
เก็นยะหยิบผ้ามาเช็ดปากตัวเองหลังจากที่กินของว่างจนหมดแล้วเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“เมื่อกี้ชั้นได้กล่าวถึงตระกูลเบลมอนต์ไปใช่มั้ย? อย่างที่บอกไปว่าตระกูลเบลมอนต์นั้นเป็นตระกูลที่ต่อกรกับแดร็กคูล่ามาอย่างยาวนาน จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับตามชะตากรรมเลยก็ว่าได้ แล้วรู้รึเปล่าว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาสามารถมอบความพ่ายแพ้ให้กับแดร็กคูล่าครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอด?”
“เอ๋? เอ่อ…ก็คงจะเป็นวิชาปราบปีศาจหรือไม่ก็เวทย์มนต์…ใช่มั้ยคะ…?” ซากุระตอบอย่างไม่แน่ใจ
“นั่นมันแค่ครึ่งนึงของทั้งหมด จริงอยู่ว่าตระกูลเบลมอนต์ที่ถูกเลือกทุกคนล้วนมีวิชาและเวทย์มนต์ที่ทรงพลัง จนสามารถต่อกรกับปีศาจนับร้อยได้อย่างกล้าหาญ แต่สิ่งที่เป็นพลังสำคัญ ที่สร้างความพ่ายแพ้ให้กับแดร็กคูล่าหลายต่อหลายครั้ง คืออาวุธประจำตระกูล ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น”
“อาวุธ…งั้นเหรอครับ…?”
“ใช่…อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้มล้างพลังแห่งความมืดของแดร็กคูล่า อาวุธที่มีเพียงผู้สืบทอดของเบลมอนต์ และผู้ที่ได้รับอนุญาตจากเบลมอนต์เท่านั้นที่จะใช้มันได้ อาวุธชิ้นนั้น ได้รับการขนานนามว่าแวมไพร์คิลเลอร์…”
เก็นยะนิ่งเงียบไปประมาณ 5-6 วินาที ก่อนที่จะกล่าวประโยคที่ทำให้ทั้งสองคนถึงบางอ้อในทันที
“…มันเป็นอาวุธที่มีรูปร่างลักษณะเป็นแส้…”
“!!!”
ดวงตาของทั้งสองเบิกกว้างทันทีอย่างอัตโนมัติหลังจากได้ยินประโยคสุดท้าย
“ถ…ถ…ถ้าหยั่งงั้น…คุณเก็นยะจะบอกว่าแส้ของผมเป็น…เป็น…” ไวเวิร์นพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ยังไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่เท่าที่ชั้นได้เห็นพลังของมันจากการต่อสู้ของนาย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นของจริง ชั้นถึงได้ฝากให้มัลโก้ตรวจสอบมันเพื่อค้นหาความจริงยังไงล่ะ…”
บรรยากาศแห่งความเงียบได้ปกคลุมห้องอีกครั้ง ไวเวิร์นในตอนนี้นั้นมีอาการเหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสลัมมาตลอด จนกระทั่งมีคนมาบอกว่าที่จริงแล้วตัวเองเป็นเจ้าชาย ส่วนซากุระเองก็มีอาการเหมือนกับเพื่อนของชายคนนั้นที่ได้รู้ความจริงว่าที่จริงแล้วเขาเป็นเจ้าชาย แน่นอนว่าไม่ว่าใครที่เจอแบบนี้เข้าไปก็คงทำอะไรต่อไม่ถูกไปชั่วขณะอย่างแน่นอน
“แต่ยังไงก็ตาม…เรื่องนี้เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดจนกว่าผลของตรวจสอบจะออกมาแหละนะ…” คราวนี้เก็นยะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบบ้าง “แต่ในตอนนี้ ชั้นมีเรื่องสำคัญอย่างนึงที่จะขอร้องกับนาย…”
“ผ…ผมน่ะเหรอครับ…?” ไวเวิร์นชี้ที่ตัวเอง
“ใช่…ไวเวิร์น อัลเดน่า…ชั้นอยากให้นาย…มาเข้าร่วมกับ VADET ของพวกเรา!!”
แววตาเฉียบคมของชายชุดดำจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างจริงจัง และนี่เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ว…ว่าไงนะ!? จะให้ผม…เข้าร่วมกับคุณงั้นเหรอ!?”
“ใช่แล้ว…ในตอนนี้ พวกเรา VADET หรือชื่อเต็มคือ Vampire And Demon Eliminate Troopers(กองกำลังกวาดล้างปีศาจและแวมไพร์) เป็นเพียงความหวังเดียวที่จะกำจัดแดร็กคูล่าได้เท่านั้น เพราะอย่างงั้น พวกเราจึงได้พยายามที่จะต่อกรกับแดร็กคูล่ามาตลอด ทั้งรวบรวมผู้ที่มีความสามารถจากฝั่งวิทยาศาสตร์และฝั่งเวทย์มนต์มารวมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งพยายามเจรจากับเหล่าผู้ปกครองประเทศต่างๆ เพื่อขอทุนสนับสนุนและพัฒนาองค์กร โดยแลกกับการคุ้มครองประเทศเหล่านั้น ตลอดสามปีที่ผ่านมา พวกเราพยายามต่อต้านแดร็กคูล่ามาตลอด แต่น่าเสียดาย ที่ต้องบอกว่าพวกเราในตอนนี้ แค่ปกป้องผู้คนจากการรุกรานของปีศาจก็เต็มกลืนแล้ว ไม่อาจเข้าถึงตัวของแดร็กคูล่าได้เลย เพราะอย่างงั้น เราจึงต้องการกำลังเพิ่ม แม้แค่คนเดียวก็ยังดี ไวเวิร์น อัลเดน่า ถ้านายเป็นผู้ใช้อาวุธในตำนานตัวจริง…ไม่สิ…ต่อให้อาวุธนั่นเป็นของปลอม พลังที่ใช้ต่อกรกับปีศาจนั่นก็เป็นของจริง เพราะอย่างนั้น…ช่วยมาร่วมมือกับพวกเราด้วยเถอะ…”
แววตาจริงจังของบอสแห่ง VADET ยังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของแส้ในตำนาน(?) ยืนอยู่ในจุดลังเลอย่างทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง โดยมีเพื่อนสาวที่ได้แต่หันมองระหว่าเขากับเก็นยะสลับกันไปโดยที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ ถ้าหากว่านี่เป็นเกม RPG ที่เขาเคยเล่น เขาคงกดปุ่มตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะว่านี่ไม่ใช่เกม แต่เป็นเรื่องจริง ที่เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บจริงๆ และตายไปจริงๆ โดยไม่อาจเซฟและโหลดใหม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เหตุผลรองที่ทำให้เขาลังเลเท่านั้น เหตุผลหลักที่เขาลังเลจริงๆ ก็คือ…
“ต…แต่ว่า…ผม…”
ไวเวิร์นหันหน้าไปมองเพื่อนสาวที่ยังคงทำอะไรไม่ถูกอยู่ ใช่แล้ว ถ้าเขาเลือกที่จะเข้ากับองค์กร นั่นหมายความว่าซากุระก็จะต้องอยู่ห่างจากตัวเขามากขึ้น และยิ่งไม่แน่ใจว่าพวกนั้นจะมาเอาตัวเธออีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ การอยู่ห่างจากตัวเธอจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีแม้แต่น้อย นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาคิดหนักอย่างตัดสินใจไม่ถูกอยู่ในขณะนี้
“…เข้าใจแล้ว…” เก็นยะมองดูทั้งสองคนแล้วเข้าใจในทันทีราวกับอ่านใจได้ “ถ้าหยั่งงั้น ไวเวิร์น อัลเดน่า ถ้าชั้นยื่นข้อเสนอว่าจะให้การคุ้มครองซากุระ คุรุสุเป็นการแลกเปลี่ยน นายจะว่ายังไงล่ะ?”
“จ…จริงเหรอครับ!?” ไวเวิร์นมีปฏิกิริยาในทันที
“จริงสิ…ส่วน ซากุระ คุรุสุ” คราวนี้เก็นยะหันไปทางซากุระบ้าง “ถ้าชั้นสัญญาว่าพวกเรา VADET จะเห็นความสำคัญของชีวิตไวเวิร์นเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่มีวันปล่อยให้เขาตายเด็ดขาด เธอจะยอมให้ไวเวิร์นร่วมกับพวกเราได้มั้ย…?”
“เอ้ะ…เอ่อ…คือ…เรื่องนั้น….” ซากุระก้มหน้าหลบสายตาจริงจังของชายชุดสูทตรงหน้า แววตาของเธอยังคงมีความลังเลและความกังวลอยู่
“…คุณอาริคาโด้…เรื่องที่ว่าจะคุ้มครองซากุระเป็นอย่างดีนี่…คงไม่ได้โกหกใช่มั้ยครับ…?” ไวเวิร์นถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ไม่ได้โกหกแน่นอน ชั้นขอเอาชื่อของ VADET…ไม่สิ…ขอเอาชื่อของเก็นยะ อาริคาโด้ผู้นี้เป็นประกัน” เก็นยะยืนยันอย่างหนักแน่น ไวเวิร์นจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายจนแน่ใจว่าไม่ได้พูดโกหกจึงได้กล่าวออกมา
“…เข้าใจแล้วครับ…” ไวเวิร์นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่มีความลังเลเหลืออยู่อีกแล้ว “ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นกำลังให้ได้ซักเท่าไหร่ แต่ผมก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ครับ”
“ว…ไวเวิร์น…” ซากุระจับจ้องใบหน้าด้านข้างของเพื่อนชาย สายตาของเธอดูกังวลราวกับมองเห็นทหารที่กำลังไปตายในสนามรบ
“งั้นเหรอ…” เก็นยะพยักหน้าสองสามครั้งอย่างพอใจ แล้วหันไปทางซากุระอีกครั้ง “แล้ว…คำตอบของเธอล่ะ…?”
“ร…เรื่องนั้น…” ซากุระก้มหน้าหลบแววตาตรงหน้าอีกครั้ง “…ถ้าไวเวิร์นว่าหยั่งงั้น…ฉันก็ไม่มีอะไรที่ต้องคัดค้านค่ะ…”
“ขอบคุณนะ…" เก็นยะคำนับให้เล็กน้อยเพื่อแสดงการขอบคุณจากใจจริง “ถ้าหยั่งงั้น ไวเวิร์น จากนี้ไปพวกเราขอฝากความหวังของมวลมนุษย์ส่วนนึงไว้ด้วยนะ”
เก็นยะยื่นมือขวาออกมาข้างหน้า
“ค…ครับ!” ไวเวิร์นมองมือนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะยื่นมือขวาของตัวเองไปจับด้วย
“แบบนี้น่ะ…ดีแล้วสินะ…” ซากุระแอบเลยหน้าขึ้นมามองทั้งสองคนแล้วบ่นพึมพำเบาๆ เพื่อไม่ให้ทั้งสองคนได้ยิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ