Love Devils
-
เขียนโดย รีบอร์น
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.39 น.
5 ตอน
1 วิจารณ์
8,636 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 16.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ระหว่างเดินทางและโลกแห่งใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"หาว"!!!
"ยังนอนไม่พออีกหรือไงครับ โชยะคุง"
"นอนพอแล้วล่ะนะ...แต่ว่าเพราะเริ่มหิวล่ะมั้งเลยอ่อนเพลียกว่าปกติ"
โชยะที่เดินไปหาวไปนั้นเอ่ยก่อนเหลือบมองมาที่กระต่ายสีขาวในอ้อมกอดของฉันอย่างกระหายอา'นี้ฉันคงให้ไม่หรอกนะ ฉันอุตสายอมโดนโซลโวยชุดใหญ่เพื่อให้ได้เจ้าขนนุ่มนิ่มนี้มา'
"แค่กระต่าย ทำไมต้องเจาะจงเป็นฉันด้วย"
โซลยังโวยวายไม่หยุดปากหลังจากที่โดนฉันปลุกให้ไล่จับกระต่ายให้ ถึงจะโวยวายก็เถอะสุดท้ายเขาก็ยอมวิ่งสี่คูณสองร้อยเมตรจับมันมาให้จนได้ล่ะนะ ฉันที่กอดกระต่ายตัวน้อยขนปุยขาวสะอาดตาอย่างดีใจอยู่นั้นแอบเหลือบมองคนปากร้ายใจดีอย่างขอบคุณ
"ว่าแต่เราต้องเดินอีกไกลแค่ไหนเหรอ"
"ใกล้ถึงแล้วครับ เดินอีกร้อยเมตรได้"
"..."
"มันใกล้ตรงไหนกัน ฮิบายะเนี่ยนะ"
"ก็ผมไม่รู้สึกว่ามันไกลนี้ครับ"
ถ้าเขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดเหรอ เขาคงไม่เหนื่อยขาเปล่าด้วยซ้ำก็ในเมื่อเขาเท้าไม่ได้ติดพื้นนี้ เขาใช้เวทย์มนต์ตั้งต่เริ่มออกเดินทางจนตอนนี้เขาก็ยังใช้มันอยู่ เหมือนกับว่าเขาเดินอยู่บนอากาศก็ว่าได้ ถึงโชยะจะบ่นขนาดไหนเขาก็หาได้เคืองคนมีพลังเวทย์ไม่ เขากลับสนุกด้วยซ้ำที่เดี๋ยวก็นึกคึกโดนเกาะมั้ยล่ะดึงบ้างล่ะ เป็นพวกที่สนุกสนานได้ไม่มีขอบเขตเอาซะเลยนะ กระต่ายในมือเริ่มสงบเสงี่ยมลงก่อนจะหลับไป เสียงของนกน้อยที่บรรเลงเสียงเล็กแสนไพเราะอยู่นั้นช่างเข้ากันป่าแห่งนี้จริงเพราะมันเพราะเสียงจนฉันเองก็อยากจะหลับให้เสียงเหล่านั้นขับกล่อมไปชั่วนิรันดร์ โซลยังคงเดินนำหน้าต่อไปเสื้อคลุมที่พวกเราสวมใส่ปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่านไปอย่างเบาบาง ราวกับว่ามันกำลังร่ายรำกับสายลมอย่างสนุกสนาน เสียงที่คึกคักของโชยะเงียบหายไปแทบที่ด้วยเสียงของใบไม้เสียดสีกันไปมา เสียงของป่าช่างไพเราะจริงๆ
"รีบเดินเข้าเถอะ เขตนี้พวกเราต้องรีบผ่าน"
"ทำไมล่ะ"
ฉันถามก่อนมองหน้าของโซลที่เริ่มดูวิตกเล็กน้อย รอบๆตวเริ่มมืดสลัวแสงจากทางที่เคยเดินผ่านมาค่อยๆห่างและไกลออกไปจนมองไม่เห็นแสงนั้น เจ้ากระต่ายในมือที่หลับก็กลับตื่นขึ้นมาก่อนพยายามตะเกียดตะกายอย่างหวาดกลัว ฉันกอดมันแน่นก่อนมองไปรอบอย่างหวาดระแวงไม่แพ้มัน เสียงของเหล่าสรรพสัตว์หายจางไปแทนที่ด้วยความเงียบสงัดน่าสะพรึงกลัว ขณะที่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดนั้นเสียงของใครบ้างคนก็ดังออกมาจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งถูกความมืดปกคลุมอยู่
"แฮ่...กลิ่นหอมจริงๆเลือดของเผ่าพันธุ์หายาก"
"วิ่ง"
แสงสว่างจากมือของเหล่าผู้คุ้มกันปรากฏขึ้น เสียงของโซลที่ตะโกนออกมาบ่งบอกให้เอาชีวิตให้รอดด้วยฝีเท้าของตนเอง แสงไฟในมือของโชยะ โซลและฮิบายะทำให้ฉันเห็นใบหน้าเน่าเฟะของโครงกระดูกแสนสยดสยองตัวหนึ่งที่พยายามเอื้อมมือเข้ามาคว้าตัวฉัน กระต่ายน้อยในมือตัวสั่นเทาก่อนพยายามตะเกียดตะกายหนี เล็บของมันทำให้ฉันเจ็บแสบไปหมดแต่ถ้าขืนปล่อยมันลง คงไม่รอดแน่ๆ ฉันกอดมันแน่นแล้ววิ่งเต็มกำลังปากก้เอ่ยถามอย่างหาหนทาง
"พวกนายมีเวทย์มนต์นะ ทำไมไม่ใช้เวทย์มนต์ล่ะ"
"ในอาณาเขต'ความตาย'พวกเราไม่สามารถใช้เวทย์มนต์มนต์ได้ครับ ถ้าจะเอ่ยต่อว่า 'แล้วไฟนี้มาจากไหน' ยามฉุนเฉินก็แต่จุกไฟก็เรียบร้อยครับ"
"..."([])!!
ฉันหน้าเหวอก่อนวิ่งสุดกำลังอย่างลืมตาย ห่วงชีวิตน้อยๆในมือนี้ด้วย เสียงที่อวดครวญราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหายยังคงตามติดมานั้นเริ่มเข้าใกล้พวกเราเข้าไปทุกที ขณะที่ขาของฉันยังวิ่งอยู่นั้นมันกลับทรยศเสียกลางคัน มันอ่อนแรงและทำให้ฉันทรุดฮวบลงไป เสียงหัวเราะราวกับมัจจุราชใกล้เข้ามา ฉันกอดกระต่ายในมือแน่นเพราะรู้ชะตากรรมในใจก็อยากจะรอดไปจากที่นี้ให้ได้ ขณะที่คิดนั้นอยู่ เสียงของพวกมันที่ควรจะคำรามอยากหิวโหยแล้วฉีกทึงฉันเป็นชิ้นๆก้เงียบหายไป ฉันปรือตามองด้วยความหวาดกลัวจับใจ เบื้องหน้าของฉันมีแต่ความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของเพื่อนๆตรงเข้ามาทางฉัน แสงไฟที่เริ่มสว่างเข้ามานั้นทำให้ฉันเห็น ซากศพเนาะเฟะที่นอนจมกองเลือดกระจัดกระจายไปทั่วแม้แต่ตัวของฉันก็มีเลือดของมันชะโลมกายอยู่ไม่น้อย
"กรี๊ด"!!!
ฉันแผดเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและช็อกจนทำอะไรไม่ถูก กระต่ายในมือเองก็ตายคามือของฉัน...เลือดของเจ้าตัวน้อยอาบไปทั่วล่างของฉัน ทั้งเหม็นและตกใจ เสียใจ...ก่อนจะตกใจไมากกว่าเดิมที่ได้รู้ว่าคนที่ฆ่าพวกมันและเจ้าตัวน้อยในมือคือตัวฉัน ตัวฉันเอง...คนที่ทำคือตัวฉันเอง!!!
"ชิมงจัง...ตั้งสติสิ ชิมงจัง"
"ไม่น่าเชื่อ"
"..."
"ฉัน...ไม่รู้เรื่องนะ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นเลยนะ"
ฉันพูดทั้งน้ำตาย ซากกระต่ายในมือค่อยๆกลิ้งลงไปจมกองเลือดของพวกมันจนขาวขาวที่เปื้อนเลือดของมันเองอยู่แล้วค่อยๆถูกย้อมให้แดงฉานจนน่าสยดสยอง ฉันส่ายหน้าไปมาจนรู้สึกปวดคอแต่อารมณ์ในตอนนี้ทำให้ฉันลืมความเจ็บปวดนั้นไปสิ้นเชิง เป็นเวลานานพอดูที่ฉันได้แต่นั่งตัวสั่นเทา
"เราต้องไปต่อ"
"ชิมงซัง ลืมมันไปซะเถอะครับ"
ฮิบายะเอ่ยก่อนค่อยๆประคองร่างของฉันให้ยืนขึ้น ฉันยืนขึ้นด้วยอาการสั่นเทาแขนขามันไร้เรียวแรง...สายตาที่ยังคงจ้องมองไปที่ซากศพเน่าเฟะและร่างที่ถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงฉานนั้นอย่างทำใจไม่ได้ ยอมรับไม่ไหว ฉันพยายามตัดใจแต่มันกลับตรงกันข้ามจนฝ่ามือหนากระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงและหนักจนรู้สึกชาไปทั้งใบหน้า
"เรื่องแค่นี้เธยังอาลัยอาวรณ์จนอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเดิมๆนั้นนะเหรอ พ่อแม่เธอที่ถูกกำหนดชะตาไว้แบบนั้นคงน่าสงสารแย่"
"..."
"โซล ทำเกินไปแล้วนะ ชิมงเป็นคนสำคัญนะครับ"
"หุบปากไปโชยะ นายจะเข้าข้างคนอ่อนแอที่ทิ้งอดีตและคิดจะกลับไปหาอดีตอีกเหรอ..."
"ผม..."
"พอเถอะครับ ทะเลาะกันไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า"
"ขอโทษ...ขอโทษนะที่ฉันคิดแบบนั้น แต่ฉัน...ไม่เดินย้อนกลับไปหาอดีตอย่างที่นายเอ่ยหรอกนะ"
"ก็ดี เราต้องรีบแล้ว เวลามันไม่หยุดรอเธอหรอกนะ"
"ที่สำคัญ อีกไม่นานพอมันคงจะฟื้นตัวแล้วไล่กวดเราอีกนะครับ"
"ใช่ๆ...เขตความตายนะ มีแค่พวกมันเท่านั้นที่จะฟื้นตัวได้"
"เอ้า พูดมากไปจะได้อะไร เดินทางต่อเถอะ"
โซล โชยะและฮิบายะเอ่ยก่อนยิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนะรีบเร่งฝีเท้าทันทีที่ฉันก้าวเดินต่อไป เวลาเพียงสองวัน ฉันก็ได้รู้จักพวกเขาได้มากขนาดนี้ ฉันคงต้องขอบคุณเวลาที่ผ่านพ้นมาจริงๆที่ทำให้ฉันได้รู้จักชีวิตใหม่ โลกใหม่และ เพื่อนใหม่ในวันนี้ ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะเร่งฝีเท้าตามชายหนุ่มทั้งสามไปด้วยความดีใจไม่นานนักความมืดที่เคยปกครองพื้นที่นั้นก็กลับมีแสงสว่างที่เริ่มสว่างชัดเจนมากขึ้น แสงสว่างนั้นเจิดจ้าจนสายตาพล่ามัว เมื่อลืมตามองทิวทัศน์รอบกายๆฉันก็รู้สึกได้ว่า โลกใหม่ที่โซลเคยเอ่ยถึงมันช่างสวยงามและน่าจดจำ
"ยินดีต้อนรับสู่นครเวทย์มนต์"
โซลผายมือไปยังเกาะลอยฟ้ากว่าร้อยเกาะแต่ละเกาะมีเมฆปกคลุมแต่ละเกาะเหมือนโลกใบหนึ่งฉันมองด้วยความอัศจรรย์ใจและตกตะลึงในความงดงามนั้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โลกใบใหม่ของฉัน...
"ฉัน พร้อมลุยกับชีวิตใหม่แล้วล่ะ"
"ไงก็ ลุยเลย"!!!
โซลเอ่ยเหมือนเด็กวัยรุ่นก่อนจะชู้มือที่กำหมัดขึ้นฟ้า แน่นอนว่าพวกเราก็ทำ อนาคตที่รออยู่เอ๋ย...ฉันชิมงผู้นี้จะไปหาแกแล้วนะ...!!!!
______________________
โปรดติดตามตอนต่อไป
"ยังนอนไม่พออีกหรือไงครับ โชยะคุง"
"นอนพอแล้วล่ะนะ...แต่ว่าเพราะเริ่มหิวล่ะมั้งเลยอ่อนเพลียกว่าปกติ"
โชยะที่เดินไปหาวไปนั้นเอ่ยก่อนเหลือบมองมาที่กระต่ายสีขาวในอ้อมกอดของฉันอย่างกระหายอา'นี้ฉันคงให้ไม่หรอกนะ ฉันอุตสายอมโดนโซลโวยชุดใหญ่เพื่อให้ได้เจ้าขนนุ่มนิ่มนี้มา'
"แค่กระต่าย ทำไมต้องเจาะจงเป็นฉันด้วย"
โซลยังโวยวายไม่หยุดปากหลังจากที่โดนฉันปลุกให้ไล่จับกระต่ายให้ ถึงจะโวยวายก็เถอะสุดท้ายเขาก็ยอมวิ่งสี่คูณสองร้อยเมตรจับมันมาให้จนได้ล่ะนะ ฉันที่กอดกระต่ายตัวน้อยขนปุยขาวสะอาดตาอย่างดีใจอยู่นั้นแอบเหลือบมองคนปากร้ายใจดีอย่างขอบคุณ
"ว่าแต่เราต้องเดินอีกไกลแค่ไหนเหรอ"
"ใกล้ถึงแล้วครับ เดินอีกร้อยเมตรได้"
"..."
"มันใกล้ตรงไหนกัน ฮิบายะเนี่ยนะ"
"ก็ผมไม่รู้สึกว่ามันไกลนี้ครับ"
ถ้าเขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดเหรอ เขาคงไม่เหนื่อยขาเปล่าด้วยซ้ำก็ในเมื่อเขาเท้าไม่ได้ติดพื้นนี้ เขาใช้เวทย์มนต์ตั้งต่เริ่มออกเดินทางจนตอนนี้เขาก็ยังใช้มันอยู่ เหมือนกับว่าเขาเดินอยู่บนอากาศก็ว่าได้ ถึงโชยะจะบ่นขนาดไหนเขาก็หาได้เคืองคนมีพลังเวทย์ไม่ เขากลับสนุกด้วยซ้ำที่เดี๋ยวก็นึกคึกโดนเกาะมั้ยล่ะดึงบ้างล่ะ เป็นพวกที่สนุกสนานได้ไม่มีขอบเขตเอาซะเลยนะ กระต่ายในมือเริ่มสงบเสงี่ยมลงก่อนจะหลับไป เสียงของนกน้อยที่บรรเลงเสียงเล็กแสนไพเราะอยู่นั้นช่างเข้ากันป่าแห่งนี้จริงเพราะมันเพราะเสียงจนฉันเองก็อยากจะหลับให้เสียงเหล่านั้นขับกล่อมไปชั่วนิรันดร์ โซลยังคงเดินนำหน้าต่อไปเสื้อคลุมที่พวกเราสวมใส่ปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่านไปอย่างเบาบาง ราวกับว่ามันกำลังร่ายรำกับสายลมอย่างสนุกสนาน เสียงที่คึกคักของโชยะเงียบหายไปแทบที่ด้วยเสียงของใบไม้เสียดสีกันไปมา เสียงของป่าช่างไพเราะจริงๆ
"รีบเดินเข้าเถอะ เขตนี้พวกเราต้องรีบผ่าน"
"ทำไมล่ะ"
ฉันถามก่อนมองหน้าของโซลที่เริ่มดูวิตกเล็กน้อย รอบๆตวเริ่มมืดสลัวแสงจากทางที่เคยเดินผ่านมาค่อยๆห่างและไกลออกไปจนมองไม่เห็นแสงนั้น เจ้ากระต่ายในมือที่หลับก็กลับตื่นขึ้นมาก่อนพยายามตะเกียดตะกายอย่างหวาดกลัว ฉันกอดมันแน่นก่อนมองไปรอบอย่างหวาดระแวงไม่แพ้มัน เสียงของเหล่าสรรพสัตว์หายจางไปแทนที่ด้วยความเงียบสงัดน่าสะพรึงกลัว ขณะที่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดนั้นเสียงของใครบ้างคนก็ดังออกมาจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งถูกความมืดปกคลุมอยู่
"แฮ่...กลิ่นหอมจริงๆเลือดของเผ่าพันธุ์หายาก"
"วิ่ง"
แสงสว่างจากมือของเหล่าผู้คุ้มกันปรากฏขึ้น เสียงของโซลที่ตะโกนออกมาบ่งบอกให้เอาชีวิตให้รอดด้วยฝีเท้าของตนเอง แสงไฟในมือของโชยะ โซลและฮิบายะทำให้ฉันเห็นใบหน้าเน่าเฟะของโครงกระดูกแสนสยดสยองตัวหนึ่งที่พยายามเอื้อมมือเข้ามาคว้าตัวฉัน กระต่ายน้อยในมือตัวสั่นเทาก่อนพยายามตะเกียดตะกายหนี เล็บของมันทำให้ฉันเจ็บแสบไปหมดแต่ถ้าขืนปล่อยมันลง คงไม่รอดแน่ๆ ฉันกอดมันแน่นแล้ววิ่งเต็มกำลังปากก้เอ่ยถามอย่างหาหนทาง
"พวกนายมีเวทย์มนต์นะ ทำไมไม่ใช้เวทย์มนต์ล่ะ"
"ในอาณาเขต'ความตาย'พวกเราไม่สามารถใช้เวทย์มนต์มนต์ได้ครับ ถ้าจะเอ่ยต่อว่า 'แล้วไฟนี้มาจากไหน' ยามฉุนเฉินก็แต่จุกไฟก็เรียบร้อยครับ"
"..."([])!!
ฉันหน้าเหวอก่อนวิ่งสุดกำลังอย่างลืมตาย ห่วงชีวิตน้อยๆในมือนี้ด้วย เสียงที่อวดครวญราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหายยังคงตามติดมานั้นเริ่มเข้าใกล้พวกเราเข้าไปทุกที ขณะที่ขาของฉันยังวิ่งอยู่นั้นมันกลับทรยศเสียกลางคัน มันอ่อนแรงและทำให้ฉันทรุดฮวบลงไป เสียงหัวเราะราวกับมัจจุราชใกล้เข้ามา ฉันกอดกระต่ายในมือแน่นเพราะรู้ชะตากรรมในใจก็อยากจะรอดไปจากที่นี้ให้ได้ ขณะที่คิดนั้นอยู่ เสียงของพวกมันที่ควรจะคำรามอยากหิวโหยแล้วฉีกทึงฉันเป็นชิ้นๆก้เงียบหายไป ฉันปรือตามองด้วยความหวาดกลัวจับใจ เบื้องหน้าของฉันมีแต่ความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของเพื่อนๆตรงเข้ามาทางฉัน แสงไฟที่เริ่มสว่างเข้ามานั้นทำให้ฉันเห็น ซากศพเนาะเฟะที่นอนจมกองเลือดกระจัดกระจายไปทั่วแม้แต่ตัวของฉันก็มีเลือดของมันชะโลมกายอยู่ไม่น้อย
"กรี๊ด"!!!
ฉันแผดเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและช็อกจนทำอะไรไม่ถูก กระต่ายในมือเองก็ตายคามือของฉัน...เลือดของเจ้าตัวน้อยอาบไปทั่วล่างของฉัน ทั้งเหม็นและตกใจ เสียใจ...ก่อนจะตกใจไมากกว่าเดิมที่ได้รู้ว่าคนที่ฆ่าพวกมันและเจ้าตัวน้อยในมือคือตัวฉัน ตัวฉันเอง...คนที่ทำคือตัวฉันเอง!!!
"ชิมงจัง...ตั้งสติสิ ชิมงจัง"
"ไม่น่าเชื่อ"
"..."
"ฉัน...ไม่รู้เรื่องนะ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นเลยนะ"
ฉันพูดทั้งน้ำตาย ซากกระต่ายในมือค่อยๆกลิ้งลงไปจมกองเลือดของพวกมันจนขาวขาวที่เปื้อนเลือดของมันเองอยู่แล้วค่อยๆถูกย้อมให้แดงฉานจนน่าสยดสยอง ฉันส่ายหน้าไปมาจนรู้สึกปวดคอแต่อารมณ์ในตอนนี้ทำให้ฉันลืมความเจ็บปวดนั้นไปสิ้นเชิง เป็นเวลานานพอดูที่ฉันได้แต่นั่งตัวสั่นเทา
"เราต้องไปต่อ"
"ชิมงซัง ลืมมันไปซะเถอะครับ"
ฮิบายะเอ่ยก่อนค่อยๆประคองร่างของฉันให้ยืนขึ้น ฉันยืนขึ้นด้วยอาการสั่นเทาแขนขามันไร้เรียวแรง...สายตาที่ยังคงจ้องมองไปที่ซากศพเน่าเฟะและร่างที่ถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงฉานนั้นอย่างทำใจไม่ได้ ยอมรับไม่ไหว ฉันพยายามตัดใจแต่มันกลับตรงกันข้ามจนฝ่ามือหนากระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงและหนักจนรู้สึกชาไปทั้งใบหน้า
"เรื่องแค่นี้เธยังอาลัยอาวรณ์จนอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเดิมๆนั้นนะเหรอ พ่อแม่เธอที่ถูกกำหนดชะตาไว้แบบนั้นคงน่าสงสารแย่"
"..."
"โซล ทำเกินไปแล้วนะ ชิมงเป็นคนสำคัญนะครับ"
"หุบปากไปโชยะ นายจะเข้าข้างคนอ่อนแอที่ทิ้งอดีตและคิดจะกลับไปหาอดีตอีกเหรอ..."
"ผม..."
"พอเถอะครับ ทะเลาะกันไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า"
"ขอโทษ...ขอโทษนะที่ฉันคิดแบบนั้น แต่ฉัน...ไม่เดินย้อนกลับไปหาอดีตอย่างที่นายเอ่ยหรอกนะ"
"ก็ดี เราต้องรีบแล้ว เวลามันไม่หยุดรอเธอหรอกนะ"
"ที่สำคัญ อีกไม่นานพอมันคงจะฟื้นตัวแล้วไล่กวดเราอีกนะครับ"
"ใช่ๆ...เขตความตายนะ มีแค่พวกมันเท่านั้นที่จะฟื้นตัวได้"
"เอ้า พูดมากไปจะได้อะไร เดินทางต่อเถอะ"
โซล โชยะและฮิบายะเอ่ยก่อนยิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนะรีบเร่งฝีเท้าทันทีที่ฉันก้าวเดินต่อไป เวลาเพียงสองวัน ฉันก็ได้รู้จักพวกเขาได้มากขนาดนี้ ฉันคงต้องขอบคุณเวลาที่ผ่านพ้นมาจริงๆที่ทำให้ฉันได้รู้จักชีวิตใหม่ โลกใหม่และ เพื่อนใหม่ในวันนี้ ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะเร่งฝีเท้าตามชายหนุ่มทั้งสามไปด้วยความดีใจไม่นานนักความมืดที่เคยปกครองพื้นที่นั้นก็กลับมีแสงสว่างที่เริ่มสว่างชัดเจนมากขึ้น แสงสว่างนั้นเจิดจ้าจนสายตาพล่ามัว เมื่อลืมตามองทิวทัศน์รอบกายๆฉันก็รู้สึกได้ว่า โลกใหม่ที่โซลเคยเอ่ยถึงมันช่างสวยงามและน่าจดจำ
"ยินดีต้อนรับสู่นครเวทย์มนต์"
โซลผายมือไปยังเกาะลอยฟ้ากว่าร้อยเกาะแต่ละเกาะมีเมฆปกคลุมแต่ละเกาะเหมือนโลกใบหนึ่งฉันมองด้วยความอัศจรรย์ใจและตกตะลึงในความงดงามนั้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โลกใบใหม่ของฉัน...
"ฉัน พร้อมลุยกับชีวิตใหม่แล้วล่ะ"
"ไงก็ ลุยเลย"!!!
โซลเอ่ยเหมือนเด็กวัยรุ่นก่อนจะชู้มือที่กำหมัดขึ้นฟ้า แน่นอนว่าพวกเราก็ทำ อนาคตที่รออยู่เอ๋ย...ฉันชิมงผู้นี้จะไปหาแกแล้วนะ...!!!!
______________________
โปรดติดตามตอนต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ