ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
8.0
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
22 ตอน
9 วิจารณ์
30.37K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) แก้ไขเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอทินกรที่สาดส่องลอดผิวใบสีเขียวเข้มจนเจือจางกลายเป็นเขียวอ่อน
อากาศยามพระพายพัดเชยของต้นฤดูหนาว พาลทำให้หญิงสาวร่างสูงในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตาต้องโอบกอดหุ่นเรียวเพรียวบางนั้น เสียงฟันกระทบสั่นกึกๆ ช่างเข้าจังหวะกับปลายเท้าที่กระทืบใส่พื้นกระเบื้องไม่ยั้ง
นี้ถ้ามีใครเดินผ่านไปผ่านมาแล้วเลี้ยวแวะเข้าทักทาย
เธอคงจะใบ้กินหรือไม่ก็ใช้ขาคู่ยันตัวมันออกไปให้ไกล
รู้งี้ใส่เสื้อที่แม่ส่งมาให้ซะก็ดี จะได้ไม่สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่คนเดียว
“ มาทำอะไรแต่เช้ายะ คุณหวงเฟยฟาง ”
เสียงเจื้อยแจ้วที่คุ้นหูดังขึ้น หญ้าฟางหรือหวงเฟยฟาง ผู้โด่งดังเหลียวตาหันมาตามสายเสียงก่อนจะอมยิ้ม เอียงคอมอง หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ผู้หญิงตัวเล็กๆผมสั้นทรงผู้ชาย สีผมที่ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงสะดุดตาตัดกับผิวขาวใสไม่แพ้กับผิวของเธอเลย
ท่ายืนเท้าเอวอันเป็นเอกลักษณ์ พอๆกับแว่นทรงกลมดูแอ็บแบ๊วดีแต่ไม่เข้ากับสีปากที่ถูกเติมแต่งด้วยสีทาปากแดงแปร๊ด
“ อาจารย์เปรี้ยว!!!!!!”
ทั้งชื่อทั้งเสื้อผ้าหน้าผมมันช่างสัมพันธ์โยงยันถึงที่มาของการตั้งชื่อนี้ได้โดยง่าย
อาจารย์เปรี้ยวขยับแว่นเพื่อมองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้ชัดขึ้น
“ นี้...คงจะมาทวงเงินทุนที่สอบได้ที่หนึ่งกับอาจารย์หน่อย ใช่มั้ย? คิดผิดแล้วล่ะที่ตื่นแต่เช้าฝ่าลมหนาวมาที่คณะ วันนี้พวกอาจารย์ผู้ใหญ่เขาไปประชุมกันที่ต่างจังหวัด มาเสียเที่ยวแล้วล่ะ แม่หนู..”
“ มาหาอาจารย์นั้นแหล่ะ” หญ้าฟางยกซองเอกสารซองสีน้ำตาลตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า
อาจารย์สาวผมสั้น หน้าตาไม่จัดว่าสวย แต่ก็พอดูได้ ยืนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเอื้อนเอ่ยปากออกมา
“ ถ้างั้นก็เข้ามาคุยในห้อง”
คนเชิญชวนในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวเปรี้ยวปรี๊ด จิ๊ดถึงใจ เปิดประตูห้องทำงานเดินนำหน้าเข้าไปในห้องก่อน
ส่วนแม่ยอดหญิงนักบู๊เดินหน้าหงิกหน้างอตามเข้าไปทีหลังทันที
“อาจารย์เปรี้ยว! กรุณาช่วยบอกให้ฟางรู้ที มันเกิดอะไรขึ้น ใครมันกล้าเล่นตลกส่งเอกสารบ้าๆนี้มาให้ฟาง แล้วลายเซ็น อาจารย์หลับตาเซ็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกไม่แจ้งอะไรกันก่อนล่ะ ห๋าา...!!! "
“ เงียบก่อนซิเฟ้ย! แหม....พูดรัวซะยังกับปืมเอ็มเจ็ดเก้า ไอ้เราก็นึกว่าจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานนี้ซะอีก”
เธอทำท่านึกคิด....อ๋อ ไอ้เรื่องที่ปะทะฟาดฟันกันที่ร้านหมูย่างนั้นสินะ
“ขอบคุณ....ขอบคุณมากๆเลยคร๊าาา ”
เสียงเล็กแหลมที่ถูกบีบให้ลากยาวจนคนพูดเองเล่นเองยังรู้สึกเอียนหู
หากใครได้เห็น เธอกับคุณครูจอมเฟี้ยวประชดประชันคารมที่ดูน่าตบยิ่งกว่าน่าฟัง
คงจะนึกร้องด่าหาว่าเธอ ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่
แต่ใครจะรู้ว่า แม่หน้าประดับกรอบลูกตาอย่างอาจารย์ปรี้ยว
กลับนิยมชมชอบคนพูดจริง ทำจริง ไม่คิดเสแสร้งร้องแง้วๆจะเอาเกรดอยู่อย่างเดียว
เพราะตัวอาจารย์เองก็พูดจริงทำจริง
ไม่คิดหลอกลวง คิดถึงความจริงและความยุติธรรมเสมอ
ถึงได้ปากจัดจ้าน ไร้มารยา พอๆกับเธอ
อาจจะบอกได้ว่า "นิสัยถอดแบบ" มาจากกันเสียก็เป็นได้
" โอเค เรื่องเมื่อวาน ฟางขอบคุณให้แล้ว....ทีนี้ ไม่ต้องเฉไฉ มาเข้าเรื่องของเราต่อจะดีกว่า"
“หึ.. ถ้ามาขอบคุณดื้อๆด้านๆแบบนี้ เมื่อคืนฉันไม่น่าแวะเข้าไปช่วยแกเล๊ย”
น้ำเสียงที่แหลมสูงในตอนท้าย ทำให้คนฟังนึกหมั่นไส้ในใจ
แล้วใครเขาร้องขอให้ช่วยกันล่ะค่ะ อาจารย์
“ ฟางไม่ได้ขอร้องให้ไปช่วยซักหน่อย”
" เออ!! แกไม่ได้อยากให้ฉันไปช่วย แกจะตายคนเดียวก็ช่างหัวประไร ก่อเรื่องเองก็รับผิดชอบด้วยตัวเอง แต่จะลากไอ้สี่หน่อเพื่อนซี้แกไปตายด้วย ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอก"
" อ๋อ....เป็นห่วงคนอื่น มากกว่า ลูกศิษย์สาขาตัวเองจะเป็นจะตายก็ช่างหัว งั้นสิ?"
" แล้วตายมั้ยล่ะ? ถึงฉันไม่เหาะไปช่วยแก เด็กสอบได้ที่หนึ่งของคณะมันก็มีปัญญาเอาตัวรอดได้เองอยู่หรอกน่า แต่ไอ้คนอื่นๆนี้สิ ลองโดนปืนจ่อหัวแบบแก คงได้กราบกรานแทบเท้าไอ้พวกนั้นไปแล้ว"
พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นทั้งคู่
" สรุป...อาจารย์ก็ไม่คิดอยากจะช่วยใคร ขี้เกียจใส่ซองไปงานศพทีหลังใช่มั้ยล่ะ?"
" หึๆๆ คงงั้นละมั้ง "
อาจารย์เปรี้ยวเปิดซองเอกสารสีน้ำตาลก่อนจะหยิบใบสีขาวเจ้าปัญหาออกมาอ่าน
เพียงเสี้ยวเวลาที่หญ้าฟางฉวยมือหยิบขนมตะโก้ที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าปากนั้น
เอกสารสำคัญก็ปลิวร่อนมาจ่อคอเธอทันที
" ใครอนุญาตให้แกมาหยิบขนมบนโต๊ะฉันกินย่ะ.....มารยงมารยาทเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาทำกันแบบนี้เหรอ ห่ะ ไอ้ฟาง!!"
หญ้าฟางเขยิบถอยห่างออกมา แววตาสวยพริ้งยังคงจับจ้องไปที่ปลายกระดาษ
ถึงจะไม่ใช่มีด ไม่ใช่ปืนลูกโม่ แต่ความบางเสมือนคมมีดทั้งๆที่เป็นแค่กระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
ก็เหมือนที่พวกจอมยุทธ์จีนเขาว่าไว้ ....
" ไม่มีของสิ่งใดที่หยิบขึ้นมาแล้วจะฆ่าคนไม่ได้"
นี้ถ้าเฉียดใกล้อีกนิดเดียวนะ
อาจารย์...เตรียมตัวไปเรียกหมอผีมาเฝ้าคณะฯแทนลุงยามเสื้อเขียวได้เลยนะนี้
" ไม่รู้ล่ะ บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่บอกวันนี้ ฟางไม่ปล่อยอาจารย์ให้ร่อนไปร่อนมาในคณะแน่!"
" ฉันเป็นคนมีสองเท้าเอาไว้เดิน กรุณาใช้คำให้สัมพันธ์กับตัวลักษณะบุคคลด้วย"
หญิงสาวมองหน้า เหล่ตาขุ่นใส่
บางทีเวลาด่าใคร....ไม่จำเป็นต้องเป็นคำหยาบๆหร๊อก คำบ้านๆธรรมดาๆก็สะกิดต่อมโมโหได้แล้ว
คนเป็นครูอย่างอาจารย์เปรี้ยว ถ้ายืนหงิมๆต่อหน้าเด็ก ปล่อยให้เด็กพ่นไฟอาละวาดใส่
เอาแต่คอยรองรับความดื้อของเด็กแต่ไม่คิดที่จะเปลี่ยนหรือลดสิ่งที่ไม่ดีในตัวเด็กลง
ต่อให้มีครูอีกสิบร้อยพันคน
หากยังตามใจ สอนแบบเลี้ยงส่ง เรียนจบกันแล้วก็แล้วเสีย
เด็กจะเป็นอย่างไร ก็ช่างมัน....
นอกเหนือจากบทเรียนในตำราเรียนแล้ว
บทเรียนจากจิตใต้สำนึก หากขัดเกลามันได้ตอนนี้
ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นไฟลามทุ่งในวันหลัง
“ ค่ะ...”
น้ำเสียงเชิงโกรธปนงอนหงึกตามประสาคนที่กำลังถูกยั่วอารมณ์
อาจารย์เปรี้ยวยิ้มน้อยๆมองหน้าไอ้ตัวป่วนประจำสาขา
ผู้หญิงที่สวยจนเกือบจะหยุดโลกทั้งใบได้
แต่ก็คงหยุดได้เฉพาะกับคนแปลกหน้าเท่านั้น
ลองได้เจอธาตุแท้ของมันสิ...ถึงได้บอกว่า
ความสวยแม่งไม่ได้ช่วยอะไรมันเลยจริงๆ
เข้าเรียนที ถ้าไม่มีผ้าพันแผล หรือใส่เผือกนั่งจ่อม่ออยู่หน้าแถว
ก็คงไม่โผล่หัวมาเรียนวันนั้นเป็นแน่
อากัปกิริยา ที่ไม่ได้สะดีดสะดิ้งเสียซะน่าตบ แต่วลีที่ถูกพ่นออกมา มันออกจะกวนประสาทมากเกินไปหน่อยมากเกินกว่าจะหยุดมันลงได้ด้วยแค่การ "ตบ" เพียงอย่างเดียว
ไอ้นิสัยที่ชอบ ตีรันฟันแทง หาเรื่องคนอื่นหรือจะให้คนอื่นมาหาเรื่องมัน
ไม่ใช่ อุปนิสัยหรือ บุคลิกของครูผู้ที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
หากแต่เป็นแม่พิมพ์เครื่องนี้ คงจะเป็นแม่พิมพ์ติดเทอร์โบ
พิมพ์ได้คล่องแคล่วมากเสียจนกลัวว่า เครื่องจะสึกหร่อ พังลงได้ง่าย
ไอ้บ้าหญ้าฟาง ถึงมันจะไม่ได้ดีเลิศเจิดจรัส แต่ก็ไม่ได้ เลวร้ายจนรั้งไว้ไม่อยู่
ยังดีที่มันฉลาด ไอคิวแหลมทะลุยอดฟ้า
จนเพื่อนๆทั้งสาขาต้องเพิ่มฉายาให้มันเป็นอันดับที่ร้อยแปดว่า
" ไอ้หนอน"
เป็นถึงขั้นนักเรียนชิงทุนของมหาลัย มีหัวสมองระดับแม่เหล็กที่สามารถดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปได้
แหม....ถ้าคนเก่งๆบางทีมันก็น่าส่งเสริมอยู่หรอก เดี๋ยวจะเสริมด้วยแรงข้อเท้าเนี่ยแหล่ะ
ไอ้หนอนจอมเฉาะเอ้ย!!
“ ฟังนะ ฉันรู้ว่าแกเลือกโรงเรียนสาธิตไว้แต่แรกแล้ว และฉันก็รู้อีกว่าแกก็คงจะวางแผนทุกอย่างไว้ในหัว เรื่องค่าอยู่ ค่ากิน ค่ารถ แต่ว่า......"
อาจารย์เปรี้ยวเสยผมขึ้น กิริยาท่าทางดูปราดเปรียวไม่แพ้ เจ้าตัวที่นั่งฟังอยู่ตรงข้าม หรือมากกว่าเพราะสีผมที่ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงจนแสบสัน ไม่เหมือนกับอีกคนที่ดำดกดีตั้งแต่รากโคนจรดปลายติ่งผม
" ฉันทำป็นต้องทำ เพราะเขาโยนงานนี้มาให้ฉัน จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้”
“ อย่าเพิ่งวิ่งออกโคจรโลก..อาจารย์ เล่ามาว่า ความจำเป็นอะไรที่อยู่ก็มายัดรายชื่อของฟางใส่ไปมั่วๆแบบนั้น"
คำถามที่แทรกขึ้นมากลางคัน บ่งบอกได้ถึงอารมณ์อยากรู้จนอยากจะเข้าไปง้างปากอาจารย์ถ้าไม่โดนไม้บรรทัดเหล็กที่วางอยู่ข้างๆมือเฉาะหัวซะก่อน
“ ถ้าอย่างงั้น...รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อโรงเรียนจงเหวินมั้ย?"
หญ้าฟางทำท่านั่งนึก ภาพโรงเรียนใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นกลางย่านชุมชนชาวจีนผุดขึ้นมาในจินตภาพแห่งความนึกคิด
อาคารเรียนถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบตึกเรียนทั่วๆไป ยกเว้นอาคารเก่าแก่หลังหนึ่ง
อาคารเรียนหลังแรกของโรงเรียนจีน!!
สถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่บ่งบอกถึงคำว่า "จุดเริ่มต้น" ได้เป็นอย่างดี
อาคารสีเหลืองอ่อนสามชั้น หน้ามุขของอาคารมีนาฬิกาตัวเลขโรมันประดับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ความคลาสิกตามรูปแบบอาคารฝรั่งโบราณ ถูกผนวกให้เข้ากับความเก่าแก่ของโรงเรียนแห่งนี้
นับว่าเป็นอาคารเรียนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ทั้งภายในและภายนอก เพียงแต่.......
“ อ่อ รู้จักๆ......แต่เดี๋ยวนะ!!! " หญิงสาวส่งสายตาตะลึงพรึงพรวดก่อนจะแยกเขี้ยวแหกปากไม่ต่างกับหมาโดนน้ำร้อนลวกหางเลยทีเดียว
"ไอ้โรงเรียนนั่นมัน....อยู่ในตัวเมืองไม่ใช่เหรอ?? มันไกลเชียวนา อาจารย์”
“ ก็เออ ทำไม? ฉันก็เคยพาแกกับเพื่อนในสาขาไปดูงานโรงเรียนนี้แล้วนะ ไกลตรงไหน”
“ ปู้โธ่..!!! อาจารย์.... ไม่ไกลของอาจารย์ก็เพราะว่าอาจารย์มีรถ แต่ฟางไม่มี..”
“ เออ น่ะ แกอยู่ๆไปเดี๋ยวก็รู้สึกว่ามันใกล้เองแหล่ะน่า”
น้ำเสียงขุ่นๆบ่งบอกถึงความรำคาญ แต่ก็เป็นความรำคาญในแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กคนหนึ่ง
แหม.....เรียนมาเกือบจะ ห้าปี.....เห็นไปเที่ยวระริกระรี้กับเพื่อนฝูงในตัวเมืองอยู่บ่อยๆ
ถ้าไปไม่ถูก ........ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว โตจนเหนียงจะยานเข้าคอ
แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมเลิกราได้ง่ายๆ
“ ไม่เอาละ ฟางไม่ไปหรอก ฟางจะยื่นใบคำร้องขอเปลี่ยนสถานที่ฝึกสอน”
“ หมดโอกาสเถอะ อีหนู....เพราะถ้าทางโรงเรียนเขาส่งใบอนุญาตมาแล้ว ก็เท่ากับแกต้องไปสอนที่นั่น ที่เดียว”
“ ฝันไปเหอะอาจารย์!!! จะเอาช้างสิบเชือกมารุมกระทืบ ฟางก็ไม่ยอมทำตามไอ้ใบเอกสารนี้แน่ ถ้าอาจารย์ไม่ยอมบอกเหตุผลในสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่ถ้าพูดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร...เดี๋ยวฟางไปคุยกับคณบดีเอง”
เสียงกระแทกที่เกือบจะโวยวายคล้ายคนที่ไร้เหตุผล
มือเรียวสวยคว้าซองเอกสาร หันร่างเตรียมมุ่งที่จะออกจากห้องนี้โดยเร็ว
" ท่านคณบดีเป็นคนอนุญาตให้ฉันทำแบบนี้"
เสียงของอาจารย์เปรี้ยวดังขึ้น คำพูดที่ไร้การยื้อยุดแต่ฉุดให้อารมณ์ของอีกฝ่ายต้องหยุดชะงักไปพร้อมๆกับฝีเท้าที่กำลังพ้นขอบประตูู
อาจารย์จอมเฟี้ยวกำลังก้มหน้าก้มตาหยิบขนมตะโก้โยนใส่ปากไม่แฉล้มตามองร่างบาง
ที่กำลังเดินดุ่มๆเข้ามาหาเหมือนเจ้าหนูจำไมสิงร่างอยู่ไม่มีผิด
"พูดใหม่สิ อาจารย์เปรี้ยว!! ฟางไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย?" อารมณ์ที่เพิ่งจะตกตะกอนลงเพราะความตกใจเมื่อครู่ถูกกวนให้ขุ่นข้องใจอีกรอบ
" ฉันพูดไม่ผิด และแกก็ได้ยินไม่ผิดจากคำที่ฉันพูด...ถ้าอยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับไอ้การลงฝึกสอนครั้งนี้ ฉันจะเล่าให้แกฟัง..."
อาจารย์เปรี้ยวหยุดยัดของกินเข้าปากก่อนจะขยับเเว่นตา สีหน้าจริงจังพอสมควร
"แต่แกก็ต้องทิ้งโมหะโทสะที่มันกำลังเกิดขึ้น ทิ้งมันไป ไอ้ความโมโหแบบไร้สติสตังไม่ยั้งคิดของแก มันจะพาลให้เราคุยกันไม่รู้เรื่อง"
" ฟางไม่ได้โมโห" แม่สาวจอมห้าวกัดฟันพูด พลางระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในใจ
" แต่ฟางแค่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น..."
หุ่นเพรียวบางแต่ซ่อนความแกร่งไว้ข้างใน ค่อยๆเดินกลับมานั่งประชันหน้ากับอาจารย์สาวสุดมั่นอีกครั้ง
" นี้ขนาดไม่เข้าใจ แม่งยังพ่นไฟใส่หน้าฉันรัวๆซะ...ถ้าโมโหของจริง จะไม่แหกปากง้าบหัวฉันเลยรึ?"
" ก็คนมัน..อยากรู้หนิหว่า อาจารย์ก็ด้วย รู้ทั้งรู้ว่าฟางเป็นคนยังไง...ยังจะยั่วให้ของขึ้นอีก"
" ยั่วตอนไหน แกอยากจะใจร้อน ตีโพยตีพายไม่ฟังอะไรเลย .. เหอะ!! งานนี้คณบดีก็คงจะช่วยแกลำบากวะ ไอ้ฟาง"
ครูสาวหัวเราะนิดๆ พลางขยับตัวหยิบจานไปเก็บให้เข้าที่ ก่อนจะกลับมานั่งพร้อมขนมตะโก้จานใหม่ที่ดูเหมือนจะเพิ่มปริมาณมากกว่ารอบแรกเสียอีก
เอาล่ะหว่า.....เอาขนมฟรีมาล่อมันนี้แหล่ะ จะได้สงบปากสงบคำกับเขาได้มั้ง
" เอาล่ะ สงบสติและตั้งใจฟังไว้ให้ดี....มันมีสองเหตุผลที่จะพูด แต่ฉันอยากจะบอกแกเหตุผลแรกก่อน โรงเรียนจงเหวินขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่ระเบียบเป๊ะเว่อร์ แต่กฏระเบียบที่ดีย่อมมาพร้อมกับการแหกกฏที่ดีของเด็กนักเรียน
ตอนเป็นเด็กแกเคยสร้างวีรกรรมอะไรให้ครูเขาปวดหัวเล่นมั้ย? ไม่ต้องตอบฉันก็พอจะเดาออกอยู่
และแกก็คงพอจะเดาออกจุดประสงค์ที่ฉันจำเป็นต้องส่งตัวแกไป"
" จะให้ฟางไปกำราบเด็กนักเรียนงั้นเหรอ?"
" ยิ่งกว่ากำราบซะอีก" มุมปากบากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะอ้ากว้างๆยัดขนมตะโก้ใส่เข้าไปอีกเป็นพรวน
" ยิ่งกว่ากำราบ? จะให้ฟางไปฆ่าเด็กรึไงกัน 'จารย์ ไม่ต้องส่งฟางไปหรอกนะ...ส่งไปก็รังแต่จะวุ่นวายเปล่าๆ"
" ส่งแกไปที่ไหน แม่งก็วุ่นวายหมดทุกที่นั้นแหล่ะ ฉันยังกลัวๆอยู่เลยว่า ถ้าแกออกฝึกสอน จะไล่หักคอเด็กรึเปล่าก็ไม่รู้"
" โอ้ย...ถ้าคิดอย่างงี้ ก็ให้ F เลยดีกว่ามั้ย? ไม่ต้องออกฝึกหรอก แหม...คิดไปด้าย" คนฟังนั่งจิกตามองก่อนจะยื่นปลายเท้ากระแทกเข่าคนตรงข้าม ดีที่ขาสั้น เลยโดนเฉียดๆหน่อย
"เอ้า!! บ่นไปก็แค่นั้น ท่านสั่งมา ก็ต้องทำนั้นแหล่ะ"
" ทุกทีสินา ส่งใครไม่ได้ก็ส่งเราไป เห็นเป็นเด็กทุนแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ?"
" อันที่จริงมันเป็นความคิดของฉันกับความต้องการของทางฝั่งโรงเรียนเขาด้วย...เผอิญท่านรองอยากจะให้ฉันหานักศึกษาที่จะไปสอนแทนอาจารย์คนเก่าที่นั้น ก็เลยยื่นเรื่องส่งแกไป ท่านคณบดีท่านก็หลับหูหลับตาเซ็นไป ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านนักหรอก"
หญ้าฟางจ้องหน้า พลางขมวดคิ้วฉงนสงสัยในทันที
" อ้าว..แต่เดี๋ยวนะ ได้ข่าวว่า โรงเรียนจงเหวิน ไม่เคยรับนักศึกษาฝึกสอนคนไหนเข้าสังกัดเลยหนิ?"
" แกเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรติจากท่านรอง"
" จริงดิ โอ๊ย.ปลาบปลื้ม โถ่.." หญ้าฟางเบ๊ะปากใส่ก่อนจะมองหน้าอาจารย์สุดมั่นกับอริยาบถในท่า "พยูนอืด"
ตัวเล็กๆ หวานอมเปรี้ยว ดูแล้วจัดจ้านแต่ดูละมุนเพราะความสูงที่ดูไม่มากไม่มาย
ไม่เหมือนเธอที่เข้าข่าย " ไอ้โย่งมหาโหด" ฉายาอันดับที่เก้าสิบกว่าๆ ที่เหล่าพี่ว้ากตั้งให้เธอ
แต่ไอ้ความละมุนกรุ่มกริ่มของอาจารย์ กำลังถูกแทรกแซงด้วย "น้องไขมัน" อยู่มะร่อมมะร่อ
ช่วงแรกๆ ขนมตะโก้เป็น.เครื่องเซ๋นชั้นดี ที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างเอามาขึ้นบูชาตอนวันเกรดใกล้จะออก
ถึงกระนั้น..ขนมตะโก้ก็มิได้ช่วยอะไรมาก นอกจากช่วยให้อาจารย์ตรวจข้อสอบได้อย่างอารมณ์ดีอิ่มหมีพลีมัน
ส่วนผลสอบก็ออกตามเกณฑ์ ไม่มีมั่ว ไม่มีเอียงข้างเอียงสี
เทศกาลพิธีบูชาขนมตะโก้ จึงห่างหายไป แทบจะไม่มีหัวดำแดงทองโผล่มาให้เห็นกันอีก
" เหตุผลข้อที่สอง คือ อาจารย์เก่าที่ว่าเนี้ย ท่านชื่อ อาจารย์ฉัตรสุดา เคยเป็นเฟริสเลิฟของท่านคณบดี สถานะตอนนี้ก็คงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันนั้นแหล่ะ ท่านป่วยเป็นโรคหัวใจกำเริบตอนนี้อยู่โรงบาล ไม่ได้ออกมาสอน"
เริ่มจะเข้าใจอะไรรางๆได้บ้างแล้ว หญิงสาวนั่งฟังนิ่ง หากในใจยังนึกสงสัยอยู่ต่อไป
กิ๊กเก่า มันเกี่ยวอะไรกับตูด้วยว่ะเนี่ย?
" อาจารย์ฉัตร ท่านเป็นอาจารย์คนไทยที่เชี่ยวชาญและสอนภาษาจีนให้กับโรงเรียนนี้มานาน ท่านรอง แกเลยอยากได้คนมาสอนแทน แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นคนที่เก่งและมีคุณภาพ ความรู้อัดแน่นเป็นเลิศ แล้วไง...คนในสาขามีใครบ้างล่ะ คนที่ยืนเถียงคนจีนได้นานเป็นชั่วโมงๆ นอกจากแก..ฉันก็เลยทำเรื่องส่งไปที่โรงเรียนจงเหวิน แล้วท่านคณบดีก้เซ็นอนุมัติครบทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรอีก"
" เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ? ทั้งตัวอาจารย์ทั้งคณบดี...ดีจริงจริ๊ง "
" เออ....ก็ดีไง ไอ้เด็กบื้อ บ่นอยู่ได้ " อาจารย์เปรี้ยวส่ายหน้าเล็กน้อย
"แกอ่านเกมส์ของคณบดีไม่ออกเลยเหรอ ห่ะ ที่ท่านทำแบบนี้ก็เพราะว่า มันเป็นหน้าเป็นตาของคณะเราที่สามารถส่งนักศึกษาเข้าไปฝึกสอนที่โรงเรียนนี้ได้ โรงเรียนจงเหวินได้รับการยอมรับหลักสูตรจากนอกประเทศ แถมยังมีอิทธิพลจากเศรษฐีในจีนแผ่นดินใหญ่หนุนหลังอีกต่างหาก เจ้าของโรงเรียนนี้เขาถึงไม่เคยง้อกระทรวง ศธ เลยไง นั้นก็หมายความว่า คณะของเราก็จะได้รับการยอมรับในทางอ้อมด้วย"
"แหม... คนมีอิทธิพล นึกอยากจะทำไรก็ทำ คณะเราก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะอาจารย์ ... ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าเรายอมเขา มีอย่างที่ไหน .... อยากจะได้นักศึกษาฝึกสอนแต่เล่นจับมัดมือชกกันแบบนี้"
คำว่า "อิทธิพล" แทบจะกัดฟันพูดออกมา นึกถึงคราวที่พ่อของเธอเสียไปก็มิใช่เพราะคำว่า "อิทธิพล" หรอกหรือ ที่ทำให้ชีวิตของคนที่เหลือต้องแบกรับภาระมากมายจนถึงทุกวันนี้
หากคุณค่าของมนุษย์ ดูจาก ความรวยกับบารมี และความยิ่งใหญ่ของตน
ความดีเลวก็คงจะมองไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก
แค่ใช้ "ความจริง" เป็นเครื่องมือวัดหาคุณค่าในตัวมนุษย์
ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้า มากปานใด ก็ต้องยอมแพ้กับความจริงที่มันจะติดตัวตราบจนร่างกายเหลือเพียงเศษเถ้ากระดูกดำๆในกองเพลิง
" เราไม่ได้อยู่ในจุดๆนั้น เราไม่รู้หรอก แต่ถ้าเป็นอาจารย์ อาจารย์ก็ขอเป็นอย่างนี้แหล่ะ สบายดี..กินขนมตะโก้ได้เรื่อยๆ"
"ห่วงแต่กิน!" คนผู้น้อยประชด แต่คนกินก็ยังคงยัดขนมเข้าปากตามเคย
" สรุปเลยละกันว่า แกไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากจะไปฝึกสอนโรงเรียนนี้เท่านั้น แต่ไม่ต้องกลัวมีเพื่อนไปกับแกด้วยนะ"
" เออ..ยังดีที่ยังมีคนร่วมทางตายไปกับเรา ไม่ได้ตายเพราะสอนเด็กนะ แต่อาจจะตายเพราะโดนครูพี่เลี้ยงใช้งานหามรุ่งหามค่ำเหมือนรุ่นพี่ที่จบไปแล้วไง เห็นแกกลับมาบ่นให้ฟางฟังอยู่บ่อยๆ ... ท่าทางจะไม่ตายดีซะด้วย คงได้ล้มดิ้นชักกระแด่วๆอยู่หน้ากระดานดำ ชัวร์"
หญ้าฟางหัวเราะคิกคักออกมาดังลั่น แต่มิวายโดนอีกคนค้อนตาใส่
"หัวเราะเข้าไป ตอนนี้ก็พูดได้สิ รอให้ลงสอนก่อนเถอะ เดี๋ยวก็โทร.มาดราม่า เด็กเป็นอย่างงั้น เป็นอย่างงี้ เห็นมาหลายรายแหล่ะ"
"ก็ไม่รู้สิ....ฟางไม่ได้ใจดีถึงขั้นให้เด็กมันกระโดดตบหัวกันได้ง่ายๆหรอกหน่า ว่าแต่ แล้วเพื่อนที่จะไปกับฟางด้วย ไปกันกี่คนล่ะ?"
" ไม่เยอะหรอก แค่คนเดียว"
"คนเดียว เฟิงเล่อมา!!! (บ้าแล้วเหอะ)" เสียงอุทานสะท้านก้องโลก ทำให้คนฟังเกือบจะเอามือปิดหูเอาไว้ไม่ทัน
" ไอ้นี้...ร้องตะโกนเอาซะเจ้าที่วิ่งหนีกันหมด ทำไม? ไปอยู่กันสองคนมันไม่ดีรึไง หรือจะไปคนเดียว"
" อา...จารย์....." เสียงอ่อยๆแว่วลอยกระทบหู แต่ดูเหมือนอาจารย์สุดเฟี้ยวจะไม่ลอยลมอมพะนำตามเสียงออดอ้อนที่นานๆที่ จะร้องออกมา
" ฉันรู้ไต๋แกอยุ่หรอกไอ้ฟาง.....แกคิดว่าถ้ามีคนไปด้วยเยอะๆ จะได้ช่วยกันหารค่าที่พัก ค่ารถ ค่าอาหารกัน ใช่มั้ย?"
" ก็ไอ้โรงเรียนนั้นมันอยู่ตั้งในเมือง เกือบๆชานเมืองด้วยมั้งน่ะ ถ้าจะต้องไปสอนจริงๆ มันก็ต้องหาที่พัก ค่ารงค่ารถสองแถว นู่นนี้นั้น วุ่นวายตายชัก
ถ้าได้ลงสอนที่สาธิตฯ ค่าหอก็ไม่ต้องเสีย เพราะพักอยู่หอในมอ ค่ารถก็ไม่ต้องเสีย เพราะรถมหาลัยก็วิ่งผ่าน ประหยัดกว่ากันตั้งแยะ"
" ไอ้ฟาง...." อาจารย์เปรี้ยวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางเสยผมไม่ให้มันทิ่งหน้าแทงตา แต่สุดท้ายก็สะบัดให้มันปิดหน้าผากที่กว้างเกิน อันเป็นจุดด้อยที่ลูกศิษย์ลูกหาชอบล้อเลียนกันบ่อยๆ
" การเป็นครูเนี่ยนะ มันต้องผจญพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งดีและไม่ดี ปนๆกันไป ไม่มีเส้นทางสายอาชีพไหนที่เริ่มต้นด้วยความง่ายหรอกนะ
ถ้าหากแกคิดอยากจะเอาความสะดวกสบายไว้เป็นสิ่งแรกเริ่มในการสร้างถนนชีวิตของแก
แกจะไม่มีวันรู้จักกับคำว่า "อดทน" และไม่มีวันรู้จักกับคำว่า " การสอน" ได้
รู้มั้ย? ว่าทำไมเขาถึงให้พวกแกออกฝึกสอน ก่อนที่จะไปเป็นครูจริงๆ
เพราะว่าการเป็นครู ไม่ใช่ว่าใครๆคิดว่า "ฉันก็เป็นได้"
แต่มันคือ ความคิดที่ว่า "ฉันต้องทำได้" ต่างหาก
ชีวิตของคนที่เป็นครู มันไม่มีอะไรที่ง่ายเลย มันมีแต่ความกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
มันอาจจะไม่ได้เหนื่อย เหมือนพวกงานกรรมกร หรืออาจจะไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ไม้สักหรูหราสบายๆในห้องทำงานที่ติดแอร์เย็นฉ่ำๆ
แต่มันเหนื่อยจากตรงนี้...." อาจารย์สาวชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายก่อนจะทำท่าควักอะไรบางอย่างออกมา แล้วยื่นมือให้กับแม่สาวนักบู๊ที่กำลังนั่งหน้างงกิมกี่อยู่
" แล้วเอามาให้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์
เหมือนอย่างอาจารย์ฉัตรสุดา รู้มั้ยว่าทำไมแกถึงเป็นโรคหัวใจกำเริบ?"
หญ้าฟางสั่นหน้าหงึก อาจารยืเปรี้ยวยิ้มนิดก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อไปด้วยแววตามั่นคงดั่งคนที่ศรัทธาในสายอาชีพนี้จริง
" เพราะว่า มีเด็กนักเรียนกร่างใส่ท่าน ไม่ยอมฟังเวลาท่านสอน เพราะท่านดุด่ามัน มันก็ชักสีหน้า ยอกย้อนวาจาใส่คืน ผลสรุป ก็นู่น อาจารย์แกไปนอนใส่ถังอ็อกซิเจนอยู่โรงบาล ตามไปขอขมากันแทบไม่ทัน...
พุดง่ายๆ ที่ครูหลายคนเขาด่าเขาสอน ก็เพราะว่า เขาอยากให้เด็กคิดเป็น
หัดสร้างความคิดให้สัมพันธ์กับจิตใจของคนอื่น ไม่ใช่สอนให้เห็นแก่ตัว
ยิ่งเป็นพวกเด็กประถม มัธยม นี้ยิ่งแล้วใหญ่...เด็กบางคนชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ไม่มีเหตุผล ฉันถูกก็ต้องว่าตามถูก เธอผิดก็คือผิด สะสมกันมาเรื่อยๆ
แล้วสุดท้ายเป็นไง "คนเห็นแก่ตัว" เยอะมั้ย?
การจะสอนคนให้เป็นมนุษย์มันยากยิ่งกว่าสอนให้เล่นคุ๊กกี้รันได้ซะอีก
ฉะนั้น ฉันถึงได้บอกไง ว่า การเป็นครู ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้
จำเอาไว้นะ จะทำอะไรก็ให้เป็นแบบอย่างที่ดี เด็กมันจะสนใจในสิ่งที่เราทำหรือไม่ เราไม่รู้หรอก
ขอแค่อย่าให้ใครมองวิชาชีพครูเป็นแค่อาชีพธรรมดาที่ไม่มีคุณค่าอะไร
คุณค่าของคนต้องมาจากใจ ถ้าทำให้เด็กนักเรียนเปิดใจยอมรับเราได้
ไม่ว่าหัวใจของมนุษย์จะจมดิ่งอยู่ในโลกอันมืดมิด ก็จงทำตัวเองให้เป็นเหมือนแสงสว่าง
นำทางจนกว่า หัวใจนั้นจะค้นพบตัวมันเอง!"
จบตอนที่เจ็ด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ