Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก

8.3

เขียนโดย justin

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.

  23 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.97K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) การกำเนิดของแวมไพร์อาร์ท

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

มีกาลเวลาสำหรับแวมไพร์ทุกตน เมื่อบังเกิดถึงความคิดชีวิตที่จะอยู่ชั่วนิรันดรสุดจะทนทานไหว

 

แอบแฝงอยู่ในร่มเงา โดดเดียวเลือดเย็นยามราตรีกับพวกพ้องของตนเอง

เน่าเปื่อยไปอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย คงชีพอยู่อย่างกลวงโบ๋

 

 

การเป็นอมตะทำท่าเหมือนจะดี จนกว่าเราจะตระหนักว่า เราต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง

 

ดังนั้นข้าจึงหลับยาว โดยหวังว่าเสียงของยุคที่ผ่านไปจะแผ่วหายและความตายอาจจะมาเยือน

 

แต่ขณะที่นอนอยู่ โลกไม่ได้ส่งเสียงเหมือนตอนที่ข้าทิ้งไป แต่มีอะไรแตกต่าง และดีกว่า

 

 

มีทีท่าจะคุ้มค่ากับการลุกขึ้นอีกครั้ง เหมือนดาวดวงใหม่จุติขึ้นมา

วันและคืนพวกเขาไม่เคยอยู่ลำพัง ข้าจะกลายเป็นหนึ่งในนั้น

 

 

 

“นัท นัท !!”

 

ผมกระซิบเรียกนัท ใช้มือจับลำแขนเขย่าเบาๆ

 

“ห่ะ เอ้อออ อาร์ท ”

 

นัทลืมตาขึ้นมองหน้าผมด้วยความแปลกใจ

 

“นายฝันอยู่เหรอ”

 

นัทพยักหน้า “ใช่เราฝัน แวมไพร์ฝันได้ด้วยเหรออาร์ท”

 

“ไม่ ปรกติพวกเราจะไม่ฝัน นอกเสียจากว่า”

 

“นอกเสียจากอะไรอาร์ท”

 

ผมจ้องที่ใบหน้าของนัท เพื่อที่จะมองให้ทะลุไปถึงจิตวิญญาณของเขา

 

“นอกเสียจากว่า มีสัญญาณเตือนจากผู้สร้างของเขา”

 

“สัญญาณที่นายว่ามันคืออะไร มันคืออะไรอาร์ท เราฝันถึงนายเหรอ ในความฝันเรามองไม่เห็นนายเลย เราเห็นแต่สถานที่โบราณที่หนึง แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน ใช่แต่เราได้ยินเสียง เป็นเสียงของนาย”

 

ผมมองดูผู้ถูกสร้างของผม ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้บอกกับนัท ผมยังไม่บอกว่าหลังจากที่ผมถูกสร้างแล้วเป็นอย่างไร ก่อนที่ผมจะหลับใหลไปในเงามืดแห่งรัตติกาล และตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อาร์ท เราอยากรู้ความหมายของมัน”

 

นัทดูกังวลเล็กน้อย

 

“นัท เราจะบอกกับนายผ่านเลือดในตัวของเรา”

 

 

ร่างกายของผมเปลี่ยนจากร่างกายของมนุษย์เป็นแวมไพร์ ตอนนี้แววตาผมส่องประกายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ผมยื่นแขนให้กับนัท นัทมองมาที่ใบหน้าของผมอย่างสงสัย

 

“การดื่มกินเลือดเราครั้งแรกเพื่อนายจะเปลี่ยนมาเป็นอมตะ การดื่มเลือดเราอีกครั้งเพื่อนายจะได้รับรู้ความเป็นมาของเรา ทั้งความรู้ อานุภาพ ฤทธิเดชจะถูกถ่ายทอดไปสู่นาย”

 

“อ้า ดื่มมันซะ ดื่มมมม”

 

นัทดึงแขนผมเข้าไปที่ปากของเขา นัทกลายร่างเป็นเหมือนอย่างกับผม เขาอ้าปากอวดเขี้ยวคมกริบ ตาของนัทส่องประกายเป็นสีเขียวเข้ม นัทค่อยๆ ฝังเขี้ยวลงที่แขนของผม ดื่มกินเลือดของผม เลือดของผู้สร้างหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของผู้ถูกสร้างอย่างช้าๆ

ไม่นาน มโนภาพทั้งสิ้นในอดีตของผมก็ปรากฏแก่นัท

 

 

 

 

ในสมัย พระยาตาก

 

 

ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช 1128 ปีจอ อัฐศก พระยาตากเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียทีแก่พม่า จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัย พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี พร้อมด้วยทหารกล้าราว 500 คน มีปืนเพียงกระบอกเดียว แต่ชำนาญด้านอาวุธสั้น ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย และตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าไปทางทิศตะวันออก มุ่งตรงไปยังบ้านโพธิ์สังหาร

 

มีราชโองการให้ "พระยาตาก" พระยาเพชรบุรีและหลวงสุรเสนีแต่งทัพเรือไปคอยดักสกัดทัพเรือพม่าที่วัดใหญ่ พระยาเพชรบุรีนำกำลังรุดเข้าตีทหารพม่าก่อนแต่กลับพ่ายแพ้ ตัวเองถูกสังหารในที่รบ

 

"พระยาตาก หลวงสรเสนีถอยมาแอบดู หาช่วยหนุนไม่ แล้วไปตั้งอยู่ ณ วัดพิชัย"

 

รุ่งเช้า ได้ต่อสู้กับกองทหารพม่าจนล้มตายและบางส่วนแตกหนีไป ก่อนเดินทางไปตั้งค่ายพักอยู่บ้านพรานนก ในขณะนั้นมีทหารพม่ากองหนึ่งซึ่งประกอบด้วยทหารม้าประมาณ 30 คน ทหารเดินเท้าประมาณ 200 คน เดินทางมาจากแขวงเมืองปราจีนบุรี สวนทางมาพบทหารพระยาตากที่เที่ยวหาเสบียงอาหาร ทหารพม่าก็ไล่ตามมา แต่ถูกกลอุบาย "วงกับดักเสือ" ถูกตีกระหนาบจนแตกหนีไป

 

พวกราษฎรที่หลบซ่อนพม่าอยู่ ทราบข่าวพระยาตากรบชนะพม่าก็พากันเข้ามาสมัครเป็นพรรคพวก พระยาตากจึงให้ราษฎรไปเกลี้ยกล่อมหัวหน้านายซ่องมาสวามิภักดิ์ และให้นำช้างม้าพาหนะและเสบียงอาหารมาด้วย นายซ่องทั้งหลายไม่ยอมอ่อนน้อมก็ถูกปราบปรามจนราบคาบริบพาหนะ ผู้คน ช้าง ม้า และศาสตราวุธได้เป็นจำนวนมาก

 

หลังจากนั้นพระยาตากจึงยกกองทหารไปทางนาเริง เมืองนครนายก ผ่านด่านกบแจะ ข้ามลำน้ำปราจีนบุรี ไปตั้งพักอยู่ชายดงศรีมหาโพธิ์ ข้างฝั่งตะวันออก พม่าที่ตั้งทัพอยู่ปากน้ำเจ้าโล้ หรือปากน้ำโจ้โล้ เมืองฉะเชิงเทรา

 

พระยาตากได้ยกกองทัพผ่านเมืองฉะเชิงเทรา ชลบุรี แล้วจึงเดินทางต่อไปยังบ้านนาเกลือ แขวงเมืองบางละมุง เมื่อถึงเมืองระยอง เจ้าเมืองระยองซึ่งได้ยินกิติศัพท์ของพระยาตากก็ยอมอ่อนน้อมเชิญให้เข้าเมือง

 

นับตั้งแต่ได้ถอนตัวออกจากการป้องกันพระนครนั้น ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ก็สามารถยึดเมืองระยองเป็นที่มั่นได้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่เหนือกว่าชุมนุมอื่น ๆ ในการกอบกู้กรุงศรีอยุธยา

 

การประกาศยึดเมืองระยองได้กระทำกลางทุ่งนาและไพร่พลจำนวนมาก พระยาตากได้ประทับ ณ บริเวณวัดลุ่มมหาชัยชุมพล และได้ประกาศแสดงแสนยานุภาพ แล้วเกิดพายุหมุนจนทำให้ต้นตาลต้นหนึ่งหมุนเป็นเกลียว เมื่อพายุหมุนหยุดแล้ว ต้นตาลที่หมุนจึงขดเป็นวงไม่คลายตัว

 

หลังจากนั้น บรรดาแม่ทัพนายกองที่สวามิภักดิ์ ต่างพร้อมใจกันยกพระยาตากขึ้นเป็นผู้นำขบวนการกอบกู้แผ่นดิน และเรียกพระยาตากว่า พระเจ้าตาก นับตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะเป็นเสมือนผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แต่พระเจ้าตากก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ ให้เรียกคำสั่งว่าพระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอกเท่านั้น

 

อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 พม่าจุดไฟเผาเมืองจนวอดวาย พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่า มีพระบรมราชโองการให้จับพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ และรวบรวมสมบัติทั้งหมดของอยุธยาส่งกลับไปพม่า ข่าวกรุงแตกได้แพร่กระจาย

 

ขณะที่พระยาตากอยู่ที่เมืองระยอง พระยาตากจึงได้ประกาศตนเป็นผู้นำในการที่จะฟื้นฟู และกอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้กลับรุ่งเรืองดังเดิม

 

 

“เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

 

นายฝรั่งพ่อค้าชาวโปรตุเกสถามไถ่นายเชิด ที่ตนรักดังบุตรชาย

 

“ข้ามิเป็นเช่นไรดอกท่านพ่อ”

 

นายเชิดเด็กหนุ่มวัย 24 ปี ชาวบ้านธรรมดา ทำมาหากินอยู่ในกรุงศรีอยุธยาตามครอบครัว พ่อของนายเชิดเป็นคนจีนโล้สำเภาเข้ามาค้าขายในกรุงศรีฯ นานแล้ว จนได้พบรักกับหญิงชาวกรุงศรีฯ จึงได้สู่ขอเข้าหออยู่ร่วมกินกัน จนให้กำเนิดเด็กชาย ลูกครึ่งไทยปนจีน ผิวสองสี ตาตี่ชั้นเดียว รูปร่างงามนัก และตั้งชื่อว่า เชิด อันเป็นที่รักของของบิดาและมารดร

 

เมื่อเติบใหญ่ เชิดเรียนรู้การทำมาค้าขายแบบบิดาชาวจีน จนได้รู้จักมักคุ้นกับพ่อค้าชาวโปรตุเกสหลายคน แต่มีคนหนึงที่เชิดสนิทสนมคุ้นเคยด้วยดี ถึงขั้นสอนให้พ่อค้าชาวโปรตุเกสหัดพูดภาษาชาวเมืองกรุงศรีฯ คือนายอาทานาเซีย (แปลว่า การคืนชีพ)

 

เมื่อตอนกรุงศรีอยุธยาใกล้แตกผ่ายแก่ฝ่ายพม่า บิดาและมารดาของเชิดก็เสียชีวิตไปด้วย อาทานาเซียจึงรับเชิดเป็นบุตรบุญธรรม ทั้งสองรักใคร่กันดังดุจบิดาและบุตร ต่างหอบข้าวของหนีทัพพม่ามาพร้อมกับพรรคพวกของพระยาตาก

 

เชิดหมายมั่นจะเข้าร่วมกองทัพของพระยาตาก ด้วยใจที่โกรธาพวกพม่ารามันที่เข้ามาหมายจะทำลายกรุงศรีฯ เสียให้สิ้น ซึ่งอาทานาเซียก็ไม่ขัดข้องอะไร ทั้งสองจึงเดินทางร่วมกับกองทัพพระยาตากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

“ข้าได้ยินมาว่าพระเจ้าตากหมายจะออกตีเมืองจันทบุรีในเพลาไม่นานนี้”

 

“ขอรับท่านพ่อ ครานี้ข้าจะเข้าร่วมทัพกับพระเจ้าตากเยี่ยงเคย”

 

เชิดบอกกับผู้เป็นบิดา สายตาของเชิดมุ่งมั่นเหมือนกับเหล่าทหารทุกนาย เลือดรักชาติ รักแผ่นดินมันพรุ่งซ่านอยู่ในร่างกายของเชิดอยู่ตลอดเวลา

 

“ดีแล้วลูกชายข้า จักถือว่าเป็นการแทนคุณให้กับแผ่นดินบ้านเกิดของเจ้า”

 

“ความโกรธาครานี้ข้าจักไม่วันลืมเลือนได้ แม้จักต้องเสียเลือดเนื้อ”

 

เชิดเตรียมตัวเพื่อไปเข้าร่วมกับทหารคนอื่นๆ เพื่อฟังความจากพระเจ้าตากในการเข้าตีเมืองจันทบุรี

 

 

 

การยึดจันทบุรี

 

พระเจ้าตากเดินทัพจากระยองผ่านแกลงเข้าบางกระจะ มุ่งยึดจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีไม่ยอมสวามิภักดิ์ หากพระเจ้าตากต้องการยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นที่มั่น เพื่อรวบรวมกำลังกลับมาตีพม่า จึงสั่งทหารทุกคนว่า

 

"เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว"

 

ในวันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2310 ครั้นถึงเวลา 19.00 น.พระ เจ้าตากจึงได้สั่งให้ทหารไทยและจีนลอบเข้าไปอยู่ตามสถานที่ที่ได้วางแผนไว้แล้ว ให้คอยฟังสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน จึงให้โห่ขึ้นให้พวกอื่นรู้ เมื่อเวลา 03.00 น. พระเจ้าตากก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชร ให้ยิงปืนสัญญาณ พร้อมกับบอกพวกทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน

 

ส่วนพระเจ้าตากก็ไสช้างเข้าพังประตูเมืองจนทำให้บานประตูเมืองพังลง ทหารพระเจ้าตากจึงกรูกันเข้าเมืองได้ พวกชาวเมืองต่างพากันละทิ้งหน้าที่หนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีก็พาครอบครัวลงเรือหนีไปยังเมืองบันทายมาศ

 

พระเจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เพลา 3 ยามเศษ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน

 

 

ในการศึกครั้งนี้ มีทหารบาดเจ็บล้มตายเช่นกัน เชิดเป็นทหารผู้หนึงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และคิดว่าในอีกไม่กี่เพลาก็จะสิ้นใจ

 

“พวกข้าพยามรักษาบาดแผลของเจ้าเชิดแล้ว แต่บาดแผลสาหัสสากันมากนัก เกรงว่าจะอีกในไม่กี่เพลาคงสิ้นใจ”

 

นายหมอบอกกับอาทานาเซียผู้เป็นบิดา

 

“เป็นถึงเยี่ยงนั้นเชียวรึ”

 

อาทานาเซียมองไปที่บุตรชายของตนซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างนักในการศึกครั้งนี้

 

“เจ้าเชิดคงพลาดพลั้งให้กับทหารฝ่ายพระยาจันทบุรี ถึงได้รับบาดเจ็บเยี่ยงนี้”

 

นายหมอพูดสำทับอีกครั้ง

 

อาทานาเซียเดินเข้าไปหาเชิด นั่งลงใกล้ๆ เอามือลูบไปที่ศรีษะของเชิดด้วยความสงสาร

 

“ลูกของข้า เจ้าจะจากข้าไปแล้วรึอย่างไร”

 

“ท่านพ่อของข้า แม้ข้าจักสิ้นชีพในครานี้ ข้าก็ถือว่าเป็นกำไรขีวิต ที่ข้าได้เข้าร่วมทัพกับพระเจ้าตาก แม้ต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นเยี่ยงไรนั้นข้ามิอาจจักรู้ได้ แต่ข้าได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ ข้าได้ตอบแทนแผ่นดินที่ให้กำเนิดข้ามา”

 

อานาทาเซียมองหน้าบุตรชายอย่างมีความหมาย ทำให้ย้อนนึกคิดไปถึงช่วงชีวิตของเขาที่ผ่านมาเช่นกัน

 

“นายหมอ นายหมอ ข้าจักนำตัวลูกชายข้าไปรักษาในที่พักของข้าเอง”

 

“ได้ซินาย ท่านนำตัวลูกชายของท่านไปได้ขอรับ”

 

“ไปเถอะลูกชายข้า”

 

อานาทาเซียใช้มือทั้งสองข้างช้อนตัวของเชิดขึ้นอุ้มกลับไปที่พักตนเอง

 

 

 

เมื่อมาถึงที่พักของอานาทาเซีย เขาค่อยๆ วางร่างของเชิดลงที่เตียง เขาเอามือลูบที่ใบหน้าของเชิด

 

“ท่านพ่อ ข้ามิอาจจักได้อยู่รับใช้ท่านเยี่ยงเคยแล้ว ความรักของท่านที่มีให้กับข้านั้น ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”

 

“ลูกชายข้า เจ้ายังยากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่”

 

“ท่านพ่อ ข้ายังยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้มันจักไม่เป็นเช่นนั้น”

 

“ลูกชายข้าเอ่ย เจ้าฟังให้ดีนะ ถ้าเจ้ายากมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจักทำให้เจ้ามีชีวิต จักเป็นชีวิตที่ไม่มีความตายมาพรากเจ้าไปได้อีก จังฟังข้า และอย่ากลัวเลย”

 

"ในตัวมนุษย์มีความอ่อนแอ นี่เจ้าใกล้จะตาย ข้าแทบไม่ได้ยินหัวใจของเจ้าเต้นเลย อนาคตรีบร้อน ยุคสมัยผ่านไปจนตามไม่ทัน เจ้าจักช่วยให้ข้าเข้าใจยุคนี้ได้ และข้าจักให้ชีวิตแก่เจ้า "

 

 

อานาทาเซียประคองร่างของเชิดขึ้นมา แววตาและร่างกายของเขาเปลี่ยนไป เขาค่อยๆ ดึงร่างของเชิดเข้ามาประชิดกับใบหน้าเขา เขาเปิดปากออก ค่อยๆ ฝั่งเขี้ยวลงที่คอของเชิด ก่อนเชิดจะหมดลมหายใจ เขาถอนเขี้ยวออก และกัดที่แขนของตนเอง เชิดหายใจรอย่างรวยริน ดวงตากำลังเริ่มจะหมดแวว อานาทาเซียยื่นแขนที่เขากัดมีโลหิตใหลรินออกมา เขาค่อยๆ ให้เลือดหยดลงไปที่ปากของเชิด

 

“ดื่มมันซะลูกชายของข้า”

 

"อ้าา ดื่มมันซะ เพื่อเจ้าจักรอด เจ้ากล้าหาญเพียงพอแล้วสำหรับครั้งนี้ ดื่มมม"

 

เมื่อเลือดของแวมไพร์อานาทาเซียไหลรินเข้าสู่ปากเชิด เชิดรู้สึกถึงมันได้ มันคือชีวิต มันคือพลัง มันคืออานุภาพ เชิดคว้าแขน

ของแวมไพร์อานาทาเซียมาดื่มกินอย่างกระหาย อย่างผู้ที่ไม่เคยได้ชิมรสชาติอันมหัศจรรย์นี้ โลหิตที่จะทำให้เชิดมีชีวิตอีกครั้ง

 

“"และเรียนรู้จากข้า มันดีใช่มั๊ยละ อ๊าชชช พอแล้ว พอแล้ว พอแล้วเจ้าลูกชายข้า ”

 

ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยข้อมือที่เขาดูดดื่มเลือดของแวมไพร์อานาทาเซีย จนเขาต้องกระชากมือออกจากปากของชายหนุ่ม

 

 

เมื่อเลือดของเขาเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่ม ร่างกายของชายหนุ่มก็เกิดอาการกระตุกบิดไปมา

 

"อย่ากลัวไปเลย ร่างกายเจ้าเท่านั้นที่จะตาย แต่เจ้าจะมีชีวิตอมตะ"

 

ชายหนุ่มยืดตัวเอนขึ้นมานั่ง ประกายตาเขาเปลี่ยนไป เขี้ยวของเขายืดออกมา ร่างกายเขาเปลี่ยนไป บาดแผลจางหายไปหมด เขาจ้อมองดูชายแวมไพร์อานาทาเซียอย่างฉงน

 

" เ อ า อี ก "

 

 

 

 

หลังจากนั้น พระเจ้าตากได้เคลื่อนทัพไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรเกิดความเกรงกลัวต่างพากันมาอ่อนน้อมโดยดี ที่ปากน้ำเมืองตราดมีเรือสำเภาจีนมาทอดทุ่นอยู่หลายลำ พระเจ้าตากได้เรียกนายเรือมาพบ แต่พวกจีนนายเรือขัดขืนต่อสู้

 

พระเจ้าตากจึงนำกองเรือไปล้อมสำเภาจีนเหล่านั้น ได้ทำการต่อสู้กันอยู่ประมาณครึ่งวัน พระเจ้าตากก็ยึดสำเภาจีนไว้ได้หมด ได้ทรัพย์สินสิ่งของมาเป็นจำนวนมาก

 

พระเจ้าตากได้เดินทางกลับจากตราดมาตั้งมั่นรวบรวมผู้คนอยู่ที่เมืองจันทบุรี เพื่อวางแผนปฏิบัติการรบเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาคืนจากข้าศึก พร้อมกับสั่งให้ต่อเรือรบและรวบรวมเครื่องศัตราวุธและยุทธภัณฑ์ภายในเวลา 3 เดือน พร้อมกับฝึกไพร่พลให้พร้อมที่จะปฏิบัติการ

 

 

เมื่อสิ้นฤดูมรสุม ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากได้ยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี เมื่อพระเจ้าตากยึดเมืองธนบุรีและปราบนายทองอินได้แล้ว จึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบพม่าจนราบคาบ จึงสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมา เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 13.00 น. ใช้เวลา 7 เดือนหลังจากคราวเสียกรุงศรีอยุธยา

 

 

ปราบดาภิเษก

 

หลังจากสร้างพระราชวังบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว เมื่อทรงจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยพอสมควร บรรดาแม่ทัพ นายกอง ขุนนาง ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ตลอดทั้งอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงปราบดาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ ณ วันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน จุลศักราช 1128 ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่เรียกขานพระนามของพระองค์ติดปากว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

 

 

เดิมพระองค์ทรงคิดที่จะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยุธยาให้กลับคืนเป็นดังเดิม แต่แล้วหลังจากตรวจดูความพินาศของเมือง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อพยพผู้คนและทรัพย์สินลงมาทางใต้ และตั้งราชธานีใหม่ขึ้นที่เมืองธนบุรี เรียกนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร

 

 

 

 

 

 

                                ........................... * ......................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา