ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  30.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) (แก้ไขเสร็จแล้ว)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     
หญ้าฟางในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตสีเขียวกับกางเกงยีนส์ตัวเก่ง กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารคณะพยาบาลอย่างรีบเร่ง
     โรงอาหารคณะพยาบาล ฟังดูประหลาด เพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่ในคณะพยาบาล
 
แต่มันอยู่ ตั้งอยู่ด้านหน้าหอของหล่อน ไม่ใกล้ไม่ไกลมาก 
 
เธอเคยถามป้าที่ขายข้าวแกง ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆ
 
" ก็พวกแพทย์ พยาบาล เขาชอบมานั่งทานข้าวกันที่นี้ เขาบอกว่า บรรยากาศมันโรแมนติกดี"
 
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้หนา กับ หญ้ารกแซมขึ้นเป็นหย่อมๆ
 
เนี่ยนะโรแมนติก!!
 
อีกสาเหตุหนึ่ง เพราะหอพักที่เธออาศัยอยู่ แท้จริงแล้ว มันคือหอพักที่สงวนไว้สำหรับนักศึกษาพยาบาลหญิง  
 
 แล้วนักศึกษาครูผู้ปรีชาชาญ  กลายมาเป็นแกะดำในฝูงหงส์ได้อย่างไรกัน?
 
" หอพักที่ดีๆ ก็มีให้อยู่  จะไปอยู่ทำไม๊  หอพักเส็งเคร็ง เก่าก็เก่า มองเข้าไปยังกับตึกร้าง น่ากลัวตายชัก"
เพื่อนคนสนืทสุดตีน...ไอ้เผือก มันเคยถามไว้เมื่อครั้งนานนม  หญ้าฟางมองหน้าพลางพูดน้ำเสียงเรียบๆ
 
" ก็มันถูกดี"
 
" แหม...หอถูกๆ แต่ดีกว่านี้ก็มี ทำไมไม่เอาล่ะ "
 
" ฉันอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ....."  เธอพูดก่อนจะช้อนตา มุมปากยิ้มนิดๆ
 
" สกปรกซกมกแค่ไหนฉันก็จะอยู่.....ฉันไม่ใช่พวกผู้หญิงสวยรวยเสน่ห์  แต่ฉันเป็นพวกสวยรวยความคิดต่างหากย่ะ ไม่เรื่องมากเหมือนเอ็งหรอก!"
 
ความคิดของเธอ ยาก...ที่ใครจะรู้ถึง บางทีเธออาจจะเป็นพวกอินดี้ คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ
 
หญ้าฟางแหงนคอมองอาคารสามสี่หลังที่เรียง เว้นระยะช่องว่าง แตกต่างกัน
 
ตัวอาคารสีเหลืองหม่นผสมปนเปกับคราบเก่าแห่งวันวาน หากทว่ารอยร้าวที่กำลังเกาะกุมผนังเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ความคาลสิกที่ถูกสร้างมาพร้อมๆกับมหาลัย เสน่ห์ที่คนรุ่นใหม่มองข้าม
 
ชีวิตมนุษย์ หากสามารถก้าวย่างผ่านห้วงวันและเวลามาได้จนถึง ณ จุดนี้ 
 
จุดกึ่งกลางของชีวิต!!!
 
หอพักที่ถูกสร้างมาเกือบห้าสิบปี  ผ่านลมฝนลมหนาวมามากมาย
 
เหมือนดั่งชีวิตสรรพสิ่งบนโลก  คงผ่านอะไรมาเยอะ  เยอะมากเสียด้วย
 
ไม่อย่างงั้น  ริ้วรอยที่ปรากฏบนแผ่นผนังอาคารคงไม่มากมายเช่นนี้หรอกกระมัง 
 
หญ้าฟางเดินเข้ามาในลานโล่ง ทุกอย่างเงียบเชียบ ไร้วี่แววผู้คน
 
อ๋อ...ลืมไป  มหาลัยเขาหยุดนี้หว่า อาจารย์ไปสัมนา ไม่รู้จะสัมนาประชุมอะไรกันนักหนีนักหนา
 
 "อะไรยังไงก็ได้"  ประชุมกันแบบ  "อะไรยังไงก็ได้" ทุกสิ่งอย่างคงจะกลายเป็น "อะไรยังไงก็ได้"
 
ทำอะไรก็ทำไป  ได้อะไรก็เอาไป  ขาดความยั้งคิด พิจารณา พากันโง่งม
 
สุดท้ายก็ล่มจมทั้งแพ!!!!
 
"สวัสดีค่ะ..ป้าแมว"
 
หญิงร่างอวบอ้วน กับเสียงเชียร์มวยอย่างเมามัน จนลืมมองไปว่าคนที่มาเยือนนั้นเป็นใคร
 
"โอย วันนี้ไม่ขายลูก ป้าปิดร้านแล้ว ไปซื้อร้านอื่นก่อนไป๊"
 
เขาว่า ลูกค้าคือพระเจ้า
 
คุณอาจจะได้เห็น พระเจ้าเปิดเนตร ดวงตาขึงตาขัง สั่งสาปให้แม่ค้าไปลงนรกเสีย
 
คงจะเห็นจริงก็วันนี้!!!
 
"ป้าแมววววววววว.....เลิกดูมวยก่อนได้มั้ยค่ะ ไหนโทรมาบอกว่า จะมีของฝากให้ฟางไม่ใช่เหรอ"
 
หญิงร่างตุ้ยนุ้ยหันมาหาเธอช้าๆอีกครั้ง ก่อนจะร้องอุทานเสียงหลง
 
"อ้าว   หนูฟางง  โอ้ย.ป้าขอโทษ ป้ามองไม่เห็น นึกว่าลูกค้ามายืนรอซื้อข้าว"
 
นั้นประไร...ดีนะที่เป็นเธอไม่ใช่คนอื่น ป่านนี้ชะตาชีวิตป้าคงขาด...
 
" เดี๋ยวก็โดนลูกค้ายำเท้าใส่ มีอย่างที่ไหน สนใจมวยมากกว่าลูกค้า"
 
" ช่วงนี้ไม่มีคนหรอกขาดทุนหัวบาน"
 
" แล้วทำไมไม่ไปเปิดขายในตลาด แก้ขัดไปก่อน" หญ้าฟางยืนเท้าเอวมองหน้า คุณป้าขายข้าวแกง ลักษณะท่าทางดูกร่างไม่ใช่เล่น
 
"แม่ชีในคราบผีตองเหลือง"  คำพูดของใครบางคนที่เคยได้ยินแว่วผ่านหู
 
" เป็นผู้หญิงซะเปล่า ความเป็นกุลสตรี กูหาเท่าไหร่ๆก็ไม่มีในตัวมึง"
 
มีคนเดียวเ่ท่านั้นที่กล้าเล่นกับเธอแบบนี้ได้....
 
ไอ้เผือก!!!
 
คุณป้าร่างอวบยิ้มนิดๆ
" ค่าที่ในตลาดมันแพงนี้จ๊ะ  ขายอยู่ที่นี้กำไรจะตาย นักศึกษาเดินกันให้พรึ่บ"
 
" แต่ตอนนี้ไม่มีนักศึกษา เขาหยุดกันหมดแล้ว ป้า..แต่เอาเถอะ" หญิงสาวทำท่าเกาหัวแกรกๆ
 
"เรื่องการตลาดฉันไม่เก่งนักหรอก เออ..ว่าแต่ป้าบอกว่า มีของฝากไม่ใช่เหรอ?"
 
ป้าแมวยื่นกล่องโฟมสามสี่กล่อมที่วางซ้อนกันไว้ในถุงให้เธอ
 
"ขอบใจนะป้า  เอ๋  อะไรหว่า?" หญ้าฟางแง้มๆเปิดกล่องดู
 
" ข้าวเกรียบปากหม้อ ลองชิมดูสิ..พี่สาวป้าเขาทำเองกับมือเลยนะ"
 
เนื้อแข็งๆกระทบกับฟันของเธออย่างจัง  ข้าวเกรียบปากหม้อรสชาติไม่เลว น้ำจิ้มอร่อยใช้ได้  แต่ถ้าเนื้อหมูจะแข็งจนฟันโยกซะขนาดนี้  กว่าจะหมดกล่อง ฟันเธอคงจะหลุดออกหมดปากพอดี
 
"แข็ง!!!! เนื้อหมูแข็งจริงๆ"   คำพูดโผงผางไม่ทำให้แม่ค้าปากตลาดเลือดขึ้นหน้าแต่อย่างใด
 
ตรงไปตรงมาสิดี  คนแบบนี้หายาก  แต่ถ้ามากเกินไป ก็คงหาเพื่อนพ้องลำบาก
 
อย่างน้อย ป้า...ก็พวกเดียวกับแม่หนูคนนี้แหล่ะ  ปากจัดๆ กัดเจ็บๆ  แบบนี้ไง ผู้ชายถึงไม่เหลียวมอง  มีแค่คนเดียวที่เห็น..
 
" แล้ววันนี้ แต่งตัวจะไปไหนล่ะ?"
 
" ไปกินเลี้ยง ไม่ใช่สิ...ไปเลี้ยงให้เพื่อนกิน"
 
คุณป้าหัวเราะกร๊าก งกแบบนี้ จะไปเลี้ยงอะไรเขาได้
 
เหมือนเจ้าตัวจะรู้ทันความคิดของคุณป้าวัยใกล้เบญจเพสรอบสอง
 
" เลี้ยงไม่เยอะอะไรหรอก  ส้มตำจานสองจานก็พอ"
 
" สอบได้อีกแล้วล่ะสิ"
 
หญิงสาวยิ้ม ยืดอก แก้มสอข้างแทบปริ
 
" แน่อยู่แล้ว"
 
"เก่งจริง  อยากให้หลานป้าเก่งเหมือนหนูมั้งจัง เสียอย่างเดียว.."  คุณป้าหยุดพูด เอียงคอมองหน่อยๆ
 
" เจ้าอารมณ์!" ตามมาด้วย
 
" จะเป็นครูไหวเหรอ  อะไรนิดอะไรหน่อยก็พาลไล่เตะเขาไปทั่ว"
 
หญ้าฟางหันควับมองหน้าป้าแมว ไม่สบอารมณ์อย่างแรง กี่ครั้งกี่รอบแล้วที่ใครพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วทำให้เธออารมณ์ฉุน
 
คำก็พาล สองคำก็พาล  ไล่เตะคนเลวๆ มันผิดมากใช่มั้ยเนี่ย?
 
"ปิ๊ดดดด  ปิ๊ดดดดด"
เสียงแตรรถที่คุ้นหู ทำให้หญ้าฟางสลัดอารมณ์ขุ่นหมัวเหล่าออกไป ก่อนจะหันหน้ายิ้มใส่แบบกล้ำกลืนฝืนใจเล็กน้อย
 
" ขอบคุณสำหรับข้าวเกรียบปากหม้อนะคะ แล้วก็....ขอบคุณสำหรับคำถากถางเมื่อซักครู่นี้ด้วย"
 
" เขาเรียกว่า ผู้ใหญ่เตือนย่ะ ยัยฟาง...แหม คนอย่างเธอ ถ้าจะเป็นครูกับเขาคงมีเรื่องวุ่นวายน่าดู"
 
" จะให้ฟางเป็นครู แบบ ผ้าพับเรียบร้อยกะรอให้เด็กมันสอนเรา..รึไงกันเล่า?"  หญิงสาวชักสีหน้าใส่ คนถูกถามเก่าหัวแกรกๆ พลางโบกมือไล่ สายตาเหนื่อยหน่าย
 
" เออๆ  พูดตอนนี้จะไปข้าใจอะไร ดื้อจริงๆ ผู้ใหญ่เขาเตือนก็ไม่ฟัง นี้ล่ะหน่า เด็กยุคใหม่โลกไอที  เอ้า...จะไปกินเลี้ยงอะไรก็ไป ไม่ยุ่งด้วยแล้ว"
 
หญิงสาวไหว้ลาอีกครั้ง เจ้าเผือกในชุดเสือยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ หันมามองหญ้าฟางก่อนจะกวักมือเรียกเธอ
" เร็วๆๆๆ  รีบขึ้นรถเร็ว สายแล้วน่ะ"
 
 ฟีโน่คันแดง พุ่งทะยานออกสู่ใจกลางถนนที่เวิ้งว้าง ป้าแมวลอบมองดูก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
 
" จะไหวมั้ยนะ ไอ้ฟางเอ๊ย!!!"
 

 
 
หลังมอ.ในยามที่แสงอาทิตย์ใกล้ลาลับ คือ สัญญานแห่งการเริ่มต้น
 
ความสนุก อิสระ ไร้ซึ่งบ่วงพันธนาการทุกๆสิ้น
 
ครอบครองทุกตารางเมตรบนท้องถนน
 
แสงไฟนีออนที่ประดับตกแต่งตามหน้าร้าน
 
หากทว่า  ไม่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ให้วุ่นวาย  มีเพียงรถมอไซค์ สี่ห้าคันที่ขับผ่านไปแบบไม่ทุกข์ร้อน ไม่กังวล ไม่เคร่งเครียดกับทุกสิ่ง
 
ธรรมดาที่แห่งนี้ ในยามที่ผืนฟ้าสีครามปกคลุมไปทั่ว ภาพของเด็กนักศึกษาชายหญิงทุกคนล้วนเดินทางมาเพื่อพักผ่อน  ที่ผับบาร์ร้านเหล้า แน่ล่ะ..คุณบางคนคงรู้สึกส่ายหน้าเอือมระอาใจ
 
การเที่ยวผับ บาร์ มันมิใช่การกระทำที่ "ผิด"
 
แต่ก็ไม่สมควรกระทำ......
 
ถ้าขาดสติ ไม่ยั้งคิด
 
หญ้าฟางไม่รู้และไม่กล้าที่จะตัดสินว่า การท่องเที่ยวในช่วงเวลากลางคืน คือ สิ่งที่ผิดหรือถูก หากแต่ทุกคนมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
 
โตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็ก  หรือเด็ก อาจจะดูโตกว่า...
 
หมายถึงความกว้างของสมอง  ไม่ใช่ส่วนร่างกายที่งอกออก
 
การเป็นนักเที่ยวกลางคืนตัวยง ทำให้เธอก็ระแวดระวังภัยที่มันอาจเกิดได้ทุกเมื่อ
 
ชีวิตมีค่า อย่าเสียมันไปเพราะความโง่ เพียงชั่ววูบเดียว
 
เพียงเศษเสี้ยวที่กระพริบตา อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
 
"ถึงแล้วๆๆๆ เอ้าา ลงเลย"  ร้านส้มตำแลดูคล้ายเพิงพักพิงสำหรับคนจรฯ  แต่นั้นแหล่ะ...
อย่างที่เธอเคยร้องเพลงแซวเพื่อนเมื่อครั้งกระโน้น
 
...คนจนชอบอวดรวย แต่งหน้าให้สวย รอคนรวยมาร่วมจน.. 
คนรวยชอบอวดจน แต่งหน้าหม่นๆ รอคนจนมาช่วยรวย
 
หญ้าฟางมองดูคนในร้านที่มีเพียงโต๊ะของกลุ่มเธอแค่โต๊ะเดียว นอกนั้น รู้สึกจะว่างเปล่า
 
"ช่วงนี้เขาหยุดกัน เด็กนักศึกษามีน้อย กำไรเลยหดหาย"  อาเฮียขายลูกชิ้นที่หน้าคณะบอกเธอเมื่อสองสามวันก่อน
 
" กำไรมันหดได้ด้วยเหรอ? มันทำมาจากยางรึไง ถึงหดได้"
 
ฉะนั้นหลังมอในวันนี้จึงมีร้านค้าเปิดไม่มากนักแก๊งค์สามสาวเพื่อซี้กำลังนั่งเขี่ยไอโฟนรออยู่ในร้าน สายตาทั้งสามสาวหันมามองค้อนควับ เมื่อร่างสูงโปร่ง สัดส่วนคล้ายกระปุกนาฬิกาทรายแต่ป้อมกว่าหน่อยนึง  ท่วงท่าทะมัดทะแม่ง ดูปราดเปรียวดี  สเต็ปในการก้าวเท้าก็ดูเหมือนจะเร่งรีบ  
 
กลัวไม่ได้กิน  หรือรีบกินแล้วจะชิ่งกลับก่อนก็ไม่รู้?
 
"มานานแล้วเหรอ"  เธอเดินเข้าไปถามก่อนจะนั่งลงข้างๆกับเจ้ปุ้มนักศึกษาครูสาขายอดฮิตขวัญใจคนทั้งโลก......ภาษาอังกฤษ 
 
"นานจนรากงอกเลยย่ะ  นึกว่ารถคว่ำตายห่าทั้งสองไปแล้ว"
 
" แช่งแรงนะ..."  หญ้าฟางยิ้ม เธอรู้ว่า ไอ้พวกบ้า มันชอบหยอกด้วยคำพูดแรงๆ บางทีก็มากกว่าด่ากันเสียอีก
 
" เอ้า...อยากกินอะไร บอกมา"  เธอทำท่าเตรียมจดเมนูใส่กระดาษ
 
" คุณเธอจะเลี้ยงใช่มั้ย?" เจ้นายด์เอ่ยขึ้น สายตากล้อมแกล้มของเจ้าหล่อน คล้ายดั่งมีเลศนัย
 
" หารกันออกสิจ๊ะ"
 
ไอ้เผือกสำลักน้ำออกมาก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น
 
"  บ้าจริง  น้ำในแก้วฉันมันเค็มน่ะ  เหมือนคนแถวนี้แอบเอาเกลือมาใส่ เลยสำลัก"
 
คราวนี้ เสียงหัวเราะของคนทั้งโต๊ะดังขึ้นพร้อมกัน ยิ่งกว่าเสียงสากตำครกในร้านเสียอีก  
 
" ไอ้บ้า!!!! ฉันล้อเล่น แหม...ฉันก็ไม่ได้งกอะไรขนาดนั้นซักหน่อย ไหนๆจะเลี้ยงทั้งที ก็เอาให้เต็มที่ไปเลยสิ เพื่อนกัน....อ๋อ"  หญ้าฟางทำท่านึกอะไรออก เธอหยิบถุงของฝากจากป้าแมวแจกให้มันกันคนละกล่อง
 
"แหม   ตีซี้กับป้าร้านขายข้าวแกง คงจะได้กินข้าวแกงฟรีทุกวันเลยล่ะซิ"  เจ้ออยเปิดฉากแทรกขึ้นบ้าง  หญ้าฟางยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ถูกไอ้เผือกล้อบ่อยๆ
 
ยิ้มแบบยักษ์ยิ้มใส่  กึ่งยิ้มไม่ยิ้ม ออกแนวจะยิ้มหาเรื่องเสียมากกว่า
 
" ของฝากส่วนของฝาก ของซื้อส่วนของซื้อย่ะ ของฟรีมันไม่มีในโลกหรอก ถึงมีก็ใช่ว่าจะของดีซะเมื่อไหร่"
 
ไอ้เผือกมองหน้าหญิงสาวผู้มาดมั่น แต่สายตาของมันกลับมองเลยผ่าน  ผ่านข้ามไปยังร้านหมูย่างร้านข้างๆ
 
เสียงหัวเราะที่เหมือนจะดังกลับผ่อนแผ้วลง
 
ใครคนหนึ่งจ้องมองมา สายตาเหี้ยม มุมปากยิ้มร้าย  ทว่าเป็นด้านหลังของหญิงสาว ไอ้เผือกหลุบดวงตานั่งนิ่ง
 
เจอเข้าแล้วไง...
 
ศัตรูคู่อริของมัน  ไอ้ปวงโชค!!! 
 
ตอนแรกก็แค่ใช้เป็นเหยื่อล่อ หลอกให้เลี้ยง ไม่นึกว่าเหยื่อจะมาเองจริงๆ
 
วันนี้ท่าจะได้ฝึกวิชาตัวเบาอีกครั้งแล้วกระมัง
 
กลิ่นหมูย่างบนเตาลอยโชยแตะจมูก จมูกคมสันดังสูงสูดดมเข้าไปอย่างช้าๆ หากทว่าคนหิวจัดกำลังจะหันมองไปตามกลิ่นแต่...
 
" เอ้า!!....ส้มตำมาแล้ว  กินกันเถอะ"  นิ้วหยาบยาวแตะที่ฝ่ามือนางอนงค์คนสวย เป็นการสะกิดที่สั่นไหวมากที่สุด
หญ้าฟางยิ้มรับหน้าแป้น  แลดูจะสนใจส้มตำสามจานมากกว่ากลิ่นเนื้อย่างหอมยั่วยวน
 
เออ....ดี  ซัดเข้าไปเต็มๆปากนั้นแหล่ะ  อย่าหันไปมองด้านหลังเชียวนะมึง ไม่งั้นยุ่งแน่
 
"เอ้าาาาา ฉลองเว้ย ฉลอง กินกันให้เต็มที่เลย ถ้าไม่หมดน่ะ รอบหน้ากูไม่พามาเลี้ยงอีกนะ"
 
เสียงทีคุ้นเคย ทำให้คนเคี้ยวตุ้ยๆ หยุดกึกวางช้อนพลางเหลียวหันไปมอง 
 
ไอ้ห่านรกปวงโชค เจ้ากรรมคุณเวรที่ตามมาหลอกหลอนเธอไม่จบไม่สิ้นกำลังหันมาแสยะยิ้มใส่ก่อนจะชูแก้วเหล้าร้องตะโกนบอกกับกลุ่มลูกน้องของมัน
 
" พวกมึง จำไว้นะ...คนเป็นหัวโต๊ะเลี้ยง...อย่าเลี้ยงเพื่อนส่งเดช  มันไม่ดี รู้มั้ย? มีเงินก็หัดใช้เงินให้เป็น ไม่ใช่อุบอิบเอาไว้สำราญบานใจแค่คนเดียว โถ่...เรียนเก่งแต่แล้งน้ำใจ ใครเขาอยากจะคบ!!! "
 
ประโยคช่วงท้ายกระแทกแดกดันเต็มเหนี่ยว  หญิงสาวมองจ้อง สีหน้าคล้ายคนกำลังอยู่ในเตาอบทั้งๆที่บรรยากาศในค่ำคืนนี้นั้นเย็นสบายพลิ้วๆ
 
สายตาที่จ้องมองแทบจะกินเลือดกินเนื้อของคนทั้งคู่ แม้จะอยู่คนละร้านหากแต่มองเห็นได้ชัดถนัดตา เจ้าเผือกและพ้องเพื่อนต่างมองภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้านั้นด้วยอารมณ์ลุ้นระทึกยิ่ง!
 
" หนักหัวพ่อมึงสินะ"  คำสบถที่ไม่น่าพลั้งพลาดหลุดออกจากปากสตรีผู้มีนัยต์ตาดั่งดรุณีวัยแรกแย้ม
 
แววตาน่ารัก ชวนลุ่มหลง  แต่ทำไมปากคอเฉาะร้ายกลายเป็นดรุณีกลางดงตลาดไปได้
 
หรือว่ามันจะเป็นกระเทยแปลงเพศว่ะ
 
ปวงโชคไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่ายามนี้ สาวงามในคราบทอมบอยลุกขึ้นจากเก้าอี้
ตะวัดเท้าก้าวเข้ามาในร้านอย่างเร็ว
 
ปวงโชคช้อนตามอง หากแต่ไม่พูดอะไร....
 
เดี๋ยวมันก็พูดเองแหล่ะ
 
" จะพูดอะไร จะด่าใคร ก็พูดชื่อคนนั้นออกมาเลยสิ...แหม จะด่าใครยังไม่กล้า  ทำไมรึ? กลัวฉันเหรอ  ผู้ชายกลัวผู้หญิงแม่งโครตสุภาพบุรุษมากๆเลยนะ จะบอกให้"
 
" ไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดเว้ย!!!" เขาขึ้นเสียง หญ้าฟางจ้องมองพลางยิ้มเล็กน้อย
 
ไม่ได้ยิ้มแบบโปรยเสน่ห์ เพราะยิ้มไม่เป็น เป็นแต่ยิ้มแบบหาเรื่อง
 
จะเอาเรื่องอะไรดีหนอ...
 
" อุ้ยตาย...กลัวเปลืองน้ำลาย จะกลัวไปทำไม ร่างกายคนเราผลิตน้ำลายได้มากกว่าน้ำขวดโพลาริสเสียอีก แหม....สมองเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหมดเนี่ย คงไม่ได้ขัดเกลาใช้ง่ายมันบ่อยสินะ ดีแต่บริหารกล้ามเนื้อขา  ไม่ยักจะบริหารเนื้อสมองบ้าง"
 
" ไอ้ห่า สมองกูกูจะเก็บไว้ที่ไหนก็ช่าง เรื่องของกู!!!"
 
" ก็แค่เตือน...เห็นว่า เป็นคนคิดอะไรไม่เป็นไม่ใช่รึไง?"  ปวงโชคหันควับ หรี่ตาขวาง แต่เจ้าตัวไม่สนใจพูดฉอดๆไปเรื่อย
 
"อ่อ แล้ววันนี้ที่มานั่งกินเลี้ยงกันเนี่ย เลี้ยงในวาระโอกาสอะไร...ไล่กระทืบเด็กสามขวบงั้นเหรอ?"
 
" ก็แค่สอบได้ที่หนึ่ง ก็เลยพาเลี้ยงยกห้อง"  คำพูดที่จงใจใส่กระแทก ทำให้หญ้าฟางหยุดชะงัก
 
น้ำหน้าอย่างมัน ดูๆไปก็ว่า น่าจะฉลาดอยู่
 
ฉลาดกว่าเห็บหมา  ตรงที่...นอกจากจะดูดเกาะสูบเงินพ่อแม่แล้ว ยังฉลาดในเรื่องต่อยตี
 
ก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ ที่มันชอบทำ
 
" ยัดเงินไปกี่บาทล่ะ"  หญ้าฟางคว้าแก้วเหล้ามาจากมือมัน
 
" ทำเองเว้ย!!!"  เสียงช่วงท้ายหนักแน่น แววตาคล้ายอยากจะขย้ำคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
 
รู้ทันดักทางไปหมดซะทุกเรื่อง...รึ นอสตราดามุสจะสิงร่างมัน?
 
หญ้าฟางวางแก้วเหล้าไว้บนโต๊ะอย่างเดิม ยิ้มกระหย่องมองหน้าคล้ายยียวน
 
ผู้หญิงฉลาด คงจะชอบหลงตัวเกินไป....ดี ที่ยังมีรูปทรัพย์ให้ชายตาแลนิดๆ
 
ไม่อย่างงั้น...เขาคงไม่ทนนั่งมองดูร่างเพรียว สวย สง่า ทว่าความงามนั้นเกือบจะมิมีหลงเหลือ
 
เธอเตรียมตัวหันหลังกลับ เสียงห้าวลึก ก็ดังขึ้นในฉับพลัน...
 
" จะไปไหน...มาเยี่ยมย่างหาเรื่องคนอื่น แล้วคิดจะไปง่ายๆกันแบบนี้เหรอว่ะ?"
 
หญ้าฟางไม่สนใจ เรื่องไรใครเขาอยากจะเสวนากับไอ้พวกสมองปลวกแบบนี้  แค่ถากถางใส่ไม่กี่คำยังไม่อยากจะง้างปากพูด
 
พูดไปมันก็ตัดสินอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นมือหมัดนัดเด็ด อาจจะไม่แน่?...
 
ชายร่างใหญ่ยักษ์ หัวล้านสว่างใส ยืนขวางเธอ  ความสูงฉลูดรูดฟ้าแค่เลยหัวเธอไปนิดเดียว แต่ร่างกายกำยำล่ำสันเหมือนกับคนที่ชอบเข้าฟิตเนตอยู่บ่อยๆ ทำให้เธอประหวั่นเล็กน้อย
 
น่าจะไปประกวดนักเพาะกายทีมชาติจะดีกว่านะ....เอาทางดีไม่ได้ อยากกลายเป็นยักษ์มักกะสันรึไงกัน?
" หลีกไป..." หญิงสาวออกเสียงด้วยระดับ 120 เดซิเบลคงมิอาจทำให้ร่างยักษ์สะท้านโลกเขยื้อนเลื่อนหนีหายไปได้
 
พูดด้วยปากไม่ชอบ....คงชอบให้คนเขี่ยปากเล่นกระมัง
 
" ไม่หลีก!!!" มธุรเสียงอันกึกก้อง คล้ายดั่งจะประกาศศึกไปออกรบกับใครเขา  ถ้าหากไปเป็นลูกน้องใครคงจะเยี่ยมเลยทีเดียว เสียดายที่มาอยู่เป็นทาสรับใช้ของไอ้ปวงโชค  
 
กำปั้นเหล็กพุ่งเข้าใส่ใจกลางท้องน้อยของมัน ร่างน้อยเอวบางพลิ้วสวยหยุดชะงักใบหน้าเรียวได้รูปเงยขึ้นมองอย่างช้าๆ
 
ไอ้ร่างยักษ์จ้องมองตอบ สีหน้าไม่หวาดหวั่น มิหนำซ้าดูเหมือนมันจะแอบยิ้มเยาะเธอผ่านดวงตาเสือร้ายคู่นั้น
 
เป็นธรรมดาของชายชาตรีที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งทระนงตน ส่วนสาวงามยามกลีบกุหลาบบานผลิ อ่อนโยน ละมุนละไม หรือ คำเรียกที่ชินหู "กุลสตรี"
 
แต่เสียดายที่ความเป็นกุลสตรีกลับไม่มีติดตัวธอเลยซักนิด
 
" ไง....มีแรงแค่นี้เองเหรอ? สรุปว่าจะต่อยหรือจะเกาพุงกันห่ะ! อิโด่...ไก่อ่อนฉิบ"
 
มันพูดพลางทำท่าเกาพุงใส่  สีหน้ายิ้มกริ่มคล้ายกับคนแอบคิดอะไรในใจ
 
ถึงแม้จะไม่มีจริตจะก้านตามแบบฉบับผู้หญิงทั่วๆไป สวยก็ใช่ ดูดีก็มากพออยู่  แต่ไอ้สิ่งที่ขัดตาเนี่ยสิ
 
ใบหน้าไร้รอยเครื่องประทินตกแต่งผิว เผยให้เห็นความงามจากธรรมชาติโดยแท้จริง ไม่มีการอำพราง ไม่มีการปกปิด
 
การแต่งกายเข้าขั้นเกือบซอมซ่อ สีของเสื้อเริ่มหม่นหมองแสดงว่า ใส่มาหลายปีจนสีเริ่มซีดจางลง
 
นี้..ถ้าจัดแต่งชุดสายเดี่ยว อวดหุ่นให้มากกว่านี้หน่อย...คงน่าเจี๊ยะไม่ใช่เล่น
 
" เอ้า..ก็ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางร่างน้อย จะต่อยใครได้ลงกันเล่า"
 
เธอพูดพลางยิ้มแหย่ใส่  เอาละว่ะ ผู้ชายต่อให้มีเรี่ยวแรงแข็งแกร่งถึงขั้นล้มช้างล้มวัวได้
แต่ผู้ชายมักจะชอบมองข้ามผู้หญิงอยู่เรื่องหนึ่ง..
 
"อะไรว่ะ?" คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวตรงหน้าค่อยๆก้าวเดินเข้าหาอย่างแช่มช้า เรียวปากโค้งได้รูปกำลังพูดต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงใสๆ ดังที่ข้างหูขวาของมัน
 
" ก็อะไรล่ะ...ฉันก็แค่อยากจะบอกว่า ถึงผู้หญิงจะต่อยไม่หนักเท่ากำปั้นมือของผู้ชาย..."
 หญ้าฟางหยุดนิ่ง หันมาสบตามัน ก่อนจะเผยอริมฝีปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระแทกใส่อย่างสุดตัว
 
" แต่ก็ไม่โง่ ปล่อยให้ใครมาหยามหน้ากันได้ง่ายๆหรอกเฟ้ย!!!"
ฉากสุดท้ายที่มันได้เห็น มีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้าระหว่างขาทั้งสอง คนตัวโตนอนล้มดิ้นพรวดๆ ลมปราณภายในร่างเริ่มรวนเร
 
จุดยุทธศาสตร์ของผู้ชายมันก็มีอยู่ที่เดียวนั้นแหล่ะ!!
 
หญ้าฟางหยิบถังใส่น้ำแข็งที่บรรจุก้อนสีขาวขุ่น ละอองไอความเย็นลอยขึ้นปะทะผิวหน้าของเธอ
 
ก้อนน้ำแข็งค่อยๆดิ่งลงออกจากปากถังกระทบกับศรีษะล้านสว่างโล่ง สุดท้ายก็จับครอบใส่หัวมันซะ
 
ให้ตายเถอะ....ตัวโตยังกะยักษ์ แต่หัวลีบนิดเดียว คงมีความคิดเท่าแค่เปลือกถั่วล่ะมั้งนั้น
 
" โหะ...ดีนะที่ฉันเป็นแค่ไก่อ่อน ไม่ใช่ไก่แช่เย็นแบบแก"
 
สภาพที่นอนคุดคู้ สองขางอเข้าหาตัว ร่างนั้นสงบนิ่ง แต่ช่วงบน กล้ามเนื้อหน้าอกยังคงสั่นไหวอยู่อย่างช้าๆ ปากของมันเผยอคล้ายจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ทำได้แค่เป่าลมผ่อนไอเย็นออกจากปาก
 
" อีสวย...มึงทำไรลูกน้องกู!!!"
ปวงโชคซึ่งนั่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ เดินย่างก้าวสามสี่เท้าด้วยท่าทีไฟสุ่มอก ร้อนผ่าวด้วยอารมณ์ภายในที่เป็นเดือดเป็นแค้นยิ่ง
 
เวรเอ๊ย....ทำเป็นคุยว่า ล้มได้...อวดเก่งกันดีจริงจริ๊ง
ไม่พ้นกูลำบากหามพาไปเสียตังค์อีกจนได้  อยากจะบ้า!!!
 
" ก็เห็นอยู่ทนโท่ ตาบอดรึ?"  เธอย้อนใส่ ปวงโชคยืนมอง เห็นแสงไฟระเรื่อในม่านตาดำเกลาของมัน  แสงไฟแห่งโทสะที่คุกกรุ่นอยู่เด็มดวง
 
" อ่อ....แล้วทีหลังจะเล่นอะไร ดูของเล่นให้มันดีๆ ด้วย เพราะบางอันใช้งานเยอะ มันก็สึกกร่อน ไม่เหมาะที่จะเอามาเล่นใหม่....ไอ้พวกกระจอกเนี่ย  เอาไปโละทิ้งเสียใหม่เถอะ โตแต่ตัว หัวไม่ขยับ"
 
" หึ...ก็เด็กวิศวะ เขาไม่นั่งเอาหน้าแนบชิดตำราเรียนเหมือนพวกนักศึกษาครูหรอก...ใจถึงใจเหล็กยิ่งกว่าเพชร ไม่ใช่ไอ้หมาลอบกัดเหมือนใครบางคน"
 
" หมาลอบกัด" หญ้าฟางนึกทวนคำพูดเมื่อครู่
" งั้นก็คงไม่ใช่ฉันสินะ...เพราะฉันเป็นคนไม่ใช่หมา"
 
หญ้าฟางเพ่งมองศัตรูคู่แค้นด้วยทีท่านึกเล่นนึกสนุก คำพูดยียวนชวนถีบพาลให้คู่สนทนาชักอยากจะพุ่งสอยเข้าหน้าสวยๆของมันซักหมัด
 
แต่สองแขนที่ว่าทำได้แค่งอนิ้วกำหมัดค้างไว้ได้อย่างเดียว
 
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ถึงไม่อยากจะทำแบบนั้น ทั้งๆ...ก็มีโอกาสที่จะทำ
 
คงเป็นเพราะศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในสันดานกระมัง เขาถึงไม่อยากทำ
อะไรให้ระคายเคืองรูปผิวงามของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า!!
 
" เอาล่ะ...ฉันขี้เกียจจะเสวนากับพวกแก หรือ ถ้าไม่อยากจะเสวนาจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่ว่า มากันตั้งเยอะ ไม่คิดอยากจะออกแรง ไล่เตะผู้หญิงบ้างหน่อยเหรอ?"
 
คำเชื้อเชิญที่แฝงแววความเย้ยหยันอยู่ในคำพูด  เหมือนเป็นน้ำกรดสาดเข้าหน้าพวกมัน 
 
ลูกน้องนับสิบชีวิตหันไปสบตากับเจ้านายใหญ่  เมื่อเขาขยิบตาให้สัญญาน  ฉากสมรภูมิย่อยในร้านหมูกะทะก็บังเกิดขึ้นในทันที
 
หมัดขวาพุ่งสวนเข้าใส่โหนกแก้มซ้านของไอ้ใครคนหนึ่ง น้ำโลหิคสีแดงไหลออกตามซอกจมูก หยดย้อยลงติ่งๆใส่พื้น  มันจามใส่เธอหนึ่งที  น้ำสีแดงเปรอะเปื้อนตามใบหน้าเธอไปทั่ว
 
สกปรก..โซโครก!!!
เรียวเท้าใต้ผ้าใบคู่สวย แหวกทะลุลมสอยเข้ากกหูมันอย่างรวดเร็ว   ภาพหนุ่มไม้ตะเกียบนอนชักดิ้นชักงอพลางร้องเสียงโอดโอยเสียมิได้  เลือดที่ออกตามจมูก บัดนี้ดูเหมือนจะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น
 
หมัดซ้ายกระแทกสวนเข้ากลางท้องน้อนของอีกคนที่คิดจะเล่นทีเผลอ มันทำหน้าจุกเสียดเหมือนลมไม่เดิน เธอมองมันด้วยสายตาเวทนาอาทร ก่อนจะใช้ส้นเท้าเหยียบเข้ากลางอกมันอีกที
เผื่อเลือดลมจะเดินได้สะดวกอีกหน่อย!!
 
เท้าซ้ายเสยเข้าใต้คางของไอ้หนุ่มรุ่นสะเดาะ หน้าตาจิ้มลิ้ม ดูเหมือนจะเพิ่ง ปีหนึ่ง เองเสียด้วย
 
ไม่อยากจะทำร้ายอนาคตมันเท่าไหร่... เอาแค่ฟันซักร่วงสี่ห้าซี่ก็พอ
 
ข้อศอกหมุนตวัดซัดใส่หน้าของไอ้พวกลอบกัดด้านหลัง  เสียงดังกร๊อบได้ยินมาแว่วๆ เมื่อหญ้าฟางหันไปมองตามเสียง
 
มันยืนกุมจมูกที่แต่เดิมแหมบจนแทบจะประสานเป็นหน้าเนื้อเดียวกัน มาตอนนี้ยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่
 
ก็ดี....เสร็จงานนี้ ก็ไปอัพหน้าใหม่ซะ  จะได้มีคนเขาแลหามึงบ้าง
 
หญ้าฟางหันซ้ายมองขวา  เหลือคนสุดท้าย...คนสุดท้ายกับชีวิตท้ายที่สุดของมัน!!
 
หญิงร่างบางกระโดดขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว คว้าจาชาม แก้วน้ำ ช้อนส้อม ทุกอย่างเขวี้ยงใส่มันไม่ยั้ง
เมื่อคนเขวี้ยงเขวี้ยงใส่ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย  คนหลบก็ตั้งวิ่งหลบให้รอด แต่ก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่
 
ลูกน้องคนสุดท้ายคนนี้ ตัวใหญ๋ไม่แพ้กับไอ้ล้านยักษ์ที่นอนแช่แข็งอยู่  มันวิ่งพรวดๆเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว  มือทั้งสองของมันจับขาคู่สวยของเธอแยกออก  ทำให้หญิงสาวไร้การทรงตัว ล้มลงครืน..
 
" เสร็จกูแน่...อีสวย!!!"  เสียงคำรามระคนปนสะใจ  แต่เรื่องอะไร..จะยอมให้มันชนะได้ง่ายๆ
 
หญ้าฟางเอื้อมมือไปคว้าจานใบหนึ่ง มองหน้าลังเล...
 
ผมหนาแบบนี้จะฟาดใส่มันคงไม่เป็นผล
 
แต่แล้วเธอก็เห็นจุดบอดของมัน...
 
" มันยังไม่เสร็จง่ายๆหรอกโว้ยย!!"  ขอบจานจี้ที่ซอกคอมัน ก่อนจะกระแทกเข้าลูกกระเดือกที่เห็นได้ชัดสำหรับผู้ชายทุกคน
 
มันร้องเสียงหลง มือสองข้างโอบกุมคอหนาเป็นชั้นของมันเอาไว้  พลางนึกสบถในใจ
 
อีนี้  แม่งร้ายกาจชะมัด
 
ปวงโชคที่ยืนดูเหตุการณ์ทุกอย่าง   ตั้งแต่เริ่มจนจบ  แววตาของมันคล้ายดูโกรธแต่ก็เหมือนไม่โกรธ  หากโกรธก็คงต้องโกรธตัวเองที่เสี้ยมลูกน้องมาไม่ดีพอ
 
ผู้ชายสิบห้าคน นอนร้องสะโอดสะโอยอยู่กับพื้นสมกับสภาพของคนแพ้ ส่วนคนที่ชนะ...เป็นสตรีที่ควรแก่การยกย่องในความกล้า  
 
กล้าจนทำให้ต้องกลัวอยู่หน่อยๆ
 
" อีฟาง!!! มึง อี...."   เหมือนมีก้อนแข็งมาปิดทางหลอดเสียง  พูดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก จะด่าก็นึกคำด่าไม่ได้  เหมือนว่าอาการช็อกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังไม่เจือจางลง
 
" อะไรเหรอคร้า..คุณปวงโชค แหม...คงกำลังเลือกสรรหาคำด่าอยู่ใช่มั้ย?"  เธอเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ  แต่มันก็ขยับเท้าหนี  สีหน้าบ่งบอกความกังวลมากกว่ากลัว
 
" ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ..กลัวลูกน้องตายเหรอ..?  ฉันไม่ใจไม้ไส้ระกำ ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลา  แต่ละรายที่นอนกลิ้งกันอยู่เนี่ย ไม่ถึงตาย แค่กระดูกร้าว ดั้งหัก ฟันเจ็บ เอ็นฉีก สะโพกเคลื่อน บางรายก็แค่หน้าเปื้อนรอยเท้าฉันนิดเดียว  ไม่เจ็บอะไรมากมายนักหรอก
ยกเว้น  ไอ้คนแรกที่เข้ามาประมือกับฉันก่อน  ไอ้นั้นน่าห่วงกว่าเสียอีก..ถ้าไม่รีบพาไปโรงบาล อาจตายขึ้นมาจริงๆก็ได้นะ"
 
คำพูดที่ไม่รู้ว่า เป็นห่วงจริงๆหรือแสร้งปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมา  น้ำถ้อยน้ำเสียงมีเจือถากถางเล็กน้อย หากแต่ไอ้รายแรก เธอยอมรับโดยดี
 
แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ว่าโหด เจออีฟางสวยโสดโค่นขาดิบซะก่อนเถอะ!!
 
จับมีดฆ่าคนจะไปสนุกอาร๊าย...ต่อยเตะสดๆ อย่างนี้แหล่ะ
 
สะใจดี!!
 
เจ้าหล่อนหันไปมองมัน เพียงแค่แวบเดียวใจก็เริ่มกองไปที่ตาตุ่มเสียแล้ว
 
ใบหน้าของไอ้ล้านยักษ์ เริ่มมีสีด่างขาวๆ ระบบไหลเวียนเลือดกชักจะเริ่มฝ่อลง ริมฝีปากซีดกรัง ลมหายใจระรวยริน เลือดในตาเริ่มคลั่ง
 
เริ่มชักเป็นกังวลกับไอ้รายนี้ขึ้นมาแล้วสิ  นี้..ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา จะมิถูกพาลกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรฆ่าหมูหรอกรึ
 
" แกร๊ก"  เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น วัตถุแข็งขืนแตะที่ท้ายทอยของเธอ เมื่อเหลียวหันกลับไปมอง ไอ้สิ่งๆนั้นมันอยู่ใกล้แค่ปลายเนื้อจมูก
 
ลูกกระสุนปลายแหลมที่บรรจุอยู่ภายใน กำลังรอสัญญาณจากผู้เป็นเจ้าของลูกโม่กระบอกนี้
รอยยิ้มที่ฉีกกว้าง ไม่ประสานสัมพันธ์กับแววตาเหี้ยมของมัน  มันลอบมองอย่างสะใจก่อนจะเอ่ยคำน้ำเสียงที่ทำให้เธอสั่นเทิ้มไปทั่วร่างว่า
 
" ไม่ต้องมาแสดงเป็นแม่พระตอนนี้หรอก  ลูกน้องกูมันยังไม่ถึงคราวไปหาพ่อยมในปรโลกหรอก  แต่มึงก็ไม่แน่  แค่นัดเดียวอาจจะไปก่อนไอ้พวกนี้ก็ได้ 
 
อ้าว..ทำไมหน้าซีดๆ  กลัวเหรอ? ก็ไหนว่าอยากจะลองของเล่นใหม่ไง ของเก่ามันน่าเบื่อไม่ทนมือ  แต่ไอ้ปืนกระบอกเนี่ย กูรับรองว่าไม่เคยฉลองใช้งานที่ไหนเลยซักนิด
 
เตรียมพร้อมจะไปทัวร์รอบนรกกันรึยังจ๊ะ...อีสวย!!!"
 
 
 
 
 
จบตอนที่สาม

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา