Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ 7 การผจญภัยที่ต้องสิ้นสุด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 7
การผจญภัยที่ต้องสิ้นสุด
“โอ๊ย!!! เจ็บๆคุณหมอ เบาๆหน่อยสิครับ”
“นี่หมอก็เบาสุดแล้วนะคุณฟีล ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บนะครับ”
ผู้เป็นแพทย์ค่อยๆนำสำลีจุ่มน้ำยาล้างแผล แล้วเช็ดบริเวณรอบๆรอยถลอกที่เผยให้เห็นถึงเนื้อสีแดงภายในที่มีเลือดซึมออกมาอย่างน่าสยดสยอง
“นี่คุณฟีล หมอขอถามจริงๆเถอะ วันนี้ไปทำอีท่าไหนถึงได้แผลนี้มาอีกล่ะ”
อาการปวดแสบปวดร้อนจากพิษบาดแผล ทำให้ผมต้องเสียเวลาอยู่สักระยะในการรวบรวมสมาธิตอบคำถาม “วันนี้ก็แค่เห็นสุนัขกำลังจะจมน้ำ แต่ดันสะดุดล้มไถลลงจากเนินก็แค่นั้นเองหมอ”
คุณหมอเงยหน้าจากบาดแผลขึ้นมามองผม ราวกับกำลังแปลกใจอะไรบางอย่าง สำลีฉ่ำแอลกอฮอล์ถูกแช่ค้างบริเวณบาดแผลจนผมต้องตะโกนเรียกสติหมอกลับคืนมา
“ขอโทษๆ” หมอรีบนำสำลีออกจากบาดแผล และทำการเช็ดบริเวณรอบปากแผลอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะหยิบพลาสเตอร์มาแปะป้องกันสิ่งสกปรกจากโลกภายนอก
“คุณฟีล ครั้งแรกที่หมอเจอคุณก็โดนรถชน เมื่อวานก็กล้ามเนื้ออักเสบ วันนี้ยังมาด้วยแผลถลอกเต็มไปหมด นี่คุณซวยหรือว่าสติไม่ดีกันแน่เนี้ย”
“อ้าว คุณหมอพูดแบบนี้ได้ไง ที่โดนรถชนเพราะผมเอาตัวเข้าแลกช่วยผู้ชายคนนึงไว้ ส่วนที่กล้ามเนื้ออักเสบก็แค่เห็นคุณลุงคนงานแบกหามเขาเหนื่อยก็เลยไปช่วย” ผมแก้ตัวเพื่อให้คุณหมอเข้าใจอะไรมากขึ้น
คุณหมอจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ ก่อนที่จะถอนหายใจคล้ายรู้คำตอบที่ตนถามแล้ว
“คุณฟีล ว่างๆไปพบจิตแพทย์บ้างนะ” เขาพูดติดตลก แต่ในน้ำเสียงก็ดูเหมือนว่าอยากจะให้ผมไปจริงๆเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าทำแผลเสร็จแล้ว คุณหมอก็ไล่ผมออกจากห้อง แต่ในขณะที่เท้าก้าวแรกกำลังก้าวออกพ้นเขตประตู คุณหมอก็พูดประโยคๆหนึ่งออกมา
“คุณฟีล ถ้าคุณยังทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนี้อยู่ ระวังต่อไปจะไม่ใช่บาดเจ็บน้อยๆนะ” น้ำเสียงของคุณหมอเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงจริงๆ อาจเป็นเพราะเราเจอกันบ่อยจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้แล้วล่ะมั้ง
ผมหันไปยิ้มให้กับชายเบื้องหลัง “แต่วันนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ”
นั้นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้อง และออกจากโรงพยาบาลโดยที่หมายจะกลับไปยังร้านของคุณลุงเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาถึงห้าโมงกว่าแล้ว
ถนนในย่านนี้ยิ่งดึกเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งอัดแน่นให้เห็นเด่นชัด อาจเป็นเพราะบริเวณนี้มีสถานที่เที่ยวกลางคืนอยู่อย่างหนาแน่น ถนนสายนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นถนนที่ไม่เคยหลับ ซึ่งทำให้ผมต้องใช้เวลาในการกลับร้านมากกว่าปกติอีกกว่า 10 นาที
“กลับมาแล้วครับ” ผมค่อยๆเปิดประตูร้านเข้าไป ภายในก็ยังคงเงียบสงบ ปราศจากลูกค้า มีเพียงแค่คุณลุงเจ้าของร้านที่กำลังนั่งตบยุงอยู่บริเวณเคาร์เตอร์เพียงเท่านั้น
“กลับมาแล้วเหรอ อากิอยู่บนห้องน่ะ”
ผมยิ้มให้กับคำทักทายของคุณลุง ก่อนที่จะเข้าหลังร้านไปเพื่อขึ้นไปหาอากิ ดูเหมือนว่าอาการหวงลูกสาวเกินเหตุจะหายไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะแกรู้แล้วล่ะมั้ง ว่าผมไม่มีทางคิดอะไรเกินเลยกับเธอ
เสียงฝีเท้าของผมคงจะดังจนไปกระทบกับประสาทสัมผัสของเจ้าของห้อง เธอจึงรีบมาเปิดประตูต้อนรับผม ขณะที่ผมยังอยู่บนบันไดขั้นที่ 3
“ฟีลซัง กลับมาแล้วเหรอคะ”
“อืม กลับมาแล้ว”
เด็กสาวยังคงคงความสดใส่ร่าเริงไว้ได้อย่างดี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่อาจละสายตาจากเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว
ผมเข้าไปในห้องเล็กๆน่ารักของอากิที่ถูกตกแต่งไว้ด้วยตุ๊กตาหลายต่อหลายตัวตามสไตล์เด็กผู้หญิง วอลเปเปอร์สีชมพูหวานใสรับกับใบหน้าที่อ่อนหวานอย่างลงตัว ถึงจะเป็นแค่ห้องเล็กๆหนึ่ง แต่กลับแอบแฝงไว้ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่ว่าใครเมื่อเห็นครั้งแรก ก็ทายได้ไม่ยากเลยว่าห้องนี้เป็นของใคร
“ผจญภัยวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
ผมไม่ตอบแต่กลับส่ายหัวแทนคำพูด
“อย่างงั้นเหรอคะ”
“อืม ในเมืองนี้ไม่ค่อยมีใครสุงสิงกับใครเลย แต่ล่ะคนราวกับเครื่องจักรสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ”
“ก็นี่มันโตเกียวนี่คะ การแข่งขันที่สูงเปลี่ยนพวกเขาเป็นแบบนี้แหละค่ะ”
“ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ยังมีผู้หญิงน่ารักๆอย่างเธออยู่ล่ะนะ” การลูบหัวอากิคล้ายจะเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปเรียบร้อยแล้ว
“ว่าแต่...อีกแล้วเหรอคะ” อากิพูดพลางชี้ไปที่พลาสเตอร์ยาที่ถูกแปะอยู่บริเวณหน้าแข้ง
“อืม แค่สะดุดล้มน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“เมื่อวานยังปวดกล้ามเนื้อไม่หายเลย ทีหลังหัดระวังตัวมากกว่านี้หน่อยสิคะ” อากิจ้องหน้าผมไม่ละสายตา จนผมไม่อาจที่จะเมินนัยน์ตาที่ดำสนิทราวกับอวกาศที่กว้างใหญ่ที่แสนจะลึกลับและน่าค้นหาคู่นี้ไปได้
“ตาเธอสวยจริงๆ” ผมพูดอย่างคนเหม่อลอยราวกับโดนสะกดจิต
“อย่างมาเปลี่ยนเรื่องสิคะ” อากิตะโกนพร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ จนสติที่หลุดลอยของผมกลับคืนมา
“”อะ อืม ต่อไปจะระวังมากขึ้นก็แล้วกัน”
“รับปากแล้วนะคะ”
หลังจากพูดจบเด็กสาวก็รีบไปหยิบบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง ซึ่งสิ่งนั้นคือกระเป๋าที่บรรจุคีย์บอร์ดของผมเอาไว้
“พ่อซ่อมให้เสร็จแล้วล่ะค่ะ”
อากิเปิดแล้วยกตัวคีย์บอร์ดที่สภาพเหมือนใหม่แกะกล่องออกมา ผิดกับเมื่อสามวันที่แล้วที่เละจนแทบจะเรียกได้ว่าเศษขยะ
“ฟีลซังอย่าเพิ่งคิดว่ามันแค่กลับมาเหมือนใหม่นะคะ” อากิพูดคล้ายรู้สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ
“ถึงร้านนี้จะไม่ค่อยมีคนก็เถอะ แต่ถ้าผมถึงเรื่องฝีมือด้านเครื่องดนตรีของพ่อแล้วล่ะก็ อยู่ในระดับโลกได้เลยเชียวล่ะ เพราะฉะนั้น คีย์บอร์ดตัวนี้น่ะ ถึงภายนอกจะเหมือนเดิม แต่ภายในถูกอัพเกรดจนถึงขีดจำกัดเลยล่ะค่ะ”
“จริงเหรอ” ผมค่อยๆลูบตัวเครื่องไปมา ถึงภายนอกจะดูเหมือนเดิม แต่เมื่อผมลองกดคีย์แล้ว ก็ทราบได้เลยว่าเสียงของมันเปลี่ยนไปจริงๆ
“จากประสบการณ์ของฉันแล้ว ตัวนี้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนเยนแน่ๆ”
คำพูดของอากิทำให้ผมอึ้งไปสักพัก
“งั้นผมคงจะรับไว้ไม่...” ยังไม่ทันพูดจบ เด็กสาวก็ใช้นิ้วที่เรียวยาวมาแตะที่ริมฝีปาก
“รับไว้เถอะค่ะ คุณพ่อไม่ได้ยอมรับฝีมือของใครง่ายๆหรอกนะคะ”
“ตะ...แต่ว่า” ยิ่งผมพยายามพูด เธอก็ยิ่งกดนิ้วที่แตะกับริมฝีปากแรงขึ้นๆ จนใจผมเต้นแรง
ถึงยังไงก็เถอะ ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้สักหน่อย แล้วยิ่งอยู่ในห้องของเธอด้วย ก็ไม่แปลกที่ใจจะเต้นแรง
“โอเคๆ รับก็ได้” ผมรีบตอบ เพื่อให้เธอถอยห่างออกจากผม ไม่งั้นมีหวังคงได้หัวใจวายตายเป็นแน่แท้
อากิยิ้มกริ่มทันทีเมื่อได้คำตอบที่เธอต้องการ “ฟีลซัง วันหลังอย่าเถียงฉันเลยนะคะ คุณไม่มีทางชนะหรอก”
อากิถึงภายนอกจะดูสวยงามอย่างกับนางฟ้า แต่ภายในกลับดุและแสบกว่าที่เห็นภายนอกราวสวรรค์กับนรก
น้ำลายของผมเหนียวจนไม่อาจกลืนลงไปด้วย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อาบยาพิษของผู้หญิงเบื้องหน้า
“แล้วต่อจากนี้จะเอายังไงล่ะค่ะ จะออกผจญภัยแล้วเจ็บตัวกลับมาอย่างนี้ทุกวันเหรอ”
“ก็ไม่มีทางเลือกล่ะนะ”
อากินิ่งเงียบไปคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็เหมือนเธอจะคิดออก
“เอางี้ ในโตเกียวมันวุ่นวายจะตาย ไม่เหมาะจะผจญภัยหรอก ลองไปต่างจังหวัดดีมั้ยคะ น่าจะวุ่นวายน้อยกว่าที่นี่ล่ะนะ”
“ต่างจังหวัดงั้นเหรอ?”
“ค่ะ ส่วนเรื่องรถก็ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเสียเงินสักแดง”
“รถที่ไหน?”
อยู่ดีๆอากิก็หัวเราะขึ้นมาคล้ายกำลังเจอเรื่องสนุก ก่อนที่รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าและออกไปโทรหาใครบางคนข้างนอกห้อง ไกลจากระยะการได้ยิน
“ฮัลโหล นี่อากิเองนะค่ะ พอดีมีเรื่องจะขอร้องหน่อยน่ะค่ะ”
“มีอะไรเหรอ อากิจัง” เสียงหวานใสจากปลายสายที่ตอบกลับมา ยิ่งทำให้อากิยิ้มไม่หยุด
“คือ หนูอยากจะฝากคนอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง ไปกับคณะทัวน์ของพี่ริกะ...ไม่ทราบว่าจะได้มั้ยคะ?”
ผมไม่รู้เลยว่า อากิ...จะช่วยทำให้ผมเข้าใกล้เป้าหมายทั้งสามไปอีกหนึ่งก้าวใหญ่ หนึ่งก้าวใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดมา...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ