Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง

-

เขียนโดย MightySoul

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.

  26 บท
  0 วิจารณ์
  29.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 7 การผจญภัยที่ต้องสิ้นสุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 7

การผจญภัยที่ต้องสิ้นสุด

“โอ๊ย!!! เจ็บๆคุณหมอ เบาๆหน่อยสิครับ”

“นี่หมอก็เบาสุดแล้วนะคุณฟีล ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บนะครับ”

ผู้เป็นแพทย์ค่อยๆนำสำลีจุ่มน้ำยาล้างแผล แล้วเช็ดบริเวณรอบๆรอยถลอกที่เผยให้เห็นถึงเนื้อสีแดงภายในที่มีเลือดซึมออกมาอย่างน่าสยดสยอง

“นี่คุณฟีล หมอขอถามจริงๆเถอะ วันนี้ไปทำอีท่าไหนถึงได้แผลนี้มาอีกล่ะ”

อาการปวดแสบปวดร้อนจากพิษบาดแผล ทำให้ผมต้องเสียเวลาอยู่สักระยะในการรวบรวมสมาธิตอบคำถาม “วันนี้ก็แค่เห็นสุนัขกำลังจะจมน้ำ แต่ดันสะดุดล้มไถลลงจากเนินก็แค่นั้นเองหมอ”

คุณหมอเงยหน้าจากบาดแผลขึ้นมามองผม ราวกับกำลังแปลกใจอะไรบางอย่าง สำลีฉ่ำแอลกอฮอล์ถูกแช่ค้างบริเวณบาดแผลจนผมต้องตะโกนเรียกสติหมอกลับคืนมา

“ขอโทษๆ” หมอรีบนำสำลีออกจากบาดแผล และทำการเช็ดบริเวณรอบปากแผลอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะหยิบพลาสเตอร์มาแปะป้องกันสิ่งสกปรกจากโลกภายนอก

“คุณฟีล ครั้งแรกที่หมอเจอคุณก็โดนรถชน เมื่อวานก็กล้ามเนื้ออักเสบ วันนี้ยังมาด้วยแผลถลอกเต็มไปหมด นี่คุณซวยหรือว่าสติไม่ดีกันแน่เนี้ย”

“อ้าว คุณหมอพูดแบบนี้ได้ไง ที่โดนรถชนเพราะผมเอาตัวเข้าแลกช่วยผู้ชายคนนึงไว้ ส่วนที่กล้ามเนื้ออักเสบก็แค่เห็นคุณลุงคนงานแบกหามเขาเหนื่อยก็เลยไปช่วย” ผมแก้ตัวเพื่อให้คุณหมอเข้าใจอะไรมากขึ้น

คุณหมอจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ ก่อนที่จะถอนหายใจคล้ายรู้คำตอบที่ตนถามแล้ว

“คุณฟีล ว่างๆไปพบจิตแพทย์บ้างนะ” เขาพูดติดตลก แต่ในน้ำเสียงก็ดูเหมือนว่าอยากจะให้ผมไปจริงๆเหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าทำแผลเสร็จแล้ว คุณหมอก็ไล่ผมออกจากห้อง แต่ในขณะที่เท้าก้าวแรกกำลังก้าวออกพ้นเขตประตู คุณหมอก็พูดประโยคๆหนึ่งออกมา

“คุณฟีล ถ้าคุณยังทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนี้อยู่ ระวังต่อไปจะไม่ใช่บาดเจ็บน้อยๆนะ” น้ำเสียงของคุณหมอเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงจริงๆ อาจเป็นเพราะเราเจอกันบ่อยจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้แล้วล่ะมั้ง

ผมหันไปยิ้มให้กับชายเบื้องหลัง “แต่วันนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ”

นั้นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้อง และออกจากโรงพยาบาลโดยที่หมายจะกลับไปยังร้านของคุณลุงเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาถึงห้าโมงกว่าแล้ว

ถนนในย่านนี้ยิ่งดึกเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งอัดแน่นให้เห็นเด่นชัด อาจเป็นเพราะบริเวณนี้มีสถานที่เที่ยวกลางคืนอยู่อย่างหนาแน่น ถนนสายนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นถนนที่ไม่เคยหลับ ซึ่งทำให้ผมต้องใช้เวลาในการกลับร้านมากกว่าปกติอีกกว่า 10 นาที

“กลับมาแล้วครับ” ผมค่อยๆเปิดประตูร้านเข้าไป ภายในก็ยังคงเงียบสงบ ปราศจากลูกค้า มีเพียงแค่คุณลุงเจ้าของร้านที่กำลังนั่งตบยุงอยู่บริเวณเคาร์เตอร์เพียงเท่านั้น

“กลับมาแล้วเหรอ อากิอยู่บนห้องน่ะ”

ผมยิ้มให้กับคำทักทายของคุณลุง ก่อนที่จะเข้าหลังร้านไปเพื่อขึ้นไปหาอากิ ดูเหมือนว่าอาการหวงลูกสาวเกินเหตุจะหายไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะแกรู้แล้วล่ะมั้ง ว่าผมไม่มีทางคิดอะไรเกินเลยกับเธอ

เสียงฝีเท้าของผมคงจะดังจนไปกระทบกับประสาทสัมผัสของเจ้าของห้อง เธอจึงรีบมาเปิดประตูต้อนรับผม ขณะที่ผมยังอยู่บนบันไดขั้นที่ 3

“ฟีลซัง กลับมาแล้วเหรอคะ”

“อืม กลับมาแล้ว”

เด็กสาวยังคงคงความสดใส่ร่าเริงไว้ได้อย่างดี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่อาจละสายตาจากเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว

ผมเข้าไปในห้องเล็กๆน่ารักของอากิที่ถูกตกแต่งไว้ด้วยตุ๊กตาหลายต่อหลายตัวตามสไตล์เด็กผู้หญิง วอลเปเปอร์สีชมพูหวานใสรับกับใบหน้าที่อ่อนหวานอย่างลงตัว ถึงจะเป็นแค่ห้องเล็กๆหนึ่ง แต่กลับแอบแฝงไว้ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่ว่าใครเมื่อเห็นครั้งแรก ก็ทายได้ไม่ยากเลยว่าห้องนี้เป็นของใคร

“ผจญภัยวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ”

ผมไม่ตอบแต่กลับส่ายหัวแทนคำพูด

“อย่างงั้นเหรอคะ”

“อืม ในเมืองนี้ไม่ค่อยมีใครสุงสิงกับใครเลย แต่ล่ะคนราวกับเครื่องจักรสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ”

“ก็นี่มันโตเกียวนี่คะ การแข่งขันที่สูงเปลี่ยนพวกเขาเป็นแบบนี้แหละค่ะ”

“ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ยังมีผู้หญิงน่ารักๆอย่างเธออยู่ล่ะนะ” การลูบหัวอากิคล้ายจะเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปเรียบร้อยแล้ว

“ว่าแต่...อีกแล้วเหรอคะ” อากิพูดพลางชี้ไปที่พลาสเตอร์ยาที่ถูกแปะอยู่บริเวณหน้าแข้ง

“อืม แค่สะดุดล้มน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”

“เมื่อวานยังปวดกล้ามเนื้อไม่หายเลย ทีหลังหัดระวังตัวมากกว่านี้หน่อยสิคะ” อากิจ้องหน้าผมไม่ละสายตา จนผมไม่อาจที่จะเมินนัยน์ตาที่ดำสนิทราวกับอวกาศที่กว้างใหญ่ที่แสนจะลึกลับและน่าค้นหาคู่นี้ไปได้

“ตาเธอสวยจริงๆ” ผมพูดอย่างคนเหม่อลอยราวกับโดนสะกดจิต

“อย่างมาเปลี่ยนเรื่องสิคะ” อากิตะโกนพร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ จนสติที่หลุดลอยของผมกลับคืนมา

“”อะ อืม ต่อไปจะระวังมากขึ้นก็แล้วกัน”

“รับปากแล้วนะคะ”

หลังจากพูดจบเด็กสาวก็รีบไปหยิบบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง ซึ่งสิ่งนั้นคือกระเป๋าที่บรรจุคีย์บอร์ดของผมเอาไว้

“พ่อซ่อมให้เสร็จแล้วล่ะค่ะ”

อากิเปิดแล้วยกตัวคีย์บอร์ดที่สภาพเหมือนใหม่แกะกล่องออกมา ผิดกับเมื่อสามวันที่แล้วที่เละจนแทบจะเรียกได้ว่าเศษขยะ

“ฟีลซังอย่าเพิ่งคิดว่ามันแค่กลับมาเหมือนใหม่นะคะ” อากิพูดคล้ายรู้สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ

“ถึงร้านนี้จะไม่ค่อยมีคนก็เถอะ แต่ถ้าผมถึงเรื่องฝีมือด้านเครื่องดนตรีของพ่อแล้วล่ะก็ อยู่ในระดับโลกได้เลยเชียวล่ะ เพราะฉะนั้น คีย์บอร์ดตัวนี้น่ะ ถึงภายนอกจะเหมือนเดิม แต่ภายในถูกอัพเกรดจนถึงขีดจำกัดเลยล่ะค่ะ”

“จริงเหรอ” ผมค่อยๆลูบตัวเครื่องไปมา ถึงภายนอกจะดูเหมือนเดิม แต่เมื่อผมลองกดคีย์แล้ว ก็ทราบได้เลยว่าเสียงของมันเปลี่ยนไปจริงๆ

“จากประสบการณ์ของฉันแล้ว ตัวนี้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนเยนแน่ๆ”

คำพูดของอากิทำให้ผมอึ้งไปสักพัก

“งั้นผมคงจะรับไว้ไม่...” ยังไม่ทันพูดจบ เด็กสาวก็ใช้นิ้วที่เรียวยาวมาแตะที่ริมฝีปาก

“รับไว้เถอะค่ะ คุณพ่อไม่ได้ยอมรับฝีมือของใครง่ายๆหรอกนะคะ”

“ตะ...แต่ว่า” ยิ่งผมพยายามพูด เธอก็ยิ่งกดนิ้วที่แตะกับริมฝีปากแรงขึ้นๆ จนใจผมเต้นแรง

ถึงยังไงก็เถอะ ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้สักหน่อย แล้วยิ่งอยู่ในห้องของเธอด้วย ก็ไม่แปลกที่ใจจะเต้นแรง

“โอเคๆ รับก็ได้” ผมรีบตอบ เพื่อให้เธอถอยห่างออกจากผม ไม่งั้นมีหวังคงได้หัวใจวายตายเป็นแน่แท้

อากิยิ้มกริ่มทันทีเมื่อได้คำตอบที่เธอต้องการ “ฟีลซัง วันหลังอย่าเถียงฉันเลยนะคะ คุณไม่มีทางชนะหรอก”

อากิถึงภายนอกจะดูสวยงามอย่างกับนางฟ้า แต่ภายในกลับดุและแสบกว่าที่เห็นภายนอกราวสวรรค์กับนรก

น้ำลายของผมเหนียวจนไม่อาจกลืนลงไปด้วย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อาบยาพิษของผู้หญิงเบื้องหน้า

“แล้วต่อจากนี้จะเอายังไงล่ะค่ะ จะออกผจญภัยแล้วเจ็บตัวกลับมาอย่างนี้ทุกวันเหรอ”

“ก็ไม่มีทางเลือกล่ะนะ”

อากินิ่งเงียบไปคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็เหมือนเธอจะคิดออก

“เอางี้ ในโตเกียวมันวุ่นวายจะตาย ไม่เหมาะจะผจญภัยหรอก ลองไปต่างจังหวัดดีมั้ยคะ น่าจะวุ่นวายน้อยกว่าที่นี่ล่ะนะ”

“ต่างจังหวัดงั้นเหรอ?”

“ค่ะ ส่วนเรื่องรถก็ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเสียเงินสักแดง”

“รถที่ไหน?”

อยู่ดีๆอากิก็หัวเราะขึ้นมาคล้ายกำลังเจอเรื่องสนุก ก่อนที่รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าและออกไปโทรหาใครบางคนข้างนอกห้อง ไกลจากระยะการได้ยิน

“ฮัลโหล นี่อากิเองนะค่ะ พอดีมีเรื่องจะขอร้องหน่อยน่ะค่ะ”

“มีอะไรเหรอ อากิจัง” เสียงหวานใสจากปลายสายที่ตอบกลับมา ยิ่งทำให้อากิยิ้มไม่หยุด

“คือ หนูอยากจะฝากคนอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง ไปกับคณะทัวน์ของพี่ริกะ...ไม่ทราบว่าจะได้มั้ยคะ?”

ผมไม่รู้เลยว่า อากิ...จะช่วยทำให้ผมเข้าใกล้เป้าหมายทั้งสามไปอีกหนึ่งก้าวใหญ่ หนึ่งก้าวใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดมา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา