Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.42K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) บทที่ 25 สีสันของน้ำตา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 25
สีสันของน้ำตา
ผมหอบแฮกๆเสียงดัง มือทั้งสองท้าวเข่าเอาไว้คล้ายใช้มันเป็นเสาหลักเพื่อไม่ให้ร่างกายล้มลงไป อากาศที่หนาวเหน็บยิ่งทำให้สายตาของผมพร่ามัวจนแทบอยากจะล้มลงไปกองกับพื้น
“อยู่ที่นี่เองสินะ ให้ตายเถอะ” เบื้องหน้าของผมคือร้านอาหารที่ยังคงเปิดให้บริการถึงแม้เวลาจะดึกดื่นป่านนี้แล้วก็ตาม แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องผ่านประตูออกมา คล้ายเป็นแสงสว่างเรืองให้กับผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน
ประตูค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ สายตาของผมเพ่งจ้องมองไปยังร้านเบื้องหน้าที่กำลังเผยโฉมหน้าให้ได้เห็น
แสงสว่างภายในแยงตา ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แสงไฟเบาๆแต่ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ความสว่างของมันก็พอจะเป็นความอบอุ่นที่ใครก็ใฝ่ฝันหา
“ยินดีต้อนรับค่า”
ผมหันตามไปมองเสียงทักทายนั้น เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก อายุประมาณ 40 ต้นๆ เหงื่อของเธอไหลออกมาราวกับบ่อน้ำที่เต็ม แสดงให้เห็นถึงความร้อนหน้าเตาที่คนทำอาหารทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยง
ร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ มีที่นั่งแค่ประมาณสิบกว่าที่นั่ง ความเก่าของโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์แสดงให้รู้ว่าร้านนี้เปิดมาหลายต่อหลายปี กลิ่นหอมๆของซุปมิโซะที่ถูกอุ่นอยู่หลังร้านก็เป็นนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของร้านอาหารร้านนี้
“ขอโทษนะครับ”
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจ้องผม
“จะรับอะไรเหรอคะ”
“ปะ เปล่าครับ”
“ถ้าไม่สั่งอาหารก็กรุณาออกไปด้วยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไร้ซึ่งอารมณ์แฝง
“คะ คือว่าผมมาตามหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งน่ะครับ คุณน้าพอจะ...” ผมหยุดพูด...ไม่สิต้องเรียกว่าผมไม่กล้าพูดต่อต่างหาก ใบหน้าของคนเบื้องหน้าแสดงความเศร้าโศกออกมาอย่างชัดเจน
“เคนอิจิ...ถ้าเด็กคนนั้นไปทำอะไรไม่ดีไว้ล่ะก็ ฉันก็ขอโทษแทนเขาด้วยก็แล้วกันนะคะ”
ถึงแม้ไอควันจากเตาเบื้องหน้าจะหนาจนมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้จากน้ำเสียงของเธอ น้ำเสียงที่คล้ายจะมีน้ำตาไหลหลั่งออกมาพร้อมกับเสียงนั้น
ผมเดินเข้าไปนั่งบริเวณที่นั่งหน้าเตาของร้าน ก่อนที่จะปล่อยเวลาให้ไหลไปสักพัก เพราะผมไม่กล้าที่จะพูดกับผู้หญิงตรงหน้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรอก แต่ถ้าผมพูดกับเธออีกสักคำสองคำ เธออาจจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาอยู่อีกแล้วก็เป็นได้
ผมพยายามไม่สบตากับเธอโดยการเลี่ยงไปมองเมนูอาหารที่ถูกเสียบไว้อยู่ข้างๆช่องใส่ตะเกียบ สายตาของผมไล่วนซ้ำไปซ้ำมากับเมนูอาหารแผ่นเล็กๆจนเริ่มรู้สึกว่าสีของมันเริ่มจางไปเรื่อยๆอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าคิดเป็นอาหารก็คงจะเป็นอาหารที่ถูกตั้งไว้กลางแดดนานจนรสชาติที่มีอยู่ค่อยๆชืดลงไป
“เอ่อ...ผมขอสั่งอาหารหน่อยได้ไหมครับ” ผมหยั่งเชิงด้วยคำถามที่ดูเป็นมิตร
ผู้หญิงตรงหน้าไม่ตอบ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเข้ามาในร้านอาหาร ถ้าสั่งอาหารไม่ได้จะเข้ามาทำไมกัน
ผมชี้ไปที่เมนูอาหารเมนูหนึ่ง ก่อนที่จะเก็บเมนูอาหารเข้าที่เดิม
อาหารใช้เวลาไม่นานก็ถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า ไอร้อนของมันช่วยดับไอเย็นจากอากาศรอบข้างได้เป็นอย่างดี ผมไม่รู้หรอกว่าอาหารตรงหน้าคืออะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นอาหารที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้มาก่อนในชีวิต แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นเท่ารสชาติของมันที่อร่อยจนผมอยากจะสั่งมากินอีกสักจานถ้าสภาพทางการเงินในกระเป๋าของผมพร้อมกว่านี้
“อร่อยดีนะครับ” เธอไม่ตอบ แต่กลับอมยิ้มน้อยๆอยู่หลังม่านควันของหม้อปรุงอาหาร
คนในร้านตอนนี้ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน อาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยจะมีคนออกมารับประทานอาหารด้วยกระมัง จนในที่สุดทั้งร้านก็เหลือแค่ผมกับเจ้าของร้านเพียงสองคน
“สรุปแล้วเคนอิจิไปทำอะไรให้คุณเข้าเหรอค่ะ”
“ปะ เปล่าครับ” ผมพยายามโกหก แต่คงเพราะผมโกหกไม่เก่งรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ ถึงไม่เคยมีใครเชื่อคำโกหกของผมเลยแม้แต่คนเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นหนึ่งนั้น เธอรู้ดีว่าผมกำลังโกหกเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่ชื่อ เคนอิจิ
เธอนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา “เคนอิจิน่ะ...เป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจน่ะค่ะ”
ผมไม่พูดอะไรตอบกลับไปเพราะต้องการให้เธอพูดต่อ
“คือ...เขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะคะ แต่เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง ด้วยสภาพทางการเงินของฉันทำให้เลี้ยงเขามาได้ไม่ดี”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณนายหรอกครับ”
ผมไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนั้นมีปัญหาอะไร ผมไม่รู้หรอกเด็กคนนั้นเคยทำอะไรมาบ้าง และมีชีวิตอย่างไร แต่ที่สำคัญผมจะไม่ยอมให้ผู้หญิงตรงหน้าต้องเสียน้ำตามากกว่านี้อีกแล้ว ถึงแม้จะต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ตามที...
“เออ คุณนายครับ คือผมขอพบเคนจิหน่อยได้ไหมครับ”
ผู้หญิงตรงหน้าพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะลุกเดินไปหลังร้าน โดยที่ไม่ลืมพูดเชิงขอร้องเบาๆกับผม...ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ใจของผมสั่นซะเหลือเกิน
“อย่าทำร้ายเขานะคะ ฉันขอร้อง จะเอาอะไรไปก็ได้แต่ขอร้อง...อย่าทำร้ายเขาเลย”
ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ความรู้สึกที่คุณนายมีต่อเคนจินั้น ช่างชัดเจนจนแม้กระทั้งคนตาบอดหัวหนวกก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“เคนจิ ออกมานี่หน่อย มีคนมาพบลูกน่ะ”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับ
“เคนจิ!!!” คุณนายเริ่มเค้นเสียงที่ดูน่ากลัวและดุดัน
“เคนจิ!!!!!”
“โอ๊ย น่ารำคาญน่า คุณเป็นใครถึงมีสิทธิสั่งผม” เสียงคำรามดังขึ้นจากบริเวณชั้นสอง ก่อนที่จะตามมาเสียงฝีเท้าตึงตังบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงนั้น
“เคนจิ...” คุณนายจ้องมองเด็กชายคนนั้นที่กำลังยืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 3
“เลิกเรียกชื่อผมสักทีเถอะ คุณไม่ใช่แม่ผม คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผม” เด็กชายเดินลงมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมรับว่าเป็นแม่ ก่อนที่จะทำสิ่งที่แม้แต่ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เสียงก้องกังวานที่เกิดจากฝ่ามือของเคนจิที่กระทบกับใบหน้าของคุณนายเข้าอย่างจัง จนเธอล้มลงไปกองกับพื้น
“ไอ้เด็กบ้า!!!” ผมตะโกนด้วยความตกใจ พลางพุ่งตัวเข้าไปหมายจะชกผู้ชายตรงหน้าด้วยความโกรธ
...มีแค่เสียงหมัดแหวกอากาศที่ตามมา มือของผมอยู่ห่างจากเด็กชายไม่ถึงเซ็น...ผมไม่กล้าที่จะต่อยใคร นั้นอาจจะเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของผม
“นี่ยังไม่เลิกตามผมอีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าเกลียดคนอย่างคุณที่สุด!!! ออกไปจากร้านซะ ไอ้พวกเหลือเดนเอ้ย ตายๆไปหมดโลกซะก็ดี”
เคนจิไม่พูดเปล่า เขาคว้าหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำซุปเดือดๆราดด้วยแรงทั้งที่มีโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“อ๊าก!!! ไอ้เด็กบ้า” ผมตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด ความร้อนของน้ำซุปทั้งหม้อแทบจะทำให้รู้สึกเป็นอัมพาตไปทั้งตัว
“หยุดนะ เคนจิ!!!”
คุณนายพยายามลุกขึ้น พลางตะโกนห้าม ริ้วรอยอันเกิดจากรอยตบยังคงปรากฏเด่นอยู่บนหน้า แต่ดูเหมือนสิ่งเหล่านั้นจะไม่อาจสร้างความละอายใจให้แก่เด็กชายได้เลย
“โธ่เว้ย น่ารำคาญจริง ทำไมวันๆชีวิตถึงเป็นแบบนี้วะ เจอทั้งไอ้รวยปัญญาอ่อน แถมยังต้องมาอยู่กับผู้หญิงไม่ได้เรื่องแบบนี้อีก”
เด็กชายเดินเหยียบผิวหนังที่ยังคงปวดแสบปวดร้อนของผมออกไป ก่อนที่เสียงปิดประตูร้านจะดังตามมา
ผมพยายามลุกเพื่อตามเคนจิออกไป แต่ดูเหมือนความร้อนแทบจะสูบแรงออกไปทั้งหมด สิ่งเดียวที่มันเหลือเอาไว้คือความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะหาคำใดมาบรรยาย
แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเจ็บปวดแค่ภายนอก...เพราะสิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่า คือเสียงร้องไห้ของคุณนายที่เข้าเสียดแทงหัวใจของผมอย่างไร้ซึ่งความปราณี
“ฉันขอโทษนะคะ อยากได้อะไรก็เอาไปเลย แต่ช่วยยกโทษให้เด็กคนนั้นด้วยนะคะ”
เสียงร้องไห้เป็นสิ่งเดียวที่ผมได้ยิน บ้าเอ้ย!!! ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนร่างกายก็ไม่ขยับตาม
แน่นอนว่าผมก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นเป็นใคร แล้วผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้น ความจริงผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่บังเอิญตามเด็กคนนั้นมาจนถึงที่นี่ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้แม้กระทั้งว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงเกลียดผมถึงขนาดเอาน้ำซุปเดือดพล่านราดใส่ผมโดยไร้ซึ่งความแค้นส่วนตัว แต่ที่รู้แน่ๆตอนนี้ก็คือท่าทางผมจะเข้ามายุ่งในเรื่องที่ดูวุ่นวายเข้าให้ซะแล้ว...รู้แน่ซะยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเสียอีก
สีสันของน้ำตา
ผมหอบแฮกๆเสียงดัง มือทั้งสองท้าวเข่าเอาไว้คล้ายใช้มันเป็นเสาหลักเพื่อไม่ให้ร่างกายล้มลงไป อากาศที่หนาวเหน็บยิ่งทำให้สายตาของผมพร่ามัวจนแทบอยากจะล้มลงไปกองกับพื้น
“อยู่ที่นี่เองสินะ ให้ตายเถอะ” เบื้องหน้าของผมคือร้านอาหารที่ยังคงเปิดให้บริการถึงแม้เวลาจะดึกดื่นป่านนี้แล้วก็ตาม แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องผ่านประตูออกมา คล้ายเป็นแสงสว่างเรืองให้กับผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน
ประตูค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ สายตาของผมเพ่งจ้องมองไปยังร้านเบื้องหน้าที่กำลังเผยโฉมหน้าให้ได้เห็น
แสงสว่างภายในแยงตา ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แสงไฟเบาๆแต่ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ความสว่างของมันก็พอจะเป็นความอบอุ่นที่ใครก็ใฝ่ฝันหา
“ยินดีต้อนรับค่า”
ผมหันตามไปมองเสียงทักทายนั้น เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก อายุประมาณ 40 ต้นๆ เหงื่อของเธอไหลออกมาราวกับบ่อน้ำที่เต็ม แสดงให้เห็นถึงความร้อนหน้าเตาที่คนทำอาหารทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยง
ร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ มีที่นั่งแค่ประมาณสิบกว่าที่นั่ง ความเก่าของโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์แสดงให้รู้ว่าร้านนี้เปิดมาหลายต่อหลายปี กลิ่นหอมๆของซุปมิโซะที่ถูกอุ่นอยู่หลังร้านก็เป็นนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของร้านอาหารร้านนี้
“ขอโทษนะครับ”
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจ้องผม
“จะรับอะไรเหรอคะ”
“ปะ เปล่าครับ”
“ถ้าไม่สั่งอาหารก็กรุณาออกไปด้วยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไร้ซึ่งอารมณ์แฝง
“คะ คือว่าผมมาตามหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งน่ะครับ คุณน้าพอจะ...” ผมหยุดพูด...ไม่สิต้องเรียกว่าผมไม่กล้าพูดต่อต่างหาก ใบหน้าของคนเบื้องหน้าแสดงความเศร้าโศกออกมาอย่างชัดเจน
“เคนอิจิ...ถ้าเด็กคนนั้นไปทำอะไรไม่ดีไว้ล่ะก็ ฉันก็ขอโทษแทนเขาด้วยก็แล้วกันนะคะ”
ถึงแม้ไอควันจากเตาเบื้องหน้าจะหนาจนมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้จากน้ำเสียงของเธอ น้ำเสียงที่คล้ายจะมีน้ำตาไหลหลั่งออกมาพร้อมกับเสียงนั้น
ผมเดินเข้าไปนั่งบริเวณที่นั่งหน้าเตาของร้าน ก่อนที่จะปล่อยเวลาให้ไหลไปสักพัก เพราะผมไม่กล้าที่จะพูดกับผู้หญิงตรงหน้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรอก แต่ถ้าผมพูดกับเธออีกสักคำสองคำ เธออาจจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาอยู่อีกแล้วก็เป็นได้
ผมพยายามไม่สบตากับเธอโดยการเลี่ยงไปมองเมนูอาหารที่ถูกเสียบไว้อยู่ข้างๆช่องใส่ตะเกียบ สายตาของผมไล่วนซ้ำไปซ้ำมากับเมนูอาหารแผ่นเล็กๆจนเริ่มรู้สึกว่าสีของมันเริ่มจางไปเรื่อยๆอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าคิดเป็นอาหารก็คงจะเป็นอาหารที่ถูกตั้งไว้กลางแดดนานจนรสชาติที่มีอยู่ค่อยๆชืดลงไป
“เอ่อ...ผมขอสั่งอาหารหน่อยได้ไหมครับ” ผมหยั่งเชิงด้วยคำถามที่ดูเป็นมิตร
ผู้หญิงตรงหน้าไม่ตอบ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเข้ามาในร้านอาหาร ถ้าสั่งอาหารไม่ได้จะเข้ามาทำไมกัน
ผมชี้ไปที่เมนูอาหารเมนูหนึ่ง ก่อนที่จะเก็บเมนูอาหารเข้าที่เดิม
อาหารใช้เวลาไม่นานก็ถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า ไอร้อนของมันช่วยดับไอเย็นจากอากาศรอบข้างได้เป็นอย่างดี ผมไม่รู้หรอกว่าอาหารตรงหน้าคืออะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นอาหารที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้มาก่อนในชีวิต แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นเท่ารสชาติของมันที่อร่อยจนผมอยากจะสั่งมากินอีกสักจานถ้าสภาพทางการเงินในกระเป๋าของผมพร้อมกว่านี้
“อร่อยดีนะครับ” เธอไม่ตอบ แต่กลับอมยิ้มน้อยๆอยู่หลังม่านควันของหม้อปรุงอาหาร
คนในร้านตอนนี้ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน อาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยจะมีคนออกมารับประทานอาหารด้วยกระมัง จนในที่สุดทั้งร้านก็เหลือแค่ผมกับเจ้าของร้านเพียงสองคน
“สรุปแล้วเคนอิจิไปทำอะไรให้คุณเข้าเหรอค่ะ”
“ปะ เปล่าครับ” ผมพยายามโกหก แต่คงเพราะผมโกหกไม่เก่งรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ ถึงไม่เคยมีใครเชื่อคำโกหกของผมเลยแม้แต่คนเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นหนึ่งนั้น เธอรู้ดีว่าผมกำลังโกหกเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่ชื่อ เคนอิจิ
เธอนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา “เคนอิจิน่ะ...เป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจน่ะค่ะ”
ผมไม่พูดอะไรตอบกลับไปเพราะต้องการให้เธอพูดต่อ
“คือ...เขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะคะ แต่เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง ด้วยสภาพทางการเงินของฉันทำให้เลี้ยงเขามาได้ไม่ดี”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณนายหรอกครับ”
ผมไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนั้นมีปัญหาอะไร ผมไม่รู้หรอกเด็กคนนั้นเคยทำอะไรมาบ้าง และมีชีวิตอย่างไร แต่ที่สำคัญผมจะไม่ยอมให้ผู้หญิงตรงหน้าต้องเสียน้ำตามากกว่านี้อีกแล้ว ถึงแม้จะต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ตามที...
“เออ คุณนายครับ คือผมขอพบเคนจิหน่อยได้ไหมครับ”
ผู้หญิงตรงหน้าพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะลุกเดินไปหลังร้าน โดยที่ไม่ลืมพูดเชิงขอร้องเบาๆกับผม...ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ใจของผมสั่นซะเหลือเกิน
“อย่าทำร้ายเขานะคะ ฉันขอร้อง จะเอาอะไรไปก็ได้แต่ขอร้อง...อย่าทำร้ายเขาเลย”
ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ความรู้สึกที่คุณนายมีต่อเคนจินั้น ช่างชัดเจนจนแม้กระทั้งคนตาบอดหัวหนวกก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“เคนจิ ออกมานี่หน่อย มีคนมาพบลูกน่ะ”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับ
“เคนจิ!!!” คุณนายเริ่มเค้นเสียงที่ดูน่ากลัวและดุดัน
“เคนจิ!!!!!”
“โอ๊ย น่ารำคาญน่า คุณเป็นใครถึงมีสิทธิสั่งผม” เสียงคำรามดังขึ้นจากบริเวณชั้นสอง ก่อนที่จะตามมาเสียงฝีเท้าตึงตังบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงนั้น
“เคนจิ...” คุณนายจ้องมองเด็กชายคนนั้นที่กำลังยืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 3
“เลิกเรียกชื่อผมสักทีเถอะ คุณไม่ใช่แม่ผม คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผม” เด็กชายเดินลงมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมรับว่าเป็นแม่ ก่อนที่จะทำสิ่งที่แม้แต่ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เสียงก้องกังวานที่เกิดจากฝ่ามือของเคนจิที่กระทบกับใบหน้าของคุณนายเข้าอย่างจัง จนเธอล้มลงไปกองกับพื้น
“ไอ้เด็กบ้า!!!” ผมตะโกนด้วยความตกใจ พลางพุ่งตัวเข้าไปหมายจะชกผู้ชายตรงหน้าด้วยความโกรธ
...มีแค่เสียงหมัดแหวกอากาศที่ตามมา มือของผมอยู่ห่างจากเด็กชายไม่ถึงเซ็น...ผมไม่กล้าที่จะต่อยใคร นั้นอาจจะเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของผม
“นี่ยังไม่เลิกตามผมอีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าเกลียดคนอย่างคุณที่สุด!!! ออกไปจากร้านซะ ไอ้พวกเหลือเดนเอ้ย ตายๆไปหมดโลกซะก็ดี”
เคนจิไม่พูดเปล่า เขาคว้าหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำซุปเดือดๆราดด้วยแรงทั้งที่มีโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“อ๊าก!!! ไอ้เด็กบ้า” ผมตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด ความร้อนของน้ำซุปทั้งหม้อแทบจะทำให้รู้สึกเป็นอัมพาตไปทั้งตัว
“หยุดนะ เคนจิ!!!”
คุณนายพยายามลุกขึ้น พลางตะโกนห้าม ริ้วรอยอันเกิดจากรอยตบยังคงปรากฏเด่นอยู่บนหน้า แต่ดูเหมือนสิ่งเหล่านั้นจะไม่อาจสร้างความละอายใจให้แก่เด็กชายได้เลย
“โธ่เว้ย น่ารำคาญจริง ทำไมวันๆชีวิตถึงเป็นแบบนี้วะ เจอทั้งไอ้รวยปัญญาอ่อน แถมยังต้องมาอยู่กับผู้หญิงไม่ได้เรื่องแบบนี้อีก”
เด็กชายเดินเหยียบผิวหนังที่ยังคงปวดแสบปวดร้อนของผมออกไป ก่อนที่เสียงปิดประตูร้านจะดังตามมา
ผมพยายามลุกเพื่อตามเคนจิออกไป แต่ดูเหมือนความร้อนแทบจะสูบแรงออกไปทั้งหมด สิ่งเดียวที่มันเหลือเอาไว้คือความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะหาคำใดมาบรรยาย
แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเจ็บปวดแค่ภายนอก...เพราะสิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่า คือเสียงร้องไห้ของคุณนายที่เข้าเสียดแทงหัวใจของผมอย่างไร้ซึ่งความปราณี
“ฉันขอโทษนะคะ อยากได้อะไรก็เอาไปเลย แต่ช่วยยกโทษให้เด็กคนนั้นด้วยนะคะ”
เสียงร้องไห้เป็นสิ่งเดียวที่ผมได้ยิน บ้าเอ้ย!!! ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนร่างกายก็ไม่ขยับตาม
แน่นอนว่าผมก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นเป็นใคร แล้วผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้น ความจริงผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่บังเอิญตามเด็กคนนั้นมาจนถึงที่นี่ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้แม้กระทั้งว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงเกลียดผมถึงขนาดเอาน้ำซุปเดือดพล่านราดใส่ผมโดยไร้ซึ่งความแค้นส่วนตัว แต่ที่รู้แน่ๆตอนนี้ก็คือท่าทางผมจะเข้ามายุ่งในเรื่องที่ดูวุ่นวายเข้าให้ซะแล้ว...รู้แน่ซะยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเสียอีก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ