Castlevania - The Rancor's Funeral
10.0
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.
13 ตอน
4 วิจารณ์
16.48K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทที่ 11 - เหตุผลของคนโกหก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “เฮื่อ~~~~~~~~~~!!!!!”
ฉัวะๆๆ!! ฉับๆๆๆ!!
“กิ๊ซ~~~~~~!!!”
เสียงเหล่านี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคมดาบแห่งลมที่ถูกกวัดแกว่งจากมือผู้ใช้ แม้จะอยู่บนไม้กวาดที่บินฉวัดเฉวียนไปมา แต่ผู้ใช้ดาบคู่ก็ยังคงกวัดแกว่งดาบด้วยท่าทางพลิ้วไหวดั่งสายลม เข้าตัดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยเขี้ยวฟันซึ่งบุกเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปากอันดุร้ายนับร้อยจะเข้ารุมเล่นงานอย่างหมาหมู่ ก็มีแต่จะถูกฟันขาดจนน้ำสีม่วงพุ่งออกมาทางบาดแผลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ต้นไม้ปีศาจเองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ต่อเหยื่อร่างเล็กง่ายๆ เพราะไม่ว่ากิ่งก้านของมันจะถูกตัดไปกี่ครั้ง ดอกไม้กระหายเลือดก็จะงอกออกมาใหม่จากรอยตัดภายในเวลาไม่กี่วินาที และกลับมารุมจู่โจมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดเป็นวัฏจักรเช่นเดิมวนไปมาเรื่อยๆ
“ให้ตายเถอะ…ฟื้นตัวได้เร็วเป็นบ้าเลย!!”
ฟ้าว~!!!
ฉัวะๆๆ!!
ผู้ใช้ดาบคู่ตวัดดาบอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นลมอันเฉียบคมกระจายไปทั่ว จนปากปีศาจทั้งหมดถูกสายลมเฉือนจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~!!!!”
และก่อนที่ต้นไม้ปีศาจจะได้งอกกิ่งก้านใหม่ออกมาอีกครั้ง ผู้ใช้ดาบลมก็กระโจนออกจากไม้กวาด พุ่งเข้าไปยังลำต้นที่เต็มไปด้วยเมือกเขียว มือทั้งสองไขว้กันเป็นรูปกากบาท ก่อนที่จะตวัดดาบออกไปเต็มแรง
ฟิ้ว~~~!!!!
แก๊งๆๆๆๆๆ~~~~~~~~!!
สายลมอันเฉียบคมโหมกระหน่ำเข้าใส่ลำต้นนั้น แต่ทันทีที่สายลมตัดผ่านเมือกเขียวเข้าไปปะทะกับเปลือกนอกอันขรุขระ ลมอันเฉียบคมก็แตกสลายหายไปทันที โดยทำได้แค่สร้างรอยแผลเท่าแมวข่วนจำนวนมากซึ่งมีของเหลวสีม่วงไหลซึมออกมาเล็กน้อย ซึ่งแผลเหล่านั้นก็สมานตัวกลับเป็นเหมือนเดิมในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่
“ที่ว่าเปลือกนอกแข็งพอๆ กับเพชรนี่…ไม่ใช่เรื่องโม้เกินจริงสินะ…”
โพรมีเทียสบ่นพึมพำพร้อมกับดีดตัวกลับไปยืนบนไม้กวาดที่ร่อนลงมารับได้ถูกจังหวะพอดี
“ก๊าซ~~~~~~!!!!”
และในตอนนั้น กิ่งก้านที่ฟื้นตัวแล้วแล้วก็เริ่มโต้กลับอีกครั้ง พวกมันบุกเข้ามาพร้อมกันจากทั้งแปดทิศเข้ามารุมล้อมอีกฝ่าย ซึ่งส่งผลให้เหยื่อทั้งสองไร้ซึ่งทางหนีโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้น ร่างบนไม้กวาดทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกต่อสถานการณ์คับขันเลย
“ฟราน…ป้องกันที…”
“Sky Barrier!!”
เปรี๊ยะๆๆ~ เปรี้ยง~!
“กิ๊ซ!?”
แต่ก่อนที่ฝูงปากกระหายเลือดจะได้ขย้ำร่างเหยื่อ บาเรียโปร่งใสก็ปรากฏออกมาครอบคลุมร่างทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ปากเหล่านั้นพุ่งชนบาเรียจนเกิดประกายไฟฟ้าดังเปรี๊ยะๆ ก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นกลับไป
“เป็นไงมั่ง โพมี่?” ฟรานซิสก้าถามในขณะที่ฝูงปากปีศาจยังคงพยายามโจมตีบาเรียซ้ำไปซ้ำมา
“อา…ได้ข้อมูลเพียงพอแล้วล่ะ…” โพรมีเทียสหันมาหาสาวน้อยด้านหลังพร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ “ดำเนินตามแผนได้เลย ฟราน”
“โอเค~ ถ้าอย่างนั้น…”
แว้บ!!
บาเรียโปร่งใสหายวับไปในทันทีที่จอมเวทย์สาวสะบัดมือเป็นแนวนอน เปิดโอกาสให้ดอกไม้ปีศาจบุกเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง
ฟ้าว~~!!
ฉัวะๆๆๆ!!!
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ดาบคู่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายรุมโจมตีง่ายๆ จึงสะบัดดาบสร้างคลื่นลมอันเฉียบคม เฉือนกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยฟันจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง
“แพนโดร่า Red Nature”
พรึ่บ! ฟู่~!
สีเขียวอ่อนของดาบคู่ที่ถูกย้อมด้วยลมค่อยๆ เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีแดงฉานจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ
“Wave Heart”
สาวผมชมพูทำการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ลำแสงสีขาวสองเส้นออกมาจากฝ่ามือของเธอ หักเลี้ยวเข้าไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดาบที่มือทั้งสองของคู่หู
“ฝากด้วยนะ โพมี่”
“วางใจได้เลย~”
ผู้ใช้ดาบคู่กระโจนออกจากไม้กวาดอีกครั้ง เปลวเพลิงลุกโชนจากอาวุธสีแดงอย่างต่อเนื่อง เข้าเผาผลาญกิ่งก้านที่งอกมาใหม่อีกครั้ง ส่วนจอมเวทย์สาวอาศัยจังหวะนั้นทะยานสู่เบื้องบน จนกระทั่งหายไปจากระยะสายตาของคู่หู
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”
เคร้งๆๆๆๆ~~~~!!!
ชายผมทองอาศัยไฟจากดาบในการบินวนไปทั่วลำต้น พร้อมกับฟาดฟันอาวุธสีแดงใส่ไม่ยั้ง ใบดาบตัดผ่านชั้นเมือกสีเขียวเข้าปะทะกับเปลือกอันขรุขระซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แต่ความคมนั้นก็ไม่อาจทะลุผ่านเปลือกที่แข็งในระดับเดียวกับเพชร ได้แต่สร้างแผลขีดข่วนขนาดเล็ก ซึ่งแทบจะหายไปในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
แม้ว่าตัวเองจะมีเกราะแข็งกันไฟคุ้มกาย แต่การที่โดนเหยื่อตัวเล็กไล่ตอดเล็กตอดน้อยก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญ ต้นไม้ปีศาจจึงควบคุมกิ่งก้านเข้ารุมเหยื่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจที่จะตามการเคลื่อนไหวของเหยื่อผมทองได้ทัน และถูกดาบธาตุไฟฟันขาดและถูกเผามอดไหม้ซ้ำอีกครั้ง
และเหตุการณ์แบบเดิมก็ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ชายผมทองบินวนเวียนไปทั่วลำต้น ตวัดดาบฟันใส่ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล ดอกไม้ปีศาจงอกมาจู่โจมอีกครั้ง แต่ก็ถูกเผาจนมอดไหม้อีกครั้ง และกลับไปบินวนตวัดดาบใส่ลำต้นเช่นเดิม
ภาพเหตุการณ์เดิมๆ ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมาผ่านทางหน้าจอสามมิติ โดยไม่มีแววว่าจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“นี่มัน…อะไรกันเนี่ย….”
เก็นยะได้แต่ยืนกอดอกและจ้องหน้าจอสามมิติอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าชายในหน้าจอทำเรื่องไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ไวเวิร์น ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันเนี่ย…”
“ร…เรื่องนั้นผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละครับ…”
ไวเวิร์นเองก็ไม่อาจเข้าใจเป้าหมายของอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงจับตามองไปยังร่างที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างตาไม่กระพริบ และยังคงเชื่อว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเป้าหมายแอบแฝงในการกระทำที่ดูไร้ประโยชน์อยู่แน่นอน
“เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”
โพรมีเทียสตัดสินใจบินขึ้นไปยังยอดที่สูงจรดฟ้าหลังจากที่เอาแต่ไล่ฟันลำต้นมาเป็นเวลานาน
“แพนโดร่า Hammer Mode Brown Nature”
อาวุธในมือทำการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง กลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ซึ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยสีน้ำตาลจากหินผา ซึ่งดูแข็งแกร่งและทนทานจนยากที่จะมีอะไรมาต่อต้านได้
“แค่นี้ก็…”
ร่างผมทองร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงอย่างอิสระ มือทั้งสองชูค้อนขึ้นเหนือหัวในท่าพร้อมทุบ และในตอนที่ร่างนั้นร่วงลงมาจนถึงยอดของต้นไม้…
“รุกฆาตกันซะที!!”
ตึง!!
ค้อนแห่งพสุธาฟาดลงไปยังยอดบนสุดอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แต่กระนั้น ลำต้นซึ่งแข็งแกร่งดั่งเพชรก็ดูท่าจะไม่สะเทือนต่อการโจมตีนั้นเลย มันยังคงนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียงกรีดร้อง ไม่มีวี่แววว่าการโจมตีนั้นจะได้ผลเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้ว…
บึ้ม~~~!!!!!!!!
กิ๊ซๆๆๆๆๆๆๆๆๆ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็เกิดการระเบิดขึ้นจากทั่วทุกจุดของลำต้น ระเบิดนั้นมีความรุนแรงสูงจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นปะปนไปกับเสียงกรีดร้องอันแสนแสบแก้วหูจากสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด และความรุนแรงนั้นยังทำให้เปลือกนอกที่ถูกหุ้มด้วยเมือกเขียวถึงกับฉีกขาดหลุดกระจายออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นเนื้อในสีแดงอันน่าขยะแขยง ซึ่งถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีม่วงที่ปล่อยไอความร้อนลอยสู่อากาศอย่างไม่หยุด
“เป็นไงล่ะ~?” โพรมีเทียสที่เปลี่ยนอาวุธกลับเป็นดาบเพลิงอีกครั้งยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ “รสชาติของการเดือดอย่างกะทันหันมันแสบร้อนไปถึงทรวงเลยใช่มั้ยล่ะ~”
“ก…การเดือดอย่างกะทันหันงั้นเหรอ!?”
บอสแห่ง VADET ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนี้ แต่เพียงชั่วครู่ก็รีบกลับมาปั้นหน้านิ่งเช่นเดิม
“ไม่น่าเชื่อเลย…เอาเรื่องแบบนี้มาใช้ได้ด้วยเหรอเนี่ย…”
เก็นยะเอามือกุมคางอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ในขณะที่ไวเวิร์นยังคงอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าน่าจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ในทันทีเช่นกัน ส่วนมิโกะสาวได้แต่หันมองสลับกันไปมาระหว่างชายทั้งสอง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เธอจึงตัดสินใจสะกิดเพื่อนชายข้างตัว
“ไวเวิร์น…การเดือดอย่างกะทันหันนี่มันคืออะไรเหรอ?”
“เอ้ะ?...เอ่อ…ถ้าจะให้อธิบายก็…” ไวเวิร์นทำท่าครุ่นคิด “ซากุระจำข่าวเรื่องนมระเบิดที่ดูเมื่อวานได้รึเปล่า?”
“เอ๋? หมายถึงข่าวเรื่องผู้หญิงที่เทนมใส่แก้วไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ แต่พอเอาออกจากเตามาวางบนโต๊ะ แก้วกลับระเบิดใส่หน้าเธอจนต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะเหรอ?”
“อืมๆ ข่าวนั้นแหละ”
ไวเวิร์นพยักหน้า
“ตามปกติของเหลวนั้นถ้าให้ความร้อนจนถึงจุดเดือดมันก็จะเดือดทันที แต่การให้ความร้อนด้วยเตาไมโครเวฟนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถกระจายความร้อนสู่ของเหลวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ของเหลวนั้นไม่เกิดการเดือดถึงแม้ว่าอุณหภูมิไปแล้ว”
“แต่กระนั้น หากมีตัวกระตุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นแรงกระแทก ของเหลวนั้นก็จะเกิดการเดือดขึ้นในทันที และส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรง นั่นแหละคือการเดือดอย่างกะทันหันล่ะ”
“ถ…ถ้าอย่างงั้น…” ซากุระมองไปทางหน้าจอที่ฉายภาพสิ่งมีชีวิตที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีม่วงอีกครั้ง
ใช่แล้ว ทุกสิ่งที่โพรมีเทียสได้ทำไปตั้งแต่ต้น ก็เพื่อเป็นการสร้างการเดือดแบบกะทันหันขึ้นมานั่นเอง!!
ส่วนประกอบหลักของเมือกคือของเหลว การที่มันสร้างเมือกออกมาใหม่ได้ตลอดเวลา แสดงว่าภายในลำต้นนั้นจะต้องมีการกักเก็บของเหลวเอาไว้เป็นจำนวนมาก
แต่ของเหลวแต่ละอย่างก็มีจุดเดือดที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะใช้วิธีนี้ก็ต้องดูประเภทของของเหลว และคำนวณจุดเดือดคร่าวๆ ให้ได้ซะก่อน
ดังนั้น ในตอนแรกจึงเลือกที่จะใช้ดาบลม เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากคลื่นลมที่กระทบกับศัตรูในการคำนวณปริมาตรและความหนาแน่น และยังสามารถดูชนิดของของเหลวที่ไหลออกมาจากรอยแผลของมันได้ด้วย
เมื่อได้ข้อมูลจนเพียงพอแล้ว ก็เปลี่ยนรูปแบบอาวุธเป็นดาบเพลิง และให้ฟรานใช้เวทย์ Wave Heart ซึ่งส่งผลให้อาวุธของเขาสามารถปล่อยคลื่นออกมาได้ ซึ่งเมื่อผสมกับธาตุไฟ ก็จะทำให้อาวุธนั้นกลายเป็นเครื่องผลิตคลื่นความร้อนที่สร้างผลลัพธ์ได้แบบเดียวกับคลื่นไมโครเวฟ
และพฤติกรรมที่ดูไร้ประโยชน์อย่างการบินวนไปรอบลำต้นและไล่เอาดาบฟันทั้งที่มันไม่อาจเข้าถึงเนื้อในได้นั้น ก็เพื่อเป็นการส่งคลื่นความร้อนเข้าไปยังของเหลวภายในลำต้นโดยตรง ทำให้อุณหภูมิของเหลวในลำต้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่เข้าสู่สถานะเดือด
และสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้แผนนี้สำเร็จก็คือแรงกระแทก จึงต้องอาศัยพลังของค้อนแห่งผืนดินเพื่อส่งแรงกระแทกอันมหาศาล และทำให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรงเป็นการปิดท้าย
แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วการจะทำแผนการนี้ให้สำเร็จ ต้องอาศัยการคำนวณอย่างละเอียดและการกระจายความร้อนในของเหลวแต่ละจุดอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งตามปกติแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินตามแผนนี้จนสำเร็จ
แต่คำว่าเป็นไปไม่ได้นั้นก็ใช้กับชายคนนี้ไม่ได้ ชายผู้มีความบ้าวิทยาศาสตร์เกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ซึ่งสามารถบันดาลวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ให้กลายมาเป็นอาวุธอันร้ายกาจได้
เสียงกรีดร้องจากปีศาจกระหายเลือดยังคงเปล่งออกมาอย่างไม่หยุด กิ่งก้านดิ้นพล่านไปมาอย่างสะเปะสะปะจากความเจ็บปวดจากทั่วทุกอนูขุมขน ลำต้นของมันไม่มีเกราะกันความร้อนและเกราะแข็งดั่งเพชรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถ้ามันถูกโจมตีหัวใจหรือถูกเผาตอนนี้ ชีวิตของมันก็จะดับลงทันที
“โฮ่ย ฟราน พร้อมรึยัง ตาเธอแล้วนะ”
“พร้อมตั้งนานแล้วย่ะ”
เสียงตอบอันแหลมใสดังมาจากเบื้องบน ซึ่งมีร่างของจอมเวทย์สาวบนไม้กวาดกำลังล่องลอยอยู่ในท่าชูมือขวาขึ้นฟ้า โดยมีวงแหวนเวทย์สีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้ตัวเธอ ซึ่งทันทีที่เธอได้ยินเสียงเรียกจากคู่หู เธอก็ตวัดมือข้างนั้นลงในทันที
“Salamander!!”
วงแหวนเวทย์เปล่งแสงเจิดจ้า หัวของมังกรที่ถูกย้อมไปด้วยสีส้มของเปลิวเพลิงที่ลุกโชนค่อยๆ โผล่ออกมาจากวงแหวนเวทย์นั้น พร้อมกับลำตัวอันแสนยาวที่ค่อยๆ โผล่ตามมาเรื่อยๆ จากนั้นมังกรเพลิงก็พุ่งตรงไปยังต้นไม้ที่สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว และใช้ลำตัวอันแสนยาวเข้ารัดรอบต้นไม้จนเป็นเกลียว และเริ่มทำการเผาผลาญด้วยร่างเปลวเพลิงอันร้อนแรง
“กิ๊ซ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!”
ความร้อนจากมังกรเพลิงส่งผลให้ของเหลวสีม่วงระเหยกลายเป็นไอในพริบตา ไฟลามไปทั่วทั้งร่างของปีศาจและลุกโชติช่วง เสียงกรีดร้องอย่างทรมานอันแสบแก้วหูยิ่งแผดออกมามากกว่าเดิม แต่เพียงแค่ชั่วครู่ เสียงกรีดร้องนั้นก็เงียบหายไป พร้อมกับร่างอันสูงใหญ่ที่สลายกลายเป็นขี้เถ้าและปลิวหายไปกับอากาศ
สายตาของชายหญิงทั้งสองบนพื้นจับจ้องดูภาพนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
“สำเร็จแล้วนะ ฟราน”
“สำเร็จแล้วนะ โพมี่”
ทั้งสองคนกำมือขวาชนกัน ก่อนที่จะยกนิ้วโป้งให้กันเองด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
“น…นึกออกแล้ว!!”
จู่ๆ บอสแห่ง VADET ก็โพล่งคำนี้ออกมา ทำเอาชายหญิงทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจ
“งั้นเหรอ…สองคนนั้นคือคู่หูปราบปีศาจเองเหรอเนี่ย!?”
“ค…คู่หูปราบปีศาจเหรอครับ…?” ไวเวิร์นมองอย่างงงๆ
“ชั้นเคยได้ยินข่าวลือมาน่ะ ว่านอกจากพวกเรา VADET แล้ว ยังมีคนสองคนที่ออกเดินทางไปทั่วเพื่อไล่ปราบปีศาจจากทุกมุมโลก สองคนนั้นถูกตั้งฉายาว่าคู่หูปราบปีศาจ คนนึงเป็นชายผมสีทองซึ่งใช้อาวุธที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจนึก ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงผมยาวสีชมพู เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์อันหลากหลาย ซึ่งหาได้ยากในยุคปัจจุบันนี้…”
เก็นยะจับจ้องไปที่หน้าจอสามมิติ ซึ่งฉายภาพของคู่หูปราบปีศาจที่กำลังยกนิ้วโป้งให้กัน
“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอตัวง่ายขนาดนี้…”
แววตาจริงจังจ้องไปยังหน้าจอสามมิตินั้นชั่วครู่ก่อนนิ้วชี้จะจิ้มไปที่หน้าจอสองสามครั้งเพื่อเป็นการปิดหน้าจอ
“ไวเวิร์น ซากุระ ชั้นจะไปเจรจากับสองคนนั้นหน่อย พวกนายรออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
สิ้นสุดประโยคนั้น บอสแห่ง VADET ก็วิ่งออกไปยังจุดที่ต้นไม้ปีศาจเคยอยู่ทันที ปล่อยให้คู่เพื่อนชายหญิงอยู่กันเพียงสองคนตามลำพัง
“เป็นยังไงบ้างครับ ฝีมือการต่อสู้ของคุณโพรมีเทียสกับคุณฟรานซิสก้า สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะครับ?”
แต่หลังจากที่ผู้เป็นบอสวิ่งออกไปเพียงแค่ไม่นาน ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงกล่าวอันนุ่มนวลจากชายปริศนาที่ไม่ทราบว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเอามิโกะสาวสะดุ้งอีกครั้งก่อนที่จะหันไปมอง ในขณะที่ไวเวิร์นกลับหันไปด้วยสายตานิ่งๆ อย่างไร้อาการตกใจ ราวกับว่าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าชายคนนี้จะต้องโผล่มาอีกแน่
“นี่…ช่วยตอบคำถามผมซักข้อได้มั้ยครับ…?” ไวเวิร์นจ้องบุรุษลึกลับด้วยแววตาจริงจัง
“ว่ามาสิครับ”
“ที่คุณสร้างเรื่องขึ้นมาโกหกสองคนนั้นนี่…เพราะอยากให้ผมได้เห็นใช่มั้ยครับ…? ให้ผมได้เห็น…วิธีการต่อสู้ของสองคนนั้น…”
รอยยิ้มโผล่ออกมาจากมุมปากของชายลึกลับเล็กน้อย
“นั่นสินะครับ ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วล่ะก็…ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวนั้นครับ”
ชายปริศนาเว้นช่วงหยิบนาฬิกาพกออกมาดู ก่อนที่จะเก็บมันเข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ
“โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่ กับฟรานซิสก้า อัลลิน เมื่อสามปีก่อน พวกเขาถูกแดร็กคูล่าพรากสิ่งสำคัญไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้หัวใจของพวกเขาเกิดความเดียดแค้นและความเศร้าอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเลือกที่จะใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”
“แม้ว่าพวกเขาจะมีกันอยู่แค่สองคน แม้ว่าจะเจอเรื่องแสนเจ็บปวดจนเจียนตายอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้ง และเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป จนกว่าแดร็กคูล่าจะหายไปจากโลกใบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันยอมก้าวสู่โลกแห่งความตายเด็ดขาด”
“ด้วยเหตุนั้น ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งซึ่งสั่งสมมาตลอดจากการต่อสู้สามปี ความแข็งแกร่งที่ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งวิธีการต่อสู้ซึ่งยากที่จะหาผู้ต้านทานได้ และผมคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าหากว่าคุณไวเวิร์นได้เห็นสิ่งพวกนั้นน่ะครับ”
นั่นคือคำอธิบายส่วนหนึ่งจากชายผู้แต่งเรื่องโกหก มันฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและสามารถยอมรับได้ แต่กระนั้น สายตาของเพื่อนชายกลับฉายแววแห่งความไม่พอใจออกมา
“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่า…เล่นแต่งเรื่องโกหกจนซากุระต้องมารับเคราะห์แบบนี้ มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ…?”
“เรื่องนั้นผมขอยอมรับแต่โดยดีว่าผมทำเกินไปจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ”
ชายปริศนาโค้งให้ชายตรงหน้าเพื่อแสดงการขอโทษจากใจจริง แต่ความไม่พอใจก็ยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม
“คนที่คุณต้องขอโทษ ไม่ใช่ผมซะหน่อย…”
เขาพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้างตัว ชายในผ้าคลุมมองอาการนั้นก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“นั่นสินะครับ ถ้างั้นก็…”
จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามิโกะสาวแต่โดยดี
“เพราะคำโกหกของผม คุณซากุระเลยต้องพลอยเจอเรื่องแย่ๆ ไปด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“เอ้ะ…อ้ะ…เอ่อ…”
ซากุระออกอาการทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกคุกเข่าให้
“ม…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงตอนนี้ทั้งฉันกับไวเวิร์นก็ปลอดภัยดีแล้วด้วย…”
เธอส่ายมือไปมาเพื่อแสดงการให้อภัย ชายลึกลับมองกิริยานั้นซักพัก แล้วหันไปมองเพื่อนชายที่ยอมสะบัดความไม่พอใจออกไปจากใบหน้าแล้ว จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยและยืนขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็นึกวิธีอื่นที่จะสามารถเติมเต็มเป้าหมายทั้งสองอย่างไม่ออกจริงๆ ผมเลยต้องใช้วิธีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ”
“แล้ว…เหตุผลอีกอย่างคืออะไรครับ…?”
ไวเวิร์นถามอย่างเรียบๆ ชายปริศนากระแอมไอสองสามครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ
“อย่างที่ผมบอกไปว่าคุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้ามีความแข็งแกร่งที่ยากจะหาผู้ต้านทานได้ ถึงอย่างงั้น พวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าถึงตัวแดร็กคูล่าได้ การต่อสู้เพียงลำพังแค่สองคนนั้นมีขีดจำกัดมากเกินไป ทำให้พวกเขาโหยหาสิ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดจำกัดนั้นได้ ซึ่งนั่นก็คือการสนับสนุนจากพวกเดียวกัน”
“การที่พวกเขาเชื่อเรื่องโกหกของผมในทันทีโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกเขากำลังต้องการมันมาก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูล ด้านกำลังรบ หรืออื่นๆ พวกเขาก็ยินดีที่จะรับมันไว้อย่างไม่ลังเลทั้งสิ้น”
“ในทางกลับกัน องค์กรอย่าง VADET นั้นมีความเพียบพร้อมทางด้านนี้มากกว่า เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุนและกำลังคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีบุคลากรอย่างเก็นยะ อาริคาโด้มาเป็นผู้ควบคุมสิ่งเหล่านี้ ทำให้องค์กรเติบโตและยิ่งใหญ่ได้มาจนถึงทุกวันนี้”
“แต่กระนั้น สิ่งที่ VADET ยังคงขาดแคลน คือบุคลากรที่สามารถเป็นแกนนำของกำลังรบได้ คนในองค์กรที่มีความสามารถถึงขั้นนั้นจริงๆ ยังคงมีแค่หยิบมือ ทำให้บางครั้งผู้เป็นบอสอย่างเขาต้องลงไปสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต้องบการที่สุดในตอนนี้ก็คือบุคลากรที่มีความแข็งแกร่ง และสามารถเป็นผู้นำกำลังรบให้คว้าชัยชนะกลับมาได้”
“ซึ่งปัญหาทั้งสองนี้สามารถถูกแก้ได้อย่างง่ายดาย โดยการให้คุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้าเข้าร่วมกับ VADET ซะ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลอีกข้อของผมครับ”
หลังจากจบประโยคสุดท้ายของชายลึกลับ บรรยากาศอันแสนเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ซากุระออกอาการทึ่งราวกับพึ่งได้ฟังการบรรยายที่สุดยอดมาหมาดๆ ส่วนไวเวิร์นได้แต่ส่งสายตานิ่งๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก เหตุผลของอีกฝ่ายมีความลงตัวอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งที่เป็นแบบนั้น ในสมองของชายหนุ่มกลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง รู้เรื่องภายในของ VADET เป็นอย่างดี รู้ถึงความต้องการของคู่หูปราบปีศาจ แถมยังรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาด้วย ทั้งที่ตามปกติแล้วคนนอกไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้เลยแท้ๆ
“ผม...มีคำถามอยู่อีกสองข้อครับ…”
ไวเวิร์นเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“คุณน่ะ…เป็นใครกันแน่…แล้วทำไมถึงได้รู้เรื่องไปซะทุกอย่างเลย…?”
สายตาคมกริบดั่งเหยี่ยวจ้องไปยังร่างใต้ผ้าคลุมราวกับต้องการมองให้ทะละปรุโปร่ง แต่ชายปริศนาก็ไม่ได้สนใจสายตานั้น และหยิบนาฬิกาออกมาดูอีกครั้ง
“เวลายังไม่ต้องการให้ผมตอบคำถามสองข้อนั้นในตอนนี้ ต้องขอโทษด้วยครับ”
ชายในชุดคลุมเก็บนาฬิกาและโค้งให้ทั้งสองอย่างสุภาพก่อนที่จะหันหลังให้ทั้งสอง
“ยามที่เวลาต้องการ เราคงได้พบกันอีกครับ”
สิ้นสุดคำพูดนั้น ชายปริศนาก็ก้าวเดินออกไป ปล่อยให้ชายหญิงทั้งสองอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง
“โฮ่ย~~ พวกนาย~~”
แต่หลังจากที่ชายชุดคลุมจากไปเพียงไม่นาน คู่เพื่อนสนิทก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง พวกเขาหันไปในทันที และพบคู่หูปราบปีศาจทั้งสองบินร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“อ…เอ่อ…”
“ม…มีอะไรเหรอครับ…?”
คู่เพื่อนสนิทรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อยกับใบหน้านิ่งๆ ของทั้งสอง คู่หูปราบปีศาจหันมามองหน้ากันเอง แล้วพยักหน้าให้กันก่อนที่จะหันกลับไปมองอีกฝ่าย และจากนั้น……
“ขอโทษด้วยครับ!!”
“ขอโทษด้วยค่ะ!!”
“อ…เอ๋!?”
คู่หูปราบปีศาจพร้อมใจกันโค้งขอโทษชายหญิงตรงหน้าพร้อมกัน ทำเอาคู่เพื่อนสนิทอุทานออกมาอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“พวกเราผิดเองที่หลงเชื่อเรื่องโกหกนั่น จบเกือบจะฆ่าพวกนาย…”
“ถ้าพวกเรารู้ตัวเร็วกว่านี้ล่ะก็…พวกนายก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ขอโทษด้วยค่ะ!!”
“ช…ช…ช่างมันเถอะ!! เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไป!! เนอะ ซากุระ!?”
“อ..อื้ม!! พวกเราเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายด้วย!! ดังนั้น เงยหน้าขึ้นมาเถอะจ้ะ!!”
คู่เพื่อนสนิทรีบบอกทั้งสองอย่างลนลาน คู่หูปราบปีศาจมองอาการนั้นอยู่ซักพักก่อนที่จะยอมเงยหน้าขึ้นมา
“อ…เอ่อ…ถ้างั้นก็…” โพรมีเทียสกระแอมไอสองสามครั้งแล้วยื่นมือขวามาข้างหน้า “โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่…”
“อ…เอ๋…?” ไวเวิร์นเอียงคอมองมือนั้นอย่างงงๆ
“ช…ชั้นกับฟรานตกลงเข้าร่วมกับ VADET แล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกเราสี่คนถือว่าเป็นพวกเดียวกัน…ก็เลย…คิดว่าพวกเราน่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้น่ะ…”
ชายผมทองรู้สึกเกร็งจนแขนสั่นนิดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการผูกมิตรคนอื่นเอาซะเลย หนุ่มผมดำยืนมองมือนั้นอยู่ซักพัก ก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อยทางมุมปาก
“ไวเวิร์น อัลเดน่าครับ”
แล้วยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย
“ฟ…ฟรานซิสก้า อัลลินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
สาวหัวชมพูที่เห็นการทักทายของฝ่ายชายเป็นไปด้วยดีตัดสินใจยื่นมือออกไปหาคนตรงหน้าบ้าง
“ซากุระ คุรุสุจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ~”
ซึ่งสาวหัวน้ำทะเลก็ตอบรับอีกฝ่ายแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้ม สาวผมชมพูมองรอยยิ้มนั้นอยู่ซักพักก่อนที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายยิ้มด้วย
--- ปราสาทแดร็กคูล่า ห้องบัลลังก์ ---
ก๊อกๆๆ~~
“เข้ามาได้”
แอ้ด~!!
ประตูบานใหญ่สีแดงด้านซ้ายถูกเปิดออก พร้อมกับร่างในชุดสไตล์อังกฤษที่ค่อยๆ ก้าวเดินมาตามพรมแดงก่อนที่จะคุงเข่าลงตรงหน้าบัลลังก์
“แล้วเจ้าคือ…?” ชายบนบัลลังก์เอ่ยปากถาม
“คาราสุครับ ตอนนี้นี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มคามิลล่าครับ” ร่างที่คุกเข่าตอบอย่างสุภาพ
“งั้นเหรอ…แล้ว…มีธุระอะไร…?” ชายบนบัลลังก์แกว่งมือที่ถือแก้วไวน์ใส่ของเหลวสีแดงไปมา
“ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอเจรจากับท่านน่ะครับ”
คาราสุแอบยิ้มอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงสีหน้าเดิมเอาไว้
“เนื่องจากการสูญเสียท่านคามิลล่าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจบริวารไป ทำให้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของท่านต้องว่างไปหนึ่งตำแหน่ง ส่งผลให้เหล่าปีศาจเริ่มหันมาต่อสู้กันเอง เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาครอบครอง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าปีศาจก็คงจะต่อสู้กันเองไมมีที่สิ้นสุด ซึ่งข้าไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเลย…”
คาราสุเอามือมาปิดหน้าตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความเศร้า แต่ในใจนั้นกลับเปล่งรอยยิ้มมากกว่าเดิม
“ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหานี้ให้สิ้นซาก ต้องหาคนมาแทนตำแหน่งนั้นให้ไวที่สุด ซึ่งในฐานะที่ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ข้าก็เลยเสนอตัวมารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้โปรดพิจารณาด้วยครับ”
คาราสุก้มหัวจนแทบจะโขกพื้น ร่างบนบัลลังก์เอาแต่แกว่งแก้วไวน์โดยไม่พูดอะไรอยู่ซักพัก
“ก็ได้ ข้าจะมอบตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารให้กับเจ้า…”
“จ..จริงเหรอ…”
“แต่ว่า…มีข้อแม้…”
คำพูดขัดจังหวะทำเอาผู้คุกเข่าชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปั้นหน้ายิ้มได้อย่างรวดเร็ว
“ข…ข้อแม้อะไรเหรอครับ…?”
“…ซากุระ คุรุสุ…” ชายบนบัลลังก์จิบของเหลวในแก้ว “นำตัวซากุระ คุรุสุมาให้ข้า…แล้วข้าจะมอบตำแหน่งนั้นให้…”
“ซากุระ คุรุสุสินะครับ” คาราสุตีหน้าจริงจัง “เข้าใจแล้วครับ ข้าจะนำตัวซากุระ คุรุสุมาถวายให้กับท่านเองครับ”
“ดีมาก…ไปได้แล้ว…หวังว่าคงจะไม่ทำพลาดแบบคามิลล่าล่ะ…”
“ข้าขอเอาเกียรติของข้าเป็นเดิมพันว่าจะไม่ทำพลาดแน่นอนครับ…”
คาราสุคำนับอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามพรมแดงผ่านประตูบานใหญ่ออกจากห้องนั้นไป
“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ!!!”
จอมเสแสร้งเปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่พ้นรัศมีห้องบัลลังก์ไปแล้ว
“ง่ายดายอะไรเช่นนี้ แค่จับตัวผู้หญิงคนเดียว ข้าก็จะได้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารมาครอบครองแล้ว”
คาราสุแสยะยิ้มแล้วควักรูปสองใบออกจากเสื้อคลุม
“ซากุระ คุรุสุ รอก่อนเถอะ เจ้าต้องเป็นเครื่องบรรณาการให้ท่านแดร็กคูล่า และเป็นบันไดสู่ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของข้า”
คาราสุหัวเราะในลำคออย่างพอใจในขณะที่จ้องรูปมิโกะสาวทางด้านขวา
“ส่วนแก…”
จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังรูปของหนุ่มทางซ้าย แล้วกัดฟันจ้องไปที่รูปนั้นราวกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อให้สิ้นซาก
“ไวเวิร์น อัลเดน่า…ข้าจะทำให้แกได้ลิ้มรสความสิ้นหวังแบบเดียวกับเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง เตรียมใจรอไว้ให้ดีเถอะ!!”
ฉัวะๆๆ!! ฉับๆๆๆ!!
“กิ๊ซ~~~~~~!!!”
เสียงเหล่านี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคมดาบแห่งลมที่ถูกกวัดแกว่งจากมือผู้ใช้ แม้จะอยู่บนไม้กวาดที่บินฉวัดเฉวียนไปมา แต่ผู้ใช้ดาบคู่ก็ยังคงกวัดแกว่งดาบด้วยท่าทางพลิ้วไหวดั่งสายลม เข้าตัดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยเขี้ยวฟันซึ่งบุกเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปากอันดุร้ายนับร้อยจะเข้ารุมเล่นงานอย่างหมาหมู่ ก็มีแต่จะถูกฟันขาดจนน้ำสีม่วงพุ่งออกมาทางบาดแผลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ต้นไม้ปีศาจเองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ต่อเหยื่อร่างเล็กง่ายๆ เพราะไม่ว่ากิ่งก้านของมันจะถูกตัดไปกี่ครั้ง ดอกไม้กระหายเลือดก็จะงอกออกมาใหม่จากรอยตัดภายในเวลาไม่กี่วินาที และกลับมารุมจู่โจมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดเป็นวัฏจักรเช่นเดิมวนไปมาเรื่อยๆ
“ให้ตายเถอะ…ฟื้นตัวได้เร็วเป็นบ้าเลย!!”
ฟ้าว~!!!
ฉัวะๆๆ!!
ผู้ใช้ดาบคู่ตวัดดาบอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นลมอันเฉียบคมกระจายไปทั่ว จนปากปีศาจทั้งหมดถูกสายลมเฉือนจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~!!!!”
และก่อนที่ต้นไม้ปีศาจจะได้งอกกิ่งก้านใหม่ออกมาอีกครั้ง ผู้ใช้ดาบลมก็กระโจนออกจากไม้กวาด พุ่งเข้าไปยังลำต้นที่เต็มไปด้วยเมือกเขียว มือทั้งสองไขว้กันเป็นรูปกากบาท ก่อนที่จะตวัดดาบออกไปเต็มแรง
ฟิ้ว~~~!!!!
แก๊งๆๆๆๆๆ~~~~~~~~!!
สายลมอันเฉียบคมโหมกระหน่ำเข้าใส่ลำต้นนั้น แต่ทันทีที่สายลมตัดผ่านเมือกเขียวเข้าไปปะทะกับเปลือกนอกอันขรุขระ ลมอันเฉียบคมก็แตกสลายหายไปทันที โดยทำได้แค่สร้างรอยแผลเท่าแมวข่วนจำนวนมากซึ่งมีของเหลวสีม่วงไหลซึมออกมาเล็กน้อย ซึ่งแผลเหล่านั้นก็สมานตัวกลับเป็นเหมือนเดิมในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่
“ที่ว่าเปลือกนอกแข็งพอๆ กับเพชรนี่…ไม่ใช่เรื่องโม้เกินจริงสินะ…”
โพรมีเทียสบ่นพึมพำพร้อมกับดีดตัวกลับไปยืนบนไม้กวาดที่ร่อนลงมารับได้ถูกจังหวะพอดี
“ก๊าซ~~~~~~!!!!”
และในตอนนั้น กิ่งก้านที่ฟื้นตัวแล้วแล้วก็เริ่มโต้กลับอีกครั้ง พวกมันบุกเข้ามาพร้อมกันจากทั้งแปดทิศเข้ามารุมล้อมอีกฝ่าย ซึ่งส่งผลให้เหยื่อทั้งสองไร้ซึ่งทางหนีโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้น ร่างบนไม้กวาดทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกต่อสถานการณ์คับขันเลย
“ฟราน…ป้องกันที…”
“Sky Barrier!!”
เปรี๊ยะๆๆ~ เปรี้ยง~!
“กิ๊ซ!?”
แต่ก่อนที่ฝูงปากกระหายเลือดจะได้ขย้ำร่างเหยื่อ บาเรียโปร่งใสก็ปรากฏออกมาครอบคลุมร่างทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ปากเหล่านั้นพุ่งชนบาเรียจนเกิดประกายไฟฟ้าดังเปรี๊ยะๆ ก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นกลับไป
“เป็นไงมั่ง โพมี่?” ฟรานซิสก้าถามในขณะที่ฝูงปากปีศาจยังคงพยายามโจมตีบาเรียซ้ำไปซ้ำมา
“อา…ได้ข้อมูลเพียงพอแล้วล่ะ…” โพรมีเทียสหันมาหาสาวน้อยด้านหลังพร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ “ดำเนินตามแผนได้เลย ฟราน”
“โอเค~ ถ้าอย่างนั้น…”
แว้บ!!
บาเรียโปร่งใสหายวับไปในทันทีที่จอมเวทย์สาวสะบัดมือเป็นแนวนอน เปิดโอกาสให้ดอกไม้ปีศาจบุกเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง
ฟ้าว~~!!
ฉัวะๆๆๆ!!!
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ดาบคู่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายรุมโจมตีง่ายๆ จึงสะบัดดาบสร้างคลื่นลมอันเฉียบคม เฉือนกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยฟันจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง
“แพนโดร่า Red Nature”
พรึ่บ! ฟู่~!
สีเขียวอ่อนของดาบคู่ที่ถูกย้อมด้วยลมค่อยๆ เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีแดงฉานจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ
“Wave Heart”
สาวผมชมพูทำการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ลำแสงสีขาวสองเส้นออกมาจากฝ่ามือของเธอ หักเลี้ยวเข้าไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดาบที่มือทั้งสองของคู่หู
“ฝากด้วยนะ โพมี่”
“วางใจได้เลย~”
ผู้ใช้ดาบคู่กระโจนออกจากไม้กวาดอีกครั้ง เปลวเพลิงลุกโชนจากอาวุธสีแดงอย่างต่อเนื่อง เข้าเผาผลาญกิ่งก้านที่งอกมาใหม่อีกครั้ง ส่วนจอมเวทย์สาวอาศัยจังหวะนั้นทะยานสู่เบื้องบน จนกระทั่งหายไปจากระยะสายตาของคู่หู
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”
เคร้งๆๆๆๆ~~~~!!!
ชายผมทองอาศัยไฟจากดาบในการบินวนไปทั่วลำต้น พร้อมกับฟาดฟันอาวุธสีแดงใส่ไม่ยั้ง ใบดาบตัดผ่านชั้นเมือกสีเขียวเข้าปะทะกับเปลือกอันขรุขระซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แต่ความคมนั้นก็ไม่อาจทะลุผ่านเปลือกที่แข็งในระดับเดียวกับเพชร ได้แต่สร้างแผลขีดข่วนขนาดเล็ก ซึ่งแทบจะหายไปในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
แม้ว่าตัวเองจะมีเกราะแข็งกันไฟคุ้มกาย แต่การที่โดนเหยื่อตัวเล็กไล่ตอดเล็กตอดน้อยก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญ ต้นไม้ปีศาจจึงควบคุมกิ่งก้านเข้ารุมเหยื่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจที่จะตามการเคลื่อนไหวของเหยื่อผมทองได้ทัน และถูกดาบธาตุไฟฟันขาดและถูกเผามอดไหม้ซ้ำอีกครั้ง
และเหตุการณ์แบบเดิมก็ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ชายผมทองบินวนเวียนไปทั่วลำต้น ตวัดดาบฟันใส่ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล ดอกไม้ปีศาจงอกมาจู่โจมอีกครั้ง แต่ก็ถูกเผาจนมอดไหม้อีกครั้ง และกลับไปบินวนตวัดดาบใส่ลำต้นเช่นเดิม
ภาพเหตุการณ์เดิมๆ ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมาผ่านทางหน้าจอสามมิติ โดยไม่มีแววว่าจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“นี่มัน…อะไรกันเนี่ย….”
เก็นยะได้แต่ยืนกอดอกและจ้องหน้าจอสามมิติอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าชายในหน้าจอทำเรื่องไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ไวเวิร์น ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันเนี่ย…”
“ร…เรื่องนั้นผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละครับ…”
ไวเวิร์นเองก็ไม่อาจเข้าใจเป้าหมายของอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงจับตามองไปยังร่างที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างตาไม่กระพริบ และยังคงเชื่อว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเป้าหมายแอบแฝงในการกระทำที่ดูไร้ประโยชน์อยู่แน่นอน
“เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”
โพรมีเทียสตัดสินใจบินขึ้นไปยังยอดที่สูงจรดฟ้าหลังจากที่เอาแต่ไล่ฟันลำต้นมาเป็นเวลานาน
“แพนโดร่า Hammer Mode Brown Nature”
อาวุธในมือทำการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง กลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ซึ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยสีน้ำตาลจากหินผา ซึ่งดูแข็งแกร่งและทนทานจนยากที่จะมีอะไรมาต่อต้านได้
“แค่นี้ก็…”
ร่างผมทองร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงอย่างอิสระ มือทั้งสองชูค้อนขึ้นเหนือหัวในท่าพร้อมทุบ และในตอนที่ร่างนั้นร่วงลงมาจนถึงยอดของต้นไม้…
“รุกฆาตกันซะที!!”
ตึง!!
ค้อนแห่งพสุธาฟาดลงไปยังยอดบนสุดอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แต่กระนั้น ลำต้นซึ่งแข็งแกร่งดั่งเพชรก็ดูท่าจะไม่สะเทือนต่อการโจมตีนั้นเลย มันยังคงนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียงกรีดร้อง ไม่มีวี่แววว่าการโจมตีนั้นจะได้ผลเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้ว…
บึ้ม~~~!!!!!!!!
กิ๊ซๆๆๆๆๆๆๆๆๆ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็เกิดการระเบิดขึ้นจากทั่วทุกจุดของลำต้น ระเบิดนั้นมีความรุนแรงสูงจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นปะปนไปกับเสียงกรีดร้องอันแสนแสบแก้วหูจากสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด และความรุนแรงนั้นยังทำให้เปลือกนอกที่ถูกหุ้มด้วยเมือกเขียวถึงกับฉีกขาดหลุดกระจายออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นเนื้อในสีแดงอันน่าขยะแขยง ซึ่งถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีม่วงที่ปล่อยไอความร้อนลอยสู่อากาศอย่างไม่หยุด
“เป็นไงล่ะ~?” โพรมีเทียสที่เปลี่ยนอาวุธกลับเป็นดาบเพลิงอีกครั้งยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ “รสชาติของการเดือดอย่างกะทันหันมันแสบร้อนไปถึงทรวงเลยใช่มั้ยล่ะ~”
“ก…การเดือดอย่างกะทันหันงั้นเหรอ!?”
บอสแห่ง VADET ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนี้ แต่เพียงชั่วครู่ก็รีบกลับมาปั้นหน้านิ่งเช่นเดิม
“ไม่น่าเชื่อเลย…เอาเรื่องแบบนี้มาใช้ได้ด้วยเหรอเนี่ย…”
เก็นยะเอามือกุมคางอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ในขณะที่ไวเวิร์นยังคงอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าน่าจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ในทันทีเช่นกัน ส่วนมิโกะสาวได้แต่หันมองสลับกันไปมาระหว่างชายทั้งสอง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เธอจึงตัดสินใจสะกิดเพื่อนชายข้างตัว
“ไวเวิร์น…การเดือดอย่างกะทันหันนี่มันคืออะไรเหรอ?”
“เอ้ะ?...เอ่อ…ถ้าจะให้อธิบายก็…” ไวเวิร์นทำท่าครุ่นคิด “ซากุระจำข่าวเรื่องนมระเบิดที่ดูเมื่อวานได้รึเปล่า?”
“เอ๋? หมายถึงข่าวเรื่องผู้หญิงที่เทนมใส่แก้วไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ แต่พอเอาออกจากเตามาวางบนโต๊ะ แก้วกลับระเบิดใส่หน้าเธอจนต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะเหรอ?”
“อืมๆ ข่าวนั้นแหละ”
ไวเวิร์นพยักหน้า
“ตามปกติของเหลวนั้นถ้าให้ความร้อนจนถึงจุดเดือดมันก็จะเดือดทันที แต่การให้ความร้อนด้วยเตาไมโครเวฟนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถกระจายความร้อนสู่ของเหลวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ของเหลวนั้นไม่เกิดการเดือดถึงแม้ว่าอุณหภูมิไปแล้ว”
“แต่กระนั้น หากมีตัวกระตุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นแรงกระแทก ของเหลวนั้นก็จะเกิดการเดือดขึ้นในทันที และส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรง นั่นแหละคือการเดือดอย่างกะทันหันล่ะ”
“ถ…ถ้าอย่างงั้น…” ซากุระมองไปทางหน้าจอที่ฉายภาพสิ่งมีชีวิตที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีม่วงอีกครั้ง
ใช่แล้ว ทุกสิ่งที่โพรมีเทียสได้ทำไปตั้งแต่ต้น ก็เพื่อเป็นการสร้างการเดือดแบบกะทันหันขึ้นมานั่นเอง!!
ส่วนประกอบหลักของเมือกคือของเหลว การที่มันสร้างเมือกออกมาใหม่ได้ตลอดเวลา แสดงว่าภายในลำต้นนั้นจะต้องมีการกักเก็บของเหลวเอาไว้เป็นจำนวนมาก
แต่ของเหลวแต่ละอย่างก็มีจุดเดือดที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะใช้วิธีนี้ก็ต้องดูประเภทของของเหลว และคำนวณจุดเดือดคร่าวๆ ให้ได้ซะก่อน
ดังนั้น ในตอนแรกจึงเลือกที่จะใช้ดาบลม เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากคลื่นลมที่กระทบกับศัตรูในการคำนวณปริมาตรและความหนาแน่น และยังสามารถดูชนิดของของเหลวที่ไหลออกมาจากรอยแผลของมันได้ด้วย
เมื่อได้ข้อมูลจนเพียงพอแล้ว ก็เปลี่ยนรูปแบบอาวุธเป็นดาบเพลิง และให้ฟรานใช้เวทย์ Wave Heart ซึ่งส่งผลให้อาวุธของเขาสามารถปล่อยคลื่นออกมาได้ ซึ่งเมื่อผสมกับธาตุไฟ ก็จะทำให้อาวุธนั้นกลายเป็นเครื่องผลิตคลื่นความร้อนที่สร้างผลลัพธ์ได้แบบเดียวกับคลื่นไมโครเวฟ
และพฤติกรรมที่ดูไร้ประโยชน์อย่างการบินวนไปรอบลำต้นและไล่เอาดาบฟันทั้งที่มันไม่อาจเข้าถึงเนื้อในได้นั้น ก็เพื่อเป็นการส่งคลื่นความร้อนเข้าไปยังของเหลวภายในลำต้นโดยตรง ทำให้อุณหภูมิของเหลวในลำต้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่เข้าสู่สถานะเดือด
และสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้แผนนี้สำเร็จก็คือแรงกระแทก จึงต้องอาศัยพลังของค้อนแห่งผืนดินเพื่อส่งแรงกระแทกอันมหาศาล และทำให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรงเป็นการปิดท้าย
แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วการจะทำแผนการนี้ให้สำเร็จ ต้องอาศัยการคำนวณอย่างละเอียดและการกระจายความร้อนในของเหลวแต่ละจุดอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งตามปกติแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินตามแผนนี้จนสำเร็จ
แต่คำว่าเป็นไปไม่ได้นั้นก็ใช้กับชายคนนี้ไม่ได้ ชายผู้มีความบ้าวิทยาศาสตร์เกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ซึ่งสามารถบันดาลวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ให้กลายมาเป็นอาวุธอันร้ายกาจได้
เสียงกรีดร้องจากปีศาจกระหายเลือดยังคงเปล่งออกมาอย่างไม่หยุด กิ่งก้านดิ้นพล่านไปมาอย่างสะเปะสะปะจากความเจ็บปวดจากทั่วทุกอนูขุมขน ลำต้นของมันไม่มีเกราะกันความร้อนและเกราะแข็งดั่งเพชรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถ้ามันถูกโจมตีหัวใจหรือถูกเผาตอนนี้ ชีวิตของมันก็จะดับลงทันที
“โฮ่ย ฟราน พร้อมรึยัง ตาเธอแล้วนะ”
“พร้อมตั้งนานแล้วย่ะ”
เสียงตอบอันแหลมใสดังมาจากเบื้องบน ซึ่งมีร่างของจอมเวทย์สาวบนไม้กวาดกำลังล่องลอยอยู่ในท่าชูมือขวาขึ้นฟ้า โดยมีวงแหวนเวทย์สีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้ตัวเธอ ซึ่งทันทีที่เธอได้ยินเสียงเรียกจากคู่หู เธอก็ตวัดมือข้างนั้นลงในทันที
“Salamander!!”
วงแหวนเวทย์เปล่งแสงเจิดจ้า หัวของมังกรที่ถูกย้อมไปด้วยสีส้มของเปลิวเพลิงที่ลุกโชนค่อยๆ โผล่ออกมาจากวงแหวนเวทย์นั้น พร้อมกับลำตัวอันแสนยาวที่ค่อยๆ โผล่ตามมาเรื่อยๆ จากนั้นมังกรเพลิงก็พุ่งตรงไปยังต้นไม้ที่สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว และใช้ลำตัวอันแสนยาวเข้ารัดรอบต้นไม้จนเป็นเกลียว และเริ่มทำการเผาผลาญด้วยร่างเปลวเพลิงอันร้อนแรง
“กิ๊ซ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!”
ความร้อนจากมังกรเพลิงส่งผลให้ของเหลวสีม่วงระเหยกลายเป็นไอในพริบตา ไฟลามไปทั่วทั้งร่างของปีศาจและลุกโชติช่วง เสียงกรีดร้องอย่างทรมานอันแสบแก้วหูยิ่งแผดออกมามากกว่าเดิม แต่เพียงแค่ชั่วครู่ เสียงกรีดร้องนั้นก็เงียบหายไป พร้อมกับร่างอันสูงใหญ่ที่สลายกลายเป็นขี้เถ้าและปลิวหายไปกับอากาศ
สายตาของชายหญิงทั้งสองบนพื้นจับจ้องดูภาพนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
“สำเร็จแล้วนะ ฟราน”
“สำเร็จแล้วนะ โพมี่”
ทั้งสองคนกำมือขวาชนกัน ก่อนที่จะยกนิ้วโป้งให้กันเองด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
“น…นึกออกแล้ว!!”
จู่ๆ บอสแห่ง VADET ก็โพล่งคำนี้ออกมา ทำเอาชายหญิงทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจ
“งั้นเหรอ…สองคนนั้นคือคู่หูปราบปีศาจเองเหรอเนี่ย!?”
“ค…คู่หูปราบปีศาจเหรอครับ…?” ไวเวิร์นมองอย่างงงๆ
“ชั้นเคยได้ยินข่าวลือมาน่ะ ว่านอกจากพวกเรา VADET แล้ว ยังมีคนสองคนที่ออกเดินทางไปทั่วเพื่อไล่ปราบปีศาจจากทุกมุมโลก สองคนนั้นถูกตั้งฉายาว่าคู่หูปราบปีศาจ คนนึงเป็นชายผมสีทองซึ่งใช้อาวุธที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจนึก ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงผมยาวสีชมพู เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์อันหลากหลาย ซึ่งหาได้ยากในยุคปัจจุบันนี้…”
เก็นยะจับจ้องไปที่หน้าจอสามมิติ ซึ่งฉายภาพของคู่หูปราบปีศาจที่กำลังยกนิ้วโป้งให้กัน
“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอตัวง่ายขนาดนี้…”
แววตาจริงจังจ้องไปยังหน้าจอสามมิตินั้นชั่วครู่ก่อนนิ้วชี้จะจิ้มไปที่หน้าจอสองสามครั้งเพื่อเป็นการปิดหน้าจอ
“ไวเวิร์น ซากุระ ชั้นจะไปเจรจากับสองคนนั้นหน่อย พวกนายรออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
สิ้นสุดประโยคนั้น บอสแห่ง VADET ก็วิ่งออกไปยังจุดที่ต้นไม้ปีศาจเคยอยู่ทันที ปล่อยให้คู่เพื่อนชายหญิงอยู่กันเพียงสองคนตามลำพัง
“เป็นยังไงบ้างครับ ฝีมือการต่อสู้ของคุณโพรมีเทียสกับคุณฟรานซิสก้า สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะครับ?”
แต่หลังจากที่ผู้เป็นบอสวิ่งออกไปเพียงแค่ไม่นาน ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงกล่าวอันนุ่มนวลจากชายปริศนาที่ไม่ทราบว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเอามิโกะสาวสะดุ้งอีกครั้งก่อนที่จะหันไปมอง ในขณะที่ไวเวิร์นกลับหันไปด้วยสายตานิ่งๆ อย่างไร้อาการตกใจ ราวกับว่าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าชายคนนี้จะต้องโผล่มาอีกแน่
“นี่…ช่วยตอบคำถามผมซักข้อได้มั้ยครับ…?” ไวเวิร์นจ้องบุรุษลึกลับด้วยแววตาจริงจัง
“ว่ามาสิครับ”
“ที่คุณสร้างเรื่องขึ้นมาโกหกสองคนนั้นนี่…เพราะอยากให้ผมได้เห็นใช่มั้ยครับ…? ให้ผมได้เห็น…วิธีการต่อสู้ของสองคนนั้น…”
รอยยิ้มโผล่ออกมาจากมุมปากของชายลึกลับเล็กน้อย
“นั่นสินะครับ ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วล่ะก็…ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวนั้นครับ”
ชายปริศนาเว้นช่วงหยิบนาฬิกาพกออกมาดู ก่อนที่จะเก็บมันเข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ
“โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่ กับฟรานซิสก้า อัลลิน เมื่อสามปีก่อน พวกเขาถูกแดร็กคูล่าพรากสิ่งสำคัญไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้หัวใจของพวกเขาเกิดความเดียดแค้นและความเศร้าอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเลือกที่จะใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”
“แม้ว่าพวกเขาจะมีกันอยู่แค่สองคน แม้ว่าจะเจอเรื่องแสนเจ็บปวดจนเจียนตายอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้ง และเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป จนกว่าแดร็กคูล่าจะหายไปจากโลกใบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันยอมก้าวสู่โลกแห่งความตายเด็ดขาด”
“ด้วยเหตุนั้น ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งซึ่งสั่งสมมาตลอดจากการต่อสู้สามปี ความแข็งแกร่งที่ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งวิธีการต่อสู้ซึ่งยากที่จะหาผู้ต้านทานได้ และผมคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าหากว่าคุณไวเวิร์นได้เห็นสิ่งพวกนั้นน่ะครับ”
นั่นคือคำอธิบายส่วนหนึ่งจากชายผู้แต่งเรื่องโกหก มันฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและสามารถยอมรับได้ แต่กระนั้น สายตาของเพื่อนชายกลับฉายแววแห่งความไม่พอใจออกมา
“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่า…เล่นแต่งเรื่องโกหกจนซากุระต้องมารับเคราะห์แบบนี้ มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ…?”
“เรื่องนั้นผมขอยอมรับแต่โดยดีว่าผมทำเกินไปจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ”
ชายปริศนาโค้งให้ชายตรงหน้าเพื่อแสดงการขอโทษจากใจจริง แต่ความไม่พอใจก็ยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม
“คนที่คุณต้องขอโทษ ไม่ใช่ผมซะหน่อย…”
เขาพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้างตัว ชายในผ้าคลุมมองอาการนั้นก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“นั่นสินะครับ ถ้างั้นก็…”
จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามิโกะสาวแต่โดยดี
“เพราะคำโกหกของผม คุณซากุระเลยต้องพลอยเจอเรื่องแย่ๆ ไปด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“เอ้ะ…อ้ะ…เอ่อ…”
ซากุระออกอาการทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกคุกเข่าให้
“ม…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงตอนนี้ทั้งฉันกับไวเวิร์นก็ปลอดภัยดีแล้วด้วย…”
เธอส่ายมือไปมาเพื่อแสดงการให้อภัย ชายลึกลับมองกิริยานั้นซักพัก แล้วหันไปมองเพื่อนชายที่ยอมสะบัดความไม่พอใจออกไปจากใบหน้าแล้ว จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยและยืนขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็นึกวิธีอื่นที่จะสามารถเติมเต็มเป้าหมายทั้งสองอย่างไม่ออกจริงๆ ผมเลยต้องใช้วิธีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ”
“แล้ว…เหตุผลอีกอย่างคืออะไรครับ…?”
ไวเวิร์นถามอย่างเรียบๆ ชายปริศนากระแอมไอสองสามครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ
“อย่างที่ผมบอกไปว่าคุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้ามีความแข็งแกร่งที่ยากจะหาผู้ต้านทานได้ ถึงอย่างงั้น พวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าถึงตัวแดร็กคูล่าได้ การต่อสู้เพียงลำพังแค่สองคนนั้นมีขีดจำกัดมากเกินไป ทำให้พวกเขาโหยหาสิ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดจำกัดนั้นได้ ซึ่งนั่นก็คือการสนับสนุนจากพวกเดียวกัน”
“การที่พวกเขาเชื่อเรื่องโกหกของผมในทันทีโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกเขากำลังต้องการมันมาก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูล ด้านกำลังรบ หรืออื่นๆ พวกเขาก็ยินดีที่จะรับมันไว้อย่างไม่ลังเลทั้งสิ้น”
“ในทางกลับกัน องค์กรอย่าง VADET นั้นมีความเพียบพร้อมทางด้านนี้มากกว่า เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุนและกำลังคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีบุคลากรอย่างเก็นยะ อาริคาโด้มาเป็นผู้ควบคุมสิ่งเหล่านี้ ทำให้องค์กรเติบโตและยิ่งใหญ่ได้มาจนถึงทุกวันนี้”
“แต่กระนั้น สิ่งที่ VADET ยังคงขาดแคลน คือบุคลากรที่สามารถเป็นแกนนำของกำลังรบได้ คนในองค์กรที่มีความสามารถถึงขั้นนั้นจริงๆ ยังคงมีแค่หยิบมือ ทำให้บางครั้งผู้เป็นบอสอย่างเขาต้องลงไปสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต้องบการที่สุดในตอนนี้ก็คือบุคลากรที่มีความแข็งแกร่ง และสามารถเป็นผู้นำกำลังรบให้คว้าชัยชนะกลับมาได้”
“ซึ่งปัญหาทั้งสองนี้สามารถถูกแก้ได้อย่างง่ายดาย โดยการให้คุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้าเข้าร่วมกับ VADET ซะ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลอีกข้อของผมครับ”
หลังจากจบประโยคสุดท้ายของชายลึกลับ บรรยากาศอันแสนเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ซากุระออกอาการทึ่งราวกับพึ่งได้ฟังการบรรยายที่สุดยอดมาหมาดๆ ส่วนไวเวิร์นได้แต่ส่งสายตานิ่งๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก เหตุผลของอีกฝ่ายมีความลงตัวอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งที่เป็นแบบนั้น ในสมองของชายหนุ่มกลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง รู้เรื่องภายในของ VADET เป็นอย่างดี รู้ถึงความต้องการของคู่หูปราบปีศาจ แถมยังรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาด้วย ทั้งที่ตามปกติแล้วคนนอกไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้เลยแท้ๆ
“ผม...มีคำถามอยู่อีกสองข้อครับ…”
ไวเวิร์นเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“คุณน่ะ…เป็นใครกันแน่…แล้วทำไมถึงได้รู้เรื่องไปซะทุกอย่างเลย…?”
สายตาคมกริบดั่งเหยี่ยวจ้องไปยังร่างใต้ผ้าคลุมราวกับต้องการมองให้ทะละปรุโปร่ง แต่ชายปริศนาก็ไม่ได้สนใจสายตานั้น และหยิบนาฬิกาออกมาดูอีกครั้ง
“เวลายังไม่ต้องการให้ผมตอบคำถามสองข้อนั้นในตอนนี้ ต้องขอโทษด้วยครับ”
ชายในชุดคลุมเก็บนาฬิกาและโค้งให้ทั้งสองอย่างสุภาพก่อนที่จะหันหลังให้ทั้งสอง
“ยามที่เวลาต้องการ เราคงได้พบกันอีกครับ”
สิ้นสุดคำพูดนั้น ชายปริศนาก็ก้าวเดินออกไป ปล่อยให้ชายหญิงทั้งสองอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง
“โฮ่ย~~ พวกนาย~~”
แต่หลังจากที่ชายชุดคลุมจากไปเพียงไม่นาน คู่เพื่อนสนิทก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง พวกเขาหันไปในทันที และพบคู่หูปราบปีศาจทั้งสองบินร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“อ…เอ่อ…”
“ม…มีอะไรเหรอครับ…?”
คู่เพื่อนสนิทรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อยกับใบหน้านิ่งๆ ของทั้งสอง คู่หูปราบปีศาจหันมามองหน้ากันเอง แล้วพยักหน้าให้กันก่อนที่จะหันกลับไปมองอีกฝ่าย และจากนั้น……
“ขอโทษด้วยครับ!!”
“ขอโทษด้วยค่ะ!!”
“อ…เอ๋!?”
คู่หูปราบปีศาจพร้อมใจกันโค้งขอโทษชายหญิงตรงหน้าพร้อมกัน ทำเอาคู่เพื่อนสนิทอุทานออกมาอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“พวกเราผิดเองที่หลงเชื่อเรื่องโกหกนั่น จบเกือบจะฆ่าพวกนาย…”
“ถ้าพวกเรารู้ตัวเร็วกว่านี้ล่ะก็…พวกนายก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ขอโทษด้วยค่ะ!!”
“ช…ช…ช่างมันเถอะ!! เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไป!! เนอะ ซากุระ!?”
“อ..อื้ม!! พวกเราเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายด้วย!! ดังนั้น เงยหน้าขึ้นมาเถอะจ้ะ!!”
คู่เพื่อนสนิทรีบบอกทั้งสองอย่างลนลาน คู่หูปราบปีศาจมองอาการนั้นอยู่ซักพักก่อนที่จะยอมเงยหน้าขึ้นมา
“อ…เอ่อ…ถ้างั้นก็…” โพรมีเทียสกระแอมไอสองสามครั้งแล้วยื่นมือขวามาข้างหน้า “โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่…”
“อ…เอ๋…?” ไวเวิร์นเอียงคอมองมือนั้นอย่างงงๆ
“ช…ชั้นกับฟรานตกลงเข้าร่วมกับ VADET แล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกเราสี่คนถือว่าเป็นพวกเดียวกัน…ก็เลย…คิดว่าพวกเราน่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้น่ะ…”
ชายผมทองรู้สึกเกร็งจนแขนสั่นนิดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการผูกมิตรคนอื่นเอาซะเลย หนุ่มผมดำยืนมองมือนั้นอยู่ซักพัก ก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อยทางมุมปาก
“ไวเวิร์น อัลเดน่าครับ”
แล้วยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย
“ฟ…ฟรานซิสก้า อัลลินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
สาวหัวชมพูที่เห็นการทักทายของฝ่ายชายเป็นไปด้วยดีตัดสินใจยื่นมือออกไปหาคนตรงหน้าบ้าง
“ซากุระ คุรุสุจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ~”
ซึ่งสาวหัวน้ำทะเลก็ตอบรับอีกฝ่ายแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้ม สาวผมชมพูมองรอยยิ้มนั้นอยู่ซักพักก่อนที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายยิ้มด้วย
--- ปราสาทแดร็กคูล่า ห้องบัลลังก์ ---
ก๊อกๆๆ~~
“เข้ามาได้”
แอ้ด~!!
ประตูบานใหญ่สีแดงด้านซ้ายถูกเปิดออก พร้อมกับร่างในชุดสไตล์อังกฤษที่ค่อยๆ ก้าวเดินมาตามพรมแดงก่อนที่จะคุงเข่าลงตรงหน้าบัลลังก์
“แล้วเจ้าคือ…?” ชายบนบัลลังก์เอ่ยปากถาม
“คาราสุครับ ตอนนี้นี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มคามิลล่าครับ” ร่างที่คุกเข่าตอบอย่างสุภาพ
“งั้นเหรอ…แล้ว…มีธุระอะไร…?” ชายบนบัลลังก์แกว่งมือที่ถือแก้วไวน์ใส่ของเหลวสีแดงไปมา
“ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอเจรจากับท่านน่ะครับ”
คาราสุแอบยิ้มอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงสีหน้าเดิมเอาไว้
“เนื่องจากการสูญเสียท่านคามิลล่าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจบริวารไป ทำให้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของท่านต้องว่างไปหนึ่งตำแหน่ง ส่งผลให้เหล่าปีศาจเริ่มหันมาต่อสู้กันเอง เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาครอบครอง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าปีศาจก็คงจะต่อสู้กันเองไมมีที่สิ้นสุด ซึ่งข้าไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเลย…”
คาราสุเอามือมาปิดหน้าตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความเศร้า แต่ในใจนั้นกลับเปล่งรอยยิ้มมากกว่าเดิม
“ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหานี้ให้สิ้นซาก ต้องหาคนมาแทนตำแหน่งนั้นให้ไวที่สุด ซึ่งในฐานะที่ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ข้าก็เลยเสนอตัวมารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้โปรดพิจารณาด้วยครับ”
คาราสุก้มหัวจนแทบจะโขกพื้น ร่างบนบัลลังก์เอาแต่แกว่งแก้วไวน์โดยไม่พูดอะไรอยู่ซักพัก
“ก็ได้ ข้าจะมอบตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารให้กับเจ้า…”
“จ..จริงเหรอ…”
“แต่ว่า…มีข้อแม้…”
คำพูดขัดจังหวะทำเอาผู้คุกเข่าชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปั้นหน้ายิ้มได้อย่างรวดเร็ว
“ข…ข้อแม้อะไรเหรอครับ…?”
“…ซากุระ คุรุสุ…” ชายบนบัลลังก์จิบของเหลวในแก้ว “นำตัวซากุระ คุรุสุมาให้ข้า…แล้วข้าจะมอบตำแหน่งนั้นให้…”
“ซากุระ คุรุสุสินะครับ” คาราสุตีหน้าจริงจัง “เข้าใจแล้วครับ ข้าจะนำตัวซากุระ คุรุสุมาถวายให้กับท่านเองครับ”
“ดีมาก…ไปได้แล้ว…หวังว่าคงจะไม่ทำพลาดแบบคามิลล่าล่ะ…”
“ข้าขอเอาเกียรติของข้าเป็นเดิมพันว่าจะไม่ทำพลาดแน่นอนครับ…”
คาราสุคำนับอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามพรมแดงผ่านประตูบานใหญ่ออกจากห้องนั้นไป
“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ!!!”
จอมเสแสร้งเปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่พ้นรัศมีห้องบัลลังก์ไปแล้ว
“ง่ายดายอะไรเช่นนี้ แค่จับตัวผู้หญิงคนเดียว ข้าก็จะได้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารมาครอบครองแล้ว”
คาราสุแสยะยิ้มแล้วควักรูปสองใบออกจากเสื้อคลุม
“ซากุระ คุรุสุ รอก่อนเถอะ เจ้าต้องเป็นเครื่องบรรณาการให้ท่านแดร็กคูล่า และเป็นบันไดสู่ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของข้า”
คาราสุหัวเราะในลำคออย่างพอใจในขณะที่จ้องรูปมิโกะสาวทางด้านขวา
“ส่วนแก…”
จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังรูปของหนุ่มทางซ้าย แล้วกัดฟันจ้องไปที่รูปนั้นราวกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อให้สิ้นซาก
“ไวเวิร์น อัลเดน่า…ข้าจะทำให้แกได้ลิ้มรสความสิ้นหวังแบบเดียวกับเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง เตรียมใจรอไว้ให้ดีเถอะ!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ