Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) บทที่ 23 เรื่องในห้อง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 23
เรื่องในห้อง
ระหว่างที่ผมกำลังอยู่ในห้องคนเดียว ผมไม่รู้เลยว่าห้องข้างๆ กำลังมีหญิงสาวสี่คนปราศรัยถกเถียงเรื่องของผมอยู่ สมาธิทั้งหมดถูกจดจ่อไปที่แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่มีตัวอักษรเขียนไว้อยู่ประปราย รวมถึงบันไดเสียงที่ยังคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งตัวโน๊ต เสียงเคาะดินสอกับโต๊ะไม้สุดหรูเข้าจังหวะจนอดไม่ได้ที่ขาผมจะไม่โยกตามจังหวะนั้น
“เฮ้อ ยังใช้ไม่ได้แฮะ ยังมีบางอย่างขาดหายไป” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เกิดก่อนที่ผมจะลุกจากโต๊ะไปหยิบน้ำในตู้เย็นขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย
มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากเพลงที่ผมกำลังแต่งอยู่ตอนนี้ คล้ายจิกซอว์ที่ยังประกอบไม่ครบส่วน ผมใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการที่จะหาชิ้นส่วนที่ขาดหายไปนั้น แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ก็เหมือนจะมีเมฆหมอกมาบังชิ้นส่วนนั้นไว้ทุกครั้งไป
“มันขาดอะไรไปน้า” ผมบ่นพึมพำขณะที่สายตาจ้องมองไปยังรอบห้อง ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าผมจะได้มีโอกาสได้อาศัยอยู่ในห้องที่หรูหราขนาดนี้ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับที่แค่มองก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแต่ละชิ้นนับเป็นของมีราคา ไม่ใช่ของถูกๆที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
ใจหนึ่งก็รู้สึกสุขใจแต่อีกใจกลับละอาย ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด เหมือนนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะได้รับ ถึงแม้ว่าผมและพลอยจะทำงานหนักสักเท่าไหร่ ก็คงไม่อาจชดใช้สิ่งที่ นาโอะ ได้ให้มาได้ ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงค่าห้อง แต่พูดถึงน้ำใจที่ไม่อาจตอบแทนคืนได้ต่างหาก
ผมปิดตู้เย็นด้วยความละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะราคาของตู้เย็น แต่เพราะเป็นมารยาทที่พึงกระทำ อากาศในห้องที่หนาวขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของผม จนต้องเดินไปปรับแอร์ ก่อนที่จะกลับมานั่งที่โต๊ะที่ยังคงมีกระดาษเพลงวางไว้อยู่
ผมใช้เวลาอยู่อีกประมาณ 5 นาที ก่อนที่จะไม่ฝืนคิดอีกต่อไป สายตามองไปที่นาฬิกาโบราณดูมีราคา ที่ถูกแขวนอยู่บริเวณผนังห้อง ก่อนที่ผมจะนึกอะไรบางอย่างออก
ความลุกลี้ลุกลนไม่เคยเป็นเพื่อนกับใคร มันรั้งแต่จะทำให้สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่ยากขึ้นเท่านั้น ผมใช้เวลาอยู่นานสองนานกว่าที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาได้เพราะความรีบร้อน ลมหายใจเริ่มรัวรินเพราะความหนาว ก่อนที่เครื่องมือรูปสี่เหลี่ยมบางเฉียบที่สามารถติดต่อกับใครก็ได้ทั่วโลกจะส่งเสียงออกมา
เสียงดนตรีเบาๆที่ฟังจนคุ้นหู ทำให้ผมโล่งอก ที่เปิดทันในตอนที่รายการกำลังมาพอดี เสียงใสๆของทั้งสองพูดชื่อรายการขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้ผมไม่สนใจกระดาษเพลงตรงหน้าอีกแล้ว
“ดูโอ แองเกิ้ล ออน เรดิโอ ซันไรต์ ซันเซ็ต ซันชาย” ชื่อรายการวิทยุที่ดูบ้าบอ ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“สวัสดีค่ะ อิริเอะ ฮานะ ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ คิเซกิ ริกะ จ้า” เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่ารายการไหนๆก็ต้องมีการแนะนำผู้ดำเนินรายการก่อนที่จะทำอะไรต่อไป
ผมฟังวิทยุไปพลางๆขณะที่สายตายังคงแอบมองแผ่นกระดาษเพลงเป็นพักๆ
“นี่ฮานะ นี่ก็ใกล้จะถึงคอนเสิร์ตของเราประจำปีนี้แล้วนี่นา” ริกะพูดคล้ายท่องบทมา
“อืมนั้นสิ ปีนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีรึเปล่าน้า” ฮานะตอบกลับอย่างชำนาญ คล้ายท่องมากว่าสิบรอบ
“ใครที่มีบัตรแล้วก็อย่าลืมไปดูกันด้วยนะค่ะ เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปฟังเพลงกันดีกว่า กับเพลง แบล๊คแคนดี้ ของคุณ ฮิคารุ มิกะ”
ผมรู้สึกดีใจเล็กน้อย ที่พวกเธอทั้งสองเปิดเพลงที่ผมรู้จัก เพราะ ฮิคารุ มิกะ ถือว่าเป็นไอดอลทางด้านดนตรีของผมคนหนึ่งเลยทีเดียว เด็กสาวที่ถูกขนานนามว่า อัจฉริยะ ทั้งด้านการร้อง การเล่น หรือแม้กระทั่งการแต่งเพลงที่หาตัวจับได้ยาก ทำให้ ฮิคารุ มิกะ โด่งดังขึ้นในระยะเวลาไม่นาน และยังคงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน
ผมชื่นชมเธอเป็นการส่วนตัว ในใจก็ได้แต่หวังว่าเพลงที่ผมกำลังฟังอยู่นี้จะช่วยให้ผมนึกอะไรบางอย่างที่หายไปของผมออก แต่ก็คล้ายว่าผมจะต้องผิดหวัง สิ่งที่ขาดไปในแผ่นกระดาษเพลง ก็ยังคงไม่มีอะไรมาเติมเต็มถึงแม้เพลงจะจบไปแล้วก็ตาม
“จบไปแล้วกับเพลงของคุณ ฮิคารุ มิกะ นะตะ เอาล่ะ ได้เวลาเข้าสู่ช่วงปรึกษาปัญหาจากทางบ้านกันแล้ว”
ผมฟังพลางเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่น่าเชื่อเลยว่า ผมกับดูโอ แองเกิ้ลกำลังพักอยู่ในโรงแรมเดียวกัน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
“คำถามคราวนี้มาจากคุณ ดอกไม้สีรุ้ง เธอถามมาว่า ...พี่ๆค่ะ ระหว่างเส้นราเมง กับเส้นอุด้ง เส้นไหนอร่อยกว่ากันเหรอค่ะ มันเป็นปัญหาจริงๆ เวลาหนูจะสั่งอาหาร หนูเลือกไม่ถูกเลยค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
ผมรู้สึกแปลกใจกับคำถามที่ดูไร้สาระของเด็กสาว แต่ดูท่าทางเธอจะกังวลกับปัญหานี้จริงๆ
“อืม...ตอบยากแฮะ งั้นหนูดอกไม้สีขาวก็กินข้าวแทนไปเลยสิ” ริกะตอบคำถาม
ผมว่าคำถามแปลกแล้ว...แต่คำตอบกลับดูบ้าบอยิ่งกว่า
“เอาล่ะ ริกะ มาถึงคำถามต่อไปกันดีกว่า จากคุณเจ้าชายกบ” ฮานะดำเนินรายการต่อไป เพื่อไม่ให้รายการเลยเวลา
“สวัสดีครับ ฮานะซัง ริกะซัง พอดีผมเพิ่งถูกหักอกมาน่ะครับ...ขอโทษนะครับที่ต้องเขียนมาปรึกษาแบบนี้ แต่เธอบอกว่าผมเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่ทราบว่าผมควรจะทำยังไงดีครับ ใจของผมมันอยู่ไม่เป็นสุขเลย”
เป็นคำถามที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“อืม...” ริกะอ้ำอึ้งคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่คิดคำตอบอยู่นั้น
“คุณเจ้าชายกบ ก่อนอื่นเลย คุณต้องพิจารณาตัวเองก่อนว่า คุณเห็นแก่ตัวอย่างที่เขาว่าจรึงรึเปล่า ถ้าใช่ คุณก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่ ก็จริงที่มันอาจจะยาก แต่ก็ต้องพยายามดูนะ”
“ใช่ๆ ถ้าคุณทำได้ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องกลับมาหาคุณแน่”
ผมเห็นด้วยกับริกะ
“เอาล่ะ รายการก็ได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาอะไรอยู่ ก็สามารถส่งมาที่รายการเราได้นะคะ บ๊าย บาย”
คำพูดปิดรายการ ทำให้ผมมองไปที่แผ่นกระดาษเพลงที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ...ถ้าผมส่งจดหมายไปปรึกษา พวกเธอจะให้ชิ้นส่วนที่หายไปของเพลงนี้ได้ไหมนะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระดาษเปล่า มาเขียนอะไรบางอย่าง
“โครมๆ” ในระหว่างที่กำลังเขียน ก็กลับมีเสียงดึงอึกทึกครึกโครมจากภายนอก เข้ามารบกวนสมาธิ
ด้วยความสงสัย ผมจึงวางปากกาลงและเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ทันทีที่ยื่นหน้าออกไป เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเด็กผู้ชายรูปร่างไม่ใหญ่มาก สูงราวๆ 160 เซนติเมตร กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังหนีอะไรบางอย่าง
“ถอยปายยยยยย” เด็กผู้ชายตะโกนลั่น
“โครม” เด็กผู้ชายคนนั้นชนผมเข้าอย่างจัง จนเราทั้งสองกระเด็นออกจากกัน
แต่ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรดี ก็กลับมีเสียงอึกทึกอีกระลอกดังตามมาเบื้องหลังเด็กชาย “เจอแล้ว ไอ้เด็กบ้า!!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ขึ้นมาไม่ได้รู้มั้ย!!!”
คนที่แต่งตัวคล้ายเป็นพนักงานโรงแรมวิ่งตามหลังเด็กชายมา ทำให้ผมเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด เด็กชายลุกขึ้น และทำท่าจะวิ่งหนี แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อผมใช้มือตวัดรัดตัวเด็กชายเข้ามา
ทันทีที่พนักงานโรงแรมเห็นผม ก็หยุดวิ่ง และพูดอย่างนอบน้อมตามหน้าที่ “ขอโทษนะครับคุณลุกค้า พอดีเด็กคนนี้พยายามแอบหนีเข้ามาในโรงแรมน่ะครับ”
เด็กชายที่ถูกผมปิดปากไว้แน่น พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากเงื้อมมือของผม แต่ก็ต้องตัดใจเพราะขนาดตัวที่ห่างกัน
“คุณพนักงานคงเข้าใจผิดอะไรแล้วล่ะครับ เด็กคนนี้เป็นน้องชายผมเอง ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”
“ห๊ะ!!!” ทั้งเด็กชายและพนักงานต่างก็ทำหน้าตกใจพอๆกัน
“ผมว่าคุณพนักงานรีบไปดีกว่านะครับ ก่อนที่ผมจะเอาเรื่องพวกคุณ โทษฐานไล่จับน้องชายผม”
พนักงานนิ่งไปสักพักก่อนที่จะกล่าวลาและจำใจเดินกลับไป
ทันที่พนักงานจากไป ผมก็ลากเด็กชายเข้าไปในห้อง
มือที่ล๊อคเด็กชายไว้ถูกคลายออก ทันทีที่เด็กชายพูดได้ เขาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
“ผมเกลียดคุณๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมเกลียดคนอย่างคุณที่สุด คุณจะมาช่วยผมทำไม จะมาช่วยทำไม!!!” น้ำตาของเด็กชายค่อยๆไหลลงมา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกสับสนและใจหายไปพร้อมๆกัน
เรื่องในห้อง
ระหว่างที่ผมกำลังอยู่ในห้องคนเดียว ผมไม่รู้เลยว่าห้องข้างๆ กำลังมีหญิงสาวสี่คนปราศรัยถกเถียงเรื่องของผมอยู่ สมาธิทั้งหมดถูกจดจ่อไปที่แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่มีตัวอักษรเขียนไว้อยู่ประปราย รวมถึงบันไดเสียงที่ยังคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งตัวโน๊ต เสียงเคาะดินสอกับโต๊ะไม้สุดหรูเข้าจังหวะจนอดไม่ได้ที่ขาผมจะไม่โยกตามจังหวะนั้น
“เฮ้อ ยังใช้ไม่ได้แฮะ ยังมีบางอย่างขาดหายไป” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เกิดก่อนที่ผมจะลุกจากโต๊ะไปหยิบน้ำในตู้เย็นขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย
มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากเพลงที่ผมกำลังแต่งอยู่ตอนนี้ คล้ายจิกซอว์ที่ยังประกอบไม่ครบส่วน ผมใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการที่จะหาชิ้นส่วนที่ขาดหายไปนั้น แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ก็เหมือนจะมีเมฆหมอกมาบังชิ้นส่วนนั้นไว้ทุกครั้งไป
“มันขาดอะไรไปน้า” ผมบ่นพึมพำขณะที่สายตาจ้องมองไปยังรอบห้อง ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าผมจะได้มีโอกาสได้อาศัยอยู่ในห้องที่หรูหราขนาดนี้ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับที่แค่มองก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแต่ละชิ้นนับเป็นของมีราคา ไม่ใช่ของถูกๆที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
ใจหนึ่งก็รู้สึกสุขใจแต่อีกใจกลับละอาย ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด เหมือนนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะได้รับ ถึงแม้ว่าผมและพลอยจะทำงานหนักสักเท่าไหร่ ก็คงไม่อาจชดใช้สิ่งที่ นาโอะ ได้ให้มาได้ ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงค่าห้อง แต่พูดถึงน้ำใจที่ไม่อาจตอบแทนคืนได้ต่างหาก
ผมปิดตู้เย็นด้วยความละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะราคาของตู้เย็น แต่เพราะเป็นมารยาทที่พึงกระทำ อากาศในห้องที่หนาวขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของผม จนต้องเดินไปปรับแอร์ ก่อนที่จะกลับมานั่งที่โต๊ะที่ยังคงมีกระดาษเพลงวางไว้อยู่
ผมใช้เวลาอยู่อีกประมาณ 5 นาที ก่อนที่จะไม่ฝืนคิดอีกต่อไป สายตามองไปที่นาฬิกาโบราณดูมีราคา ที่ถูกแขวนอยู่บริเวณผนังห้อง ก่อนที่ผมจะนึกอะไรบางอย่างออก
ความลุกลี้ลุกลนไม่เคยเป็นเพื่อนกับใคร มันรั้งแต่จะทำให้สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่ยากขึ้นเท่านั้น ผมใช้เวลาอยู่นานสองนานกว่าที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาได้เพราะความรีบร้อน ลมหายใจเริ่มรัวรินเพราะความหนาว ก่อนที่เครื่องมือรูปสี่เหลี่ยมบางเฉียบที่สามารถติดต่อกับใครก็ได้ทั่วโลกจะส่งเสียงออกมา
เสียงดนตรีเบาๆที่ฟังจนคุ้นหู ทำให้ผมโล่งอก ที่เปิดทันในตอนที่รายการกำลังมาพอดี เสียงใสๆของทั้งสองพูดชื่อรายการขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้ผมไม่สนใจกระดาษเพลงตรงหน้าอีกแล้ว
“ดูโอ แองเกิ้ล ออน เรดิโอ ซันไรต์ ซันเซ็ต ซันชาย” ชื่อรายการวิทยุที่ดูบ้าบอ ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“สวัสดีค่ะ อิริเอะ ฮานะ ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ คิเซกิ ริกะ จ้า” เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่ารายการไหนๆก็ต้องมีการแนะนำผู้ดำเนินรายการก่อนที่จะทำอะไรต่อไป
ผมฟังวิทยุไปพลางๆขณะที่สายตายังคงแอบมองแผ่นกระดาษเพลงเป็นพักๆ
“นี่ฮานะ นี่ก็ใกล้จะถึงคอนเสิร์ตของเราประจำปีนี้แล้วนี่นา” ริกะพูดคล้ายท่องบทมา
“อืมนั้นสิ ปีนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีรึเปล่าน้า” ฮานะตอบกลับอย่างชำนาญ คล้ายท่องมากว่าสิบรอบ
“ใครที่มีบัตรแล้วก็อย่าลืมไปดูกันด้วยนะค่ะ เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปฟังเพลงกันดีกว่า กับเพลง แบล๊คแคนดี้ ของคุณ ฮิคารุ มิกะ”
ผมรู้สึกดีใจเล็กน้อย ที่พวกเธอทั้งสองเปิดเพลงที่ผมรู้จัก เพราะ ฮิคารุ มิกะ ถือว่าเป็นไอดอลทางด้านดนตรีของผมคนหนึ่งเลยทีเดียว เด็กสาวที่ถูกขนานนามว่า อัจฉริยะ ทั้งด้านการร้อง การเล่น หรือแม้กระทั่งการแต่งเพลงที่หาตัวจับได้ยาก ทำให้ ฮิคารุ มิกะ โด่งดังขึ้นในระยะเวลาไม่นาน และยังคงโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน
ผมชื่นชมเธอเป็นการส่วนตัว ในใจก็ได้แต่หวังว่าเพลงที่ผมกำลังฟังอยู่นี้จะช่วยให้ผมนึกอะไรบางอย่างที่หายไปของผมออก แต่ก็คล้ายว่าผมจะต้องผิดหวัง สิ่งที่ขาดไปในแผ่นกระดาษเพลง ก็ยังคงไม่มีอะไรมาเติมเต็มถึงแม้เพลงจะจบไปแล้วก็ตาม
“จบไปแล้วกับเพลงของคุณ ฮิคารุ มิกะ นะตะ เอาล่ะ ได้เวลาเข้าสู่ช่วงปรึกษาปัญหาจากทางบ้านกันแล้ว”
ผมฟังพลางเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่น่าเชื่อเลยว่า ผมกับดูโอ แองเกิ้ลกำลังพักอยู่ในโรงแรมเดียวกัน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
“คำถามคราวนี้มาจากคุณ ดอกไม้สีรุ้ง เธอถามมาว่า ...พี่ๆค่ะ ระหว่างเส้นราเมง กับเส้นอุด้ง เส้นไหนอร่อยกว่ากันเหรอค่ะ มันเป็นปัญหาจริงๆ เวลาหนูจะสั่งอาหาร หนูเลือกไม่ถูกเลยค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
ผมรู้สึกแปลกใจกับคำถามที่ดูไร้สาระของเด็กสาว แต่ดูท่าทางเธอจะกังวลกับปัญหานี้จริงๆ
“อืม...ตอบยากแฮะ งั้นหนูดอกไม้สีขาวก็กินข้าวแทนไปเลยสิ” ริกะตอบคำถาม
ผมว่าคำถามแปลกแล้ว...แต่คำตอบกลับดูบ้าบอยิ่งกว่า
“เอาล่ะ ริกะ มาถึงคำถามต่อไปกันดีกว่า จากคุณเจ้าชายกบ” ฮานะดำเนินรายการต่อไป เพื่อไม่ให้รายการเลยเวลา
“สวัสดีครับ ฮานะซัง ริกะซัง พอดีผมเพิ่งถูกหักอกมาน่ะครับ...ขอโทษนะครับที่ต้องเขียนมาปรึกษาแบบนี้ แต่เธอบอกว่าผมเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่ทราบว่าผมควรจะทำยังไงดีครับ ใจของผมมันอยู่ไม่เป็นสุขเลย”
เป็นคำถามที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“อืม...” ริกะอ้ำอึ้งคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่คิดคำตอบอยู่นั้น
“คุณเจ้าชายกบ ก่อนอื่นเลย คุณต้องพิจารณาตัวเองก่อนว่า คุณเห็นแก่ตัวอย่างที่เขาว่าจรึงรึเปล่า ถ้าใช่ คุณก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่ ก็จริงที่มันอาจจะยาก แต่ก็ต้องพยายามดูนะ”
“ใช่ๆ ถ้าคุณทำได้ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องกลับมาหาคุณแน่”
ผมเห็นด้วยกับริกะ
“เอาล่ะ รายการก็ได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาอะไรอยู่ ก็สามารถส่งมาที่รายการเราได้นะคะ บ๊าย บาย”
คำพูดปิดรายการ ทำให้ผมมองไปที่แผ่นกระดาษเพลงที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ...ถ้าผมส่งจดหมายไปปรึกษา พวกเธอจะให้ชิ้นส่วนที่หายไปของเพลงนี้ได้ไหมนะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระดาษเปล่า มาเขียนอะไรบางอย่าง
“โครมๆ” ในระหว่างที่กำลังเขียน ก็กลับมีเสียงดึงอึกทึกครึกโครมจากภายนอก เข้ามารบกวนสมาธิ
ด้วยความสงสัย ผมจึงวางปากกาลงและเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ทันทีที่ยื่นหน้าออกไป เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเด็กผู้ชายรูปร่างไม่ใหญ่มาก สูงราวๆ 160 เซนติเมตร กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังหนีอะไรบางอย่าง
“ถอยปายยยยยย” เด็กผู้ชายตะโกนลั่น
“โครม” เด็กผู้ชายคนนั้นชนผมเข้าอย่างจัง จนเราทั้งสองกระเด็นออกจากกัน
แต่ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรดี ก็กลับมีเสียงอึกทึกอีกระลอกดังตามมาเบื้องหลังเด็กชาย “เจอแล้ว ไอ้เด็กบ้า!!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ขึ้นมาไม่ได้รู้มั้ย!!!”
คนที่แต่งตัวคล้ายเป็นพนักงานโรงแรมวิ่งตามหลังเด็กชายมา ทำให้ผมเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด เด็กชายลุกขึ้น และทำท่าจะวิ่งหนี แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อผมใช้มือตวัดรัดตัวเด็กชายเข้ามา
ทันทีที่พนักงานโรงแรมเห็นผม ก็หยุดวิ่ง และพูดอย่างนอบน้อมตามหน้าที่ “ขอโทษนะครับคุณลุกค้า พอดีเด็กคนนี้พยายามแอบหนีเข้ามาในโรงแรมน่ะครับ”
เด็กชายที่ถูกผมปิดปากไว้แน่น พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากเงื้อมมือของผม แต่ก็ต้องตัดใจเพราะขนาดตัวที่ห่างกัน
“คุณพนักงานคงเข้าใจผิดอะไรแล้วล่ะครับ เด็กคนนี้เป็นน้องชายผมเอง ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”
“ห๊ะ!!!” ทั้งเด็กชายและพนักงานต่างก็ทำหน้าตกใจพอๆกัน
“ผมว่าคุณพนักงานรีบไปดีกว่านะครับ ก่อนที่ผมจะเอาเรื่องพวกคุณ โทษฐานไล่จับน้องชายผม”
พนักงานนิ่งไปสักพักก่อนที่จะกล่าวลาและจำใจเดินกลับไป
ทันที่พนักงานจากไป ผมก็ลากเด็กชายเข้าไปในห้อง
มือที่ล๊อคเด็กชายไว้ถูกคลายออก ทันทีที่เด็กชายพูดได้ เขาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
“ผมเกลียดคุณๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมเกลียดคนอย่างคุณที่สุด คุณจะมาช่วยผมทำไม จะมาช่วยทำไม!!!” น้ำตาของเด็กชายค่อยๆไหลลงมา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกสับสนและใจหายไปพร้อมๆกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ