ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) แก้ไขเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
อาจารย์หลี่หวัง
ละอองไอเย็นจากเครื่องแอร์ตัวใหญ่ ลอยปะทะร่างเพรียวเรียวสูงที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้นวมนิ่ม
เสียงจ้อกแจ้กจ้อแจ้ของผู้คนภายในห้องประชุมใหญ่ ทำให้แแม่สาวเจ้านักบู๊แห่งคณะศึกษาศาสตร์ มิอาจปิดผนึกเปลือกตาลงได้สนิทมากนัก
ถุงใต้ตามีรอยคล้ำ คล้ายคนอดนอนมาหลายคืน หากแต่....
งานเลี้ยงส่งพี่บัณฑิต คือ ต้นสาบปลายเหตุที่ทำให้เธอต้องเกี่ยวดองปรองใจเป็นญาติกับหลินฮุ่ยทันที
เป็นบุคคลมีชื่อเสียงยิ่งกว่าดาวมหาลัย ไปทางไหนก็มีแต่คนมองตาขวางใส่
และไอ้ชื่อเสียงที่เธอมีอยู่ ก็เป็นแรงจูงให้พี่บัณฑิตมากหน้าหลายตาอยากให้เธอไปร่วมโต๊ะด้วยซักครั้ง
ตั้งแต่อาหารชั้นเลว ข้าวต้มรอบดึก ยัน หูฉลามหม้อไฟใต้ร่มแสงเทียน
สิ้นเดือนนี้น้ำหนักคงได้พุ่งพรวดพราดแน่ๆ แต่เอาเถอะ...
ของฟรี นานๆทีจะมีหนหนึ่ง มีเงินติดตัวยี่สิบบาทแต่ได้โซยข้าวจานละสี่ร้อย
บวกคอฟฟี่ลาเต้แก้วละร้อยยี่สิบ
โชคหล่นทับจริงๆ
"ไอ้ฟาง แม่ง..กระเพาะเอ็งติดเครื่องผลิตน้ำกรดเอาไว้รึไงว่ะกินปุ๊บ วิ่งเข้าห้องน้ำปั๊บ แล้วก็กลับมานั่งกินต่อ..."
พี่บัณฑิตคนหนึ่งแซวเธอ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังพุ้ยข้าวไม่สนใจใคร
" แหม..น้องฟาง กินเยอะจัง..แต่ไม่ยักจะอ้วนแห่ะ มียาดีอะไรรึเปล่า? ถึงกินแล้วไม่อ้วน"
พี่บัณฑิตหญิงอีกคนทักเธอด้วยแววตาอิจฉาหุ่นอันบอบบางที่ไม่น่าจะยัดอะไรต่อมิอะไรเข้าสู่ลำไส้ใต้ท้องได้อีก
" ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พี่...ฟางไม่ได้กินยาลดความอ้วนอะไรเลยนะ วันๆ ก็เอาแต่เรียน ตกเย็นก็แว๊นมอ'ไซด์ไปหาเรื่องกับพวกวิศวะหลังมอ พอหาเรื่องกันเหนื่อยๆก็หยุด หาของกิน พอกินอิ่มก็กลับไปหาเรื่องใหม่ ก็แค่เนี้ย.."
อีกฝ่ายที่นั่งฟังอยู่ ยิ้มหน้าเจื่อนๆใส่ พลางกระพริบตารัวๆ คล้ายกำลังมอง ปีศาจหน้าสวยสวาปามของเซ่นไหว้อยู่บนโต๊ะ
ทำไงได้...ไอ้เราก็เกิดมามีกรรม ตัวดำ ล่ำเตี้ย
ขนาดกินไม่เยอะเท่าไหร่ เข็มตาชั่งเคลื่อนนิดเดียวยังโวยหอแทบแตก แล้วไอ้บ้าฟางเขมือบข้าวจนแทบจะสั่งเพิ่มอีกสองชุดได้
แถมยังขอหอบกลับไปกินที่บ้านต่ออีก
นี้แหล่ะนะ....ชีวิตบนโต๊ะอาหารของคนสวยเพรียวพริ้งเขาหล่ะ
หน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ค่อยๆเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ตัวอักษรสีส้มแสดแปร๊ดตัดกับภาพพื้นหลังสีน้ำเงินได้ดีจนคนที่นั่งดูอยู่แทบจะเบือนหน้าหนีสีสะท้อนที่ไม่ไหวจะเคลียร์เลยจริงๆ
วันปฐมนิเทศก่อนออกฝึกสอนของนักศึกษาครูชั้นปีที่ 5 คณะศึกษาศาสตร์
แหม...ไอ้พวกที่พิมพ์ตัวอักษรนี้คงจะหัวศิลป์อยู่ไม่ใช่เล่น เลือกสีได้น่าตบมาก
มันคิดว่า เลนส์ลูกตาตาฉัน เป็นฟีล์มกรองแสงลามิน่ารึยังไง?
ถึงได้ใช้สีตัวอักษรไม่สมดุลกับแสงไฟนีออนในห้องประชุมเลยซักนิดเดียว
หญ้าฟางพลิกตัวหลบแสงสะท้อนหลากสีที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอขนาดใหญ่ยักษ์
เสื้อกันหนาวสีดำลอยมาคลุมดวงหน้างามหมองคล้ำของเธอเอาไว้
จนบริเวณทุกอย่างรอบตัวดูมืดลงในฉับพลัน ถึงกระนั้นแสงจากภายนอกเสื้อยังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่บ้าง
แสดงว่าเสื้อตัวนี้คงจะบางน่าดู
...อากาหนาวๆจนเกือบจะถอยเกินเลขสิบ
มันจะใส่มาเป็นเกราะกันหมารึไงฟ่ะ?
หญ้าฟางถอนหายใจเล็กน้อย พลางอ้าปากหาวหวอดๆ
ทำเนียนนอนต่อดีกว่าวุ้ย!! ถือซะว่า...หน้าตาพาโชคเข้ามาเสียก็เเล้วกัน
จะได้ไม่ต้องพลิกตัวไปมาให้เมื่อยก้นกบเล่นอีก..
เสียงสั่นๆจากเก้าอี้ตัวที่ติดอยู่ด้านขวามือของเธอดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงกระเซ้าเย้าแหย่อันคุ้นเคย
" อย่านอนเนียนนักเลย อาเจ้...จะพูดขอบคุณก็ไม่มีเลยนะ มารยาทงามจริงจริ๊งง"
หญิงสาวลืมตา ถลกเสื้อคลุมนั้นออก พลางหันมาถลึงตาทำหน้าขู่ฝ่อๆใส่ จนอีกฝ่ายยืนหัวเราะร่าทันที
ไอ้เผือกเพื่อนซี้ในชุดนักศึกษาครูถูกระเบียบ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบเนียบกริบ ไร้รอยยับยู่ยี่ต่างจากเพื่อนสาวคนเก่ง ที่บ่งบอกถึงอาการเร่งรีบยกเว้นทรงผมเปิดหน้าผากที่ถูกเก็บรวบไว้ข้างหลังจนตึงแน่น
เป็นทรงผมทรงเดียวที่ไม่เคยถูกเปลี่ยนให้หงิก งอ แต่อย่างใด
กางเกงสแล็คสีดำพร้อมร้องเท้าหนังที่ถูกขัดให้เงาวับจนส่งสะท้อนแสงไฟในห้องประชุมนี้ได้
ไหนจะเนคไทด์สีกรมท่าประดับตราสัญลักษณ์ประจำคณะไว้ตรงกลาง หากเป็นวันปกติผ้าประดับคอไม่มีวันจะได้แอ้มมันหรอก
ถ้าไม่ใช่เพราะ..วันนี้มีการตรวจเครื่องแต่งกายอย่างเข้มงวดจากท่านอาจารย์
อันเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนวิชาประสบฯ แล้วละก็...
เธอคงได้โยนคัทชูทิ้งแล้วคว้านหาอีแตะมาใส่แทนเสีย
จะได้ไม่ต้องทนนั่งกระทืบเท้า ปึ้ง ปึ้ง อยู่แบบนี้
" แต่งตัวเรียบร้อยดีจริงนะ" หญิงสาวช้อนตามอง พลางเอ่ยปากถามอีกฝ่ายที่กำลังยืนสำรวจชุดเครื่องแต่งกายของตนเองอยู่
" แต่ก็เกือบไม่รอด..."
" ทำไมล่ะ? ก็เรียบร้อย ดูดีกว่าทุกวันอยู่แล้ว"
" ถ้าเป็นอาจารย์คนอื่นๆแกคงให้ผ่านอยู่หร๊อก แต่นี้ดันเป็นอาจารย์เปรี้ยว อาจารย์ประจำภาควิชาเจ้นั้นแหล่ะ
แหม....แค่ฉันหวีผมไม่เรียบร้อย ยุ่งนิดยุ่งหน่อย ด่าฉันเสียเละเลยเชียว...เสียเวลาไปขอยืมเจลผมชาวบ้านเขาอีก"
" เอาน่า....แค่วันนี้เท่านั้นแหล่ะ ก็รู้ๆอยู่ เป็นครูมันก็ต้องเนี้ยบ.."
สิ้นสุดคำพูดที่แสนจะอ่อนล้าเพราะความง่วงของแม่สาวเจ้านักบู๊ ชายหนุ่มนั่งหัวเราะหึๆอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยคำพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแกมเยาะเย้ยหน่อยๆ
" เนี้ยบเหรอ เหอะ..ผักชีโรยหน้าซะละมั่ง ทำดีเอาหน้าทั้งๆที่อันสิ่งที่ดี มันไม่ได้มีมาแต่ก่อนที่จะนึกทำอยู่แล้ว"
"คิดเหมือนกันเลย ไอ้พวกเสแสร้ง ฉันละเกลี๊ยดเกลียด ไอ้พวกบ้าอำนาจอีก เหอะ มีอำนาจตายไปแม่งก็หอบเอาไปไม่ได้อยู่ดี "
" ไม่เหมือน ฉันไม่ได้คิดเหมือนเจ๊"
" แกไม่ชอบคนที่ทำดีต่อหน้า? ส่วนฉันไม่ชอบคนที่มัน"แสร้ง"ทำดี มันไม่เหมือนกันตรงไหนย่ะ"
ไอ้เผือกยิ้มนิดๆ รอยยิ้มที่แจ่มใสของมันหากมองผิวเผินก็เหมือนคนที่กำลังปล่อยความทุกข์ให้ล่องลอยหายไปตามอากาศที่เยือกเย็นของห้อง
หากแต่ความจริงหลังม่านดวงตาที่สดใส มันไม่ได้สดใสอย่างที่ใครได้เห็นจริงๆ
"ทำดีต่อหน้ายังพอให้อภัยได้ แต่ถ้าทำดีและทำร้ายไปพร้อมๆกัน อันนี้ฉันคงอภัยให้ไม่ได้หรอก"
" ดูพูดเข้า น้ำเสียงจริงจังมาก เหมาะที่จะเป็นนักฆ่าหน้ายิ้มจัง"
" เขามีแต่นักฆ่าหน้าหยก หน้ายิ้มนี้มาจากไหน อย่าขี้ตู่"
หญ้าฟางหัวเราะร่า ทั้งๆที่หนังตาเริ่มจะปิดสนิทเเล้ว
" หน้าหยก เขาหมายถึง หล่อ นักฆ่าหน้าหล่อ...แต่แกมันไม่หล่อไง ไม่ใช่ว่าหลอกด่าแกหรอกนะ แต่มันคือเรื่องจริง"
" ไม่หล่อ แต่มีเสน่ห์นะเว้ย!!"
" เชอะ...ดีแค่ยิ้มสวย ยิ้มเก่งหล่ะว้า" หญ้าฟางค้อนตาใส่ ก่อนจะฟุบหลับลงไปตรงไหล่เจ้าเพื่อนซี้ แต่กลับถูกดันหัวออกเสียอย่างนั้น
" ก็ยังดีกว่าใครบางคน สวยแต่หน้าพอยิ้มเห็นฟัน โฟกัสหน้ากล้องยังไม่อยากจะจับเล๊ย เอาหัวออกไปไกลๆ... กลับตั้งดึก สระหัวบ้างรึเปล่าวะเนี่ย??"
" ฉันไม่ซกมกขนาดนั้นนะเฮ้ย!!" แม่สาวร้องแว้ดๆใส่ พลางเอามือทุบกลางหลังมันอย่างจัง แต่ไอ้เผือกกลับหัวเราะเริงร่า มือซ้ายขวาปัดป้องแบบหยอกๆ
ก่อนที่เสียงพูดคุยจอแจของทุกคนภายในห้องประชุมจะเงียบลงในฉับพลัน
เมื่อปรากฏร่างของท่านรองฝ่ายกิจการนักศึกษากล่าวต้อนรับวิทยากรทั้งสาม
หนึ่งในสามผู้ให้ความรู้ หล่อนรู้จัก มากพอที่จะเอาตัวไปประชิดทักทายทุกช่วงขณะ
เพราะท่านเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาบุคลิกภาพในเซคของเธอเมื่อตอนปีหนึ่งนั้นเอง
โสตทัศน์แห่งความทรงจำ หมุนเวียนกลับมาคล้ายแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ที่ฉาให้เห็นอดีตในวันวาน
เสียงของอาจารย์ที่ดังแว่วมาแต่ไกลกระทบเข้ากับกล่องแก้วหูอย่างช้าๆ
" ฟารีย์ฎา บุคลิกของเธอดูเป็นคนมั่นใจ เด็ดเดี่ยว ปราดเปรียวดีนะ ถ้าพูดถึงบุคลิกทางด้านหน้าตา
ตาคม จมูกเด่น เวลายิ้มไม่เห็นฟันดูน่าเกรงๆ อยู่ไม่ใช่เล่น นับว่าสวยแต่ก็คงจะสวยเฉี่ยว จนคนไม่อยากยืนใกล้
ไม่ใช่เพราะกลัวความสวยของเธอหรอก แต่เป็นฝีปากเธอที่เอาไว้ด่าคนอื่นแจวๆนั้นต่างหาก"
แทนที่เธอจะยืนเขินอาย เพราะถูกแซวจากคนที่พูดตรงไปตรงมาไม่มีการอ้อมค้อม แต่นี้แหล่ะ คือ คนที่หญ้าฟางอยากจะผูกมิตรด้วย
คนที่ตรงไปตรงมา เปิดเผยออกหมดทุอย่าง ไม่ซ่อนเงื่อน ซ่อนปมให้หวาดระแวง
ไม่ใช่คนจ้าเล่ห์ คิดตลบแตลงหลังคนอื่น
คนเลวที่พูดอย่างใจอย่าง คำพูดเหมือนเทวดาแต่หน้าตาเหมือนสัตว์นรก!!!
สัตว์ที่พรากชีวิตพ่อของเธอไป ไอ้พวกมีอิทธิพลทั้งหลาย
"แสร้งพูด" หว่านล้อมให้ติดกับ
สุดท้ายเหยื่อไม่ยอม ก็ฆ่าทิ้งเสีย
น้ารังเกียจ ขยะแขยงเป็นที่สุด
" คนสวยๆแบบหนู หายากจะตายค่ะ นี้ถ้าใครได้เป็นแฟน นรกคงโห่ร้องรับกันเป็นเกรียว"
" โชคดีที่ฉันเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ใ่ผู้ชาย ม่ายงั้นคงคิดหนัก"
" คิดหนักยังไงค่ะ "
" ก็คิดหนักว่า จะสร้างเรือนหอไว้ให้อยู่หรือจะสร้างค่ายมวยไว้ผลิตบอดี้การ์ดคุ้มครองสาละมียังไงล่ะ
ถ้ามีเมียที่ชอบไล่เตะ ไล่ต่อยคนอื่นเข้าบ่อยๆอยู่แบบเนี้ย"
อาจารย์หัวเราะรวนใส่ ส่วนผู้ถูกกล่าวถึงกลับนั่งยิ้มแป้นไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดเมื่อครู่
" งั้นหนูก็ขอขึ้นคานละกันค่ะ เปลืองงบประมาณเขาเสียเปล่าๆ"
ประโยคสุดท้ายที่ได้พูดคุยกันระหว่างครูกับลูกศิษย์ ทำให้เธออดคิดถึงเสียไม่ได้คล้ายกับว่า มีดวงผูกชะตาต่อกันและกันจนต้องรบเร้าถามข้อมูลจากอาจารย์เปรี้ยวโดยเร็ว
" อ๋อ....อาจารย์คนนั้นนะเหรอ? แกเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยที่โรงเรียนสาธิตฯ แกเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่พูดจาอ้อมค้อมวกวนอะไร ด่าได้เป็นด่า แต่ยามใจดีแกก็ดีนะ ถึงจะดูหน้าดุๆไปหน่อยก็เถอะ"
แม้เธอจะเกลียดในสิ่งที่ลวงโลก ถ้อยคำจอมปลอมทั้งหลายเหล่า
แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เชื่ออะไรเลย โดยเฉพาะเรื่องของโชคชะตา ที่ทำให้เธอพบเจอใครต่อใครอีกหลายคน
ใครในหนึ่งพันล้านคน จะต้องไม่ใช่เนื้อคู่ของเจ้าหล่อนและไม่มีวันที่จะเป็นแบบนั้นแน่!!
ทว่า...กงล้อแห่งชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนชะตาของเธอ
เมื่อกงล้อนั้นขับเคลื่อนสู่วิถีทางข้างหน้า กาลเวลาจึงเป็นแรงผลักให้ "อนาคต" ก้าวเดินต่อไปมิมีวันหยุดสิ้น
ยิ่งกว่านั้น...โชคชะตามักจะบิดพลิ้วกับสิ่งที่ใจของเธอปราถนาไว้เสมอ
คนที่อยากอยู่ใกล้กลับมิได้พบพานเจอะเจอกัน คนที่อยู่ไกลจะได้อยู่ชิด มิห่างหายจาก
กงล้อแห่งการกำหนดทุกสรรพสิ่ง ดันให้ตัวเธอลอยพัดปลิวไปอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
สถานที่ที่หากเจ้าตัวมีตาทิพย์สามารถมองเห็นอนาคตของตัวเองได้
สถานที่แห่งนั้นเอง คือ สิ่งที่เทพด้ายแดงได้จารึกลิขิต "สิ่งๆนั้น" ไว้ให้แต่แรกเริ่ม!!
" ด้ายแดงของท่านเทพจะผูกไว้ที่ใด ความรักก็ยอมเกิดตรงที่แห่งนั้น" เสียงของใครคนหนึ่งกระซิบอยู่ข้างใบหู น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยหากฟังเลือนๆ คงคล้ายกับเสียงของคนแก่
ใครที่เธอไม่เคยเห็น แต่ได้ยินเสียงมาอยู่ทุกคราว....
หญ้าฟางนั่งนิ่งงัน พลางสั่นศรีษะเล็กน้อย
ทำไม..ถึงคิดอะไรฟุ้งซ่านแบบนี้บ่อยๆ บ้าจริง....ฤทธิ์แม่โขงยังไม่สร่างอีกรึว่ะ
แต่เอาเถอะ....ถึงแม้ว่ากิเลสหรือความอยากที่จะฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตจะเบาบางลงไปบ้าง
หากว่าวันนี้เธอได้เจอหน้าอาจารย์พี่เลี้ยงผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นจริง
แม่สาวก็อาจจะใช้มารยากลลิ้นเป่าหูให้อาจารย์คนนั้นคล้อยตามและยกเลิกใบอนุญาตเฮงซวยนั้นซะ!!
" อาจารย์พี่เลี้ยงแกท่านจะมาเป็นวิทยากรในวันปฐมนิเทศ เดี่ยวยังไงแกก็ได้พบท่านอยู่ดี ตอนนั่งฟังก็จำหน้าท่านเอาไว้ละกัน คนนั้นแหล่ะ
ที่เขาขอร้องใหท่านคณบดีช่วยส่งนักศึกษาซักคนไปทำหน้าที่แทนอาจารย์ฉัตรสุดา"
เสียงอาจารย์เปรี้ยวดังวกวนอยู่ในหัวพร้อมๆกับเสียงไมค์ที่เพิ่งจะแนะนำตัวอาจารย์คนที่สองเสร็จไปหมาดๆ
หญ้าฟางยืดคอมองอย่างใจจดใจจ่อ เสียงใต้อกดังถี่เพระาความตื่นเต้นจนแทบจะลืมความง่วงไปหมดเสียสิ้น
สายตาจับจ้องไปที่บนเวทีอันว่างเปล่า หูทั้งสองเอียงรอฟังเสียงเอ่ยชื่อของอาจารย์พี่เลี้ยงของตน
อาจารย์พี่เลี้ยงที่จะต้องทนแบกรับวีรกรรมของเธอไปอีกนานจนกว่าทุกอย่างจะจบสิ้นกัน...
“ ท่านอาจารย์ท่านต่อไป ท่านอาจารย์ หลี่หวัง อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองจากโรงเรียนจงเหวินวิทยาลัย ครับ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องประชุม เมื่อเสียงปรบมือนับร้อยเงียบลง เสียงกระซิบกระซาบของผู้คนในห้องดังแทรกขึ้นมา
โดยเฉพาะแถวหลังที่เจ้าตัวนั่งอยู่ ได้ยินชัดเจนแจ๋วแจ่มกันเลยทีเดียว
“แหม...หน้าตาดูหล่อเหลาเอาการ จะมีเมียมีลูกรึยังน่า” เสียงผู้หญิงคนที่นั่งอยู่หน้าเธอดังขึ้น
หญ้าฟางยิ้มมุมปากนิดๆ หันไปสบตากับเพื่อนซี้ของเธอซึ่งตอนนี้นั่งเงียบกริบ ไม่พูดไม่อือไม่ออเฉาะเลาะตามแม่หญิงพวกนั้นเลย
บุรุษเมื่อเห็นบุรุษที่หล่อเลอค่ากว่าตัว....มันก็คงอึดอัดทำใจอยู่ไม่ใช่เล่น
หากแต่ผู้ชายที่ดูมีราคาในสายตาของเธอ
ก็คงมีแต่เพื่อนซี้หน้าปลาหลด คนที่คิดว่าไม่หล่อ แต่มีเสน่ห์
เสน่ห์ของความดีงามอย่างลูกผู้ชาย ที่อาจจะไม่มีให้เห็นได้ง่ายๆในยุคของการตักตวงอำนาจ
อำนาจที่เธอเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พอๆกับสัตว์สี่เท้าที่คอยจะดูดเกาะอยู่ตามพื้นผนังห้อง
“ คนนี้ใช่ม่ะ อาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่เขาว่าหล่อโครตๆ นี้ขนาดเห็นไม่ค่อยชัดนะ ออร่ายังฟุ้ง กระจายซะขนาดนี้”
“ แต่ฉันเคยได้ยินว่า โรงเรียนที่ว่าเนี่ย เป็นโรงเรียนเอกชนที่ทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันที่ไหนซักทีของปักกิ่ง มีแต่ครูต่างชาติที่มาจากเมืองจีนทั้งนั้น อาจารย์คนนี้ก็คงจะเป็นคนจีนด้วยอ่ะนะ ก็ขนาด ท่านรอง ผอ. แกก็ยังเป็นเชื้อจีนเลยนี้นา ”
" ท่านรอง ผอ.? รอง ผอ.ไหน?" คู่นินทาอีกฝ่ายทำหน้างง หากแต่คนที่รู้ดีกลับทำหน้าตาอวดภูมิเสียยกใหญ่
" ก็ท่านรอง ผอ.จางอี้เซียวไง คนแถบนี้เขารู้จักกันทั้งนั้นแหล่ะ...เห็นเขาว่า แกก็ดูดีนะ ต้องใช้คำว่าดูดี เพราะถ้าบอกว่า "หล่อ" คงผิดถนัด"
" แสดงว่าหน้าตาคงไม่ได้ความเลยซินะ"
" ไม่รู้ แต่เคยเห็นรุ่นพี่เราที่จบมาจากที่นั้น แกบอกกับฉันว่า ที่ไม่ชมว่าแกหล่อ เพราะถ้าชมว่าหล่อ นั้นหมายถึงคนต้องเข้าหา แต่นี้เหมือนหล่อเลิศจนคนเขาไม่กล้าเฉียดใกล้เลย"
" อ้าว...ทำไมล่ะ??"
" เพราะหน้าท่านไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ เหมือนหุ่นนิ่งเสียมากกว่า แถมยังเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไร ดีใจรึเสียใจก็ไม่มีใครรู้ หน้าตายอยู่แบบเดียว "
"น่ากลัวว่าจะเป็นคนดุอยู่นะนั้น"
"อันนี้ฉันก็ไม่รู้ รุ่นพี่แกเล่ามาเท่านี้แหล่ะ"
เสียงคู่สนทนาทั้งสองเงียบลงครู่หนึ่ง กันจะเปลี่ยนเรื่องคุยกันเรื่องทั่วๆไป หรือบางทีก็วกกลับมานินทาเรื่องโรงเรียนจงเหวินอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้พูดถึงชื่อ"ท่าน" คนนั้นอีกเลย
คุณพระ หาสาระมิได้ เจตนาจะพูดแค่เรื่องหน้าตาของอาจารย์อย่างเดียวรึไงกัน
หญ้าฟางนั่งนึกหัวเราะอยู่ในใจ พลางมองภาพบนโปรเจกเตอร์ ภาพว่าที่อาจารย์พี่เลี้ยงของเธอ
ร่างสูงโปร่ง สัดส่วนที่ไปได้ดีกับชุดสูทที่สวมอยู่ ไม่ผอมไม่อ้วนจนเกินขอบเขตของน้ำหนัก
ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านน่ามอง ซึ่งนับว่าขัดกับสีผิวที่ถูกฟอกคลอรีนจนดูเจิดจรัสผิดมนุษย์มนา
หากแต่ใบหน้าดูคมสัน เรียวปากบางได้รูป เคราเขียวที่วนอยู่รอบๆ ทำให้ใบหน้าที่หล่อราวมนต์เสก แฝงความดุเข้ม ทว่ายังปรากฏรอยยิ้มเจือจางพอบรรเทาให้ดวงหน้าละมุนละมอมลงอยู่บ้าง
นี้มันหล่อหน้าดุ สมกับตำแหน่งที่เด็กนักเรียนทุกคนเขาเกลียดเลยจริงๆ
แววตาถึงแม้จะดูออกว่า เป็นแววตาของคนที่ทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์ฝ่ายปกครองมาเนิ่นนาน
แต่เมื่อ..ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด
สายตาที่ดุดันกำลังวิ่งวนไปมาท่ามกลางความอ่อนโยนที่ถูกฉาบไว้ในม่านเนตรอีกชั้นหนึ่ง
ถุงใต้ตากับเรียวหางตาช่างเข้ารับกันได้อย่างเหมาะเจาะ
หญิงสาวมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
หล่อนกำลังคิดว่าคนหน้าตาอย่างนี้
ถ้าอยู่ที่ไทยก็นับว่าหล่อพอสู้กล้องได้
อย่าให้แมวมองมาเจอตัวเสียก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะโดนลากไปแคสติ้งเล่นหนังบู๊ซักเรื่องสองเรื่อง
หน้าโหดๆ อย่างนี้ ...บทมาเฟีย คงเอาอยู่
" แล้วแกว่า อาจารย์คนนี้อายุเท่าไหร่แล้วอ่ะ ฉันดูๆแล้วเหมือนจะสามสิบกว่าๆแล้วนะ"
เสียงนินทายังคงดังกระทบเข้าใบหูทั้งสองข้างของแม่สาวเจ้านักบู๊อยู่เหมือนเก่า
เอาน่า...ฟังคนเขานินทาเสียบ้าง จะได้ทันเหตุการณ์ข่าวสารบ้านเมือง ไม่ต้องต่อสามจีให้เปลืองตังค์ ประหยัดสุดๆล่ะ!!!
" เห็นเขาว่า อายุก็เท่าๆกับ ท่านรอง ผอ. ไม่ใช่สี่สิบแล้วหรอกเหรอน่ะ"
" จริงเหรอ...ต๊าย อายุโกงใบหน้าชัดๆ" สิ้นสุดประโยคอุทานเชิงล้อเลียนเล็กน้อย เสียงหัวเราะกระซิกๆของคนสองคนก็ดังขึ้น
หญ้าฟางนั่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็แลเหลียวหันกลับไปมองบุรุษที่กำลังถูกนินทานั้นอีกรอบ
เออแห่ะ เหมือนอายุจะโกงใบหน้าจริงๆนั้นแหล่ะ
ถ้าเอาไอ้เผือกไปยืนคู่รับรองเลย
ได้แพ้คนแก่ชนิดต้องตอกบัตรเข้าสปานวดหน้ากันเลยทีเดียว
หลังจากว่าที่อาจารย์พี่เลี้ยง ได้กล่าวทักทายกับนักศึกษาเสร็จเรียบร้อย
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ ก็หายจากกลายเป็นสีหน้าสงบนิ่งแต่ไม่ถึงกับชาด้านจนดูน่ากลัวมากนัก
คนนี้ยังพอรับมือไหว น่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องอยู่หรอก
แต่ไอ้ท่านรองคนนั้น ....ถ้าเป็นพวกหน้าเดียวเปลี่ยวลมละก็ อาจจะคงไม่มีอะไรให้ขวางหูขวางตา
ยิ่งเป็นประเภทนั่งอยู่ห้องแอร์ สบายๆบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ไม่สนใจ World ยิ่งดี
ไอ้คนพวกกินแรงคนอื่น อย่ามาให้เห็นหน้าเชียวล่ะ...
แม่จะคว้าไม้หน้าสามแทนไม้เรียวเสียนี้!!!
หญ้าฟางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางนึกรำพึงรำพันในใจไปเรื่อยๆก่อนจะหันกลับมาพูดคุยกับไอ้เผือกต่อ
“ เออ แล้วแก ไปลงฝึกสอนที่ไหนล่ะ?”
“ก็กลับบ้านนะสิ ไปลงฝึกสอนโรงเรียนแถวบ้าน สะดวกดี”
" บ้าน? ที่เชียงใหม่ ใช่มั้ย?"
" ใจ้แล้วก๊ะ..."
" ดีจริง ฉันก็อยากกลับไปสอนโรงเรียนแถวบ้านเหมือนกัน”
" เหรอ? ทำไมจู่ๆถึงเกิดเป็นโรคโฮมซิกขึ้นมาซะงั้นล่ะ ไหนตอนแรกเห็นเจ้อยากจะฝึกสอนที่สาธิตฯ ไม่ใช่เหรอ"
“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีสิ”
" เอ๋..ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ"
ไอ้เผือกเอียงคอมองหญิงสาวที่กำลังนั่งปั้นหน้าบูดใส่เขา
" เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจหนักๆ ยิ่งทวีความสงสัยให้กับเพื่อนซี้ข้างตัวมากขึ้น
" ฉัน ลงฝึกสอนที่โรงเรียนจงเหวิน"
คำตอบที่หลุดจากปาก "แม่หวงเฟยฟาง" กลับเปลี่ยนอารมณ์สงสัยให้กลายเป็นตกใจได้ในทันที
" เฮ้ย!!! พูดเป็นเล่นน่า"
"เรื่องจริง ไม่มีเตี๊ยม"
ชายหนุ่มนั่งทำตาปริบๆใส่ หากแต่มุมปากกลับยกเหยียดยิ้มขึ้นโดยอีกฝ่ายมิได้ทันสังเกตเห็น
" งานนี้คงมีหลังไมค์สินะ"
" เออ!!" หญิงสาวกระแทกเสียงใส่ คราวนี้ไอ้เผือกนั่งมองหน้ายิ้มแป้นให้เห็นอย่างชัดเจน
" ยิ้มอะไร?" หญ้าฟางหันมามองตาขวางพลางยืดมือมาดึงเนคไทด์ของมัน จนอีกฝ่ายร้องโวยวายออกมาเบาๆ
" เฮ้ยๆๆ อย่าดึงๆ เดี๋ยวยับ"
" บอกมาเมื้อกี้ยิ้มอะไร"
"ปู้โธ่ ฉันก็ยิ้มๆไปงั้นแหล่ะ ก็ดีนะ ได้ฝึกสอนอยู่โรงเรียนนั้น"
" ทำไม?" หญ้าฟางจ้องตาคาดคั้นถามอีกรอบ
แหม..แทนที่จะเข้าข้าง ปลอบประโลมโคมใจกัน ดันส่งเสริม อือออเห็นดีเห็นงามกันเสียนี้
รึจะเตี๊ยมแผนกับอาจารย์เปรี้ยวมาพูดกล่อมฉันอีกคน
" ก็โรงเรียนเขาสอนดี แถมเป็นโรงเรียนที่เน้นสอนวิชาภาษาจีนด้วยหนิ ตัวเจ้ก็เรียนมาทางนี้อยู่แล้ว ภาษาจงภาษาจีนคล่องปรื๋อ เวลาสอนจะได้สอนง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก"
"ย่ะ ไอ้สอนมันก็สอนได้อยู่ แต่ไอ้วิธีจับฉันมาสอนเนี่ยสิ ไม่น่าปลื้มเสียเท่าไหร่ จู่ๆมาจับปากกาเปลี่ยนให้ฉันมาลงสอนกันแบบนี้ ดูหน้าอาจารย์คนนั้นสิ..น่ากลัวว่าจะเป็นไอ้พวกมาเฟียซ่อนคราบ ชอบใช้อิทธิพลรังแกคนอื่น"
" ถ้าเขาเป็นมาเฟียซ่อนคราบ แล้วเจ้จะเป็นอะไร นักเลงซ่อนรูปงั้นเหรอ?พวกประเภทชอบใช้กำลังรังแกคนอื่น"
" รังแกอะไรยะ พูดให้ดีๆ ว่าใครรังแกใครก่อน "มัน" หรือ ฉันกันแน่"
" ไม่รู้สิ แต่แป๊บนะ..." ไอ้เผือกรีบชิงพูดตัดบทเสียก่อน เมื่อมีมือของใครคนหนึ่งยื่นมากระตุกคอเสื้อด้านหลังของเขา
" เผือก...เผือก.." ผู้ถูกเรียกชื่อหันมามอง พลางยิ้มหน้าระรื่นตามแบบฉบับของมัน
" มีอะไร?"
" บอกเพื่อนของแกหน่อย ว่าอาจารย์เปรี้ยวแกเรียกให้ออกไปพบที่ห้องทำงาน"
" ตอนนี้นะเหรอ?"
" ใช่ๆ รีบบอกเร็วเข้า ชักช้าเดี๋ยวแกมาตามเองจะยุ่ง"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำโดยเร็วก่อนจะหันกลับมาเตรียมอ้าปากรายงานข่าวด่วนให้คุณเพื่อนจอมแสบ
ทว่า...ความว่างเปล่า คือ คำตอบเดียวของอีกฝ่าย
แหม...ได้ที ก็รีบแจ้นหนีเชียวนะ
งานปฐมนิเทศ มันคงดูน่าเบื่อน่านอนสำหรับไอ้พวกนั่งนิ่งๆไม่ได้อย่างมันอยู่แล้ว
นอกจากจะสวยสมบุกสมบัน ฉลาด คล่องแคล่วว่องไว ไล่กระทืบคนอื่นได้ดีเกินเหตุแล้วนั้น
ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะหูไว ตาไว วิ่งไวยิ่งกว่าโจรงัดบ้านเสียอีก!!
ไอ้เผือกหัวเราะหึๆ พลางเหล่ตามองเหตุการณ์ทุกอย่าง
ชีวิตทุกชีวิตกำลังเคลื่อนไหวไปตามบทที่ถูกกำกับไว้แต่แรกเริ่ม
พวกทำดีเอาหน้า
ต่อหน้าก็ทำเป็นพูดดี จริงใจ
ลับหลังใครจะรู้ได้
คนที่ถือไมค์ ปั้นหน้ายิ้มให้สมจริงตามบทบาทที่วางเอาไว้
คนที่นั่งใส่แว่น ตีหน้าขรึม ดูมีความรู้มากมายอยู่ในหัว
เบื้องหลังเมื่อแสงสปอร์ตไลท์บนเวทีดับลง
สิ่งที่อยู่หลังเงามืดจะเต็มที่ เตรียมพร้อมได้ดีเหมือนยืนพูดปาวๆให้คนอื่นหรือไม่?
คนที่จริงจังแต่ไม่จริงใจ มันมีเยอะเกินในสังคม
เกินจนไม่มีที่ว่างให้คนที่จริงใจและพร้อมทำทุกอย่างด้วย "ใจจริง"
นิ้วมือทั้งห้ากอบกุมเข้าหากัน ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างช้าๆ
ไอเย็นจากเครื่องแอร์พัดผ่านผิวกายไป
หากใจกลับร้อนรุ่มเพราะ "สิ่งๆหนึ่ง" ที่ถูกปิดตายไว้นานเกินควร
ริมฝีปากค่อยๆแสยะเขี้ยวยิ้มออกมา รอยยิ้มที่มีเสน่ห์คล้ายหนุ่มน้อยหน้าตาอารมณ์ขันหายไปในบันดล
เพราะ "ที่แห่งนั้น" และเป็นเพราะ "ไอ้พวกนั้น"
ทำให้ชีวิตของคนที่แทบจะไม่มีอะไรหลงเหลือ
เศษเสี้ยวชีวิตสุดท้ายก็มิอาจรักษาไว้ได้
การกระทำ "เสแสร้ง" น้ำหนักของคำมันเบาเกินกว่า
"ทำดีเอาหน้า มายาซ่อนเฉือน"
เฉือนทุกชีวิต ทั้งๆที่บางชีวิตก็มิควร ถูก "เชือด" ถูก "เฉือน" ด้วยน้ำมือของยมทูตจำเป็น
เพียงเพราะยมทูตตัวจริงทำหน้าที่ช้ากว่ากำหนดงั้นฤา?
หรือทำหน้าที่ชักช้าจนอดใจรอไม่ไหว ก็เลยลงมือทำเสียเอง
มนุษย์ที่ไร้ศีลธรรม เพราะกรรมเลวมันเกาะกุมสมองมากเกินไป
จง "กำ" สิ่งๆนั้นเอาไว้ให้ดีเถิด ไอ้เผือก
อีกไม่นาน ทุกอย่างฉันจะคลายมันออก
จะค่อยๆคลายมัน เหลืออีกแค่สองปมสุดท้าย
ทุกอย่างก็จะสำเร็จ.....
เปลือกตาบนล่างค่อยๆตีออกห่างจากกัน
เสียงลมหายใจถี่ดังไม่เป็นจังหวะมากนัก หากแต่ยังคงพอควบคุมได้อยู่บ้าง
" เป็นอะไรไป เหงื่อท่วมตัวเชียว " เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากตัวเขา ถัดจากที่ว่างของแม่สาวตัวแสบ ชายหนุ่มหันมายิ้มให้กับคนที่ถามอย่างช้าๆ
" เปล่าหรอก ไม่มีอะไร..."
" จริงอ่ะ? ไหวเปล่า ดูหน้าซีดๆ แล้วยัยหญ้าฟางหายไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาอยู่เป็นเพื่อนแก"
" อาจารย์เปรี้ยวเรียกตัวไปพบ เดี๋ยวมันคง..." ถ้อยคำนั้นหยุดชะงักลง เมือสบตากับใครในชุดสูทสีดำที่กำลังเดินมาตามทางเดินเส้นกลางของห้องประชุม
แววตาที่ดุเข้มแต่ฉายฉายความอบอุ่นใจให้เห็น พลอยทำให้คนที่นั่งอยู่ใกล้แถวทางเดินแทบจะหยุดลมหายใจ
เพียงแต่หากใครได้สังเกตถึง...
สายตาที่ละม้ายกับจะทอดมองไปทั่วทั้งห้องประชุม
หากแต่ดูเหมือนเจาะจงมายังเขาที่นั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ผู้คน
ความอบอุ่นใจถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็น "ความไม่แน่ใจ"
บวกกับความประหวั่นพรึ่งในสิ่งที่ได้เห็น
" อาจใช่เขา"
แว่วเสียงที่ดังมาจากห้วงความคิดของบุรุษหน้าคมดุ กำลังย้ำทุกๆครั้งที่ก้าวผ่านหน้าด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
" หมากสีดำที่กำลังตามหา
หวังว่าจะใช่
แต่ก็ไม่ควรหวังให้มาก....
หากคนที่นั่งอยู่ต่อหน้า
จะไม่มีสิ่งใดในจิตใจเคลือบแฝงอยู่
ถ้าไม่มี.....คงเป็นไปไม่ได้
คนที่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี "ไฟร้อน" ไว้อย่างแน่นอน!!!"
จบตอน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ