Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง

-

เขียนโดย MightySoul

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.

  26 บท
  0 วิจารณ์
  28.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 2 สองสิ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2

สองสิ่ง

ในระหว่างที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ตามวิถี ไม่มีใครสามารถต่อกรหรือขัดขืนบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกินตัว ไม่มีอำนาจไปเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่บิดเบือน แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ฉันวิ่งเข้าไปช่วยผู้ชายบ้าๆคนหนึ่งที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อคนที่ไม่เคยพบหน้าค่าตา จะเป็นวิถี...ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า

ฉันเดินออกจากพยาบาลไปพร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ครบครึ่งวันดี ระหว่างทางเขาก็ชอบทำอะไรบ้าๆบอๆ สร้างความประหลาดใจให้แก่เหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมา บางคนก็มองเขาเป็นตัวประหลาด บางคนก็มองเขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี...ถึงจะมากเกินไปหน่อยก็เถอะ

ถ้าจะพูดตามตรงแล้ว ฉันก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับนิสัยของฟีล ฉันนึกว่าเขาจะเป็นคนที่ออกแนวหลุดมาจากเทพนิยาย เป็นสุภาพบุรุษที่พร้อมจะเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น แต่ดูท่าทางสิ่งที่คาดไว้กับความเป็นจริง จะแตกต่างราวกับหนังคนละม้วน

แต่ก็แปลกเหมือนกันนะ ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นแบบที่ฉันได้คาดเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่มีผู้คนหัวเราะกับท่าทางของเขา ยิ้มให้กับรอยยิ้มที่ฟีลส่งต่อให้กับคนรอบข้าง มันก็กลับทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามเขา

ถึงแม้ฟีลจะแตกต่างจากที่ได้คิดฟุ้งเฟ้อไว้ในหัว...แต่แบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอกนะ

“คุณพี่สาว...เมื่อไหร่จะถึงสักทีเนี้ย นี่เราก็เดินมานานแล้วนะ” ฉันหันไปมองฟีลที่กำลังทำท่าท่าทางโอดโอย จนคนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหลีกหนีให้ไกลออกจากเขา

“เฮอะ แล้วใครใช้ให้นายเล่นคุยเล่นกับใครก็ไม่รู้ตลอดทางอย่างนี้เล่า ท่านายรู้จักเดินดีๆ เดินเงียบๆนะ ป่านนี้ถึงร้านไปตั้งนานแล้ว”

“ไม่รู้อ่ะๆ ผมเดินจนขาจะหลุดออกจากร่างอยู่แล้วเนี้ย หิวก็หิว ต้องมาผจญกับอะไรก็ไม่รู้”

ฉันมองฟีลเล่นบทชายผู้หน้าสงสารอยู่นานสองนาน ในที่สุดเขาก็คล้ายรู้ว่าฉันไม่สนใจ จึงหยุดพูดและเล่นละคร แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนพลางปัดฝุ่นให้ออกจากตัว

“ว่าไง พ่อนักผจญภัย พร้อมที่จะผจญภัยต่อแล้วเหรอ”

“เธอนี่มันใจจืดใจดำจริงๆ ฉันอุตส่าห์เล่นละครตั้งนาน แทนที่จะมาสนใจกันบ้างนะ” ฟีลทำแก้มป่อง จนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“อ้อเหรอ ถ้างั้นนายก็ไปต่อเองก็แล้วกัน เชิญแบกคีย์บอร์ดผุๆเดินว่อนไปให้ทั่วโตเกียวเลยนะ พ่อคนเก่ง”

“อ้าว ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ”

“อ้าว ก็นายบอกว่าฉันใจดำไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นฉันก็จะใจดำจริงๆให้นายได้ดู”

ฉันแสร้งทำทีเป็นเดินหายลับไปในฝูงชน ก่อนที่จะเดินไปหลบหลังเสาและเฝ้าจับตามองอยู่ห่างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ฉันเริ่มรู้สึกสนุกเข้าให้แล้ว

ใบหน้าที่ซีดลงราวกับไก่ต้มที่ถูกเชือดแล้วเชือดอีก ทำให้ฉันต้องรีบปิดปากเอาไว้ ไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา

ในที่สุดฟีลก็คล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาเดินเข้าไปในร้านหมูทอดที่อยู่อีกฝั่งของถนน โชคดีทีครั้งนี้ไม่มีใครฝ่าฝืนไฟจราจรคนข้าม ไม่งั้นฉันอาจจะต้องพาเขาไปที่โรงพยาบาลอีกรอบหนึ่งก็เป็นได้

เมื่อฉันเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณนี้ ฉันจึงค่อยๆตามฟีลไปช้าๆเพื่อไม่ให้เขารู้ตัว

ฉันเริ่มรู้สึกสนุกแล้วจริงๆ นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เล่นอะไรเหมือนเด็กขนาดนี้

ร้านหมูทอดขนาด 2 คูหา คาคั่งไปด้วยผู้คนที่กำลังต่อคิวรอรับประทาน ฉันเดินไปหลบที่มุมของร้านเพื่อที่จะสอดส่องว่าเป้าหมายอยู่ไหน เพื่อง่ายต่อการสอดแนม

“เขาต้องยังต่อคิวอยู่แน่” ฉันพูดกับตัวเองคล้ายกำลังปรึกษาแผนอะไรบางอย่างในหัว แต่น่าแปลก หลังจากที่ฉันชะโงกหัวออกไปดู กลับไม่เห็นฟีลยืนต่อแถวอยู่เลย ราวกับว่าเขาไม่เคยหมายจะมารับประทานอาหารที่ร้านนี้

ฉันเริ่มลนลานเมื่อเห็นว่าตนเองคลาดกับเป้าหมาย ในขณะที่ฉันคิดว่ากำลังถือไพ่เหนือกว่า...เขากลับดึงไพ่จากมือฉันออกไปแล้ว

“อ้าว คุณคนใจดำ มาแอบอะไรอยู่แถวนี้เหรอครับ”

ฉันรีบหันไปมองตามเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง แต่สิ่งที่ฉันเห็นก็เป็นเพียงแค่รูปปั้นรูปหมูมาสคอสของร้านเท่านั้น

ในขณะที่ฉันคิดว่าเขาตกหลุมพราง ...ฉันกลับตกหลุมพรางของเขาซะเอง

“ไม่ต้องหลบแล้ว เกมนี้นายชนะ”

ฟีลค่อยๆเดินออกมาจากรูปปั้นหมูที่เขาซ่อนตัวอยู่ พลางส่งเสียงหัวเราะสะใจ

“แหมๆ คุณผู้หญิง ถ้าอยากจะเล่นบทสายสืบ ก็ต้องรอบคอบมากกว่านี้นะครับ แค่ผมแกล้งทำเป็นหลงกลคุณ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะหลงจริงๆสักหน่อย เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าถ้าคุณยังไม่เห็นไพ่นั้นจริงๆ...ว่ามันเป็นเอซ หรือว่าโจ๊กเกอร์”

ฟีลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังหัวเราะไม่หยุดจนฉันเริ่มหัวเสีย

“โอ๊ยๆ ไม่ต้องบ่นมากน่า นายชนะๆ ครั้งนี้นายชนะ พอใจยัง”

ฉันกระทืบเท้าก่อนที่จะทำแก้มป่อง ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนว่าความรู้สึกแบบเด็กๆได้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง

“เอาน่าๆ คุณพี่สาว เราเข้าไปกินหมูทอดกันเถอะ ผมหิวจนจะกินหมูได้ทั้งตัวแล้วเนี้ย” ฟีลพูดก่อนที่จะทำท่าคล้ายกำลังจะกินหมูรูปปั้นมาสคอสที่อยู่ข้างๆ

“จะกินหมูตัวนั้น ก็เชิญ”

ฉันเดินไปเข้าแถวเข้าร้าน โดยที่ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินมาเข้าแถวต่อจากฉัน

เรารอไม่นาน ในที่สุดก็ถึงคราวของเราที่จะได้เข้าไปรับประทาน บอกตามตรงเลยว่าฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของร้านหมูทอดร้านนี้มานาน แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสลิ้มลองสักที

“เข้ามาในร้านแล้ว ถอดแว่นออกเถอะ”

“ไม่ๆ เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ถอด”

ฉันยังคงดื้อดึงถึงแม้จะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่สงสัยกับการใส่แว่นกันแดดในร้านที่ไม่มีทางมีแดดของฉันก็ตาม

เราได้โต๊ะบริเวณใจกลางของร้าน ซึ่งเป็นจุดที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ด้วยพนักงานที่มักจะต้องเดินผ่านจุดนี้อยู่เป็นประจำ

“สั่งเต็มที่เลย ผมเลี้ยงเอง” ฟีลพูดพลางเปิดหน้าเมนูอาหารไปมา

“เฮอะ นักผจญภัยอย่างนายเก็บเงินไว้ รักษาตัวเองให้รอดเถอะ” ฉันพูดติดตลก ก่อนที่หยิบหนังสือรายการอาหารขึ้นมาดู

ถึงแม้ร้านนี้จะขายแค่หมูทอด แต่หมูทอดของเขาก็แบ่งเป็นหลายเมนู ทั้งหมูทอดดั้งเดิม หมูทอดราดซอสเห็ด หมูทอดยัดใส้ไข่ หรือแม้แต่หมูทอดหมักก็ยังมี ดูจากจำนวนหน้าแล้วน่าจะมีเมนูหมูทอดไม่ต่ำกว่า 50 รายการ

“นายเอาอะไรล่ะ ฉันเลี้ยงเอง”

“เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ” ฟีลยิ้มให้ฉัน ...แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์

ฉันใช้เวลาคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบกลับไป “เนื่องในโอกาส ฉลองความบ้าบอของนายที่มันทะลุจุดขีดสุดแล้วยังไงล่ะ”

ฉันหมายว่าเขาจะหัวเราะกับคำพูดของฉัน แต่กลับกัน ฟีลกลับทำหน้าเศร้าหมองครั้งแรกตั้งแต่ได้เจอ

“ขอโทษนะ แต่ความจริงแล้ว ตัวผมไม่ได้ร่าเริงอย่างที่แสดงออกมาหรอก”

ฉันไปต่อไม่ถูก เหมือนรับรู้สิ่งที่ฟีลแสดงออกมา คล้ายเขามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ...ซึ่งฉันไม่กล้าถาม

“เอ่อ...ผมขอสั่งอาหารหน่อยครับ” ฟีลตะโกนเรียกพนักงาน ซึ่งไม่นานก็มีพนักงานชายแต่งตัวทะมัดทะแมงเดินเข้ามา

“รับอะไรดีครับ”

“ขอหมูทอดดั้งเดิม 1 ที่ครับ”

หลังจากฟีลสั่งจบ เขาก็ผายมือมาทางฉันคล้ายบอกให้สั่งต่อเลย

“เอ่อ ขอหมูทอดดั้งเดิมเหมือนกันค่ะ”

เมื่อพนักงานรับรายการอาหารเสร็จเรียบร้อย เขาก็รีบเดินไปรับรายการอาหารโต๊ะอื่นต่อไป

“คุณพี่สาวเคยมาทางอาหารที่ร้านนี้เหรอเปล่าครับ”

ฉันส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่เคยเหมือนกัน ถึงจะผ่านบ่อยๆแต่ก็ไม่มีจะสนใจน่ะ เวลาไม่ค่อยจะมี ต้องทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ”

“อ้าว แล้ววันนี้เธอไม่ทำงานเหรอ”

...คำพูดของฟีลเตือนบางสิ่งบางอย่างที่ลืมไปแล้วให้ตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือเมื่อตอนเข้าไปช่วยฟีลขึ้นมาดู

“50 สายไม่ได้รับ...” ฉันอุทานเสียงดัง ในใจเอาแต่โทษตัวเองที่ดันเปิดมือถือเป็นระบบสั่นเอาไว้ทั้งๆที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือ

ฟีลดูเหมือนจะรู้ว่าฉันมีปัญหาอะไรบางอย่างกับโทรศัพท์ จึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรตามมารยาท

ความกล้าทั้งหมดของฉันรวบรวมไปที่ปลายนิ้วเพื่อที่จะโทรกลับ ราวกับแรงโน้มถ่วงของโลกเพิ่มขึ้น ตัวของฉันหนักจนอยากจะล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะแรงกดดัน

ตี๊ด ตี๊ด เสียงรอสายราวกับเป็นกระดิ่งวันประหาร ที่ค่อยๆดังขึ้นเป็นจังหวะเพื่อให้นักโทษทำใจ

ทันทีที่ปลายสายรับ ฉันก็ไม่รีรอที่จะพูดออกไป “ขอโทษๆๆๆ ฉันติดธุระนิดหน่อย เดี๋ยวจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย ความเงียบยิ่งเพิ่มความกดดันขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

“ฮานะ ฮัลโหลๆ”

“เธอไม่ต้องพูดแก้ตัวอะไรหรอก”

เสียงใสๆของฮานะทำให้ฉันพอโล่งใจได้ว่า เอยังไม่โกรธถึงขนาดพูดไม่ออก

“คือ ฮานะ ฉันมีธุระจริงๆ ขอโทษที”

“ริกะ ปกติเธอไม่เคยมาสายสักครั้งเลยนะ ตั้งแต่เข้าวงการมา เธอมีธุระอะไรกันแน่”

ฉันค่อยๆเหล่มองไปทางผู้ชายเบื้องหน้า ที่กำลังจ้องมองเข้าไปในครัวร้านอาหาร

“เอาน่าๆ แค่มีธุระนิดหน่อยเอง”

ฉันพยายามลดความตึงเครียดลง ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผลในระดับหนึ่ง

“เธอนี่มันจริงๆเลยน่า โชคดีที่เขาเลื่อนถ่ายไปเป็นตอนบ่าย ไม่งั้นเธอโดนด่ากระจายแน่” เสียงของฮานะดูจริงจังกว่าปกติ จนฉันไม่กล้าพูดอะไรต่อนอกจากคำว่า ค่ะ

หลังจากที่ฮานะวางสายทิ้งไป ฉันก็เหลืบไปมองนาฬิกาที่ถูกแขวนอยู่บริเวณใกล้ๆประตูร้าน ซึ่งมันกำลังชี้บอกเวลา 9 โมงเช้าตรงเป๊ะ ไม่บิดเบือน

“เหลือเวลาอีก 3 ชั่วโมงกว่า” ฉันบ่นกับตัวเองเบาๆเพื่อไม่ให้ฟีลได้ยิน

“คุยเสร็จแล้วเหรอ”

“อืม เพื่อนโทรมาน่ะ”

ฉันรู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องราวในครั้งนี้ ทั้งๆที่วันนี้อุตส่าห์ปลอมตัวเพื่อหมายจะไม่ไปสายเพราะเจอกลุ่มแฟนคลับ แต่สุดท้าย...ก็ดันสายจนได้

ระหว่างรออาหารฉันก็ตรวจความเรียบร้อยต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้จักตัวจริงของฉัน ผมยาวถูกเก็บอย่างมิดชิดในวิกผมสั้นเสมอไหล่ แว่นกันแดดเลนส์ใหญ่ที่แทบจะกลินกินทั้งใบหน้าเข้าไปประทับอยู่บนใบหน้า โดยไม่มีทีท่าว่าจะถูกถอดออก

ในที่สุดอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมๆของหมูทอดที่เพิ่งทอดใหม่ๆ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะดมกลิ่นมันอยู่พักใหญ่ จนฟีลต้องเอ่ยปากเตือน

“นี่เธอ จะกินหรือไม่กิน เห็นดมอยู่นานสองนานแล้ว”

“ช่างฉันเถอะน่า นายนี่ไม่มีอารมณ์ศิลปินเลยหรือไง”

ฉันค่อยๆคืบชิ้นเนื้อขึ้นมาอย่างบรรจง สีของเนื้อที่ยังคงความฉุ่มฉ่ำตัดกับสีของเกร็ดขนมปังอย่าลงตัว ราวกับมันจะสามารถเปล่งประกายความเจิดจรัสออกมาได้ก็มิปาน

“เฮอะ ว่าผมบ้า ความจริงพี่สาวก็แปลกไม่แพ้ผมหรอก”

“แปลกที่ไหน ก็บอกแล้วไง อารมณ์ศิลปินน่ะ อารมณ์ศิลปิน”

“เฮอะ พูดอย่างกับตัวเองเป็นศิลปินอย่างงั้นแหละ”

กร๊อบ...ฉันเผลอปล่อยหมูทอดร่วงลงมากระแทกกับหมูทอดชิ้นอื่นๆ ความกรุบกรอบที่ปะทะกันนี้ยั่วน้ำลายคนมาแล้วนักต่อนัก

“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันหมายถึงมันเป็นอารมณ์น่ะ แค่อารมณ์” ฉันปฎิเสธเป็นพัลวัน

ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทำไมฉันถึงต้องปกปิดตัวจริงกับผู้ชายตรงหน้าด้วย ในเมื่อเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้จักฉัน ไม่สิ ถึงแม้เขาจะรู้จัก แต่ปกติฉันก็ไม่เคยปลอมตัวอยู่แล้วนี่นา แต่ไม่รู้ทำไม เหมือนมีบางสิ่งบางอย่าง มากระซิบข้างหู ว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่สมควร

“นี่มันอร่อยๆสุดไปเลย” ฉันกับฟีลแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน หลังจากชิมหมูเข้าไปคำแรก เราสองคนต่างทำท่าทางบ้าๆบอๆที่บ่งบอกถึงความอร่อยในลักษณะของตัวเอง

ความจริงฟีลอาจจะพูดถูกก็ได้ล่ะมั้ง ถึงเขาจะเป็นคนที่แปลก แต่ดูเหมือนว่าฉันก็แปลกไม่แพ้กัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา