Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 1 โรงพยาบาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1
โรงพยาบาล
“โอ๊ยๆคุณหมอ เบาๆมือหน่อยสิครับ” ผมร้องโอดครวญเมื่อหมอใช้มือค่อยๆกดไปที่ละจุดทั่วทั้งบริเวณร่างกาย
“เจ็บไหมครับ” นายแพทย์สวมแว่นไซต์หนาเตอะหันหน้ามาถาม จนผมอยากจะตอบกลับไปว่า ที่เจ็บก็เพราะแรงจากมือของหมอนี่แหละ
“ไม่เจ็บครับ” ผมตอบไปส่งๆ ถึงแม้ร่างกายตอนนี้จะปวดร้าวไปทั่วทั้งตัวแล้วก็ตาม
คุณหมอหันมามองคล้ายรู้สิ่งที่คิดในใจ “ถ้าไม่ใช่ผม ระวังจะโดนไล่ออกไปนะครับ คุณฟีล”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างทำให้ผมไม่กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับนายแพทย์ที่อยู่เบื้องหน้าอีกต่อไป ถึงแม้บุคลิกท่าทางจะดูสุภาพเรียบร้อย แต่กลับแผ่รังสีอำมหิตออกมาได้ภายในพริบตา
“เจ็บมั้ยครับ” หมอกดไปที่บริเวณหัวไหล่ ทันทีที่มือกระทบกับผิวหนัง ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านราวกับผึ้งแตกรังเข้าสู่ทุกอณูของร่างกายจนผมไม่อาจที่จะอดกลั้นความเจ็บปวดจนต้องร้องครางออกมา
“พอแล้วๆ ผมเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วเนี้ย” คุณหมอยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นผมเลิกที่จะตอบแบบส่งๆและตอบความเป็นจริงออกมา
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากกล้ามเนื้ออักเสบน่ะครับ” คุณหมอเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้า ก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงไปในแฟ้มประวัติผู้ป่วย
“ช่วงนี้ก็อย่าหักโหมนะครับ เดี๋ยวร่างกายจะบอบช้ำซะเปล่าๆ” คุณหมอพูดย้ำเตือน แน่นอนผมก็ตอบรับไปแบบไม่คิดอะไร
คุณหมอดูท่าทางจะระอากับนิสัยขี้เล่นของผม ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเตือนไปก็คงไร้ประโยชน์ แต่ก็ต้องพูดโดยจรรยาบรรณของการเป็นแพทย์
“เดี๋ยวไปรอรับยาบริเวณด้านหน้านะครับ” คุณหมอพูดพร้อมผายมือเชิญให้ผมออกไปข้างนอก คล้ายจะบอกว่า รีบๆออกไปสักทีเถอะ
ผมรีบเดินออกมาจากห้องตรวจตามแรงศรัทธาของนายแพทย์ในห้อง ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่บริเวณหน้าห้อง
“เสร็จแล้วเหรอ” หญิงสาวทักทายด้วยคำถาม
“ครับ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก”
“เหรอ งั้นก็ดีแล้ว” เธอจับแว่นกันแดดที่สวมอยู่บนใบหน้าให้เข้าที่ ทรงผมสั้นเสมอหัวไหล่ของเธอเข้ากันกับรูปหน้าอย่างน่าแปลกประหลาด ถึงแม้การแต่งหน้าจะดูหนาและเชยอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม
ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าภายใต้ใต้แว่นกันแดด แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าอายุของเธอไม่น่าจะต่ำกว่า 30 ปี
“ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาช่วยผมเอาไว้” ผมยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองกระเป๋าสีดำที่ถูกวางไว้บนโซฟาที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้สำหรับให้ผู้ป่วยนั่งรอ
“อ้อ คีย์บอร์ดของนายพังแล้วแหละ เละไม่ดีชิ้นดีเลย” เธอตอบตรงๆก่อนที่จะเดินไปเปิดกระเป๋าที่ภายในบรรจุคีย์บอร์ดที่อยู่ในสภาพยับเยินจากแรงกระแทกของรถ
“จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีน่ะเนี้ย” เธอพูดเพราะเนื่องจากถ้าไม่มีคีย์บอร์ดนี้ ผมคงจะรับแรงกระแทกจากรถเข้าไปเต็มๆ
“โชคดีสิครับ คุณป้า” นิสัยขี้เล่นที่ไม่อาจแก้ได้ของผมยังคงสำแดงฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง โชคดีที่ผู้หญิงผู้มีพระคุณของผมไม่โกรธอะไรมาก...ก็แค่เดินเข้ามาเหยียบเท้าก็เท่านั้นเอง
“เรียกฉันว่า นาโอะ...ถ้าเรียกด้วยคำนั้นอีกรอบ นายตายแน่” นาโอะเข้ามากระซิบข้างหูพลางส่งแรงไปขยี้เท้าของผมที่เธอเหยียบอยู่ จนผมต้องรีบพยักหน้ารับ เพื่อให้เธอรีบผ่อนแรงออกไป
“ขอโทษครับ พี่สาวนาโอะ” ผมรีบพูดขอโทษเป็นการใหญ่ โดยที่สายตายังคงระวังเท้าของเธอที่เพิ่งจะคลายออกไป
“แล้วนายชื่ออะไรล่ะ ตั้งแต่เจอกันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย”
“อ้าวๆ พี่สาวสนใจผมแล้วเหรอเนี้ย”
“โอ๊ย” ผมร้องโอดครวญขึ้นวูบหนึ่งจนคนทั้งโรงพยาบาลหันมามอง เท้าของนาโอะกระแทกเข้ากับท้องน้อยจนมือทั้งสองต้องยกขึ้นมากุมท้องเพื่อลดความเจ็บปวด
“คนบ้าอะไร กวนได้แม้กระทั่งคนที่เพิ่งเคยเจอ
“แหงะ เพิ่งเคยเจอที่ไหน ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอจะตาย” นี่ผมไม่ได้แกล้งหญิงสาวตาอย่างใด ใบหน้าของเธอคุ้นมากจนผมรู้สึกว่าเคยรู้จักเธอมาก่อนแล้ว
นาโอะทำท่าทีตกใจกับคำพูดของผม เธอรีบหยิบกระจกจากกระเป๋าถือสีม่วงใบเล็กๆขึ้นมาส่อง ก่อนที่จะจัดทรงผมและแว่นกันแดด จนคล้ายแน่ใจอะไรบางอย่างก่อนที่จะเก็บลงไป
“คิดไปเองน่ะสิ” เสียงของเธอสั่นอย่างน่าสงสัย
“ถ้างั้น...ถอดแว่นให้ผมดูหน้าจริงๆหน่อยสิ”
“ไม่มีทาง” นาโอะตะโกนเสียงดังจนผมตกใจ แน่นอนรวมถึงคนทั้งโรงพยาบาลด้วย จนนางพยาบาลคนหนึ่งต้องเดินมาดุ จนเธอต้องก้มขอโทษซะยกใหญ่
ผมอดขำไม่ได้กับท่าทีนอบน้อมผิดกับนิสัยห้าวที่ได้เผชิญก่อนหน้า จนเธอต้องหันมามองตาเขียว จนผมต้องรีบหยุดปากเพราะกลัวจะโดนกระทืบกลางโรงพยาบาล
หลังจากที่ปัญหาทุกอย่างถูกสะสางเรียบร้อย เธอก็เดินกลับมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด
“นายนี่มันกวนจนถึงขั้นขีดสุดจริงๆ รู้งี้ไม่ช่วย ปล่อยให้นอนตายอยู่กลางถนนดีกว่า” ดูเหมือนเธอจะผิดหวังอยู่พอสมควร ที่นิสัยผมไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้
“แล้วตกลงนายชื่ออะไรกันแน่เนี้ย” เธอเริ่มทนไม่ไหวจนต้องกระโดดโลดเต้นไปมา คล้ายเด็กกำลังอยากได้ของบางอย่าง ถึงแม้มันจะไม่เข้ากับอายุของเธอซะเท่าไหร่ก็ตาม
“ฟีล” เมื่อเห็นว่าไม่สมควรที่จะกวนอะไรอีกต่อไปแล้ว จึงตอบออกไป ถึงแม้มันจะสร้างความประหลาดใจบนใบหน้าที่ประหลาดใจของเธออยู่แล้วก็ตาม
“อ้าว นี่นายไม่ใช่คนญี่ปุ่นเหรอ”
“ใช่ เป็นคนไทยต่างหาก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ จนนาโอะต้องรีบถอยหลังออกมา ใบหน้าของเธอคุ้นมากจริงๆคุ้นมากจนพลางให้ผมนึกไปถึงใครบางคน...
“นายเข้ามาใกล้ทำไมน่ะ” นาโอะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่สองเท้ายังคงเพิ่มระยะห่างออกไปเรื่อยๆ
“แหม คุณพี่สาว ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกน่า” ดูเหมือนว่านาโอะจะยังไม่เชื่อคำพูดของผมสักเท่าไหร่ เธอจึงยังไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ถึงแม้จะหยุดเดินออกห่างแล้วก็ตาม
“ผมมีคนที่ผมชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เมื่อผมพูดดังนั้น นาโอะก็คล้ายคลายความกังวลออกไปได้บ้าง จนในที่สุดเธอก็กล้าเดินเข้ามาใกล้ แต่ก็ยังไม่ใกล้มาก
“แล้วคีย์บอร์ดของนาย...จะเอายังไงต่อ”
“ก็คงต้องเอาไปซ่อมนั้นแหละ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเงินก็ตามแต่เถอะ” ผมพูดพลางลูบกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่แค่ไม่กี่หมื่นเยน
“อ้าว แล้วนายไปกดเงินเพิ่มไม่ได้เหรอไง นายมาท่องเที่ยวไม่ใช่เหรอ?” นาโอะถามด้วยความประหลาดใจ เพราะปกติคนที่เป็นนักท่องเที่ยวก็น่าจะเป็นคนที่มีเงินอยู่พอตัว
“ผมไม่ได้มาท่องเที่ยวสักหน่อย คุณพี่เข้าใจผิดแล้ว”
“แล้วนายมาทำอะไรที่ญี่ปุ่นนี้หล่ะ”
“ออกผจญภัยไง ออกผจญภัย” ผมพูดพลางชี้ไปบนท้องฟ้า ใบหน้าของผมต้อนนี้เปี่ยมไปด้วยความสุขจริงๆ
“ออกผจญภัย? สมัยนี้ยังมีเรื่องอย่างนี้อยู่อีกเหรอเนี้ย”
“แน่นอนสิครับ” ผมยิ้มให้เธอ
และก็เป็นอีกครั้ง ที่นาโอะส่ายหน้าให้กับนิสัยบ้าๆบอๆของผม “เอางี้ นายจะไปร้านซ่อมประจำของฉันมั้ยล่ะ ราคาไม่แพงมาก”
ผมทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “นี่คุณพี่สาวเล่นดนตรีด้วยเหรอเนี้ย”
“นี่นาย...เห็นฉันแก่มากเหรอไง ฉันเพิ่งอายุ 25 เองนะ”
ผมไม่ประหลาดใจกับอายุที่แท้จริงของเธอมากเท่าไหร่นักหรอก “งั้นขอฝากตัวด้วยนะครับ”
คีย์บอร์ดของผมถูกลูบไปมา ถึงแม้มันจะอยู่ในสภาพ บุบ และเละจนไม่เหลือชิ้นดีก็ตาม
โรงพยาบาล
“โอ๊ยๆคุณหมอ เบาๆมือหน่อยสิครับ” ผมร้องโอดครวญเมื่อหมอใช้มือค่อยๆกดไปที่ละจุดทั่วทั้งบริเวณร่างกาย
“เจ็บไหมครับ” นายแพทย์สวมแว่นไซต์หนาเตอะหันหน้ามาถาม จนผมอยากจะตอบกลับไปว่า ที่เจ็บก็เพราะแรงจากมือของหมอนี่แหละ
“ไม่เจ็บครับ” ผมตอบไปส่งๆ ถึงแม้ร่างกายตอนนี้จะปวดร้าวไปทั่วทั้งตัวแล้วก็ตาม
คุณหมอหันมามองคล้ายรู้สิ่งที่คิดในใจ “ถ้าไม่ใช่ผม ระวังจะโดนไล่ออกไปนะครับ คุณฟีล”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างทำให้ผมไม่กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับนายแพทย์ที่อยู่เบื้องหน้าอีกต่อไป ถึงแม้บุคลิกท่าทางจะดูสุภาพเรียบร้อย แต่กลับแผ่รังสีอำมหิตออกมาได้ภายในพริบตา
“เจ็บมั้ยครับ” หมอกดไปที่บริเวณหัวไหล่ ทันทีที่มือกระทบกับผิวหนัง ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านราวกับผึ้งแตกรังเข้าสู่ทุกอณูของร่างกายจนผมไม่อาจที่จะอดกลั้นความเจ็บปวดจนต้องร้องครางออกมา
“พอแล้วๆ ผมเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วเนี้ย” คุณหมอยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นผมเลิกที่จะตอบแบบส่งๆและตอบความเป็นจริงออกมา
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากกล้ามเนื้ออักเสบน่ะครับ” คุณหมอเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้า ก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงไปในแฟ้มประวัติผู้ป่วย
“ช่วงนี้ก็อย่าหักโหมนะครับ เดี๋ยวร่างกายจะบอบช้ำซะเปล่าๆ” คุณหมอพูดย้ำเตือน แน่นอนผมก็ตอบรับไปแบบไม่คิดอะไร
คุณหมอดูท่าทางจะระอากับนิสัยขี้เล่นของผม ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเตือนไปก็คงไร้ประโยชน์ แต่ก็ต้องพูดโดยจรรยาบรรณของการเป็นแพทย์
“เดี๋ยวไปรอรับยาบริเวณด้านหน้านะครับ” คุณหมอพูดพร้อมผายมือเชิญให้ผมออกไปข้างนอก คล้ายจะบอกว่า รีบๆออกไปสักทีเถอะ
ผมรีบเดินออกมาจากห้องตรวจตามแรงศรัทธาของนายแพทย์ในห้อง ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่บริเวณหน้าห้อง
“เสร็จแล้วเหรอ” หญิงสาวทักทายด้วยคำถาม
“ครับ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก”
“เหรอ งั้นก็ดีแล้ว” เธอจับแว่นกันแดดที่สวมอยู่บนใบหน้าให้เข้าที่ ทรงผมสั้นเสมอหัวไหล่ของเธอเข้ากันกับรูปหน้าอย่างน่าแปลกประหลาด ถึงแม้การแต่งหน้าจะดูหนาและเชยอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม
ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าภายใต้ใต้แว่นกันแดด แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าอายุของเธอไม่น่าจะต่ำกว่า 30 ปี
“ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาช่วยผมเอาไว้” ผมยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองกระเป๋าสีดำที่ถูกวางไว้บนโซฟาที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้สำหรับให้ผู้ป่วยนั่งรอ
“อ้อ คีย์บอร์ดของนายพังแล้วแหละ เละไม่ดีชิ้นดีเลย” เธอตอบตรงๆก่อนที่จะเดินไปเปิดกระเป๋าที่ภายในบรรจุคีย์บอร์ดที่อยู่ในสภาพยับเยินจากแรงกระแทกของรถ
“จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีน่ะเนี้ย” เธอพูดเพราะเนื่องจากถ้าไม่มีคีย์บอร์ดนี้ ผมคงจะรับแรงกระแทกจากรถเข้าไปเต็มๆ
“โชคดีสิครับ คุณป้า” นิสัยขี้เล่นที่ไม่อาจแก้ได้ของผมยังคงสำแดงฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง โชคดีที่ผู้หญิงผู้มีพระคุณของผมไม่โกรธอะไรมาก...ก็แค่เดินเข้ามาเหยียบเท้าก็เท่านั้นเอง
“เรียกฉันว่า นาโอะ...ถ้าเรียกด้วยคำนั้นอีกรอบ นายตายแน่” นาโอะเข้ามากระซิบข้างหูพลางส่งแรงไปขยี้เท้าของผมที่เธอเหยียบอยู่ จนผมต้องรีบพยักหน้ารับ เพื่อให้เธอรีบผ่อนแรงออกไป
“ขอโทษครับ พี่สาวนาโอะ” ผมรีบพูดขอโทษเป็นการใหญ่ โดยที่สายตายังคงระวังเท้าของเธอที่เพิ่งจะคลายออกไป
“แล้วนายชื่ออะไรล่ะ ตั้งแต่เจอกันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย”
“อ้าวๆ พี่สาวสนใจผมแล้วเหรอเนี้ย”
“โอ๊ย” ผมร้องโอดครวญขึ้นวูบหนึ่งจนคนทั้งโรงพยาบาลหันมามอง เท้าของนาโอะกระแทกเข้ากับท้องน้อยจนมือทั้งสองต้องยกขึ้นมากุมท้องเพื่อลดความเจ็บปวด
“คนบ้าอะไร กวนได้แม้กระทั่งคนที่เพิ่งเคยเจอ
“แหงะ เพิ่งเคยเจอที่ไหน ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอจะตาย” นี่ผมไม่ได้แกล้งหญิงสาวตาอย่างใด ใบหน้าของเธอคุ้นมากจนผมรู้สึกว่าเคยรู้จักเธอมาก่อนแล้ว
นาโอะทำท่าทีตกใจกับคำพูดของผม เธอรีบหยิบกระจกจากกระเป๋าถือสีม่วงใบเล็กๆขึ้นมาส่อง ก่อนที่จะจัดทรงผมและแว่นกันแดด จนคล้ายแน่ใจอะไรบางอย่างก่อนที่จะเก็บลงไป
“คิดไปเองน่ะสิ” เสียงของเธอสั่นอย่างน่าสงสัย
“ถ้างั้น...ถอดแว่นให้ผมดูหน้าจริงๆหน่อยสิ”
“ไม่มีทาง” นาโอะตะโกนเสียงดังจนผมตกใจ แน่นอนรวมถึงคนทั้งโรงพยาบาลด้วย จนนางพยาบาลคนหนึ่งต้องเดินมาดุ จนเธอต้องก้มขอโทษซะยกใหญ่
ผมอดขำไม่ได้กับท่าทีนอบน้อมผิดกับนิสัยห้าวที่ได้เผชิญก่อนหน้า จนเธอต้องหันมามองตาเขียว จนผมต้องรีบหยุดปากเพราะกลัวจะโดนกระทืบกลางโรงพยาบาล
หลังจากที่ปัญหาทุกอย่างถูกสะสางเรียบร้อย เธอก็เดินกลับมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด
“นายนี่มันกวนจนถึงขั้นขีดสุดจริงๆ รู้งี้ไม่ช่วย ปล่อยให้นอนตายอยู่กลางถนนดีกว่า” ดูเหมือนเธอจะผิดหวังอยู่พอสมควร ที่นิสัยผมไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้
“แล้วตกลงนายชื่ออะไรกันแน่เนี้ย” เธอเริ่มทนไม่ไหวจนต้องกระโดดโลดเต้นไปมา คล้ายเด็กกำลังอยากได้ของบางอย่าง ถึงแม้มันจะไม่เข้ากับอายุของเธอซะเท่าไหร่ก็ตาม
“ฟีล” เมื่อเห็นว่าไม่สมควรที่จะกวนอะไรอีกต่อไปแล้ว จึงตอบออกไป ถึงแม้มันจะสร้างความประหลาดใจบนใบหน้าที่ประหลาดใจของเธออยู่แล้วก็ตาม
“อ้าว นี่นายไม่ใช่คนญี่ปุ่นเหรอ”
“ใช่ เป็นคนไทยต่างหาก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ จนนาโอะต้องรีบถอยหลังออกมา ใบหน้าของเธอคุ้นมากจริงๆคุ้นมากจนพลางให้ผมนึกไปถึงใครบางคน...
“นายเข้ามาใกล้ทำไมน่ะ” นาโอะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่สองเท้ายังคงเพิ่มระยะห่างออกไปเรื่อยๆ
“แหม คุณพี่สาว ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกน่า” ดูเหมือนว่านาโอะจะยังไม่เชื่อคำพูดของผมสักเท่าไหร่ เธอจึงยังไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ถึงแม้จะหยุดเดินออกห่างแล้วก็ตาม
“ผมมีคนที่ผมชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เมื่อผมพูดดังนั้น นาโอะก็คล้ายคลายความกังวลออกไปได้บ้าง จนในที่สุดเธอก็กล้าเดินเข้ามาใกล้ แต่ก็ยังไม่ใกล้มาก
“แล้วคีย์บอร์ดของนาย...จะเอายังไงต่อ”
“ก็คงต้องเอาไปซ่อมนั้นแหละ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเงินก็ตามแต่เถอะ” ผมพูดพลางลูบกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่แค่ไม่กี่หมื่นเยน
“อ้าว แล้วนายไปกดเงินเพิ่มไม่ได้เหรอไง นายมาท่องเที่ยวไม่ใช่เหรอ?” นาโอะถามด้วยความประหลาดใจ เพราะปกติคนที่เป็นนักท่องเที่ยวก็น่าจะเป็นคนที่มีเงินอยู่พอตัว
“ผมไม่ได้มาท่องเที่ยวสักหน่อย คุณพี่เข้าใจผิดแล้ว”
“แล้วนายมาทำอะไรที่ญี่ปุ่นนี้หล่ะ”
“ออกผจญภัยไง ออกผจญภัย” ผมพูดพลางชี้ไปบนท้องฟ้า ใบหน้าของผมต้อนนี้เปี่ยมไปด้วยความสุขจริงๆ
“ออกผจญภัย? สมัยนี้ยังมีเรื่องอย่างนี้อยู่อีกเหรอเนี้ย”
“แน่นอนสิครับ” ผมยิ้มให้เธอ
และก็เป็นอีกครั้ง ที่นาโอะส่ายหน้าให้กับนิสัยบ้าๆบอๆของผม “เอางี้ นายจะไปร้านซ่อมประจำของฉันมั้ยล่ะ ราคาไม่แพงมาก”
ผมทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “นี่คุณพี่สาวเล่นดนตรีด้วยเหรอเนี้ย”
“นี่นาย...เห็นฉันแก่มากเหรอไง ฉันเพิ่งอายุ 25 เองนะ”
ผมไม่ประหลาดใจกับอายุที่แท้จริงของเธอมากเท่าไหร่นักหรอก “งั้นขอฝากตัวด้วยนะครับ”
คีย์บอร์ดของผมถูกลูบไปมา ถึงแม้มันจะอยู่ในสภาพ บุบ และเละจนไม่เหลือชิ้นดีก็ตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ