Castlevania - The Rancor's Funeral
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 5 - การตอบโต้ของคามิลล่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ--- ปราสาทแดร็กคูล่า ---
“กำลังจะไปไหนเหรอครับ? ท่านคามิลล่า”
เสียงกล่าวอย่างนุ่มนวลของชายคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อมองเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงปนชมพูเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นตัวเอง
“อะไรกัน? คาราสุเองหรอกเหรอ?” หญิงสาวในชุดกระโปรงหันกลับมามองชายผู้มีนามว่าคาราสุ ผู้ซึ่งเป็นชายที่มีผิวสีขาวซีด แต่ร่างกายนั้นกลับผอมสูงและมีใบหน้าอันหล่อเหลา ซึ่งเข้ากับผมสีดำขลับที่ยาวเกือบถึงเข่าและชุดเสื้อคลุมสีดำสไตล์อังกฤษที่มีซับในสีแดงอย่างลงตัว
“น่าแปลกใจนะที่วันนี้เจ้าอยู่ที่ปราสาท ปกติตอนนี้เจ้าจะขนลูกน้องออกไปล่าพวกมนุษย์อยู่ตลอดเลยนี่...” คามิลล่าจ้องมองร่างนั้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
“แหมๆ~ ท่านคามิลล่า ข้าเองก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะครับ” คาราสุกล่าวพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มแบบสุดหล่อชนิดที่ว่าสามารถทำให้สาวหลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น “โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่นี้พวกหนอนแมลงตายยากอย่าง VADET มันชอบมาขัดจังหวะข้ามากขึ้นทุกวันๆ ก็เลยรำคาญจนอยากจะพักผ่อนบ้างน่ะครับ”
“งั้นเหรอ…เอาเถอะ…” คามิลล่าหันหลังให้กับลูกน้องตนเองอย่างไม่แยแส “ว่าแต่…ไอ้ท่าทางแบบนั้นน่ะเลิกเถอะ เห็นไอ้จอมตีสองหน้าอย่างแกทำแล้วรู้สึกขยะแขยงเป็นบ้า…” เธอกล่าวก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป
“ท่านคามิลล่า ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะครับ~” คาราสุเดินตามผู้เป็นนายโดยยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
“…ก็แค่จะไปทำธุระให้นายท่านเท่านั้นแหละ…” คามิลล่าตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองผู้ติดตามของตน
“ธุระที่ว่านี่…ซากุระ คุรุสุ สินะครับ” คาราสุพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเป็นมิตรเองก็เปลี่ยนไปด้วย กลายเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด
“น…นี่เจ้า…” คามิลล่าหยุดเดินแล้วหันกลับมามองทันที แววตาของหล่อนฉายแววของความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “แอบฟังงั้นเหรอ…?”
“เปล่าครับ ข้าแค่ได้ยินมาจากปากของคนที่อยู่ในระดับเดียวกับท่านคนนึงน่ะครับ” คาราสุยิ้มเยาะคนตรงหน้ามากกว่าเดิม
“…ซาคิวบัสสินะ…ยัยปากสว่างนั่น…” คามิลล่ากัดฟันด้วยราวกับคนที่โดนทำให้เสียหน้ามาอย่างแรง
“ท่านแดร็กคูล่านี่ก็ใจดีซะเหลือเกินนะครับ อุตส่าให้โอกาสท่านแก้ตัว ทั้งๆ ที่คราวก่อนพลาดท่าอย่างไม่น่าให้อภัยแท้ๆ” คาราสุหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
“แก…ต้องการอะไรกันแน่…?” สาวชุดแดงจ้องมองชายตรงหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“เปล่าซะหนอยครับ ข้าแค่คิดว่าถ้าท่านคามิลล่ายอมขอร้องอย่างนุ่มนวลล่ะก็ ข้าก็จะยอมให้ความร่วมมือด้วยก็ได้น่ะครับ~” ชายตรงหน้าแกล้งทำเป็นโค้งให้เพื่อยั่วโมโหอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“แก…”
คามิลล่าหมดความอดทนพร้อมกับกระชากคอลูกน้องที่เอาแต่เยาะเย้ยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“อย่าได้ใจให้มันมากนักเลย!! ที่ข้าพลาดครั้งก่อนเพราะข้าประมาทเกินไป เลยนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาขัดขวางเท่านั้นแหละ!! อีกอย่าง ครั้งก่อนท่านแดร็กคูล่ามีคำสั่งให้จับเป็นซากุระ คุรุสุ โดยพยายามไม่ให้ทาง VADET รู้ตัว ข้าก็เลยเอาจริงไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ครั้งนี้ข้าจะเอาจริงเต็มที่ เพราะงั้น ไม่จำเป็นต้องยืมมือเจ้าหรอก!” คามิลล่าตวาดใส่หน้าของคาราสุอย่างไม่ยั้ง มือที่คว้าคออยู่นั้นใส่แรงบีบเข้าไปเต็มที่ราวกับต้องการให้คอนั้นแหลกเป็นขุยผง
“งั้นเหรอครับ? น่าเสียดายจังเลยนะครับ ข้าอุตส่าคิดว่าจะได้โอกาสแสดงให้ท่านแดร็กคูล่าได้เห็นซะหน่อย ว่าข้ามีประโยชน์มากกว่าท่านแค่ไหน~” คาราสุจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นนายกลับด้วยใบหน้าเย้ยหยันโดยที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อมือที่กำลังบีบคอเลยแม้แต่น้อย
“แกนี่มัน…ต้องการที่จะประจบประแจงนายท่านมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ…?”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ คิดว่าข้าเสียเวลาออกไปเล่นกับพวกหนอนแมลงอย่างมนุษย์บ่อยๆ เพื่ออะไรกัน? ก็เพื่อให้ท่านแดร็กคูล่าได้เห็นถึงความมีประโยชน์ของข้าไงล่ะครับ หึๆๆ” คาราสุหัวเราะในลำคออีกครั้ง “ข้าน่ะไม่คิดจะเป็นลูกน้องท่านไปตลอดกาลหรอก ข้าน่ะคิดแต่จะเขี่ยท่านทิ้งจากตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของท่านแดร็กคูล่า แล้วแย่งตำแหน่งนั้นมาครองเท่านั้นแหละครับ”
“แก…ปากกล้านักนะ! แกลืมแล้วรึไงว่าใครเป็นคนให้พลังแก! ใครเป็นคนมอบชีวิตในฐานะแวมไพร์ให้แก! แล้วแกยังคิดจะหักหลังข้าอีกงั้นเหรอ! เจ้าคนทรยศ!”
“คนทรยศเหรอครับ? หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ!!” คาราสุหัวเราะออกมาดังลั่นราวกับว่าเพิ่งได้ฟังมุกตลกที่ฮาสุดๆ “พูดจาหยั่งกับพวกหนอนแมลงอย่าพวกมนุษย์เลยนะครับ พวกเราเป็นปีศาจนะครับ ปีศาจไม่มีคำว่าสำนึกบุญคุณหรือทรยศหรอกครับ มีแต่ต้องแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้อยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น ถ้าท่านคามิลล่าอ่อนแอถึงขนาดให้ข้าเหยียบหัวเอาง่ายๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของข้าซะหน่อย แต่ก็เป็นความผิดของท่านเองที่ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอต่างหากล่ะครับ~”
“…ชิ…ไม่สบอารมณ์ชะมัด…แต่ข้าก็เถียงอะไรเจ้าไม่ออกอยู่ดี…” คามิลล่าปล่อยมือจากลำคอนั้น “พอกันที เถียงกับเจ้าไปมีแต่เสียเวลาเปล่าๆ….” หล่อนพูดพร้อมกับหันหลังเดินต่ออีกครั้ง
“อ้อ…ข้าจะบอกอะไรเจ้าเอาไว้อย่างนึงล่ะกันนะ…”
คามิลล่าหยุดเดินและหันหน้ามามองลูกน้องที่คิดทรยศนายอีกครั้ง
“จริงอยู่ที่ว่าในบรรดาลูกน้องของข้านั้นเจ้าแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่า…ข้าน่ะไม่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดบริวารของนายท่านเพราะโชคช่วยหรอกนะ ดังนั้น ข้าไม่ได้ต่ำต้อยขนาดให้หมาที่ตัวเองเลี้ยงไว้มากัดมือหรอก!!”
คามิลล่าหันหน้ากลับและเดินไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
“หวังว่าคงจะเป็นเช่นนั้นนะครับ ท่านคามิลล่า” คาราสุแสยะยิ้มอีกครั้งก่อนที่ร่างกระโปรงแดงตรงหน้าจะเดินผ่านประตูบานใหญ่และหายลับไปจากสายตา
“แปลกจังเลยแฮะ….”
หนุ่มผมดำมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างกังวลใจ
“นี่มันเหลืออีก 15 นาทีก็จะหมดช่วงพักแล้วนะ ซากุระไม่เคยช้าขนาดนี้นี่นา…”
ไวเวิร์นมองไปทางประตูดาดฟ้าที่เขากำลังหวังให้ผู้หญิงที่เขารอโผล่มาซักที ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักเที่ยงของวันธรรมดาๆ อีกวันที่เขาน่าจะได้นั่งทานข้าวกล่องฝีมือซากุระอย่างเคยแท้ๆ แต่จนถึงตอนนี้ ซากุระ คุรุสุ ผู้ซึ่งไม่เคยปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้แม้แต่ครั้งเดียว กลับยังไม่มีท่าทีว่าจะโผล่มาตรงหน้าเขาเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติในระดับเดียวกับการที่ต้นซากุระผลิบานขึ้นมาในฤดูหนาวเลยก็ว่าได้
“หรือว่า…เธอจะป่วยจนไม่ได้มาเรียน…เมื่อวานรู้สึกว่าเธอดูไม่ค่อยดีด้วย…หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็…”
แต่ยังไม่ทันที่ไวเวิร์นจะได้คิดอะไรในแง่ลบต่อ เขาก็สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กระทบกับขั้นบันได้ดังอย่างต่อเนื่อง แล้วหลังจากนั้น…
“แฮ่ก…แฮ่ก…ข…ขอโทษ…ที่…มาสาย…น…แฮ่ก…แฮ่ก…”
ร่างของหญิงสาวผมสีน้ำทะเลปรากฏตัวตัวขึ้นพร้อมกับเสียงประตูที่กระแทกกำแพงอย่างแรง ชุดนักเรียนของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัวราวกับว่าโดนคนแกล้งสาดน้ำใส่มาหมาดๆ มือซ้ายที่ไม่ได้ถืออะไรเลยกุมหน้าอกพร้อมกับเสียงหอบอย่างต่อเนื่องราวกับคนที่เพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาเป็นสิบกิโลเมตร
“ซ…ซากุระ!?” ไวเวิร์นรีบลุกขึ้นมาอย่างร้อนรนแล้ววิ่งเข้าไปพยุงร่างเพื่อนสาวที่ดูเหมือนจะล้มลงได้อยู่ตลอดเวลาในทันที
“ม…ไม่เป็นไร…ฉ…ฉันแค่…เหนื่อย…นิดหน่อย…น่ะ” ซากุระดันตัวออกจากร่างเพื่อนชายแล้วค่อยๆ เริ่มพูดต่อ
“ว…วันนี้…ฉันลืม…ทำ…ข้าวกล่อง…มา…ก…ก็เลย…รีบวิ่ง…ไปซื้อ…ของกิน…ที่…ซูเปอร์…ใน…ย่านการค้า…ม…มาให้…”
ซากุระชูถุงพลาสติกสีขาวที่มีสัญลักษณ์ของซูเปอร์ที่พูดถึงต่อหน้าเพื่อนชาย
“ม…ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย…” ไวเวิร์นมองอย่างไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อดีกับพฤติกรรมของเพื่อนสาวที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ “ถ…ถ้าแบบนั้นก็แค่มาบอกชั้น แล้วก็ไปซื้ออะไรกินที่โรงอาหารก็ได้นี่นา…”
“ฉ…ฉันไม่อยากให้ไวเวิร์น…ต้องมาเบียดเสียด…เพื่อแย่งซื้อของกินแบบเมื่อวานนี่นา…” ซากุระก้มหน้าอย่างคนสำนึกผิด เธอยังคงจำได้ดี ว่าการที่ไวเวิร์นต้องพยายามเข้าไปเบียดเสียดซื้อของกินที่โรงอาหารโรงเรียน ซึ่งมีความดุเดือดและไม่มีใครยอมใครราวกับอยู่ในสนามรบนั้นเป็นเรื่องที่แสนจะลำบากแค่ไหน
“ข…เข้าใจแล้ว…ข…ขอบใจนะ…” ไวเวิร์นคว้าถุงพลาสติกมาอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะซึ้งใจหรือจะโกรธเพื่อนสาวที่ทำอะไรเกินคาดแบบนี้ดี
“ย…ยังไงก็เถอะ เรารีบกินกันเถอะ เดี๋ยวมันจะหมดช่วงพักซะก่อนนะ”
“อ…อืม…”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้แต่รีบทานมื้อเที่ยงกันอย่างเร่งรีบโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเข้าห้องเรียนคาบบ่ายตามปกติ
“ซากุระจัง~ เจอกันพรุ่งนี้น้า”
“จ้า~ เจอกันพรุ่งนี้จ้า~”
สาวผมสีน้ำทะเลโบกมือลาเพื่อนร่วมชั้นแล้วเดินออกจากห้อง แล้วมุ่งตรงไปยังหน้าโรงเรียนเพื่อที่จะตรงกลับบ้านทันที
“อ้ะ…? ไวเวิร์น…?”
สิ่งที่เธอสังเกตเห็นเมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเรียนก็คือเพื่อนชายคนสนิทที่กำลังกอดอกยืนพิงกำแพง
“ไง วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ” ไวเวิร์นเอ่ยปากชักชวนตามปกติทันทีที่
“อ…อื้ม…” ซากุระพยักหน้าแล้วก้มหน้าเดินออกจากประตูโดยมีไวเวิร์นเดิมตามอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนเดินไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนกระทั่ง 5 นาทีต่อมา ไวเวิร์นก็ตัดสินใจทำลายบรรยากาศอันแสนเงียบนั้น
“น…นี่…ซากุระ…?”
“เอ๋? อะไรเหรอ?” ซากุระหันมามองทางไวเวิร์น
“คือว่านะ…” ไวเวิร์นอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “ช่วงนี้…เธอ…มีเรื่องกลุ้มใจอะไรอยู่รึเปล่า…?”
“เอ๋…? ม…หมายความ…ว…ว่าไงเหรอ…?” ซากุระตอบอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย
“ก…ก็…แบบว่า…ช่วงนี้…เธอดู…แปลกไปจากเดิมนี่…อย่าง…เมื่อวันอาทิตย์…เธอก็เกือบทำห้องครัวไฟไหม้ระหว่างทำอาหาร….หรืออย่างเมื่อวานเธอก็ลืมทำข้าวกล่องมาเหมือนวันนี้…แถมตอนเย็นวานยังเหม่อลอยระหว่างทางจนชนโน่นชนนี่ไปทั่วอีก…”
“เอ๋…เรื่องนั้น…ม…ไม่มีอะไรซะหน่อย ฉ…ฉันก็แค่ซุ่มซ่ามไปหน่อยเท่านั้นเอง แหะๆๆๆ” ซากุระหัวเราะแห้งๆ ซึ่งดูออกได้ง่ายมากว่าเป็นการแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“แต่ว่าปกติเธอเป็นคนรอบคอบจะตาย ไม่น่าที่จะซุ่มซ่ามติดต่อกันแบบนี้นี่…”
“ฉ…ฉันแค่ซุ่มซ่ามจริงๆ นะ ว…ไวเวิร์นคิดมากไปเองน่า….” ซากุระตอบอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับหลบหน้าเพื่อนชาย
“ต…แต่ว่า…”
“อ๊า!! จริงสิ!! ฉันอยากกินหม้อไฟล่ะ!! งั้นวันนี้เรามาทำหม้อไฟกินกันดีกว่าเนอะ!! งั้นเดี๋ยวฉันจะไปย่านการค้าหน่อย!! ไวเวิร์นล่วงหน้าไปรอที่บ้านฉันก่อนได้เลยน้า~!!”
“อ้ะ!! เดี๋ยวสิ!! ซากุ…”
ยังไม่ทันที่ไวเวิร์นจะได้พูดอะไรต่อ สาวน้อยผมสีน้ำทะเลก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันกลับมามองเลย
“ซากุระ…เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ…”
ไวเวิร์นถอนหายใจอย่างกังวล ตัวเขานั้นสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนสาวคนสนิทได้ตั้งแต่สี่วันที่แล้ว หรือก็คือหลังจากวันที่พวกเขาได้พบกับเก็นยะ อาริคาโด้ ชายที่ทำให้พวกเขาได้รู้เรื่องราวความจริงเรื่องของแดร็กคูล่า เจ้าแห่งความมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้ซึ่งคิดจะทำลายมนุษย์ให้สิ้นซาก ซึ่งทำให้พวกเขา ไวเวิร์น อัลเดน่า และซากุระ คุรุสุ ผู้ซึ่งเป็นแค่นักเรียน ม.ปลาย ธรรมดาๆ ต้องเข้ามาพัวกัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร VADET องค์กรที่ต่อการกับแดร็กคูล่ามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยหลังจากการสนทนาของพวกเขาและเก็นยะนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่าซากุระเริ่มมีอาการเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ในตอนแรกนั้นเขาก็นึกว่าตัวเองแค่คิดไปเอง แต่หลังจากที่เห็นว่าเธอเหม่อลอยบ่อยเกินไป จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง เขาจึงแน่ใจว่าเพื่อนสาวต้องมีเรื่องกลุ้มใจอยู่แน่ๆ วันนี้ตอนหลังเลิกเรียนเขาเลยมาดักรอเธอที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อที่จะได้ถามให้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย ทำให้เขาได้แต่กังวลใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
แต่ในขณะนั้นเอง….
ปิ๊ป!! ปิ๊ป!! ปิ๊ป!!
เสียงปิ๊ปดังออกมาอย่างต่อเนื่องจากนาฬิกาข้อมือสีดำของเขา ดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นของใหม่เอี่ยมและดูมีราคาแพง ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจก่อนที่จะยกข้อมือซ้ายขึ้นมา
“ห…หวา!! การติดต่อมา!! ต…ต้องกดตรงนี้สินะ” ไวเวิร์นลนลานก่อนที่จะใช้นิ้วชี้กดลงไปที่หน้าปัดนาฬิกา
“ไวเวิร์น!! ไวเวิร์น!! ได้ยินแล้วตอบด้วย!! ไวเวิร์น!!”
เสียงของชายในชุดสูทดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอสามมิติที่เด้งออกมาตรงหน้า บนหน้าจอนั้นฉายให้เห็นใบหน้าของเจ้าของเสียงอย่างชัดเจน
“ค…คุณอาริคาโด้ ตอนนี้ผมอยู่ระหว่างทางกลับจากโรงเรียนครับ” ไวเวิร์นตอบอย่างตกใจ
“โอเค ฟังนะ เราตรวจพบปฏิกิริยาของปีศาจได้ในบริเวณเมืองที่นายอยู่ ชั้นต้องการให้นายไปที่จุดนัดพบ เพื่อที่จะได้คืนแส้ให้ แล้วรวมตัวกับกองกำลังของพวกเราไปกำจัดพวกมัน”
“ป…ปีศาจ!? สมุนของแดร็กคูล่าน่ะเหรอครับ!?”
“แน่นอนอยู่แล้ว…ชั้นจะส่งแผนที่ระบุบริเวณให้นะ”
จากนั้น หน้าจอที่ฉายภาพใบหน้าของชายชุดสูทก็เปลี่ยนไปฉายแผนที่ของเมืองนั้นแทน บนแผนที่นั้นปรากฏจุดสีฟ้าที่บ่งบอกถึงบริเวณที่เขากำลังยืนอยู่ และมีวงกลมสีเขียวอยู่ที่บริเวณศาลเจ้าฮาคุบะ ซึ่งคาดว่านั่นน่าจะเป็นจุดนัดพบที่พูดถึง
“เดี๋ยวก่อนนะ…คุณอาริคาโด้ กลุ่มจุดสีแดงนี่มันอะไรกันครับ?” ไวเวิร์นมองไปที่จุดสีแดงกลุ่มหนึ่งที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในแผนที่
“นั่นคือจุดที่บอกตำแหน่งที่พวกนั้นอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจ รีบไปที่จุดนัดพบเถอะ”
เก็นยะกล่าวอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนไวเวิร์นจะไม่ได้สนใจคำพูดนั้น เขายังคงจ้องมองกลุ่มจุดสีแดงบนแผนที่ซึ่งอยู่บนบริเวณที่เขียนว่าย่านการค้า
“!!! ด…เดี๋ยวก่อนนะ!!”
ไวเวิร์นตะโกนกับตัวเองเมื่อนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ เรื่องสำคัญนั้นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ซากุระจะแยกตัวออกไป…
‘อ๊า!! จริงสิ!! ฉันอยากกินหม้อไฟล่ะ!! งั้นวันนี้เรามาทำหม้อไฟกินกันดีกว่าเนอะ!! งั้นเดี๋ยวฉันจะไปย่านการค้าหน่อย!! ไวเวิร์นล่วงหน้าไปรอที่บ้านฉันก่อนได้เลยน้า~!!”’
“ซ…ซากุระ…ซากุระอยู่ที่ย่านการค้านั่นนี่นา!!”
“ว่าไงนะ!? ไวเวิร์น ที่พูดออกมานั่นเป็นความจริงเหรอ!?” เก็นยะตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คุณอาริคาโด้!! ขอโทษนะครับ แต่ผมต้องขอล่วงหน้าไปก่อน!!”
“อ้ะ!! เดี๋ยวก่อนสิ!! ไวเวิร์น!! ไว…”
ปิ๊ป สัญญาณการติดต่อถูกตัดขาดทันทีที่ร่างของชายหนุ่มเริ่มออกวิ่งไปยังย่านการค้าด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้ มือขวาของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูรายชื่อเบอร์โทรอย่างร้อนรน
“ซากุระ…ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ…”
“เฮ้อ…จนได้สิน่า….”
หญิงสาวผมสีน้ำทะเลถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจตัวเองที่จู่ๆ ก็วิ่งหนีออกมา
“ฉันนี่มันงี่เง่าชะมัด…ทั้งๆ ที่ไวเวิร์นอุตส่าเป็นห่วงแท้ๆ…แต่ฉันกลับ….”
ซากุระบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ในย่านการค้า ถึงแม้ว่าคำพูดนั้นจะเป็นแค่ข้ออ้างที่เธอคิดขึ้นได้ตอนฉุกละหุก แต่ถ้าเธอไม่ซื้ออะไรกลับไปเลย ก็คงจะไม่มีข้อแก้ตัวกับไวเวิร์นแน่ๆ เธอจึงต้องมาเลือกซื้อของตามที่เธอกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แต่ว่าทำไงได้ล่ะ…ฉันพูดไม่ได้นี่นา…ขืนพูดเรื่องงี่เง่าเอาแต่ใจแบบนั้นออกไป…ไวเวิร์นก็คงจะ…”
หญิงสาวได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างกลุ้มใจพลางพยายามคิดว่าครั้งต่อไปจะหลีกเลียงเหตุการณ์แบบนี้ยังไงดี แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรต่อนั้น…
“อ๊าก~~~~~~~~~!!!!”
เธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา เธอหันหน้าไปตามต้นเสียงทันทีตามปฏิกิริยาตอบสนอง สิ่งที่เธอเห็นผ่านดวงตาสีมรกตนั้น คือภาพของกลุ่มคนที่นอนจมกองเลือดภายใต้อุ้งเท้าของฝูงสิ่งมีชีวิตที่ขนาดตัวใหญ่พอๆ กับวัวกระทิง ร่างท่อนบนของมันปกคลุมไปด้วยขนสีเหลืองแดงและมีรูปร่างคล้ายกับสิงโต แต่กลับมีหางสีแดงน่ากลัวที่มีลักษณะเหมือนหางของแมงป่อง ซากุระนึกได้ในทันทีว่าเคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะคล้ายๆ แบบนี้ในหนังแฟนตาซีเรื่องโปรดของเธอ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะตัวแบบนี้จะมีชื่อว่าแมนติคอร์ และเธอรู้ได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกปกติแน่ๆ
“อ้าก~~~~~~~~!!!!”
“ไม่นะ!! ม่าย~~~~~~~~~~~~!!!!”
“ช่วยด้วย!! ใครก็ได้!!!”
เสียงกรีดร้องของผู้คนนับไม่ถ้วนดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับฝูงแมนติคอร์ที่รุมขย้ำและฉีกร่างของผู้คนราวกับฝูงหมาป่าที่กำลังขย้ำเหยื่อ
“ก…กรี๊ด~~~~~~~~~~~~~!!!”
เธอกรีดร้องออกมา แต่เธอก็ยังมีสติพอที่จะตัดสินใจวิ่งหนี เธอรีบวิ่งออกไปตามทางที่ไม่ได้ถูกปิดโดยฝูงแมนติคอร์ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องหนีไปที่ไหน แต่ยังไงเธอก็ต้องหนี เพราะว่าถ้าเธอไม่หนี เธอจะต้องตกเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน ในตอนนั้น เธอได้แต่คิดว่าต้องหาที่ซ่อนตัว ที่ซ่อนตัวที่ไหนก็ได้ที่ทำให้เธอพ้นสายตาของพวกนั้นไปได้
และแล้ว เธอก็ค้นพบที่ที่คิดว่าเหมาะที่สุดในตอนนี้จนได้….
“ต…ตรงนั้น!!”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอคือโกดังเก็บสินค้าที่ใช้เก็บสินค้าที่นำเข้ามาจากทางเรือ ซึ่งบังเอิญว่าประตูโกดังนั้นเปิดทิ้งไว้อยู่พอดี เธอตัดสินใจวิ่งเข้าไปในนั้น แล้วรีบสับสวิตช์เพื่อปิดประตูในทันที จากนั้นเธอก็ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วหายใจหอบอย่างหมดแรง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พักหายใจนั้น…
“ซากุระ คุรุสุ!!!”
คราวนี้เธอได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากด้านนอก ซึ่งฟังแล้วสามารถรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของผู้หญิง และเธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร เพราะตั้งแต่วันนั้นมา เธอก็ไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ข้ารู้นะว่าแกอยู่แถวนี้ โผล่หัวออกมาซะดีๆ!! ไม่อย่างงั้นข้าจะให้สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของข้าลากคอแกออกมาซะ!!”
ใช่แล้ว เจ้าของเสียงนั้นคือคามิลล่านั่นเอง เสียงตะโกนของหล่อนดังลั่นพร้อมกับเสียงคำรามของฝูงสัตว์ร้ายที่หล่อนพามาด้วย ซากุระได้แต่นั่งกอดเข่าและตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ในโกดังนั้น และพยายามภาวนาอยู่ในใจว่าขออย่าให้โดนเจอตัวด้วยเถอะ
แต่ในจังหวะนั้นเอง….
เธอก็ได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ของหนังแนวแฟนตาซีเรื่องโปรดที่เธอตั้งเอาไว้เป็นเสียงริงโทน เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันทีและเผยรอยยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อเห็นหน้าจอนั้น ปรากฏชื่อของเพื่อนชายคนสนิทของเธอ
“ไวเวิร์น!! ไวเวิร์น!!” ซากุระรับโทรศัพท์นั้นทันที
“ซากุระ!! ปลอดภัยดีรึเปล่า!?” เสียงตะโกนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของสายพร้อมกับเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการบ่งบอกว่าอีกคนกำลังวิ่งมาอย่างสุดชีวิต
“ฉ…ฉันปลอดภัยดี…ฉัน…กำลังแอบอยู่ในโกดัง” เสียงของซากุระตอบกลับอย่างสั่นเครือด้วยความกลัว พร้อมกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา “ผ…ผู้หญิงคนนั้น…ก…กำลังจ้องจับตัวฉัน…ฉ…ฉันกลัว…”
“ช่วยทนรอก่อนนะ!! ชั้นจะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!!”
“อืม…ช่วยฉันด้วย…ไว…”
โครม!!!
ประตูโกดังที่ทำจากเหล็กทั้งบานลอยพุ่งเข้าไปข้างในและชนกำแพงเข้าอย่างจัง แรงกระแทกนั้นรุนแรงจนทำให้มันบิดเบี้ยวจนไม่ได้รูป เบื้องหน้าตรงที่ประตูเคยอยู่นั้น มีร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงแดงยืนอยู่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“เจอตัวซะทีนะ….”
“กรี๊ด~~~~~~!!!!”
ซากุระถูกคามิลล่าคว้าคอและถูกกระชากขึ้นมาอย่างแรง จนโทรศัพท์มือถือของร่วงลงพื้นและโดนขาอันทรงพลังนั้นเหยียบแหลกเป็นชิ้นๆ
“เลิกเล่นซ่อนหากันได้ซะที เอาล่ะ…ทีนี้ก็….”
ฉึก!!!
“อึ้ก!!”
คามิลล่าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับมือที่คลายออกจากคอของซากุระในทันที ร่างอันบอบบางนั้นร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับเสียงสำลักอย่างต่อเนื่อง
“น…นี่มัน…”
คามิลล่ายกแขนขวาขึ้นมา หล่อนรู้ได้ในทันทีว่าอะไรคือต้นเหตุของความเจ็บปวดนั้น เพราะที่แขนข้างนั้นของหล่อน มีสิ่งที่ลักษณะเหมือนมีด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นคมสีเขียว และด้ามจับขนาดเล็กสีขาว ปักคาอยู่ที่แขนข้างนั้น
“ซากุระ!!!”
เสียงตะโกนดังขึ้น พร้อมกับร่างของเจ้าของมีดที่กระโดดข้ามฝูงแมนติคอร์เข้ามา ร่างนั้นพุ่งเข้าไปยืนขวางระหว่างสาวทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ในมือขวาของเขากำมีดอีกเล่มนึงและอยู่ในท่าพร้อมสู้
“ว…ไวเวิร์น!!!”
“ก…แก….แกอีกแล้วงั้นเหรอ!?” คามิลล่าแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ พร้อมกับดึงมีดที่ปักคาแขนออกเขวี้ยงทิ้งลงพื้น
“ไสหัวกลับไปซะ!! ไม่อย่างงั้น ชั้นจะฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้!!” ไวเวิร์นตะคอกใส่สาวชุดแดงอย่างไม่เกรงกลัว
“อวดดีจังนะเจ้ามนุษย์…คิดเหรอว่าแกคนเดียวจะสามารถจัดการกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารักพวกนี้ได้น่ะ!!”
คามิลล่ากล่าวเป็นเชิงขู่พร้อมกับผายมือไปทางฝูงแมนติคอร์ทางด้านหลัง
“จัดการซะ!!”
ฝูงสัตว์ร้ายจำนวนมากพุ่งเข้ามาทันทีราวกับฝูงหมาป่าที่กำลังกระหายเลือด ไวเวิร์นยืนประจันหน้ากับพวกนั้นพลางพยายามกระตุ้นสมองตัวเองให้ทำงานเพื่อคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขายังไม่ได้รับแส้คืนจากอาริคาโด้ ทำให้เขาไม่มีอาวุธหลักที่จะกำจัดพวกนั้นได้ แต่นับว่าโชคยังดี ที่วันนี้เขาเอาสิ่งนึงใส่กระเป๋ามาด้วย สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากเก็นยะ อาริคาโด้หลังจากการตอบตกลงเข้าร่วม VADET สิ่งนั้นคืออาวุธสำรองที่จะใช้เพื่อเปิดเส้นทางการหนีตอนนี้ได้
“ย้าก~~~~!!!!”
เพล้งงง ฟู่วววว
ไวเวิร์นคว้าขวดแก้วซึ่งบรรจุของเหลวสีขาวออกมาสามขวดแล้วขว้างมันลงตรงหน้าจนเกิดเป็นไฟสีฟ้าขาวล้อมรอบบริเวณนั้น ทำให้ฝูงแมนติคอร์ที่พุ่งเข้ามาต้องหยุดชะงักลงด้วยความกลัวเปลวเพลิงนั้น
“ตอนนี้ล่ะ!!! เอานี่ไปกินซะ!!”
ไวเวิร์นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง คราวนี้ในมือข้างนั้นเต็มไปด้วยคริสตัลสีขาวอยู่เต็มกำมือ เขาขว้างมันออกไปทางฝูงสัตว์ร้ายทันที
ตูม!! บึ้มๆๆๆ!!
“ก๊าซ~~~~~~~!!!!”
ทันทีที่คริสตัลกระทบกับร่างของแมนติคอร์ ก็เกิดระเบิดสีขาวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ฝูงแมนติคอร์ส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมานพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังไม่หยุด
“ตอนนี้ล่ะ!! หนีกันเถอะ!!”
ไวเวิร์นฉวยโอกาสนั้นคว้าร่างของซากุระแล้วรีบวิ่งออกมาจากโกดัง ฝูงแมนติคอร์ถูกเบนความสนใจจากระเบิดนั้นโดยไม่ได้สนใจเหยื่อทั้งสองที่กำลังหนี ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ชายหนุ่มคิดไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่แล้ว…
พลั่ก!!!
“อ้อก!!”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวชุดแดงที่มีนามว่าคามิลล่านั้นจะมองแผนของเขาออก หล่อนเลยโผล่มาปรากฏตัวตรงหน้าทั้งสองแล้วฟาดแข้งใส่อย่างแรง ร่างของทั้งสองกระเด็นและร่วงลงไปกระแทกพื้นอย่างจัง
“มีดปราบปีศาจรังสีเซต้า น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิง ไดนาไมท์ออร่าคริสตัล ขอชมเชยว่าพวกมนุษย์เองก็ฉลาดไม่เลวที่เอาสิ่งที่สร้างจากเวทมนตร์กับไอ้วิทยาศาสตร์อะไรนั่นมาต่อกรกับเราได้….” ร่างในชุดกระโปรงแดงกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “แต่ก็อย่าได้ใจไปนักเลย ไอ้ของแบบนั้นน่ะ…คิดเหรอว่าจะชนะข้าได้!!”
“อ…อ๊าก~~~~~!!!”
คามิลล่าเหยียบลงที่ร่างของไวเวิร์นอย่างแรง หนุ่มผมดำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับว่ามีคนยกก้อนหินที่สุดแสนจะหนักมาทับร่างของตัวเอง
“ว…ไวเวิร์น…” ซากุระมองไปทางร่างของเพื่อนชายที่ถูกเหยียบอย่างเจ็บปวด
“เลิกต่อต้านได้แล้วเจ้าพวกมนุษย์ ถึงพวกแกจะพยายามแค่ไหน ก็ต่อกรกับพวกข้าไม่ได้หรอก สิ่งที่พวกแกทำน่ะ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี” คามิลล่าหัวเราะอย่างมีชัย
“ไร้ประโยชน์งั้นเหรอ? ชั้นไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ”
ฉัวะ!!
“อ๊าก~~~~~~!!!”
คมดาบสีดำฟันเฉียงเข้าที่ไหล่ขวาของสาวชุดแดงเข้าอย่างจัง หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับหันหลังกลับไปและเหวี่ยงแขนเพื่อที่จะฟาดใส่ผู้ที่อยู่ข้างหลัง แต่เจ้าของดาบเล่มนั้นไหวตัวทันและกระโดดถอยหลังหลบการโจมตีนั้นได้อย่างไร้รอยแผล
“ก…แก…”
หญิงสาวกัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้น เพราะหล่อนนั้นรู้จักชายผู้เป็นเจ้าของดาบคนนี้ดี สำหรับหล่อน เขาเป็นชายที่เป็นหนึ่งในตัวน่ารำคาญ และเป็นตัวอันตรายที่สุดของหล่อนเลยก็ว่าได้
“เก็นยะ อาริคาโด้…”
“ได้เจอกันอีกแล้วสินะ คามิลล่า” เก็นยะกล่าวอย่างเรียบๆ ก่อนที่จะเดินไปหาร่างทั้งสองที่ยังคงนอนอยู่ที่พื้น
“ทั้งสองคน พอจะยืนไหวมั้ย?” เก็นยะปักดาบลงกับพื้นพร้อมกับย่อตัวลงแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้า
“ค…ครับ”
“ค…ค่ะ”
ไวเวิร์นและซากุระคว้ามือทั้งสองนั้นเอาไว้พร้อมกับออกแรงเพื่อลุกขึ้นมา
“คามิลล่า เธอบอกว่าการกระทำของพวกเรานั้นไร้ประโยชน์สินะ” เก็นยะจับดาบแล้วหันไปหาสาวชุดแดงอีกครัง “เธอน่ะคิดผิดแล้ว ไม่มีการกระทำใดๆ ของพวกเรา VADET ที่ไร้ประโยชน์หรอก…แม้แต่การกระทำของไวเวิร์น ที่พุ่งพรวดออกไปก่อน โดยที่ไม่ได้มารวมกลุ่มกับพวกเราก็เช่นกัน เพราะถ้าไวเวิร์นไม่ทำแบบนั้น เธอก็คงจะจับตัวซากุระแล้วหนีไปซะก่อนที่ชั้นจะได้รวบรวมพวกนั้นมาที่นี่อย่างแน่นอน”
เก็นยะผายมือไปทางด้านหลังของศัตรูตรงหน้า เบื้องหลังของคามิลล่านั้น เต็มไปด้วยกลุ่มคนนับร้อยที่เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์สำหรับปราบปีศาจและจอมเวทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมาย ใช่แล้ว พวกเขาคือกลุ่มหน่วยรบของ VADET นั่นเอง
“คามิลล่า…ในนามของเก็นยะ อาริคาโด้…บอสใหญ่แห่ง VADET…” เก็นยะชี้ปลายดาบไปทางคามิลล่าอย่างไร้ความเกรงกลัว “วันนี้จะเป็นวันตายของแก!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ