Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่ 6 ฮานะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 6
ฮานะ
ฉันรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับเหตุผลทั้งสามข้อที่ฟีลบอกออกมา ราวกับคำตอบที่ได้ออกมานั้นทุกข้อมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหตุผลง่ายๆเหล่านี้ถึงได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งออกมาผจญภัยและยอมทิ้งความสะดวกสบายเอาไว้เบื้องหลัง
ฉันไม่รู้หรอกว่าอดีตของเขานั้น ได้ผ่านอะไรมาบ้าง แต่อย่างเดียวที่ฉันรู้ตอนนี้คือ ความบ้า และเหตุผลที่เขาได้เอ่ยมา เป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งทำให้แสงเทียนในจิตใจยิ่งโหมกระหน่ำความร้อนและแสงเจิดจ้า
คล้ายกับผู้ชายคนนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า สิ่งที่ฉันคิดอยู่นั้น...ไม่ได้ผิดไปเลย คนเรายังสามารถเป็นห่วงเป็นใย เอาใจเขามาใส่ใจเราได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันใบนี้
ฉันหันไปมองนาฬิกาที่ใกล้จะตีบอกเวลาสิบเอ็ดโมง ซึ่งเป็นเวลาอันสมควรที่จะรีบไปยังสตูดิโอเพื่อทำงานในวันนี้สักที หลังจากที่สายเพราะเรื่องวุ่นวายต่างๆ
“อากิ เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อนนะ ตั้งใจเรียนหนังสือเข้าล่ะ”
“แล้วเจอกันใหม่นะคะ” อากิตอบแบบส่งๆตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจฉันสักเท่าไหร่นัก คนเป็นเพราะเธอได้ของเล่นใหม่นามว่า ฟีล เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง
“คุณลุง งั้นฉันไปก่อนนะคะ ฝากดูแลผู้ชายอ่อนต่อโลกคนนี้ด้วย”
“อืม ฉันจะจับตาดูอย่างดีเลย” คุณลุงยิ้มเหี้ยมและหันไปมองฟีลที่กำลังเล่นกับอากิอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางชายหนุ่มคนนี้จะไม่ได้อยู่บ้านนี้อย่างสงบสุข ตราบใดที่อาการหวงลูกสาวยังไม่ถูกรักษาจนหายไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีธุระกับร้านแห่งนี้อีกแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านและรีบมุ่งหน้าไปที่ตึกสตูดิโอที่ฉันได้เดินผ่านมาสักที
ฉันใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการฝ่าฝูงชนที่แออัดมาถึงจุดข้ามถนน ที่ตอนเช้าได้มีผู้ชายคนหนึ่งโดนรถชนเพราะช่วยผู้ชายที่ไม่รู้จักเคารพกฎจราจรคนหนึ่ง แต่โชคดีที่ฟีลไม่เป็นอะไรมาก เรื่องจึงไม่วุ่นวายอะไร
หลังจากที่ผ่านแยกนั้นมาแล้ว ทุกย่างก้าวที่เดินใกล้ตึกสตูดิโอก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตโออ่าของมัน ตัวตึกถูกออกแบบให้เข้ากับยุคสมัย ดูไฮเทค จนดูโดดเด่นกว่าตึกไหนในเมืองใหญ่แห่งนี้
ถึงแม้ฉันจะเคยมาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าฉันถูกใจในความทันสมัย รวมถึงระบบความปลอดภัยใหม่ล่าสุด สมกับเป็นตึกที่ใช้งบสร้างมหาศาลและเม็ดเงินกว่าพันล้านก็ถูกสุมอยู่ในตึก ตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วแห่งนี้ จึงกลายเป็นคล้ายจุดแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้
ฉันต้องทำการแสดงบัตรผู้ได้รับอนุญาตให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตึกที่ดูท่าทางเข้มงวด สุดท้ายแว่นกันแดดที่อุตส่าห์ใส่มานานก็ต้องถูกถอดออกตามกฎของการเข้าตึก
“ชั้น 25 สินะ” สมุดโน้ตประจำตัวถูกเปิดออกมาโดยมีตารางงาน รวมถึงลายละเอียด สถานที่ของงานต่างๆถูกบันทึกไว้อยู่อย่างละเอียด
ลิฟต์ของตึกแห่งนี้ก็ดูทันสมัยสมกับลักษณะตัวตึกภายนอก มันใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีในการขึ้นจากชั้น 1 มาถึงชั้น 25
ตึกแห่งนี้คล้ายจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับงานอีเว้นต์ต่างๆ ฉันจึงเห็นผู้คนใส่เสื้อสูทหลายต่อหลายคนขึ้นลิฟต์มาพร้อมกัน
ทันทีที่ถึงชั้น 25 ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก พลางให้เห็นถึงหญิงสาวอายุใกล้เคียงกับฉันคนหนึ่ง กำลังยืนรออยู่ราวกับรู้ว่าเวลาไหนที่ฉันจะมาถึง
แน่นอน เธอมารออยู่ที่นี่แล้วตั้งแต่เช้า เธอไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ฮานะ คู่หูของฉัน หรือก็คือคนที่โทรมาตามเมื่อเช้านั้นแหละ
“มาก่อนเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง นี่สิถึงจะเป็นริกะที่ฉันรู้จักจริงๆ”
“ก็บอกแล้วไง ว่าตอนเช้าฉันมีธุระจริงๆ อย่างพูดเหน็บแนมกับแบบนี้ได้มั้ย” ทันทีที่เจอหน้า เพื่อนสาวก็ออกอาการเคืองจากเรื่องที่มาสายเมื่อตอนเช้าทันที
“ถ้าเป็นธุระจริงๆ ก็บอกมาสิ ว่ามันคืออะไร”
ฉันใช้เวลาคิดสักพัก ก่อนที่จะตอบคำถามไปตามความเป็นจริง “ก็แค่เจอคนหลงทาง ก็เลยพาเขาไปส่งที่ร้านลุงจิโร่ ก็แค่นั้นเอง”
“ลุงจิโร่? พ่ออากิน่ะเหรอ”
“อืม ก็แค่เนี้ย พอใจยังคะ คุณแม่” เมื่อฮานะเห็นว่าเรื่องที่พูดมาทั้งหมดพอฟังขึ้น เธอจึงไม่ติดใจอะไร
“ริกะ เธอเนี้ยนะ เชื่อใจคนอื่นเขาไปทั่ว คนหลงทางคนนั้นเขาอาจจะจะพาเธอไปทำไม่ดีไม่ร้ายก็ได้”
“จ้า จ้า” ฉันจำไม่ได้แล้วว่าฮานะเตือนฉันเรื่องนี้มาแล้วกี่ครั้ง ความจริงสิ่งที่เธอพูดก่อนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง...แต่เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้ฉันยังคงเชื่อมั่นในความคิดของฉันต่อไป เทียนไขที่ใกล้ริบหรี่ บัดนี้กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“ว่าแต่ วันนี้เธอจะใส่วิกทำไมเนี้ย” ฮานะทักเมื่อเห็นว่าจากคนที่ไม่เคยปลอมตัวอย่างฉัน ทำไมวันนี้ถึงกลับปลอมตัวซะงั้น
“เหอะ ก็เห็นว่าวันนี้รีบน่ะสิ ถึงได้ปลอมตัว”
“แต่สุดท้ายก็มาสาย...”
ฉันเถียงต่อไปไม่ออก เพราะสิ่งที่เธอพูดมาล้วนเป็นความจริง
“ช่างเถอะ ฉันว่าเราไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วค่อยขึ้นมาแต่งตัว”
“อืม” ฉันตอบรับทันทีเมื่อฮานะพูดถึงอาหาร เนื่องจากเราทั้งสองคนเป็นพวกที่หลงใหลในอาหารทั้งคู่ การกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทั้งฉันและฮานะลงลิฟต์ลงมาบริเวณชั้นสองของตึก ซึ่งเป็นศูนย์อาหารที่มากด้วยร้านต่างๆ มีอาหารมากมายให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นของชาติไหนๆ
“ที่นี่สมกับเป็นศูนย์รวมอาหารแห่งใหม่ของเมืองนี้จริงๆ”
“นั้นสิ ตอนมาครั้งที่แล้วก็ติดใจเลย”
เราสองคนเลือกที่จะทานอาหารที่ร้านอิตาลีแห่งหนึ่งในศูนย์ ทันทีเรานั่งโต๊ะก็มีสายตาจากผู้คนรอบข้างหันมาให้ความสนใจทันที
เนื่องจากเราทั้งสองคนเป็นนักร้องคู่ที่เริ่มมีผลงานมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว แถมยังทวีฐานแฟนคลับขึ้นทุกๆปี จนจะเรียกได้ว่าในญี่ปุ่นแทบจะนับคนที่ไม่รู้จักเราทั้งคู่ได้...แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังไม่สามารถตีฝ่าแดนอาทิตย์อุทัยนี้ออกสู่ประเทศอื่นๆได้สักที ซึ่งคล้ายจะเป็นกำแพงขนาดใหญ่สำหรับเราทั้งคู่ในตอนนี้
ฉันเปิดเมนูไปมาอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งสปาเก็ตตี้ ส่วนฮานะก็สั่งพิซซ่าถาดใหญ่หนึ่งถาดเต็มๆ ซึ่งดูเหมือนพนักงานที่กำลังประหม่าเราทั้งสองคนตอนนี้จะประหลาดใจไม่น้อยกับปริมาณอาหารที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งสั่ง
“เธอนี่ยังกินเยอะเหมือนเคย”
“อ้อ เหรอ แล้วครั้งที่แล้วใครสั่งราเมนมากินตั้ง 4 จาน”
“นั้นเพราะฉันหิวหรอกน่า” ฉันเริ่มแก้ตัว เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวขุดเอาเรื่องเก่าๆขึ้นมา
“งั้นอย่ามาแย่งฉันกินพิซซ่าก็แล้วกัน” ฮานะพูดเหมือนรู้ว่าฉันจ้องที่จะกินพิซซ่าที่เธอสั่งมาอยู่ เพราะการที่เราอยู่ด้วยกันมานาน เธอจึงรู้ว่าแค่สปาเก็ตตี้จานเดียว ไม่พอสำหรับฉันแน่นอน
“เหอะ ไม่แย่งหรอก” ฉันกวักมือเรียกพนักงานคนหนึ่งที่กำลังจ้องพวกเราสองคนตาค้าง
“ขอพิซซ่าถาดใหญ่หนึ่งถาดค่ะ”
“ขอสปาเก็ตตี้เพิ่มจานนึงด้วยค่ะ”
ทันทีที่ฉันสั่งพิซซ่า ฮานะก็พูดแทรกขึ้นมาสั่งสปาเก็ตตี้เพิ่มทันที
“แบบนี้สิ ถึงจะพออยู่ท้อง”
ฉันและฮานะหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมา เพราะเราทั้งสองคนดูเหมือนจะรู้ใจกันจริงๆ
ทันทีที่อาหารทั้งหมดถูกจัดเรียงบนโต๊ะ ทั้งฉันและฮานะก็ไม่รีรอช้า รีบกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนโต๊ะอื่นต้องตกใจ
“อืม ร้านนี้ก็อร่อยเหมือนกันแหะ ศูนย์อาหารนี้เข้าร้านไหนก็อร่อยไปหมดจริงๆ”
“นั้นน่ะสิ” ฮานะกล่าวเสริม
“ฉันหวังว่าไลท์ทัวน์ของเราจะมีคนทำอาหารประจำทัวน์อร่อยอย่างนี้นะ ทัวน์ปีที่แล้วนี่รสชาติไม่ได้เรื่องเลย”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เธอก็รู้นิว่างบจ้างคนทำอาหารมันน้อยขนาดไหน ขนาดเรากินแค่ไม่กี่มื้อยังทำใจไม่ได้เลย ลองคิดถึงคนที่ไปกับเราที่ไม่ใช่นักดนตรีสิ ต้องกินอาหารแบบนั้นเกือบทุกมื้อ แค่คิดก็สยองแล้ว” ฉันทำใจไว้แล้วกับการกินอาหารกับการไปไลท์ทัวน์ในครั้งนี้ ผิดกับเพื่อนสาวที่ดูเหมือนจะยังทำใจไม่ค่อยได้
เราใช้เวลาไม่นานในการกำจัดอาหารที่อยู่เบื้องหน้าจนเหลือแค่จานเปล่าๆ
“ริกะ จะบ่ายโมงแล้ว รีบขึ้นไปแต่งตัวถ่ายรูปลงนิตยสารดีกว่า”
“นั้นสิ”
ฉันถอดวิกผมสั้นออก พลางให้เห็นถึงผมจริงของฉันซึ่งเป็นผมดำยาว ผิดกับฮานะที่เป็นผมบลอนย้อมสียาวถึงแค่หัวไหล่
“ริกะ เธอนี่มันยิ่งแต่งหน้ายิ่งดูแก่จริงๆ”
“ก็ปลอมตัวมันก็ต้องแต่งหน้าสิ”
ในตอนนี้เราสองคนก็ได้แต่หวังว่า ไลท์ทัวน์ที่ใกล้จะมาถึง อาหาร...คงจะไม่แย่อย่างที่เราคิดเอาไว้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ