ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
8.0
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
22 ตอน
9 วิจารณ์
30.38K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) แก้ไขเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรถฟีโน่สีแดงแจ๊ด แตะเบรกหยุดจอดตรงหน้าป้อมยามได้พอดิบพอดี
หญ้าฟางกระโดดลงจากรถ หันหลังเตรียมชิ่งหนี ไม่สนใจเพื่อนเกลอคนสนิทที่นั่งหน้าบูด ไม่สบอารมณ์อย่างแรง
" แหม...จะไปทั้งที ไม่คิดจะพูดขอบคุณอะไรบ้างเลยเหรอ คุณหวงเฟยฟางคนสวย"
หญิงสาวหันมาจิกตาใส่ เชิดคอสูงจนเผยให้เห็นลำคอขาว
คนที่ผิวนวลสวยตามธรรมชาติแบบไม่ฟอกผิว ถือว่าโชคดีที่ทำบุญเอาไว้เยอะ
แต่สำหรับคนที่มีเรื่องชกต่อยเป็นเลิศอย่างมัน
ต้องมีรอยประทับตราไว้แถบซอกคอทุกครั้งเสียน่า
เห็นแล้วก็อดเวทนาเจ้าของผิวกายนี้ไม่ได้ทุกที
" เดี๋ยวนี้...ริอาจกล้าทวงบุญคุณกันเชียวเหรอย่ะ ไอ้เผือก"
" โธ่...คิดแต่ด้านดีๆหน่อยสิ อย่าอคติกับคนอื่นเขาไปทั่วเลยน่า"
" กับแกฉันไม่ได้คิดอคติอะไรมากนักหรอก ก็หยอกๆกันไปตามเรื่อง แต่ไอ้ห่านั้น.."
หญ้าฟางหรี่ตา นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อครู่
ภาพของใครคนหนึ่งจ่อปืนเเตรียมล็งขมับซีกขวาของเธอ ผู้ชายที่เลวระยำแบบมัน ถ้าเอาให้หายไปจากโลกนี้ได้เสียก็ดี
เพียงแต่....
เธอยังมีความสำนึกในสิ่งที่ตนนเองกระทำ
แม้มันอาจจะดูมากไปสำหรับผู้หญิงกั๋นกล้าอย่างเธอ
แต่สำหรับไอ้ปวงโชค นั่นมันยังน้อยไป สำหรับคำดูถูกที่มันพ่นใส่หน้าเธอ ตั้งแต่ครั้งสมัยเฟรชชี่ปีหนึ่ง
ผู้ชายปากหมามันต้องเจอผู้หญิงใจกล้าอย่างเธอนี้แหล่ะ
ถึงจะสมกัน!!
" มันคิดจะฆ่าฉันเชียวนะเว้ย!! เดี๋ยวนี้แม่งชั่วมากขึ้นทุกวัน พอรู้ว่าใกล้จะจบก็ยิ่งฮึกเหิมหนัก นี้ถ้ามันออกจากรั้วมอไปแล้ว มันจะไม่ย้อนคิดบัญชีกับฉันหนักขึ้นเหรอเนี่ย"
" ช่วยไม่ได้...ก็เจ๊อยากจะไปเล่นแรงๆกับมันทำไมกันเล่า แต่ฉันว่านะ...."
ไอ้เผือกนิ่งเงียบ สายตามีแววลั้นล้านึกสนุกตามแบบฉบับของมัน
" มันคงไม่ย้อนกลับมาคิดบัญชีกับเจ๊อีกหรอก"
" บ้าสิ...คิดตื้นเกินไปรึเปล่า?" คิ้วสวยเรียวเรียบยกสูงขึ้น ชายหนุ่มยิ้มหน้าทะเล้นตามฟอร์ม
" ถึงสมองฉันจะไม่ไว พวกเนื้อหาตำราเรียน แต่เรื่องมองดูคน..."
เขาหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไม่พูดอะไรต่ออีก
" เอ้า...พูดมาให้จบๆสิ ทำไม ดูคน...แล้วยังไงต่อ แกจะบอกว่าฉันดูคนไม่เป็น ใช่มั้ย? "
" ไม่ใช่ว่าแกดูคนไม่เป็นหรอกนะเว้ย!! แต่แกไม่พยายามมองคนให้เป็นต่างหาก"
" ยังไง ไม่เข้าใจ" หญิงสาวยืนกอดอก สีหน้าคาดคั้นเอาความ แต่อีกฝ่ายกลับยืนยิ้ม ไม่อนากรร้อนใจที่จะเปิดปากบอกซักเท่าไหร่
" ฉันคงบอกแกไม่ได้หรอกว่ะ....ไม่ใช่ไม่อยากบอกน่ะ แต่กลัวว่า บอกไปเดี๋ยวจะวีนแตก เอาเป็นว่า เชื่อฉัน...ว่าไอ้ปวงโชคไม่ย้อนกลับมาเล่นงานเจ๊แน่นอน"
" เดี๋ยวนี้มีลับลมคมใน เชอะ" หญ้าฟางเต๊ะท่า พ่นลมหายใจหนักก่อนจะคลายมือที่กอดอกอยู่ ยืดเส้นยืดสาย คลายความเมื่อยล้าที่สะสมมาเนิ่นนานเต็มที
" เออ...แล้วก็ฝากขอบคุณ อาจารย์ ด้วยนะ นี้ถ้า ไม่มา อนาคตชีวิตสาวบู๊ดีเดือดอย่างฉันคงไม่มีเหลือแน่ๆ"
นึกถึงผู้หญิงที่มาช่วยชีวิตพวกเธอเอาไว้ ก็ยิ่งนึกขำในใจ ลูกศิษย์ที่ว่าบ้าดีเดือดแล้ว อาจารย์ประจำภาควิชานี้ ดูเหมือนเป็นจอมยุทธ์หลงภพหลงชาติ มีวิชาติดตัว ร้ายกาจไม่แพ้เธอเสียด้วยซ้ำ
อาจารย์กะลูกศิษย์ก็หนีกันไม่ไกลเท่าไหร่หรอก
" ถ้าแกจะขอบคุณ มาขอบคุณฉันจะดีกว่า...ฉันเป็นคนโทร.หาอาจารย์เปรี้ยวให้มาช่วยเองแหล่ะ"
" ชะ!! ก็ว่าอยู่ ดูสีหน้าอาจารย์แกเหมือนอยากจะกระทืบฉันมากกว่าจะมาช่วยฉันเสียอีกแหน่ะ.."
" หึ..ถ้าฉันเป็นอาจารย์ เห็นลูกศิษยืตัวเองสวมวิญญานเป็นนักกังฟูไล่เตะต่อยคนอื่น กูก็โมโหเหมือนกันล่ะว๊า มีอย่างที่ไหน ผู้หญิงหนึ่งต่อสามสิบ
ไม่แขนหักก็บุญโข!!!"
" ก็ยังดีกว่า ไอ้ใครบางคนที่เอาแต่หลบไม่ออกฉาก ปล่อยให้ฉันฉายเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวจนเกือบตาย!!"
ไอ้เผือกเหล่ตามองดูหญิงสาวร่างระหงที่ยืนหน้าเดือดปุดๆ
เอาเถอะ! ผู้หญิงแบนี้ ไม่รู้จะหาผัวเหมือนกะคนอื่นเขาได้รึเปล่า
ขนาดโดนด่าอยู่ใกล้ๆยังอยากจะเงื้อเท้าไปเขี่ยก้นมันเสียให้ไกล
สงสารแต่คนที่หลวมตัวเข้าไปแอบชอบมัน
ใครก็ตามแต่ที่ได้เข้าใกล้ แม่จอมเฮี้ยวคนนี้แล้ว ยากนักที่จะถอนตัวขึ้นได้
เช่นใครคนนั้น!!
ใครบางคนที่เขาแน่ใจว่า "มัน" ต้องแอบเผื่อใจให้กับหญิงสาวอยู่
สุดแต่ว่า มันจะแสดงออกมาให้เห็นจนเด่นชัดหรือไม่ ก็เท่านั้น
คำว่า "เนื้อคู่" แลดูคงหาได้ยากสำหรับแม่หญิงยอดนักบู๊แห่งคณะศึกษาศาสตร์
แต่ถ้าหากมีขึ้นมาจริงๆ อยากจะรู้นัก ว่าบุรุษที่จะหยุดแ่ม่โฉมสะคราญงามเลิศแต่เผอิญปากจัดเหมือนเห็บหมัดกัดไม่ปล่อยแบบนี้ได้
เขาคนนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ!?
" ฉันไม่ถนัดงานบู๊ ไม่เหมือนแกหนิหว่า ไล่ตะปบหนังหน้าคนอื่นเขาไปทั่ว เป็นสาวเป็นนางแท้ๆทำตัวแบบนี้ เดี๋ยวก็หาสาละมีไม่ได้เสียหรอก"
" โธ่...อย่าว่าแต่ ผัวเลยค่ะ ขนาดแฟนจะคบสามสี่เดือนแบบคนอื่นเขายังไม่มีเลย
สงสัยคงได้อยู่คานทองระดับเฟิร์สคลาสแหงๆ"
สิ้นสุดประโยคเด็ดวลีมัน ไอ้เผือกก็อดที่จะปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมาไม่ได้
หากแต่นิ้วเรียวงามเอื้อมมาหยิกที่ต้นแขน พลางจุ๊ปากให้มันคลายเสียงหัวเราะลง
" เบาๆสิว่ะ ไอ้เผือก นี้มันเขตหอพักหญิงนะเว้ย หัวเราะยังกะลำโพงแตก"
" แหม...ก็ดูเจ้พูดเข้าให้สิ พูดยังกับตัวเองเป็นหญิงงามไร้คู่เลยแหะ คนสวยๆอย่างเจ้ ขอให้แต่งองค์ทรงเครื่อง นุ่งผ้าให้เห็นเนื้อหนังมังสาซักหน่อย แต่งหน้าบำรุงผิวอีกซักนิด รับรองผู้ชายทั่วทั้งมอต้องวิ่งหน้าตั้งมาขอเจ้เป็นแฟนแน่ ชัวร์!"
" ขอบใจสำหรับคำแนะนำย่ะ แต่ฉันไม่คิดอยากจะรีบมีแฟนหรอก หรือถ้าไม่มีได้ก็ยิ่งดี ชีวิตนี้จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมากวนใจ
แต่ถ้ามันต้องมีขึ้นมาจริงๆ.......ก็ขอให้ผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้น
เตรียมหาโลงไว้ใส่ศพตัวเองไว้ก่อนเถอะ
เดี๋ยวเจอลูกหลงระหว่างทาง.....
เผอิญคู่อริฉันมันคงไม่ยอมรามือได้ง่ายๆหรอก จริงมั้ย!!!"
“ ก๊อกๆ”
“ ก๊อกๆๆๆๆๆๆ”
เสียงจังหวะรัวที่กระทบกับประตู ปลุกห้รูมเมทรุ่นน้องต้องรีบกระเสือกกระสนลุกออกจากเตียง ก่อนจะวิ่งมาเปิดประตูให้ด้วยอาการกึ่งหลับกึงตื่น
“ พี่ฟาง กลับมาแล้วเหรอ ฮ้าวววว”
ท่าบิดขี้เกียจของน้องนาง ทำให้หญ้าฟางนึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย
“ ก็เออสิค่ะ แหม นอน สบายเหลือเกินน่ะ ไม่ได้แคะขี้หูก่อนนอนรึไง กว่าจะมาเปิดให้ ดีนะที่พี่ไม่ถีบประตูพังเหมือนในหนัง ”
“ โอ้ยยยยย คุณพี่ฟาง ก็หัดดูเวลาหน่อยสิค่ะ ว่ามันกี่ทุ่มกี่ยามแล้ว....นี้มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะค่ะ มาสายเสียเปล่า ใครเขาจะทนนั่งรอพี่ฟางได้ล่ะค่ะ”
คุณน้องรูมเมทส่ายสะบัดทรวดทรงได้รูป ตะเกียดตะกายขึ้นเตียงแล้วฟุบหลับลงทันที
เออ...แค่นั่งรอแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ทีตัวมันกลับดึกถึงไก่โห่ กูยังนั่งรอด่ามันได้เลย
หญ้าฟางเก็บรองเท้าไว้ที่ชั้นวางข้างประตู ความเป็นระเบียบที่แม้แต่การเก็บรองเท้าก็ไม่เคยถูกละเว้น
สายตาอันเฉียบคมหันมาเห็นชั้นวางด้านข้างที่ติดกัน
แหม...ซื้อรองเท้ามา กะจะเหมาหมดร้าน เปลืองตังค์เสียแย่ แต่ดูมัน...วางรองเท้ายังกับจะขนเอาไปทิ้งเสียซะอย่างงั้น
หญิงสาวลงมือจัดการชั้นวางรองเท้าใหม่ทั้งหมด ก่อนจะเดินไปล้างมือที่ระเบียงนอกห้อง
หญ้าฟางปล่อยผมที่รวบไว้ ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ซึ่งเป็นผลจากการต่อยตีในวันนี้ ทำให้เธอชักอยากจะกระชากเส้นยางให้หลุดออกจากหัว ไม่ใช่ว่าโมโหหรืออารมณ์เสียกับเรื่องทะเลาะวิวาท
แต่เป็นเพราะวันนี้ ไอ้ปวงโชคมันดูแปลกๆไป!!
ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธอ
ทำไมมันไม่ฆ่าเธอเสียเลยล่ะ?...ปากก็บอกจะฆ่า จะฆ่า...
พอเธอยั่วให้มันทำ มันกลับนิ่งไปเสีย
ไหนจะแววตาของมัน
ไร้รังสีอำมหิต ไม่มีเลย กลิ่นอายของคนที่อยากจะได้กลิ่นคาวเลือด
" ก็มันปอดแหก ถูกเลี้ยงมาดีเกิน คงชกต่อยกับใครเขาไม่เป็น ดีแต่สั่งให้คนอื่นเสี่ยงตายทุกครั้ง "
เธอยิ้ม ความคิดของเธอ...ต้องใช่แน่ๆ แต่เธอก็มีโอกาสจะฆ่ามันได้เหมือนกัน
แล้วทำไมถึงไม่ฆ่ามันเสียล่ะ?
" ไม่มีโรงเรียนไหนเขาอยากจะได้ฆาตกร จิตใจโหดเหี้ยมไปสอนเด็กนักเรียนของเขาหรอก"
คำพูดของมันที่วนเวียนอยู่ในห้วงของความคิด
นี้กระมัง..คงเป็นเหตุที่ทำให้เธอ ไม่อยากฆ่ามัน
เพราะคำพูดของมันเอง ที่เตือนสติเธอ!!
หญ้าฟางเพ่งพินิจมองดูตัวเองในกระจก ความสวยอันเป็นพรที่สวรรค์ทรงมอบให้ ผิวพรรณขาวนวลเปล่งปลั่งคล้ายแช่น้ำนมมาสิบชาติ นัยน์ตาสวยคมจนแทบจะบาดทรวงอก ริมฝีปากอิ่มเอมน่าขบกัด
เวลาที่เธอทำหน้าติ๋มๆ ไม่แยกเขี้ยวใส่ใคร ความเป็นคนก็มักจะฉายแววให้เห็นอยู่เสมอ
ไหนจะรูปร่างสูงเพรียวกับสัดส่วนที่ไม่น้อยไม่มาก แต่ก็ไม่ผอมจนตัวปลิว เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นจริง เธอคงจะลอยลมด้วยน้ำหมัดน้ำมือของไอ้เจ้าปวงโชคเป็นแน่
เสน่ห์ความงามอันพึงปรากฏอยู่ในกระจกนั้น คือ เสน่ห์ที่ผู้ชายต่างหลงใหลกันจริงหรือ?
หน้าตา รูปโฉม เป็นเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดผู้ชายได้ดี แต่ความสวยของเธอดูเหมือนจะขับไล่ผู้ชายให้ไกลออกไปเสียมากกว่า
หญ้าฟางนึกยิ้มกริ่มในใจ เขามีแต่สวยหลอกล่อ แต่นี้...มันสวยขัดหูขัดตา
อยากจะจับฆ่ายัดใส่กระเป๋า แล้วก็ลอยแพให้ไกล
ฉายาความงามของตัวเธอที่ชายหน่มทุกคนล้วนตั้งใจที่จะมอบให้ด้วยใจจริง
" สวยโหดโค่นขาดิบ หญิงงามขวานจามหัว สาวชั่วผัวไม่แล แม่ยอดหญิงเห็นแล้ววิ่งสับขา"
แต่ละฉายา สรุปแล้ว...ความสวยมันช่วยยกระดับอะไรในตัวเธอได้บ้างมั้ยเนี่ย
หรือจะเป็นรอยยิ้ม?
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวแปดซี่เรียงสวย แลดูน่ามอง
รอยยิ้มที่หญ้าฟางคิดว่า อย่างน้อยก็ดีกว่า...เวลายิ้มแยกเขี้ยวใส่ใคร
ยิ้มแบบเสแสร้ง หรือ ยิ้มแบบดัดจริต แน่นอน..รอยยิ้มบริสุทธิ์ที่เกิดจากใจ มองยังไงมันก็ดูน่ามองกว่าเป็นร้อยเท่า
" เจ้สวยนะ สวยมากเลยทีเดียว ผิวขาวนวลๆ สีแกมน้ำผึ้ง ไม่ได้ขาวโบะเหมือนผีญี่ปุ่น แต่หน้าคมปนจีนเชื้อแขกหน่อยๆ จมูกนี้ก็โด่งดีได้รูป เสียอย่างเดียว...ยิ้มไม่สวย"
เสียงไอ้เผือก เพื่อนคู่ซี้ ดังขึ้นมาในหัว ภาพของแม่สาวเจ้านักบู๊ในช่วงสมัยละอ่อนผุดขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ซักเท่าไหร่
" จะบอกว่าฉันไม่สวยก็พูดมาเลยเถอะ หน้าตาอย่างฉัน ฉันรู้หน่า ว่ามันไม่สวยพอจะไปประกวดแข่งกับใครเขาได้หรอก"
" ผิดถนัด" มันยิ้ม พลางเอียงคอพินิจพิเคราะห์ดูเธออีกครั้งหนึ่ง
" คำว่า สวย มันเกิดจากหลายๆอย่าง จมูกสวย คิ้วสวย ตาสวย ผิวสวย ปากสวย แต่ความสวยพวกเนี่ย มันสู้ไม่ได้เท่ากับรอยยิ้มที่จริงใจ
เวลาที่เจ้ยิ้มเนี่ย มันกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ยังไงก็ไม่รู้ ดูหยาบๆ หมองๆ ชอบกล"
" ทำไมย่ะ....กรุณาอธิบายมาด้วยสิ ว่าไอ้หยาบๆ นะ มันหยาบยังไง.....ยิ้มแบบปากแห้งเป็นขุย หรือ ยิ้มแบบชุ่ยๆ ส่งเดชกันไปงั้นเหรอ หืมห์?"
" ไม่ช่าย....." ไอ้เผือกส่ายหน้า พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
คิดดีรึเปล่าเนี่ย? ที่อยากจะจับคู่โชว์เขียร์กับมัน
" ถ้าให้เปรียบความสวยที่ฉันเห็น เจ้ก็คงเหมือนดอกกุหลาบ.."
" สวยเหมือนดอกกุหลาบ?" คนถูกชมยิ้มแก้มปริ ในขณะที่อีกฝ่าย หัวเราะหึๆ พลางเหยียดมุมปากหน่อยๆ
" กุหลาบกระดาษสานะสิ!!"
หญ้าฟางนิ่งอึ้ง อ้าปากเตรียมพ่นคำด่าใส่มัน แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
" อย่า....ไม่อยากฟังเพลงแร๊ปตอนนี้นะเว้ยย แหม... คนอาร๊าย หน้าตาก็สละสวยดีหรอก แต่พอจะโปรยยิ้มให้ใคร ไร้เสน่ห์ ไม่ดึงดูดคนเลยว่ะ"
"จะไปรู้เร๊อ...ฉันก็ยิ้มแบบนี้ของฉันมาตลอด...ยิ้มสวยไม่สวย มันจะไปหนักหัวใครกันเล่า!" หล่อนร้องแว้ดใส่
ไอ้เผือกมองหน้า เออ...นี้กูพูดให้มึงหนักหัวเล่นใช่มั้ยเนี่ย?
" หนักไม่หนักไม่รู้ แต่เวลายิ้ม เคยคิดที่จะยิ้มหวานๆ หว่านเสน่ห์คนอื่นบ้างมั้ย? มีแต่ยิ้มส่งเดช สักแต่ว่ายิ้ม!!"
" คงจะเป็นคนยิ้มยาก"
" เปล่าหรอก" ไอ้เผือกส่ายหน้าแล้วยิ้ม รอยยิ้มยียวนชวนให้หลงใหล
รอยยิ้มที่ดูสดชื่น อย่างนี้...รึเปล่า รอยยิ้มที่เธอไม่สามารถสร้างมันได้
" ก็แค่ยิ้มไม่เป็น เหมือนจะกินหัวคนอยู่ตลอดเวลา!"
หญ้าฟางมองหน้ามัน รอยยิ้มที่กว้างยาวจรดถึงซอกติ่งหู ไม่แตกต่างอะไรกับน้ำจิตน้ำใจของชายหนุ่มที่ภายหลังกลายมาเป็นเพื่อนซี้ที่สนิทที่สุดในสามโลก
เสียงลมหายใจถูกกระแทกผ่านทางโพรงจมูกอย่างแรง
ภาพในเงากระจกส่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าของหญิงสาว ที่ตอนนี้...
กำลังเหม่อมองรูปโฉมโสภาในม่านเงาขาว ก่อนจะเอื้อมนิ้วมือไปแตะริมฝีปากอันเฉียบบางของตน
ตัวภาพ.....กำลังเคลื่อนไหวไปตามเจ้าของรูป
กุหลาบกระดาษสา..
ขอแค่ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส
ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งอดีต?
รอยยิ้มของพ่อ รอยยิ้มของคนที่จากโลกนี้ไป
คนที่ใกล้หมดลมหายใจ
หากความทรมานกลับปิดผนึกริมฝีปากมิให้เคลื่อนออกจากกัน
คงทำได้เพียงแต่ขยับปากให้เห็นรอยยิ้มที่เศร้าหมอง
คนใกล้ตาย เพียงได้เห็นหน้าค่าตาลูกเมีย คงเป็นสุข
ถ้าไม่เพราะความที่เจ็บปวดอยู่นั้น กำลังอ้อนวอนขอยมทูต
ขอให้ได้บอกอะไรซักอย่างหนึ่งก่อนจะถูกกระชากวิญญานไป
แต่ท้ายที่สุด พ่อก็มองเธอและยิ้มให้เธอ
รอยยิ้มสุดท้ายที่จะได้เห็นก่อนจากลากัน!
" ตอนนั้น พ่อกับแม่เขาเข้าไปไหว้พระด้วยกันทั้งคู่" เสียงพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งเป็นคนเฝ้าศาลเจ้า เอ่ยขึ้น
" มีเสียงกระสุนปืนดังขึ้น หลายนัดทีเดียว พอลุงได้ยินก็วิ่งเข้าไปดู แต่ไม่เห็นคนร้าย มันหนีไปได้ แต่พ่อของหนูโดนเข้าไปเต็มๆ ส่วนแม่หนูก็พลอยโดนไปด้วยแต่ไม่มาก.."
หญ้าฟางในวัยแค่ 14 ปี ช่วงระยะเวลาที่เธอเรียนรูของความเป็นผู้ใหญ่มากพอ ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโต
ความรับผิดชอบและความอดทนจึงย่อมเหนือกว่าคนอื่น
เมื่อถึง...วันที่ปวดร้าวที่สุดในชีวิต เธอจึงไม่มีน้ำตาให้ใครได้เห็น
แม้กระทั้ง...วันที่ร่างของพ่อถูกฝังลง
เธอก็ไม่ร่ำร้อง ไม่หวนหา ไม่อาวรณ์ต่อสิ่งอื่น
แต่ความเศร้า เคล้าอารมณ์ กลับปรากฏอยู่ในรอยยิ้มนี้แทน
รอยยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของพ่อที่จวนเจียนจะสิ้นลม
" เห็นเขาว่า น่าจะเป็นฝีมือ ไอ้เฮียเล้ง ก็...พ่อหนูเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะห้ามไม่ให้ไอ้พวกนั้น มันมาสร้างโรงแรมในเขตพื้นที่วัดของเรา พอพวกมันรู้เข้า ก็เลย....."
คำพูดหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
หญ้าฟางยืนนิ่ง แสงจันทร์สาดส่องต้องกระทบกับใบหน้าขาวขุ่น ข้องใจ
มือเรียวสวยสั่นระริก เมื่อสายลมในยามรัตติผนวกตัวเข้ากับหยดน้ำบนฝ่ามือ
เมื่อไหรหนอ...ความละโมบ โลภมากของคนจะหมดสิ้นไป
อิทธิพล คำๆนี้....ช่างน่าขยะแขยงเสียเต็มทน กดขี่ข่มเหง ย่ำยีความรู้สึกโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเพื่อนมนุษย์
การกระทำเหล่านั้น มันจะถูกหรือจะผิด ไอ้พวกมี "อิทธิพล" มันจะตัดสินด้วยวิธีของมันเอง
ถ้าหาก..คำว่า ถูกของมัน คือ ผิด ก็ว่าผิด แต่ถ้าหากความผิด คือ ความถูกต้องในสายตาของพวกมัน
นั้นแหล่ะ....ที่เขา เรียกว่า "ชั่วเหลือเดน"
โลกหนอโลก....นับวันก็ยิ่งจะมีแต่คนจิตใจเสื่อมทราม
ไม่ฟังเหตุผล ไม่สนใจคำพูดของคนหมู่มาก
เมื่อไม่สนใจ ไม่แคร์อะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉากสุดท้ายของคนที่ทำเพื่อความถูกต้อง
จึงหยุดอยู่ที่ความตายเพียงหนึ่ง.....
" พี่ฟาง.......ปิดม่านให้หน่อยดิ..."
เสียงแจ้วๆของรูมเมทตัวแสบดังขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งขยี้ตาเพราะแสงเดือนพุ่งกระจายเข้าห้องเสียจนแสบตา
" แล้วนั้น..พี่ฟางไปยืนทำไรอยู่นะ เข้ามาข้างในนี้สิ...ข้างนอกอากาศเย็น หน้าหนาวแล้วนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดซะหรอก"
" ก็แค่เพิ่งต้นฤดู ยังไม่หนาวเท่าไหร่หรอก อากาศเย็นดี พี่ชอบ.."
" เชอะ..ป่วยขึ้นมา อย่ามาร้องเสียงอ่อย ให้หยกพาไปหาหมอน่ะ"
หญิงสาวในชุดนอนเต็มยศแลบลิ้นปริ้นตาใส่ ก่อนจะล้มตัวนอนลงไปอีกครั้งเมื่อแม่สาวเจ้านักบู๊เดินเข้ามาเลื่อนผ้าม่านปิดให้สนิทชิดกัน
หญ้าฟางเตรียมเแกะกระดุมเม็ดเสื้อออก แต่ดวงตาคู่วิไลฉายเฉิดกลับชำเลืองมองดูกล่องพัสดุกับซองเอกสารสีน้ำตาลสองชุดที่วางเรียงซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ
เออ...เกือบลืมไป มีของมาส่งนิหว่า
จะอาบน้ำก่อนหรือจะเปิดดูก่อนดีน่ะ
สุดท้าย มือเจ้ากรรมก็ละจากกระดุมเสื้อคว้ามาหยิบกล่องพัสดุที่วางอยู่ด้านล่าง
หน้ากล่องระบุชื่อผู้รับเป็นชื่อของเธอ ลูกตากลมโตค่อยๆไล่พินิจพิเคราะห์น้ำหมึกสีน้ำเงินที่มุมซ้ายของซองสีขาว
ลายมือที่เขียนโยกไปโย้มา ชวนให้ปวดหัวเล่น แต่สำหรับหล่อน มันคือลายมือของคนที่ตัวเธอเฝ้าคอย
ใครคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งเดียวของชีวิต
เป็นคู่ลิขิตบันดาลรักไม่หยุดหย่อน
หากเธอไม่พานพบคู่แท้ อย่างน้อยก็ยังมีคู่ชีวิตที่ต้องร่วมฝ่าผจญให้หนีพ้นกับความเลวร้าย
คนที่เดินเคียงไปพร้อมกับเสียงกำลังใจ
หญ้าฟางเปิดซองจดหมายที่แนบมาด้วยอย่างระมัดระวัง คล้ายดั่งว่า ของสำคัญในมือจะบุบสลาย
หากแต่เพียง...ตัวอักษรตัวเเรกก็ทำให้ม่านตาเริ่มสั่นไหว
“ ไอ้ตัวป่วน...
ช่วงนี้จะเข้าใกล้ฤดูหนาวแล้ว แม่ส่งเสื้อถักไหมสีเขียวมาให้..สวยหรือเปล่า? แม่ก็ไม่รู้นะ เพราะไอ้เฟิร์น มันบอกว่า พี่ฟางใส่สีนี้แล้วเด่นดี แ่ต่ผิวสีน้ำผึ้งอย่างงั้นใส่อะไรก็คงจะดูดีไปซะหมด ดำเกือบยกบ้าน มีแต่อาม่ากับลูกนั้นแหล่ะ ที่ยังพอเดินเล่นในที่มืดได้อยู่ อ่อ..แล้วก็ มีกรอบรูปแนบมาด้วย รูปไอ้เจ้าเฟิร์นนันแหล่ะ มันแข่งพูดสุนทรพจน์ได้ที่หนึ่งของประเทศ เพิ่งได้รูปมา มันก็เลยอยากจะอวด คะยั้นคะยอจะส่งซะให้ได้ เอาไปดูให้เต็มตาแล้วกัน
ตอนนี้ที่วัดเขากำลังจะบูรณะซ่อมแซมใหม่ แต่คงใช้เวลานานอยู่พอตัว กว่าจะเสร็จก็ปีกว่าๆเพราะต้องสั่งของจากจีน ท่านเจ้าอาวาสก็เลยให้แม่ ย้ายของไปขายข้างหน้าประตูวัดก่อน...เสร็จแล้วก็ค่อยย้ายเข้ามาขายข้างในเหมือนเดิม
แม่กับน้องแล้วก็อาม่า อยู่สุขสบายดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก...พวกไอ้เล้งมันไม่มาวุ่นวายกับครอบครัวเราแล้วล่ะ เพราะเห็นเขาว่า มันพับโครงการที่จะสร้างโรงแรมในพื้นที่ของเรา แต่ก็ไม่รู้ว่ามันย้ายไปสร้างที่ไหนของมัน แต่ไปไกลๆได้เสียก็ดี ชาวบ้านเขาจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข
ปีนี้จะขึนปีห้าแล้ว...ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ ภาษาจีนเรียนๆมาก็เอาใช้บ้างก็ดี แถวบ้านเราคนจีนมาเที่ยวกันเยอะ เรียนจบมาถ้าสอบครูไม่ได้ก็ขายของช่วยแม่เรียกลูกค้าคนจีนเข้าร้าน จะได้ไม่ต้องไปไล่กระทืบเด็กนักเรียนให้มันปวดหัวอีก
จาก แม่....”
พออ่านจบ หญิงสาวแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สักกลัวแต่ว่า หมูที่นอนอืดอยู่บนเตียงจะลุกขึ้นมาโวยวายเข้าให้ เพราะตัวเธอเองใช่ว่าจะเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม
แค่หัวเราะก็ดังข้ามฟากไปอีกตึกหนึ่งได้....
เอาซี้...ตอนแรกเกือบจะซึ้งนะ เห็นส่งเสื้อกันหนาวแพ็กใส่ถุงอย่างดี
แต่พออ่านไปอ่านมา....ช่วงท้ายๆนี้ ดูแปลกๆ
ออกแนวด่าเหน็บแหนม แต่ไม่รุนแรง พอทนอ่านได้ แต่ก็คล้ายจะลอบกัดด่าให้เละจนเสียหน้า
"รู้เลยว่า พี่ฟางเหมือนใคร ปากร้ายแต่ใจเกือบดี ติดตรงที่ ขี้วีนไปหน่อย...." เสียงแจ้วๆ ของผู้เป็นน้องสาวดังขึ้นข้างหู
"เหมือนใครย่ะ?" เสียงตวาดของแม่ดังขึ้น ดรุณีแรกรุ่นในชุดนักเรียนม.ปลาย แขนสั้น กระโปรงยาวไม่กรอมเท้า เอาพอวิ่งหนีไม้เรียวครูได้สะดวกหน่อย มองดูแม่จอมบ่นกับน้องสาวจอมแก่นกำลังห่ำหั่นประชันเสียงกันอย่างเมามัน
ปากจัดเหมือนแม่ แต่เด็ดเดี่ยว เอาจริงเหมือนพ่อ
นั้นคือคำพูดสรุปของอาม่า หรือ คุณย่าผู้มากด้วยวัย บอกแก่เจ้าตัวอยู่บ่อยๆจนชาชินหู
ส่วนอีน้องเฟิน อีเหมือนน้องสาวของพ่อลื้อ กระโดกกระเดก พูดมากแต่ไม่ทันคน
หญ้าฟางหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสั้นม้าเต่อ ยืนตัวดำยิ้มฟันขาวอยู่ข้างถ้วยรางวัลสีเงินอันใหญ่
มือข้างขวาจับใบประกาศนียบัตรแนบไว้กับอก น้องสาวตัวแสบที่คอยสร้างวีรกรรมให้เธอปวดหัวอยู่บ่อยๆ นิสัยที่พูดมาก ยืดอกพกความมั่นและนิสัยจินตนาการเพ้อฝันความสวยของตัวเอง
ไม่นึกว่าเจ้าบ้านี้จะเอาดีด้านการพูดถึงขนาดคว้าที่หนึ่งของประเทศมาได้
เออ...... พูดจนปากเปื่อย แต่ไม่ยักจะด่าคนเป็น มีแต่คนอื่นมาด่า พอโดนด่าก็วิ่งโร่มาฟ้องแม่ตลอด
แต่เอาเถอะ....พูดมาก ก็ยังดีกว่า พูดไม่คิด!!
หรือคิดไม่ได้แล้วอยากจะพูด
คนแบบนี้มีอยู่กันเกลื่อนเมือง
ปัญหามันถึงได้เกิด เพราะเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น
หญ้าฟางหยิบซองที่เหลืออยู่มาเปิดดู
สายตาไล่เรียงตัวอักษร วนไปวนมาอยู่หลายเที่ยว อารมณ์ชื่นดีปรีดาเมื่อครู่ถูกสะกดให้หยุดทำงาน
ในหัวใจคล้ายกับมีใครมาทิ้งไม้ขีดที่กลางกลวง
จากสุ่มควันเล็กๆ เริ่มขยับขยายกลายเป็นเพลิงไฟใันบันดล
“ ใบอนุญาตเข้าฝึกสอนโรงเรียนจงเหวินวิทยา”
หญ้าฟางพลิกกระดาษกลับไปกลับมา ก่อนจะหยิบซองมาเขย่าๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีกระดาษอีกใบซ่อนอยู่
“ฉิบหายล่ะ อีฟางเอ๊ย!!!”
ดวงตาคู่งามอ่านข้อความที่เหลือด้วยอาการวิตกกังวล หล่อนอ่านผ่านๆโดยไม่สนใจเนื้อหาของมันมากนัก
ก็ตามแบบฟอร์มการเขียนทั่วๆไป
มีรายชื่อของเธอที่ถูกเขียนไว้ในส่วนของผู้รับ อันนี้ไม่น่าตกตะลึงดึงวิญญานเธอได้ดีกว่า
ลายเซ็นของรองผู้อำนวยการโรงเรียน ลายเซ็นอาจารย์พี่เลี้ยง และลายเซ็นอาจารย์นิเทศ ซึ่งก็คือ อาจารย์ประจำภาควิชาของเธอได้ตวัดเซ็นอนุมัติไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
" เจิน จาว เกา...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ว่ะ?"
หญิงสาวเกาหัวแกรกๆ แต่มิวายเดินวนเวียนรอบห้อง ปากบ่นพึมพำไม่หยุด
“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ บ้าน่า ฉันส่งใบคำขออนุญาตฝึกสอนไปที่โรงเรียนสาธิตฯ แล้วนะ ใครมันมาแกล้งฉันว่ะเนี่ย ไอ้หยก!!!! ไอ้หยกเว้ย!!!!”
หญ้าฟางเดินไปกระชากผ้าห่มของรูมเมทร่วมห้อง เสียงกรนที่ดังสนั่นแข่งกับเสียงตะโกนเก้าชั้นหล่อน ทำให้สาวเจ้ารู้สึกเดือดดาลจนแทบจะฉีกน่องขาเรียวๆของรุ่นน้องเสียเต็มประดา
นี้กูทนนอนกับมันมาได้ยังไงตั้งสี่ปี เสียงกรนนี้เหมือนเสียงไล่ผีชัดๆ
หมอนสีฟ้าถูกกระชากออกไม่ปรามมือ เสียงร้องโวยวายแหกปากไปทั่วสารทิศห้องจนคนดึงหมอนต้องรุมกระหน่ำฟาดหมอนใส่หน้ามันอย่างจัง
“โว้ยยยยยยยยยยยยยยยย พี่ฟาง พี่เป็นบ้าอะไรของพี่เนี่ย!!!! คนเขาจะหลับจะนอน แล้วนี้ดึงหมอนออกไปทำไม ห่ะ....ถ้าคอหักตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”
“ ไม่ต้องถึงกับคอหักหรอก เอาแม็กเย็บกระดาษกดใส่หัวก็ตายแล้ววุ้ย!! นอนกรนเสียงดังแบบนี้ ขโมยขโจรเขาจะได้กวาดของเอาไปขายหมด ”
" โจรไม่กลัว กลัวแต่พี่จะเป็นบ้านะสิ เป็นอะไรอีกล่ะ...ถึงได้เอาหมอนมาฟาดใส่กันแบบนี้"
" ฉันขอถามแกหน่อย.." หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้อีก แต่ดูทีท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ใคร่ไว้ใจเธอซักเท่าไหร่
เจ้ารูมเมทรุ่นน้องขยับถอยไปยังหัวเตียง...
อาการวีนแตกอันน่ากลัวของรุ่นพี่จอมเฮี้ยว ใครๆก็รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร
ยิ่งคนนอนห้องเดียวกันยิ่งรู้มากกว่าคนอื่น
ยังกะแม่นางงิ้วลงโรง เผลอไม่ได้เอาไม้กวาดไล่แทงก้นทุกที
" แกไม่ได้เเกะ แงะ งัด ฉีก กระชาก กระทืบอะไรกับเอกสารซองนี้ใช่มั้ย?"
" แหม...ถามแบบนี้ เหมือนไม่ไว้ใจกันเลยนะคุณพี่"
" ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น...." หญ้าฟางมองหน้าคาดคั้นเด็กสาวผู้อ่อนอายุกว่าแต่หน้าตาไปเกินเกือบครึ่งให้อ้าปากตอบคำถามเธอ
เด็กน้อยทำตาปริบๆ ส่ายหน้า ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เอื้อมมือจะคว้าซองเอกสารในมือหล่อน แต่ทว่า มืออีกข้างของสาวเจ้านักบู๊กลับว่องไวยิ่งกว่า
" อย่าสอด!!" หญิงสาวตวาดแว้ด หน้าตาบูดบึ้ง ผิดกลับสีหน้าท่าทางอยากรู้ของคนที่โดนมะเหงกไปเต็มๆ
" อยากรู้นี้หว่า....เกืดเรื่องอะไรเหรอ..ของในซองหายเหรอพี่?"
" ไม่รู้วันนี้วันซวยอะไร เจอแต่เรื่องน่าโมโห เฮ้อ..เอ้า!! ไม่มีอะไรแล้วล่ะ นอนซะ..ไม่กวนแล้ว"
หญ้าฟางเดินหันหลัง เสียงลงเท้าสะเทือนจนไปถึงชั้นล่าง...
เป็นอะไรของเขา?? ผีเข้าหรือไงกัน
แลดูวันนี้จะเข้าเยอะผิดปกติ
คงจะผีหลายตัว..
อยู่ด้วยกันนานๆ พี่แกชักจะเหมือนผีคุณยายเข้าไปทุกที
หรือพวกผีหมดประจำเดือนจะเข้าสิงกันล่ะ ถึงได้วีนแตก กระแทกปากตลอดไม่หยุดหย่อน
แสงนวลอำไพจากข้างนอกกระทบทาบเข้าใบหน้าของหญิงสาว สีหน้าแสดงอาการสับสนปนโมโหฉายชัดมากขึ้น
เรื่องแบบนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
ยิ่งทวน ยื่งคิด ยิ่งตรอง ก็ยิ่งรู้...
ว่าเธอไม่น่าพลาด
หลังจากที่คณะกรรมการบริหารหลักสูตรของคณะประกาศบอกรายชื่อโรงเรียน พร้อมทั้งรายละเอียดสถานที่ตั้ง กลุ่มวิชาที่ต้องการรับ ไว้ที่บอร์ดหน้าห้องศูนย์ฝึกวิชาชีพฯ
เธอก็รีบจับจองเป้าหมายไปที่โรงเรียนสาธิตฯซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก
อะไรๆก็วางแผนไว้หมดแล้ว ที่พักก็ไม่ต้องจ่ายเพราะอยู่หอเดิม.. ค่ารถสองแถวอะไรๆก็คิดไว้หมด
แล้วนี้มันอะไรกัน....ใครช่างกล้ามาบังอาจดึงหนวดเสืออย่างฉันได้
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวสมอง สายตาพยัคฆ์สาวกลับไปมองร่างอืดที่นอนตีพุงอยู่บนเตียงอีกครั้ง
นิสัยสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องปกติในชีวิตของมนุษย์
เกือบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เธอ....
หรือแม้แต่ไอ้เด็กคนนี้ ก็ใช่.....แถมรายนี้จะชอบซอกแซกสอดรู้เรื่องคนอื่นไปทั่ว
เป็นนกคาบข่าวฝีมือชั้นยอดเลยทีเดียวเชียว
แต่กับรุ่นพี่ผู้มีผีมือปรือชาในเรื่องต่อยตีผู้คน...มีรึ? ที่มันจะกล้าแหยม
คราวก่อนริอาจขโมยกิ๊บดำไปใส่ ก็โดนสวนหมัดไปหลายดอก
เจ้าเด็กนี้เล่ห์เหลี่ยมยังคมไม่พอที่จะสู้กับฉันได้หร๊อกกก..
"อีสวย!!!"
เสียงตวาดพร้อมกับภาพแสยะยิ้มของเจ้าปวงโชคโผล่แทรกเข้ามากลางโสตสมอง หญ้าฟางสะบัดหัว ตกใจนิ่งอึ้ง
‘หรือว่าจะเป็นไอ้ห่านี้’
" บ้าน่า..มันจะมีอำนาจมากกว่าอาจารย์คณะเราได้ยังไงกัน รายนั้นมันอยู่วิศวะนะโว้ย!! จะกล้ามาข้ามถิ่นเราได้ยังไง?"
หญิงสาวนึกคิด ภาพไอ้บ้าปวงโชคดูเหมือนจะวนเวียนอยู่รอบๆหัว ไม่ยอมไปไหนเสียที
" อีสวย!...อีสวย!......อีสวย!.....อีสวย!"
คำด่าที่ดูเหมือนจะกึ่งด่าไม่ด่าดังก้องอยู่สองข้างรูหู
หญิงสาวโน้มตัวไปข้างหน้า แขนทั้งสองรองรับใบหน้าเรียวสวยสดประหนึ่งนางเจ็กนางงิ้วในยุคสามก๊กกลับชาติมาเกิด
เจ้าหล่อนปิดเปลือกตาแน่นมิด ร่างทั้งร่างราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกที่มิอาจจะหยั่งรู้ถึง
คำพูดของไอ้เผือกดังขึ้นในโสตประสาทที่เชื่อมต่อกับสิ่งหนึ่งที่อยู่ลึกใต้จิตใจลงไป
"ฉันว่านะ ไอ้ปวงโชคมันไม่ย้อนกลับมาเล่นงานเจ้อีกหรอก..."
เสียงของมันค่อยๆดังขึ้น และเริ่มเลือนหาย
ก่อนจะมีเสียงเวิ้งว้างจากใต้ล่าง.....สอดผสมกับเสียงหัวใจที่เต้นเบาแรงเรื่อยๆ
ความรู้สึกส่วนหนึ่งที่ถูกปิดผนึกไว้อย่างยาวนาน กำลังเคลื่อนตัวแทรกผ่านให้ถึงโสตประสาทที่สามารถรับรู้ถึง
และถูกผูกยึดไว้กับสายใยแห่งความถวิลหา.!!!
แต่ทว่า....เจ้าตัวกลับสะบัดศีรษะ เปิดเปลือกตาให้กว้าง เอามือทุบขมับด้านซ้ายไม่แรงมากไม่เบาเกิน แล้วค่อยๆนวดให้ความเครียดคลายตัวลง
"ไม่เป็นไร...ไว้ถามอาจารย์เราก็ได้ เรื่องเอกสารนี้..แกคงรู้มากกว่าใครๆ"
แม่สาวเอามือกุมอก แววตาเบิกกว้าง ภาพครั้งวันวานปรากฏให้เห็นเหมือนฉากในละครทีวี
นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักใครคนหนึ่ง จวบจนต้องลาจาก
ใครที่ว่านั้น......
ที่กำลังทำให้ใจเริ่มสั่นหวาม
ใครคนนี้กระมัง....
ที่อาจจะ"ใช่" และ "ไม่ใช่" ในคราวเดียว!!
จบตอนที่ห้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ