Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  16.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 11 - เหตุผลของคนโกหก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “เฮื่อ~~~~~~~~~~!!!!!”

             ฉัวะๆๆ!! ฉับๆๆๆ!!

             “กิ๊ซ~~~~~~!!!”

             เสียงเหล่านี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคมดาบแห่งลมที่ถูกกวัดแกว่งจากมือผู้ใช้ แม้จะอยู่บนไม้กวาดที่บินฉวัดเฉวียนไปมา แต่ผู้ใช้ดาบคู่ก็ยังคงกวัดแกว่งดาบด้วยท่าทางพลิ้วไหวดั่งสายลม เข้าตัดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยเขี้ยวฟันซึ่งบุกเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปากอันดุร้ายนับร้อยจะเข้ารุมเล่นงานอย่างหมาหมู่ ก็มีแต่จะถูกฟันขาดจนน้ำสีม่วงพุ่งออกมาทางบาดแผลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

             แต่ต้นไม้ปีศาจเองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ต่อเหยื่อร่างเล็กง่ายๆ เพราะไม่ว่ากิ่งก้านของมันจะถูกตัดไปกี่ครั้ง ดอกไม้กระหายเลือดก็จะงอกออกมาใหม่จากรอยตัดภายในเวลาไม่กี่วินาที และกลับมารุมจู่โจมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดเป็นวัฏจักรเช่นเดิมวนไปมาเรื่อยๆ

             “ให้ตายเถอะ…ฟื้นตัวได้เร็วเป็นบ้าเลย!!”

             ฟ้าว~!!!

             ฉัวะๆๆ!!

             ผู้ใช้ดาบคู่ตวัดดาบอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นลมอันเฉียบคมกระจายไปทั่ว จนปากปีศาจทั้งหมดถูกสายลมเฉือนจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ในพริบตา

             “เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~!!!!”

             และก่อนที่ต้นไม้ปีศาจจะได้งอกกิ่งก้านใหม่ออกมาอีกครั้ง ผู้ใช้ดาบลมก็กระโจนออกจากไม้กวาด พุ่งเข้าไปยังลำต้นที่เต็มไปด้วยเมือกเขียว มือทั้งสองไขว้กันเป็นรูปกากบาท ก่อนที่จะตวัดดาบออกไปเต็มแรง

             ฟิ้ว~~~!!!!

             แก๊งๆๆๆๆๆ~~~~~~~~!!

             สายลมอันเฉียบคมโหมกระหน่ำเข้าใส่ลำต้นนั้น แต่ทันทีที่สายลมตัดผ่านเมือกเขียวเข้าไปปะทะกับเปลือกนอกอันขรุขระ ลมอันเฉียบคมก็แตกสลายหายไปทันที โดยทำได้แค่สร้างรอยแผลเท่าแมวข่วนจำนวนมากซึ่งมีของเหลวสีม่วงไหลซึมออกมาเล็กน้อย ซึ่งแผลเหล่านั้นก็สมานตัวกลับเป็นเหมือนเดิมในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่

             “ที่ว่าเปลือกนอกแข็งพอๆ กับเพชรนี่…ไม่ใช่เรื่องโม้เกินจริงสินะ…”

             โพรมีเทียสบ่นพึมพำพร้อมกับดีดตัวกลับไปยืนบนไม้กวาดที่ร่อนลงมารับได้ถูกจังหวะพอดี

             “ก๊าซ~~~~~~!!!!”

             และในตอนนั้น กิ่งก้านที่ฟื้นตัวแล้วแล้วก็เริ่มโต้กลับอีกครั้ง พวกมันบุกเข้ามาพร้อมกันจากทั้งแปดทิศเข้ามารุมล้อมอีกฝ่าย ซึ่งส่งผลให้เหยื่อทั้งสองไร้ซึ่งทางหนีโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้น ร่างบนไม้กวาดทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกต่อสถานการณ์คับขันเลย

 

             “ฟราน…ป้องกันที…”

             “Sky Barrier!!”

             เปรี๊ยะๆๆ~ เปรี้ยง~!

             “กิ๊ซ!?”

             แต่ก่อนที่ฝูงปากกระหายเลือดจะได้ขย้ำร่างเหยื่อ บาเรียโปร่งใสก็ปรากฏออกมาครอบคลุมร่างทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ปากเหล่านั้นพุ่งชนบาเรียจนเกิดประกายไฟฟ้าดังเปรี๊ยะๆ ก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นกลับไป

             “เป็นไงมั่ง โพมี่?” ฟรานซิสก้าถามในขณะที่ฝูงปากปีศาจยังคงพยายามโจมตีบาเรียซ้ำไปซ้ำมา

             “อา…ได้ข้อมูลเพียงพอแล้วล่ะ…” โพรมีเทียสหันมาหาสาวน้อยด้านหลังพร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ “ดำเนินตามแผนได้เลย ฟราน”

             “โอเค~ ถ้าอย่างนั้น…”

             แว้บ!!

             บาเรียโปร่งใสหายวับไปในทันทีที่จอมเวทย์สาวสะบัดมือเป็นแนวนอน เปิดโอกาสให้ดอกไม้ปีศาจบุกเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง

             ฟ้าว~~!!

             ฉัวะๆๆๆ!!!

             ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ดาบคู่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายรุมโจมตีง่ายๆ จึงสะบัดดาบสร้างคลื่นลมอันเฉียบคม เฉือนกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยฟันจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง

             “แพนโดร่า Red Nature”

             พรึ่บ! ฟู่~!

             สีเขียวอ่อนของดาบคู่ที่ถูกย้อมด้วยลมค่อยๆ เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีแดงฉานจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ

             “Wave Heart”

             สาวผมชมพูทำการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ลำแสงสีขาวสองเส้นออกมาจากฝ่ามือของเธอ หักเลี้ยวเข้าไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดาบที่มือทั้งสองของคู่หู

             “ฝากด้วยนะ โพมี่”

             “วางใจได้เลย~”

 

             ผู้ใช้ดาบคู่กระโจนออกจากไม้กวาดอีกครั้ง เปลวเพลิงลุกโชนจากอาวุธสีแดงอย่างต่อเนื่อง เข้าเผาผลาญกิ่งก้านที่งอกมาใหม่อีกครั้ง ส่วนจอมเวทย์สาวอาศัยจังหวะนั้นทะยานสู่เบื้องบน จนกระทั่งหายไปจากระยะสายตาของคู่หู

             “เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”

             เคร้งๆๆๆๆ~~~~!!!

             ชายผมทองอาศัยไฟจากดาบในการบินวนไปทั่วลำต้น พร้อมกับฟาดฟันอาวุธสีแดงใส่ไม่ยั้ง ใบดาบตัดผ่านชั้นเมือกสีเขียวเข้าปะทะกับเปลือกอันขรุขระซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แต่ความคมนั้นก็ไม่อาจทะลุผ่านเปลือกที่แข็งในระดับเดียวกับเพชร ได้แต่สร้างแผลขีดข่วนขนาดเล็ก ซึ่งแทบจะหายไปในทันทีเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่เสี้ยววินาที

             แม้ว่าตัวเองจะมีเกราะแข็งกันไฟคุ้มกาย แต่การที่โดนเหยื่อตัวเล็กไล่ตอดเล็กตอดน้อยก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญ ต้นไม้ปีศาจจึงควบคุมกิ่งก้านเข้ารุมเหยื่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจที่จะตามการเคลื่อนไหวของเหยื่อผมทองได้ทัน และถูกดาบธาตุไฟฟันขาดและถูกเผามอดไหม้ซ้ำอีกครั้ง

             และเหตุการณ์แบบเดิมก็ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ชายผมทองบินวนเวียนไปทั่วลำต้น ตวัดดาบฟันใส่ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล ดอกไม้ปีศาจงอกมาจู่โจมอีกครั้ง แต่ก็ถูกเผาจนมอดไหม้อีกครั้ง และกลับไปบินวนตวัดดาบใส่ลำต้นเช่นเดิม

             ภาพเหตุการณ์เดิมๆ ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมาผ่านทางหน้าจอสามมิติ โดยไม่มีแววว่าจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

 

             “นี่มัน…อะไรกันเนี่ย….”

             เก็นยะได้แต่ยืนกอดอกและจ้องหน้าจอสามมิติอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าชายในหน้าจอทำเรื่องไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร

             “ไวเวิร์น ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันเนี่ย…”

             “ร…เรื่องนั้นผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละครับ…”

             ไวเวิร์นเองก็ไม่อาจเข้าใจเป้าหมายของอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงจับตามองไปยังร่างที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างตาไม่กระพริบ และยังคงเชื่อว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเป้าหมายแอบแฝงในการกระทำที่ดูไร้ประโยชน์อยู่แน่นอน

 

             “เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”

             โพรมีเทียสตัดสินใจบินขึ้นไปยังยอดที่สูงจรดฟ้าหลังจากที่เอาแต่ไล่ฟันลำต้นมาเป็นเวลานาน

             “แพนโดร่า Hammer Mode Brown Nature”

             อาวุธในมือทำการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง กลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ซึ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยสีน้ำตาลจากหินผา ซึ่งดูแข็งแกร่งและทนทานจนยากที่จะมีอะไรมาต่อต้านได้

             “แค่นี้ก็…”

             ร่างผมทองร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงอย่างอิสระ มือทั้งสองชูค้อนขึ้นเหนือหัวในท่าพร้อมทุบ และในตอนที่ร่างนั้นร่วงลงมาจนถึงยอดของต้นไม้…

             “รุกฆาตกันซะที!!”

             ตึง!!

             ค้อนแห่งพสุธาฟาดลงไปยังยอดบนสุดอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แต่กระนั้น ลำต้นซึ่งแข็งแกร่งดั่งเพชรก็ดูท่าจะไม่สะเทือนต่อการโจมตีนั้นเลย มันยังคงนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียงกรีดร้อง ไม่มีวี่แววว่าการโจมตีนั้นจะได้ผลเลยแม้แต่น้อย

             แต่แล้ว…

 

             บึ้ม~~~!!!!!!!!

             กิ๊ซๆๆๆๆๆๆๆๆๆ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!

             เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็เกิดการระเบิดขึ้นจากทั่วทุกจุดของลำต้น ระเบิดนั้นมีความรุนแรงสูงจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นปะปนไปกับเสียงกรีดร้องอันแสนแสบแก้วหูจากสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด และความรุนแรงนั้นยังทำให้เปลือกนอกที่ถูกหุ้มด้วยเมือกเขียวถึงกับฉีกขาดหลุดกระจายออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นเนื้อในสีแดงอันน่าขยะแขยง ซึ่งถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีม่วงที่ปล่อยไอความร้อนลอยสู่อากาศอย่างไม่หยุด

             “เป็นไงล่ะ~?” โพรมีเทียสที่เปลี่ยนอาวุธกลับเป็นดาบเพลิงอีกครั้งยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ “รสชาติของการเดือดอย่างกะทันหันมันแสบร้อนไปถึงทรวงเลยใช่มั้ยล่ะ~”

 

             “ก…การเดือดอย่างกะทันหันงั้นเหรอ!?”

             บอสแห่ง VADET ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนี้ แต่เพียงชั่วครู่ก็รีบกลับมาปั้นหน้านิ่งเช่นเดิม

             “ไม่น่าเชื่อเลย…เอาเรื่องแบบนี้มาใช้ได้ด้วยเหรอเนี่ย…”

             เก็นยะเอามือกุมคางอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ในขณะที่ไวเวิร์นยังคงอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าน่าจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ในทันทีเช่นกัน ส่วนมิโกะสาวได้แต่หันมองสลับกันไปมาระหว่างชายทั้งสอง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เธอจึงตัดสินใจสะกิดเพื่อนชายข้างตัว

             “ไวเวิร์น…การเดือดอย่างกะทันหันนี่มันคืออะไรเหรอ?”

             “เอ้ะ?...เอ่อ…ถ้าจะให้อธิบายก็…” ไวเวิร์นทำท่าครุ่นคิด “ซากุระจำข่าวเรื่องนมระเบิดที่ดูเมื่อวานได้รึเปล่า?”

             “เอ๋? หมายถึงข่าวเรื่องผู้หญิงที่เทนมใส่แก้วไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ แต่พอเอาออกจากเตามาวางบนโต๊ะ แก้วกลับระเบิดใส่หน้าเธอจนต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะเหรอ?”

             “อืมๆ ข่าวนั้นแหละ”

             ไวเวิร์นพยักหน้า

             “ตามปกติของเหลวนั้นถ้าให้ความร้อนจนถึงจุดเดือดมันก็จะเดือดทันที แต่การให้ความร้อนด้วยเตาไมโครเวฟนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถกระจายความร้อนสู่ของเหลวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ของเหลวนั้นไม่เกิดการเดือดถึงแม้ว่าอุณหภูมิไปแล้ว”

             “แต่กระนั้น หากมีตัวกระตุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นแรงกระแทก ของเหลวนั้นก็จะเกิดการเดือดขึ้นในทันที และส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรง นั่นแหละคือการเดือดอย่างกะทันหันล่ะ”

             “ถ…ถ้าอย่างงั้น…” ซากุระมองไปทางหน้าจอที่ฉายภาพสิ่งมีชีวิตที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีม่วงอีกครั้ง

             ใช่แล้ว ทุกสิ่งที่โพรมีเทียสได้ทำไปตั้งแต่ต้น ก็เพื่อเป็นการสร้างการเดือดแบบกะทันหันขึ้นมานั่นเอง!!

 

             ส่วนประกอบหลักของเมือกคือของเหลว การที่มันสร้างเมือกออกมาใหม่ได้ตลอดเวลา แสดงว่าภายในลำต้นนั้นจะต้องมีการกักเก็บของเหลวเอาไว้เป็นจำนวนมาก

             แต่ของเหลวแต่ละอย่างก็มีจุดเดือดที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะใช้วิธีนี้ก็ต้องดูประเภทของของเหลว และคำนวณจุดเดือดคร่าวๆ ให้ได้ซะก่อน

             ดังนั้น ในตอนแรกจึงเลือกที่จะใช้ดาบลม เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากคลื่นลมที่กระทบกับศัตรูในการคำนวณปริมาตรและความหนาแน่น และยังสามารถดูชนิดของของเหลวที่ไหลออกมาจากรอยแผลของมันได้ด้วย

             เมื่อได้ข้อมูลจนเพียงพอแล้ว ก็เปลี่ยนรูปแบบอาวุธเป็นดาบเพลิง และให้ฟรานใช้เวทย์ Wave Heart ซึ่งส่งผลให้อาวุธของเขาสามารถปล่อยคลื่นออกมาได้ ซึ่งเมื่อผสมกับธาตุไฟ ก็จะทำให้อาวุธนั้นกลายเป็นเครื่องผลิตคลื่นความร้อนที่สร้างผลลัพธ์ได้แบบเดียวกับคลื่นไมโครเวฟ

             และพฤติกรรมที่ดูไร้ประโยชน์อย่างการบินวนไปรอบลำต้นและไล่เอาดาบฟันทั้งที่มันไม่อาจเข้าถึงเนื้อในได้นั้น ก็เพื่อเป็นการส่งคลื่นความร้อนเข้าไปยังของเหลวภายในลำต้นโดยตรง ทำให้อุณหภูมิของเหลวในลำต้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่เข้าสู่สถานะเดือด

             และสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้แผนนี้สำเร็จก็คือแรงกระแทก จึงต้องอาศัยพลังของค้อนแห่งผืนดินเพื่อส่งแรงกระแทกอันมหาศาล และทำให้เกิดปฏิกิริยาระเบิดอย่างรุนแรงเป็นการปิดท้าย

             แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วการจะทำแผนการนี้ให้สำเร็จ ต้องอาศัยการคำนวณอย่างละเอียดและการกระจายความร้อนในของเหลวแต่ละจุดอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งตามปกติแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินตามแผนนี้จนสำเร็จ

             แต่คำว่าเป็นไปไม่ได้นั้นก็ใช้กับชายคนนี้ไม่ได้ ชายผู้มีความบ้าวิทยาศาสตร์เกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ซึ่งสามารถบันดาลวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ให้กลายมาเป็นอาวุธอันร้ายกาจได้

 

             เสียงกรีดร้องจากปีศาจกระหายเลือดยังคงเปล่งออกมาอย่างไม่หยุด กิ่งก้านดิ้นพล่านไปมาอย่างสะเปะสะปะจากความเจ็บปวดจากทั่วทุกอนูขุมขน ลำต้นของมันไม่มีเกราะกันความร้อนและเกราะแข็งดั่งเพชรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถ้ามันถูกโจมตีหัวใจหรือถูกเผาตอนนี้ ชีวิตของมันก็จะดับลงทันที

             “โฮ่ย ฟราน พร้อมรึยัง ตาเธอแล้วนะ”

             “พร้อมตั้งนานแล้วย่ะ”

             เสียงตอบอันแหลมใสดังมาจากเบื้องบน ซึ่งมีร่างของจอมเวทย์สาวบนไม้กวาดกำลังล่องลอยอยู่ในท่าชูมือขวาขึ้นฟ้า โดยมีวงแหวนเวทย์สีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้ตัวเธอ ซึ่งทันทีที่เธอได้ยินเสียงเรียกจากคู่หู เธอก็ตวัดมือข้างนั้นลงในทันที

             “Salamander!!”

             วงแหวนเวทย์เปล่งแสงเจิดจ้า หัวของมังกรที่ถูกย้อมไปด้วยสีส้มของเปลิวเพลิงที่ลุกโชนค่อยๆ โผล่ออกมาจากวงแหวนเวทย์นั้น พร้อมกับลำตัวอันแสนยาวที่ค่อยๆ โผล่ตามมาเรื่อยๆ จากนั้นมังกรเพลิงก็พุ่งตรงไปยังต้นไม้ที่สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว และใช้ลำตัวอันแสนยาวเข้ารัดรอบต้นไม้จนเป็นเกลียว และเริ่มทำการเผาผลาญด้วยร่างเปลวเพลิงอันร้อนแรง

             “กิ๊ซ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!”

             ความร้อนจากมังกรเพลิงส่งผลให้ของเหลวสีม่วงระเหยกลายเป็นไอในพริบตา ไฟลามไปทั่วทั้งร่างของปีศาจและลุกโชติช่วง เสียงกรีดร้องอย่างทรมานอันแสบแก้วหูยิ่งแผดออกมามากกว่าเดิม แต่เพียงแค่ชั่วครู่ เสียงกรีดร้องนั้นก็เงียบหายไป พร้อมกับร่างอันสูงใหญ่ที่สลายกลายเป็นขี้เถ้าและปลิวหายไปกับอากาศ

             สายตาของชายหญิงทั้งสองบนพื้นจับจ้องดูภาพนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ

             “สำเร็จแล้วนะ ฟราน”

             “สำเร็จแล้วนะ โพมี่”

             ทั้งสองคนกำมือขวาชนกัน ก่อนที่จะยกนิ้วโป้งให้กันเองด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

 

             “น…นึกออกแล้ว!!”

             จู่ๆ บอสแห่ง VADET ก็โพล่งคำนี้ออกมา ทำเอาชายหญิงทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจ

             “งั้นเหรอ…สองคนนั้นคือคู่หูปราบปีศาจเองเหรอเนี่ย!?”

             “ค…คู่หูปราบปีศาจเหรอครับ…?” ไวเวิร์นมองอย่างงงๆ

             “ชั้นเคยได้ยินข่าวลือมาน่ะ ว่านอกจากพวกเรา VADET แล้ว ยังมีคนสองคนที่ออกเดินทางไปทั่วเพื่อไล่ปราบปีศาจจากทุกมุมโลก สองคนนั้นถูกตั้งฉายาว่าคู่หูปราบปีศาจ คนนึงเป็นชายผมสีทองซึ่งใช้อาวุธที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจนึก ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงผมยาวสีชมพู เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์อันหลากหลาย ซึ่งหาได้ยากในยุคปัจจุบันนี้…”

             เก็นยะจับจ้องไปที่หน้าจอสามมิติ ซึ่งฉายภาพของคู่หูปราบปีศาจที่กำลังยกนิ้วโป้งให้กัน

             “ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอตัวง่ายขนาดนี้…”

             แววตาจริงจังจ้องไปยังหน้าจอสามมิตินั้นชั่วครู่ก่อนนิ้วชี้จะจิ้มไปที่หน้าจอสองสามครั้งเพื่อเป็นการปิดหน้าจอ

             “ไวเวิร์น ซากุระ ชั้นจะไปเจรจากับสองคนนั้นหน่อย พวกนายรออยู่ที่นี่ก่อนนะ”

             สิ้นสุดประโยคนั้น บอสแห่ง VADET ก็วิ่งออกไปยังจุดที่ต้นไม้ปีศาจเคยอยู่ทันที ปล่อยให้คู่เพื่อนชายหญิงอยู่กันเพียงสองคนตามลำพัง

             “เป็นยังไงบ้างครับ ฝีมือการต่อสู้ของคุณโพรมีเทียสกับคุณฟรานซิสก้า สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะครับ?”

             แต่หลังจากที่ผู้เป็นบอสวิ่งออกไปเพียงแค่ไม่นาน ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงกล่าวอันนุ่มนวลจากชายปริศนาที่ไม่ทราบว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเอามิโกะสาวสะดุ้งอีกครั้งก่อนที่จะหันไปมอง ในขณะที่ไวเวิร์นกลับหันไปด้วยสายตานิ่งๆ อย่างไร้อาการตกใจ ราวกับว่าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าชายคนนี้จะต้องโผล่มาอีกแน่

             “นี่…ช่วยตอบคำถามผมซักข้อได้มั้ยครับ…?” ไวเวิร์นจ้องบุรุษลึกลับด้วยแววตาจริงจัง

             “ว่ามาสิครับ”

             “ที่คุณสร้างเรื่องขึ้นมาโกหกสองคนนั้นนี่…เพราะอยากให้ผมได้เห็นใช่มั้ยครับ…? ให้ผมได้เห็น…วิธีการต่อสู้ของสองคนนั้น…”

             รอยยิ้มโผล่ออกมาจากมุมปากของชายลึกลับเล็กน้อย

             “นั่นสินะครับ ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วล่ะก็…ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวนั้นครับ”

             ชายปริศนาเว้นช่วงหยิบนาฬิกาพกออกมาดู ก่อนที่จะเก็บมันเข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ

 

             “โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่ กับฟรานซิสก้า อัลลิน เมื่อสามปีก่อน พวกเขาถูกแดร็กคูล่าพรากสิ่งสำคัญไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้หัวใจของพวกเขาเกิดความเดียดแค้นและความเศร้าอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเลือกที่จะใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”

             “แม้ว่าพวกเขาจะมีกันอยู่แค่สองคน แม้ว่าจะเจอเรื่องแสนเจ็บปวดจนเจียนตายอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้ง และเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป จนกว่าแดร็กคูล่าจะหายไปจากโลกใบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันยอมก้าวสู่โลกแห่งความตายเด็ดขาด”

             “ด้วยเหตุนั้น ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งซึ่งสั่งสมมาตลอดจากการต่อสู้สามปี ความแข็งแกร่งที่ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งวิธีการต่อสู้ซึ่งยากที่จะหาผู้ต้านทานได้ และผมคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าหากว่าคุณไวเวิร์นได้เห็นสิ่งพวกนั้นน่ะครับ”

             นั่นคือคำอธิบายส่วนหนึ่งจากชายผู้แต่งเรื่องโกหก มันฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและสามารถยอมรับได้ แต่กระนั้น สายตาของเพื่อนชายกลับฉายแววแห่งความไม่พอใจออกมา

             “ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่า…เล่นแต่งเรื่องโกหกจนซากุระต้องมารับเคราะห์แบบนี้ มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ…?”

             “เรื่องนั้นผมขอยอมรับแต่โดยดีว่าผมทำเกินไปจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ”

             ชายปริศนาโค้งให้ชายตรงหน้าเพื่อแสดงการขอโทษจากใจจริง แต่ความไม่พอใจก็ยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม

             “คนที่คุณต้องขอโทษ ไม่ใช่ผมซะหน่อย…”

             เขาพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้างตัว ชายในผ้าคลุมมองอาการนั้นก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

             “นั่นสินะครับ ถ้างั้นก็…”

             จากนั้นเขาก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามิโกะสาวแต่โดยดี

             “เพราะคำโกหกของผม คุณซากุระเลยต้องพลอยเจอเรื่องแย่ๆ ไปด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

             “เอ้ะ…อ้ะ…เอ่อ…”

             ซากุระออกอาการทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกคุกเข่าให้

             “ม…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงตอนนี้ทั้งฉันกับไวเวิร์นก็ปลอดภัยดีแล้วด้วย…”

             เธอส่ายมือไปมาเพื่อแสดงการให้อภัย ชายลึกลับมองกิริยานั้นซักพัก แล้วหันไปมองเพื่อนชายที่ยอมสะบัดความไม่พอใจออกไปจากใบหน้าแล้ว จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยและยืนขึ้นมาอีกครั้ง

             “แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็นึกวิธีอื่นที่จะสามารถเติมเต็มเป้าหมายทั้งสองอย่างไม่ออกจริงๆ ผมเลยต้องใช้วิธีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ”

             “แล้ว…เหตุผลอีกอย่างคืออะไรครับ…?”

             ไวเวิร์นถามอย่างเรียบๆ ชายปริศนากระแอมไอสองสามครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ

 

             “อย่างที่ผมบอกไปว่าคุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้ามีความแข็งแกร่งที่ยากจะหาผู้ต้านทานได้ ถึงอย่างงั้น พวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าถึงตัวแดร็กคูล่าได้ การต่อสู้เพียงลำพังแค่สองคนนั้นมีขีดจำกัดมากเกินไป ทำให้พวกเขาโหยหาสิ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดจำกัดนั้นได้ ซึ่งนั่นก็คือการสนับสนุนจากพวกเดียวกัน

             “การที่พวกเขาเชื่อเรื่องโกหกของผมในทันทีโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกเขากำลังต้องการมันมาก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูล ด้านกำลังรบ หรืออื่นๆ พวกเขาก็ยินดีที่จะรับมันไว้อย่างไม่ลังเลทั้งสิ้น”

             “ในทางกลับกัน องค์กรอย่าง VADET นั้นมีความเพียบพร้อมทางด้านนี้มากกว่า เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุนและกำลังคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีบุคลากรอย่างเก็นยะ อาริคาโด้มาเป็นผู้ควบคุมสิ่งเหล่านี้ ทำให้องค์กรเติบโตและยิ่งใหญ่ได้มาจนถึงทุกวันนี้”

             “แต่กระนั้น สิ่งที่ VADET ยังคงขาดแคลน คือบุคลากรที่สามารถเป็นแกนนำของกำลังรบได้ คนในองค์กรที่มีความสามารถถึงขั้นนั้นจริงๆ ยังคงมีแค่หยิบมือ ทำให้บางครั้งผู้เป็นบอสอย่างเขาต้องลงไปสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต้องบการที่สุดในตอนนี้ก็คือบุคลากรที่มีความแข็งแกร่ง และสามารถเป็นผู้นำกำลังรบให้คว้าชัยชนะกลับมาได้”

             “ซึ่งปัญหาทั้งสองนี้สามารถถูกแก้ได้อย่างง่ายดาย โดยการให้คุณโพรมีเทียสและคุณฟรานซิสก้าเข้าร่วมกับ VADET ซะ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลอีกข้อของผมครับ”

 

             หลังจากจบประโยคสุดท้ายของชายลึกลับ บรรยากาศอันแสนเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ซากุระออกอาการทึ่งราวกับพึ่งได้ฟังการบรรยายที่สุดยอดมาหมาดๆ ส่วนไวเวิร์นได้แต่ส่งสายตานิ่งๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก เหตุผลของอีกฝ่ายมีความลงตัวอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

             ทั้งที่เป็นแบบนั้น ในสมองของชายหนุ่มกลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง รู้เรื่องภายในของ VADET เป็นอย่างดี รู้ถึงความต้องการของคู่หูปราบปีศาจ แถมยังรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาด้วย ทั้งที่ตามปกติแล้วคนนอกไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้เลยแท้ๆ

             “ผม...มีคำถามอยู่อีกสองข้อครับ…”

             ไวเวิร์นเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

             “คุณน่ะ…เป็นใครกันแน่…แล้วทำไมถึงได้รู้เรื่องไปซะทุกอย่างเลย…?”

             สายตาคมกริบดั่งเหยี่ยวจ้องไปยังร่างใต้ผ้าคลุมราวกับต้องการมองให้ทะละปรุโปร่ง แต่ชายปริศนาก็ไม่ได้สนใจสายตานั้น และหยิบนาฬิกาออกมาดูอีกครั้ง

             “เวลายังไม่ต้องการให้ผมตอบคำถามสองข้อนั้นในตอนนี้ ต้องขอโทษด้วยครับ”

             ชายในชุดคลุมเก็บนาฬิกาและโค้งให้ทั้งสองอย่างสุภาพก่อนที่จะหันหลังให้ทั้งสอง

             “ยามที่เวลาต้องการ เราคงได้พบกันอีกครับ”

             สิ้นสุดคำพูดนั้น ชายปริศนาก็ก้าวเดินออกไป ปล่อยให้ชายหญิงทั้งสองอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง

 

             “โฮ่ย~~ พวกนาย~~”

             แต่หลังจากที่ชายชุดคลุมจากไปเพียงไม่นาน คู่เพื่อนสนิทก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง พวกเขาหันไปในทันที และพบคู่หูปราบปีศาจทั้งสองบินร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

             “อ…เอ่อ…”

             “ม…มีอะไรเหรอครับ…?”

             คู่เพื่อนสนิทรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อยกับใบหน้านิ่งๆ ของทั้งสอง คู่หูปราบปีศาจหันมามองหน้ากันเอง แล้วพยักหน้าให้กันก่อนที่จะหันกลับไปมองอีกฝ่าย และจากนั้น……

             “ขอโทษด้วยครับ!!”

             “ขอโทษด้วยค่ะ!!”

             “อ…เอ๋!?”

             คู่หูปราบปีศาจพร้อมใจกันโค้งขอโทษชายหญิงตรงหน้าพร้อมกัน ทำเอาคู่เพื่อนสนิทอุทานออกมาอย่างตั้งตัวไม่ทัน

             “พวกเราผิดเองที่หลงเชื่อเรื่องโกหกนั่น จบเกือบจะฆ่าพวกนาย…”

             “ถ้าพวกเรารู้ตัวเร็วกว่านี้ล่ะก็…พวกนายก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ขอโทษด้วยค่ะ!!”

             “ช…ช…ช่างมันเถอะ!! เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไป!! เนอะ ซากุระ!?”

             “อ..อื้ม!! พวกเราเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายด้วย!! ดังนั้น เงยหน้าขึ้นมาเถอะจ้ะ!!”

             คู่เพื่อนสนิทรีบบอกทั้งสองอย่างลนลาน คู่หูปราบปีศาจมองอาการนั้นอยู่ซักพักก่อนที่จะยอมเงยหน้าขึ้นมา

             “อ…เอ่อ…ถ้างั้นก็…” โพรมีเทียสกระแอมไอสองสามครั้งแล้วยื่นมือขวามาข้างหน้า “โพรมีเทียส แกรนดอร์ฟี่…”

             “อ…เอ๋…?” ไวเวิร์นเอียงคอมองมือนั้นอย่างงงๆ

             “ช…ชั้นกับฟรานตกลงเข้าร่วมกับ VADET แล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกเราสี่คนถือว่าเป็นพวกเดียวกัน…ก็เลย…คิดว่าพวกเราน่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้น่ะ…”

             ชายผมทองรู้สึกเกร็งจนแขนสั่นนิดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการผูกมิตรคนอื่นเอาซะเลย หนุ่มผมดำยืนมองมือนั้นอยู่ซักพัก ก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อยทางมุมปาก

             “ไวเวิร์น อัลเดน่าครับ”

             แล้วยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย

             “ฟ…ฟรานซิสก้า อัลลินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

             สาวหัวชมพูที่เห็นการทักทายของฝ่ายชายเป็นไปด้วยดีตัดสินใจยื่นมือออกไปหาคนตรงหน้าบ้าง

             “ซากุระ คุรุสุจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ~”

             ซึ่งสาวหัวน้ำทะเลก็ตอบรับอีกฝ่ายแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้ม สาวผมชมพูมองรอยยิ้มนั้นอยู่ซักพักก่อนที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายยิ้มด้วย

 

             --- ปราสาทแดร็กคูล่า ห้องบัลลังก์ ---

             ก๊อกๆๆ~~

             “เข้ามาได้”

             แอ้ด~!!

             ประตูบานใหญ่สีแดงด้านซ้ายถูกเปิดออก พร้อมกับร่างในชุดสไตล์อังกฤษที่ค่อยๆ ก้าวเดินมาตามพรมแดงก่อนที่จะคุงเข่าลงตรงหน้าบัลลังก์

             “แล้วเจ้าคือ…?” ชายบนบัลลังก์เอ่ยปากถาม

             “คาราสุครับ ตอนนี้นี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มคามิลล่าครับ” ร่างที่คุกเข่าตอบอย่างสุภาพ

             “งั้นเหรอ…แล้ว…มีธุระอะไร…?” ชายบนบัลลังก์แกว่งมือที่ถือแก้วไวน์ใส่ของเหลวสีแดงไปมา

             “ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอเจรจากับท่านน่ะครับ”

             คาราสุแอบยิ้มอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงสีหน้าเดิมเอาไว้

             “เนื่องจากการสูญเสียท่านคามิลล่าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจบริวารไป ทำให้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของท่านต้องว่างไปหนึ่งตำแหน่ง ส่งผลให้เหล่าปีศาจเริ่มหันมาต่อสู้กันเอง เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาครอบครอง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าปีศาจก็คงจะต่อสู้กันเองไมมีที่สิ้นสุด ซึ่งข้าไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเลย…”

             คาราสุเอามือมาปิดหน้าตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความเศร้า แต่ในใจนั้นกลับเปล่งรอยยิ้มมากกว่าเดิม

             “ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหานี้ให้สิ้นซาก ต้องหาคนมาแทนตำแหน่งนั้นให้ไวที่สุด ซึ่งในฐานะที่ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ข้าก็เลยเสนอตัวมารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้โปรดพิจารณาด้วยครับ”

             คาราสุก้มหัวจนแทบจะโขกพื้น ร่างบนบัลลังก์เอาแต่แกว่งแก้วไวน์โดยไม่พูดอะไรอยู่ซักพัก

             “ก็ได้ ข้าจะมอบตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารให้กับเจ้า…”

             “จ..จริงเหรอ…”

             “แต่ว่า…มีข้อแม้…”

             คำพูดขัดจังหวะทำเอาผู้คุกเข่าชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปั้นหน้ายิ้มได้อย่างรวดเร็ว

             “ข…ข้อแม้อะไรเหรอครับ…?”

             “…ซากุระ คุรุสุ…” ชายบนบัลลังก์จิบของเหลวในแก้ว “นำตัวซากุระ คุรุสุมาให้ข้า…แล้วข้าจะมอบตำแหน่งนั้นให้…”

             “ซากุระ คุรุสุสินะครับ” คาราสุตีหน้าจริงจัง “เข้าใจแล้วครับ ข้าจะนำตัวซากุระ คุรุสุมาถวายให้กับท่านเองครับ”

             “ดีมาก…ไปได้แล้ว…หวังว่าคงจะไม่ทำพลาดแบบคามิลล่าล่ะ…”

             “ข้าขอเอาเกียรติของข้าเป็นเดิมพันว่าจะไม่ทำพลาดแน่นอนครับ…”

             คาราสุคำนับอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามพรมแดงผ่านประตูบานใหญ่ออกจากห้องนั้นไป

 

             “หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ!!!”

             จอมเสแสร้งเปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่พ้นรัศมีห้องบัลลังก์ไปแล้ว

             “ง่ายดายอะไรเช่นนี้ แค่จับตัวผู้หญิงคนเดียว ข้าก็จะได้ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารมาครอบครองแล้ว”

             คาราสุแสยะยิ้มแล้วควักรูปสองใบออกจากเสื้อคลุม

             “ซากุระ คุรุสุ รอก่อนเถอะ เจ้าต้องเป็นเครื่องบรรณาการให้ท่านแดร็กคูล่า และเป็นบันไดสู่ตำแหน่งเจ็ดปีศาจบริวารของข้า”

             คาราสุหัวเราะในลำคออย่างพอใจในขณะที่จ้องรูปมิโกะสาวทางด้านขวา

             “ส่วนแก…”

             จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังรูปของหนุ่มทางซ้าย แล้วกัดฟันจ้องไปที่รูปนั้นราวกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อให้สิ้นซาก

             “ไวเวิร์น อัลเดน่า…ข้าจะทำให้แกได้ลิ้มรสความสิ้นหวังแบบเดียวกับเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง เตรียมใจรอไว้ให้ดีเถอะ!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา