Between

9.1

เขียนโดย candle

วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.30 น.

  5 บท
  19 วิจารณ์
  9,905 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2557 18.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) นกมีหูหนูมีปีก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

 

             นกมีหูหนูมีปีก

 

          ชายชราท่าทางภูมิฐานใบหน้าสงบเยือกเย็น ในชุดสูทสีดำเนี๊ยบทุกท่วงกิริยา นั่งไขว่ห้างท่ามกลางผู้คนในร้านกาแฟหรู ผมสีดอกเลาถูกจัดทรงไว้อย่างบรรจง ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกคาดว่าเขาคือคุณตาผู้แสนใจดีของหลานๆ แห่งตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งเป็นแน่แท้

 

          มืออวบอูมยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ กวาดตามองผู้คนภายในร้าน สักพักจึงมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมานั่งร่วมโต๊ะ

 

          รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าชายชรา พร้อมค้อมหัวเป็นเชิงทักทายด้วยฐานะที่ด้อยกว่า มือกวักเรียกบริกร กาแฟถูกเสริฟให้เด็กหนุ่มผู้มาใหม่

 

          “ท่านใช้เผ่าพันธุ์ของข้าส่งสารถึงข้า ไม่ทราบว่าต้องการสิ่งใด”

 

          เด็กหนุ่มมองหน้าชายสูงวัย ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งความสงสัยชัดแจ้ง

 

          “ข้าเพียงแต่อยากรู้” คำพูดถูกขยักไว้รอดูท่าทีปกปิดความใจเร็ว

          “อยากรู้...มีเรื่องไหนที่ท่านไม่รู้แล้วข้าจะรู้เล่า” ชายชราเอียงหน้ามอง ริมฝีปากหนากระตุกยิ้ม

 

          “ก็ไม่แน่” รอยยิ้มรู้เท่าทันเปิดเผยหลังจบประโยคของเด็กหนุ่ม ทำให้ชายชราอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ เห็นทีว่าเขาต้องมองเด็กหนุ่มคนนี้ใหม่เสียแล้ว

 

          “เรื่องใด หากข้าตอบได้ข้าย่อมตอบ” น้ำเสียงแฝงโอนอ่อนยอมตาม

          “อวานีตามหาสิ่งใดอยู่”

          “โอ๊ะ!!!” ชายชราหลุดคำอุทานด้วยคาดไม่ถึงในคำถาม พินิจพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกคราหนึ่ง

          “ผู้คนหรือสิ่งของ” ผู้ด้อยวัยกว่ารุกเร้า

          “ผู้คน”

          “เป็นใคร”

          “เป็นใครนั้นข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน”

 

          เด็กหนุ่มหรี่ตามองชายตรงหน้า

 

          “เพื่ออะไร”

          “ย่อมเพื่อท่าน” ใบหน้าแฝงรอยยิ้มทิ้งสายตาปริศนาส่งให้เด็กหนุ่ม

          “เพื่อข้า” เด็กหนุ่มเคลือบแคลง

          “แต่ก็ไม่แน่อาจเพื่ออีกผู้หนึ่งก็ได้ ท่านย่อมรู้ดีกว่าข้าในข้อนั้น”

 

          ชายชราโยนเหยื่อ ก็แค่ลองดูไม่เสียหายอะไรประเมินสถานการณ์ รอยยิ้มเย้ยหยันแจ่มชัดบนหน้าเด็กหนุ่ม อย่างไม่เชื่อในสายตา

 

          “คนผู้นั้นอยู่ที่นี่งั้นรึ”

          “เพียงแค่คาดการณ์ท่านเหมือนกับที่ผ่านมา คนผู้นั้นคือความหวังของอวานี” ชายชรามองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเพียงยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบนิ่งเงียบไปลักษณะใช้ความคิด

          “เหตุใดไม่เป็นข้าที่เจอเจ้า”

          “...............”

 

          ชายชราหัวเราะในลำคอ

 

          “ค้างคาวเช่นข้าคงไร้ความหมายในสายตาท่านกระมัง”

          “เป็นเจ้าไม่มีความหมายในสายตาเจ้าคนโง่นั่น” วาจาเยอะเย้ยพาดพิงไปยังอีกผู้หนึ่งไม่ซ่อนเร้น

 

          เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง

 

          “ข้าหวังว่าเจ้าคงยินดีสำหรับสัมพันธภาพในคราต่อไป ระหว่างเรา”

 

          ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้พร้อมๆ กับรอยยิ้มใสซื่อปรับแต่งใบหน้า มือข้างขวาจับปีกหมวกให้ต่ำลงเล็กน้อยสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนหันหลังจากไป

 

          อา...เป็นข้าที่โง่งมหรือดวงตาอวานีมืดบอดกันแน่ นางระแวดระวังอีกผู้หนึ่งกลับหลงลืมอีกผู้หนึ่ง เจ้าค้างคาวเฒ่าเอ๋ยเจ้าเลือกข้างผิดไปเสียแล้ว

 

          **

          **

          **

 

          อวานีสำรอกดวงแก้วใสยามรัตติกาล นางไม่รับรู้มาก่อน ดวงแก้วใสขนาดเท่ากำปั้นห่อหุ้มร่างกายโคล์วลอยออกจากปากนางยามหลับใหล นางเดียวดายไร้คนพึ่งพิงไม่ล่วงรู้เรื่องราวอันใด หลังจากกผู้คนรอบกายนางล้มหายตายจากนางกลับอยู่มาอย่างโดดเดี่ยว

 

          อำนาจมารดาแห่งสรรพสิ่งคืออะไร นางมีอำนาจเหนือสิ่งใดบ้าง ทำอะไรได้บ้างนางไม่เคยรู้...

 

          ลูกแก้วใสลอยเคว้งคว้างสะเปะสะปะไร้ทิ้งทางวกวนอยู่ในป่าทึบ บางครากลับนิ่งค้างลอยอยู่กับที่อย่างไม่รู้ทิศทาง เหล่าภูตผีปีศาจในไพรพฤกแหงนหน้ามอง ส่งเสียงกู่ก้องพึมพำร่ำลือส่งต่อกัน ปิติยินดีในสิ่งที่ได้พบเห็น ปากต่อปากส่งถึงกัน

 

          “รูปกายด้านมืดถือกำเนิดแล้ว!!!” “รูปกายด้านมืดถือกำเนิดแล้ว!!!”

 

          หากหูอันมือบอดของมนุษย์หากลับได้ยินเสียงเหล่านี้ไม่ เนิ่นนานมาแล้วที่พวกมนุษย์ไม่เคยรับรู้การถือกำเนิดของสิ่งใดเลย แม้สิ่งนั้นจะงดงามควรค่าแก่การยกย่องนับถือควรค่าแก่การสักการะสักเพียงใดก็มิเคยได้ยิน เว้นก็เสียแต่หมู่มวลเทวดาเพียงเท่านั้นที่ยกมือสาธุการ

 

 

          เด็กชายตัวน้อยในลูกแก้วใสนอนคุดคู้ไม่รับรู้สิ่งอันใด ปีกสีดำทั้งคู่ห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่า เปลือกตาปิดสนิทลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ

 

          เพียงชั่วครู่ที่ลูกแก้วใสนิ่งค้างหยุดพักปรากฏคล้ายลมหอบใหญ่สีดำเป็นสายพัดพาหายไปในพริบตา หากจะมองกันให้ชัดเจนสายลมเส้นใหญ่นั้นแท้จริงคือหมู่ค้างคาวจำนวนมากผลัดเปลี่ยนกันโอบอุ้มลูกแก้วใสกลับไปยังถ้ำเพิงพัก

 

          ความชื้นเย็นภายในถ้ำบางคราคล้ายเร่งเร้าการถือกำเนิด บางคราคลับคล้ายปลอบโยนให้สิ่งมีชีวิตภายในหลับใหลยาวนานไม่ยอมตื่นจากนิทรารมย์ ละอองไอความเย็นแผ่ออกมาจากลูกแก้วใสเป็นระยะตามห้วงจังหวะการหายใจ ลูกแก้วใสถูกวางไว้ในส่วนกลางของถ้ำแลดูเสมือนหนึ่งห้องโถงใหญ่ เกร็ดหินงอกหินย้อยสะท้อนแสงวูบวาบระยิบระยับวิจิตรตระการตา

 

          “ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะได้เจ้าไว้ครอบครองง่ายดายเช่นนี้”

 

          บุรุษหนึ่งยิ้มลำพองในสิ่งที่หมายมาด การได้ถือครองความมืดบอดแห่งจิตใจมนุษย์ ความโง่เขลาเบาปัญญา การอยู่เหนือสิ่งนั้นคืออำนาจทั้งหมดทั้งมวลอันน่าปรารถนาเป็นที่ยิ่ง การได้ครอบครองมนุษย์ผู้ถือว่าตัวเองฉลาดล้ำเหนือฟ้าเหนือดินเหนือธรรมชาติ

 

          ...มนุษย์เอย เจ้าผู้โง่เขลา เจ้าคิดว่าจะมีอำนาจเหนือธรรมชาติได้ฉันท์ใดกันเล่า...

 

          เด็กชายผู้ถือกำเนิดใหม่กระพริบตาถี่ ไม่รู้ตัวเองเป็นใคร ไม่รู้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เด็กชายลุกเดินอย่างคนละเมอ กลิ่นสาบสางของบางสิ่งบางอย่างกระทบจมูก ตรงผนังถ้ำมีชีวิตเล็กๆ ห้อยหัวเรียงกันนับจำนวนไม่ได้ พื้นหินเย็นบนก้าวย่างแต่ละก้าวส่งกระแสบางอย่างให้เด็กชายกระปรี้กระเปร่าสดชื่น รับรู้การมีชีวิตมีเลือดมีเนื้อของตัวเอง การสูดลมหายใจเข้าสู่ร่างกายส่งเสริมการมีชีวิตเด็กชายรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้โดยปริยาย หลับตาสูดลมหายใจเต็มที่ กำหนดให้มันแผ่กระจายออกไปในทุกส่วนของร่างกาย แขนขา ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า เส้นผม

 

          “เจ้าสมควรมีอาภรณ์คลุมกาย” ผ้าผืนใหญ่สำดำถูกส่งให้ เด็กชายลืมตามองผู้อยู่ตรงหน้า

          “ปีกของข้าทำหน้าที่อยู่แล้ว”

          “นั่นก็ใช่ หากมันย่อมแตกต่าง” รอยยิ้มเย็นใจดีส่งให้ คว้าผ้าผืนใหญ่ในมือเด็กชายที่ยังคงถือยู่คลุมให้

          “อาภรณ์ที่สวมใส่ย่อมทำให้ผู้พบเห็นมองไปในอีกแบบหนึ่ง”

          “ข้าไม่เข้าใจ” เด็กชายพึมพำมองดูผ้าสีดำผืนนั้นที่ชายแปลกหน้าห่มคลุมร่ายกายให้ ผ้ามีขนวาวนิ่มในการสัมผัส หากเด็กชายไม่รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างร่างไร้อาภรณ์กับยามมีมันมาคลุมกาย หรือถ้อยคำของชายผู้นี้ความหมายของมันจะไม่ใช่อย่างที่เด็กชายเข้าใจ

          “วันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจเอง”

          “ท่านเป็นใคร...และข้าเป็นใคร” เด็กชายถาม

          “ข้าคือแบด ส่วนเจ้าบุตรชายคนหนึ่งของอวานีนามของเจ้าคือโคล์ว”

          “เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่” เด็กชายตั้งคำถาม ไร้ซึ่งคำตอบจากแบด

 

          เด็กชายเดินออกมานอกถ้ำ เหล่าบรรดาภูตผีปีศาจ อมนุษย์ล้วนส่งเสียงอื้ออึงหมายครอบครอง เพียงแบดสะบัดมือข้างหนึ่งพวกยื้อแย่งต่างถอยร่น ปรากฏเส้นวงแหวนไฟนอกปากถ้ำกั้นแดน

 

          “เจ้าใช้อำนาจใดหมายครองครองผู้เสพความชั่วช้า” ปีศาจตนหนึ่งไม่ยอมง่ายดาย หมายใจปลุกปั่นพรรคพวก

 

          แบดกวาดตามองถ้วนทั่ว

 

          “เจ้าเข้าใจผิดแล้วสหายเอ๋ย...ข้าเพียงแต่ดูแลเขาชั่วขณะ จะส่งคืนมารดาในไม่ช้านี้”

          “เขามีอันใดให้เจ้าดูแล”

          “ใช่ๆๆ” เสียงสนับสนุนดังขึ้นทั่วไป

          “ผู้เสพความชั่วช้าหาต้องมีใครดูแลไม่ เขาสามารถเติบโตได้ด้วยปีศาจในจิตใจมนุษย์”

          “นั่นก็ใช่ แต่ด้วยเขาเพิ่งถือกำเนิดจึงจำเป็นต้องเรียนรู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก่อนส่งคืนอวานี” แบดโปรยยิ้มแฝงเลศนัย

          “สหายทั้งหลาย ไม่มีใครครอบครองโคล์วได้พวกเจ้าย่อมรู้ แล้วข้าไหนเลยจะทำเช่นนั้นได้” แบดนิ่ง รอให้ถ้อยคำของเขาได้รับการไตร่ตรอง ทิ้งระยะให้พวกมันได้คิด

          “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”

 

          แบดยิ้ม ความฉลาดล้ำในการใช้คำพูดย่อมอยู่เหนือผู้อื่น

 

          “ข้าเพียงแต่อยากขอร้องพวกเจ้าเหล่าสหาย ระหว่างโคล์วพำนักอยู่กับเราที่นี่” แบดเลือกใช้คำว่า เรา แทนคำว่า ข้า ด้วยเพราะรู้ผู้รับฟังย่อมรู้สึกแตกต่างกัน นี่เป็นกลวิธีหนึ่งในการควบคุม

          “พวกเจ้าอย่าได้กวนใจเจ้าชายของเราเท่านั้นเอง อนุญาตให้เขาใช้เวลาในอาณาเขตของพวกเราอย่างสะดวกใจเท่าที่เขาปรารถนา”

 

          แบดเอียงคอค้อมหัวเล็กน้อย ผายมือเป็นท่วงท่าให้เกียรติแก่เหล่าปีศาจและอมนุษย์ทั้งหลาย ใช้มือดันเบาๆ ที่หลังเด็กชาย โคล์วก้าวเดินออกจากวงแหวนแห่งไฟไม่สะทกสะท้าน แบดยิ้มกริ่มแค่สิ่งเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าภูติผีปีศาจไร้ข้อกังขาในตัวเจ้าชายผู้เสพความชั่วช้า ไร้ข้อกังขาในความบริสุทธิ์ใจของเขา

 

          เพียงแค่อึกใจที่เด็กชายเดินออกมานอกถ้ำ ไกลออกไปเด็กชายมองเห็นแสงสีทองเหนือยอดไม้เรียกความสนใจใคร่รู้ เด็กชายเดินตรงไปยังทิศทางแห่งแสงนั่น ครั้นรู้สึกเหมือนเข้าใกล้ แสงนั่นจะถอยห่างออกไปทิ้งระยะให้เด็กชายเดินตาม แล้วค่อยถอยห่างออกไปอีก เป็นเช่นนี้อยู่พักใหญ่

 

          เสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมา

 

          “เหตุใดเจ้าไม่ใช้ปีกของเจ้าเล่าเด็กน้อย”

 

          เด็กชายสับสนกับเสียงที่ได้ยิน และยิ่งสับสนกับตัวเองยิ่งกว่า อา...ใช่แล้ว เขามีปีก ปีกสีดำสวยงามคู่หนึ่งตรงสะบักซ้ายขวา

 

          “ปีกของเจ้าเฉกเช่นเดียวกับนก เจ้าสามารถบินได้ด้วยมัน”

          “ข้าขอโทษ”

 

          เสียงหัวเราะเล่นล้อดังขึ้นอีกครา

 

          “เหตุใดเจ้าต้องขอโทษเล่า”

          “เพราะข้าไม่รู้สิ่งที่ควรรู้” เด็กชายหน้าสลด

          “ความเยาว์วัยช่างน่าทะนุถนอม ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเยี่ยงไรในภายภาคหน้า หากเมื่อเยาว์วัยกลับดีงามเสมอกัน”

          “...............”

          “ลาก่อนโคล์ว ข้าเพียงแต่แวะมาทักทาย”

          “เดี๋ยวก่อน ท่าน...เป็น...ใคร...” คำพูดสุดท้ายหายไปในลำคอ แสงสีทองที่เห็นหายไปแล้ว.

 

 

***เขียนต่อได้มาอีกนิดหน่อย  เฮ้อ...ได้แค่นี้แหละ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา