Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก

8.3

เขียนโดย justin

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.

  23 ตอน
  1 วิจารณ์
  29.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) แวมไพร์หนุ่ม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

ที่กรุงเทพ บ้านพ่อแม่ของนัท

 

 

“รายงานข่าวด่วน ได้เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์นักท่องเที่ยวเสียหลักพลิกคว่ำที่อำเภอสังขละบุรี

จังหวัดกาญจนบุรี ส่งผลให้นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นคนไทยทั้งหมดและคนขับรถ เด็กรถเสียชีวิตทั้งหมด จำนวนผู้มาในทัวร์ครั้งเป็นลูกทัวร์ 40 คน รวมทั้งคนขับรถและเด็กรถ เป็นทั้งหมด 42 คน

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ไทรโยค ได้รับแจ้งเหตุรถทัวร์นำเที่ยวเสียหลักพลิกคว่ำ ตกลงไปบริเวณไหล่เขาถนนสายกาญจนบุรี-สังขละบุรี ซึ่งเป็นทางโค้งอันตราย จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

พบรถทัวร์ 2 ชั้น สีขาว หมายเลขทะเบียน 32-2798 กทม. เสียหลักพลิกคว่ำตกลงไปบริเวณไหล่เขานอนหงาย

 

ส่วนผู้เสียชีวิต ถูกนำออกมาจากซากรถอย่างยากลำบากเพราะเป็นบริเวณที่ราดชัน โดยคาดว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวคนไทย นอกจากนี้ ยังมีคนขับรถทัวร์และเด็กประจำรถ รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 42 คน

 

แต่ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบศพผู้เสียชีวิต เพียง 40 คน คาดว่าอีก 2 คน อาจจะรอดชีวิต หรือกระเด็นออกนอกรถระหว่างรถพลิกคว่ำตกลงไปบริเวณไหล่เขา

 

จากการสอบปากคำ นายเกษียณ เกตุกาญจน์ อายุ 53ปี คนขับรถกระบะผ่านไปบริเวณนั้น ได้ให้การว่าขณะที่ตนกำลังขับรถผ่านบริเวณนั้นเพื่อที่จะกลับบ้าน ได้มีชายสองคนออกมาโบกมือขอความช่วยเหลือกับตน

 

เมื่อตนจอดรถชายสองคนนั้นก็บอกกับตนว่า มีรถทัวร์เกิดอุบัติเหตุตกไหล่เขาไป เมื่อตนได้ยินดังนั้นจึงลงจากรถ เดินลงไปดูระยะ 10 เมตรเห็นมีรอยการพลิกคว่ำของรถจริง ตนเองจึงได้รีบโทรศัพท์แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

แต่ขณะเดียวกันตนก็ไม่เห็นชายหนุ่มสองคนที่มาขอความช่วยจากตนอีก ถึงตนเองจะพยามมองหาและตะโกนเรียกก็ตาม ทั้งนี้ ตำรวจ คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากคนขับรถไม่ชำนาญเส้นทางและใช้ความเร็วสูง

 

เมื่อถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งจึงพยายามลดความเร็วกะทันหันจึงเป็นเหตุ ให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าจะต้องรอสอบปากคำผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้

กับเหตุการณ์อีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุในครั้งนี้ต่อไป”

 

 

 

“ตายละพ่อ !! ข่าวรถทัวร์ประสบอุบัติเหตุที่สังขละบุรี จังหวัดกาญฯ ลูกเราไปเที่ยวที่นั่น เป็นห่วงลูกจังเลยพ่อ”

 

“นั่นสินะ พ่อก็ได้ดูข่าวพร้อมกับแม่นี่แหละ”

 

“ทำไงดีละพ่อ ฉันใจไม่ดีเลย”

 

“เอายังงี้สิแม่ แม่ลองโทรเข้ามือถือลูกดู ถ้าลูกรับก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าลูกไม่รับเดี๋ยวเราค่อยว่ากันใหม่”

 

“ได้ๆ พ่อ”

 

 

แม่ของนัทหยิบโทรศัพท์โทรหาลูกชายด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ดูข่าวรายงานเรื่องอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำ

 

 

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...................”

 

 

“ตายละพ่อ โทรศัพท์ลูกไม่สัญญาณอ่ะ ฉันใจไม่ดีเลย จะทำไงดีละพ่อ”

 

“เอายังงี้แม่ แม่ใจเย็นๆ ก่อน อืมม พ่อคิดว่าเราลองโทรไปถามกับเจ้าหน้าที่ว่ารายชื่อคนที่ตายนะมีชื่อลูกเราหรือเปล่า”

 

“โธ่พ่อ กว่าจะติดต่อได้มันไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ ฉันใจร้อน ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว”

 

 

พ่อของนัทมองใบหน้าแม่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแม่กระวนกระวาย

 

 

“แม่ลองโทรไปที่คอนโดของลูกสิ บางทีอาจจะเป็นคนละทัวร์ก็ได้ ลูกอาจจะกลับมาแล้วก็ได้นะแม่ เพราะนี้มันก็

ดึกแล้วลูกอาจจะปิดมือถือเข้านอนแล้วก็ได้นะแม่”

 

“ดีเหมือนกันพ่อ ยังงัยก็ลองดูก่อน”

 

 

แม่ของนัทรีบโทรไปที่คอนโดนัทซึ่งอยู่แถวสีลม

 

 

“ติ๊ดดดดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดด.....”

 

 

“เป็นงัยบ้างแม่”

 

พ่อถามด้วยความกังวลใจเหมือนกัน

 

“ยังไม่มีคนรับเลยพ่อ”

 

“ลองโทรใหม่อีกทีสิแม่”

 

“จ๊ะๆ พ่อ แม่กำลังโทรอยู่”

 

 

“ติ๊ดดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดด.....”

 

 

“ฮัลโลครับ”

 

 

เสียงปรายทางรับสาย

 

 

“ฮัลโล นัทเหรอลูก”

 

“ครับแม่ ผมเองครับ”

 

“โอ้ยตายละ แม่ตกใจหมดเลยลูก แม่เพิ่งดูข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำที่สังขละ พ่อกับแม่ก็กลัวจะเป็นทัวร์เดียวกันกับที่ลูกไป”

 

“ครับ”

 

“แต่นัทกลับมาปลอดภัยแบบนี้ พ่อกับแม่ก็สบายใจแล้วละ แสดงว่าเป็นทัวร์คนละคณะที่ลูกไปเที่ยวนะสิ”

 

 

นัทหยุดนิ่งครู่หนึงก่อนจะตอบกลับแม่ไป

 

 

“ครับ ทัวร์คนและคณะกันครับ”

 

“เฮ้อ แม่กับพ่อก็สบายใจละ เป็นห่วงลูกกันแทบแย่ จนลุกลี้ลุกลนกันไปหมด งั้นพักผ่อนเถอะนะลูก”

 

“ครับแม่ ขอบคุณมากที่เป็นห่วงผม”

 

“จ๊ะๆ ผักผ่อนซะนะลูก”

 

“ครับผม”

 

 

 

 

นัทวางสายจากแม่ที่โทรมาถามด้วยความห่วงใยจากเหตุการณ์ข่าวอุบัติเหตุที่เพิ่งออกไป ผมนั่งอยู่ที่โซฟาคอนโดของนัท

 

ตอนนี้พวกเราเดินทางมาถึงกรุงเทพแล้ว เราออกมาจากสถานที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง

 

 

 

“อาร์ท เรามีอะไรจะถามนายตั้งมากมาย เราอยากคุยกับนายให้หมดที่เราสงสัยและครุ่นคิดมาตลอดทาง”

 

 

นัทดูกังวลกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ถึงแม้ตอนนี้นัทจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม นัทไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป

 

“เราเข้าใจนายนะนัท ถามเรามาเถอะเราจะบอกนายทุกอย่างที่นายอยากรู้”

 

ผมตอบเพื่อให้นัทคลายความกังวล

 

 

“อาร์ท นายเป็นแวมไพร์ และนายก็ทำให้เราเป็นแวมไพร์ ต่อไปนี้เราต้องกินเลือดมนุษย์เป็นอาหารเหรออาร์ท..เราฆ่าคนไม่ได้เราทำแบบนั้นไม่ได้อ่ะอาร์ท”

 

สีหน้านัทดูกังวลมากขึ้น

 

 

“นัทนายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ พวกเราไม่ดื่มเลือดมนุษย์มาเป็นร้อยปีแล้ว เราจะทำเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น เหมือนตอนที่เราทำกับนายนั่นแหละ ที่เรียกว่าเมื่อยามจำเป็น”

 

 

“ยังไง เราจะมีชีวิตได้โดยไม่ต้องดื่มไม่ต้องกินอะไรเลยอย่างนั้นเหรออาร์ท”

 

“เปล่าไม่ใช่แบบนั้น”

 

ผมพูดต่อ

 

 

“เราแค่ต้องการโปรตีนที่มาจากเลือดในการเสริมสร้างชีวิตของเราให้อยู่ต่อไปได้ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเรามีแวมไพร์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นโปรตีนสังเคราะห์ มาใช้ดื่มแทนเลือดของมนุษย์นับร้อยปีแล้วละ พวกเราจึงมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องดื่มเลือดของมนุษย์หรือสัตว์อีกต่อไป”

 

 

“นายกำลังหมายความว่า ยังมีแวมไพร์คนอื่นๆ อีกใช่ใหมอาร์ท”

 

“ถูกต้องแล้ว ไม่ได้มีแค่เราสองคน ยังมีแวมไพร์ในที่ต่างๆ ในโลกนี้อีก”

 

 

“ในประเทศไทยมีแวมไพร์เยอะหรือเปล่า อ่อ อาร์ทแล้วนายมาเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร”

 

นัทเริ่มยิงคำถามใส่ผมด้วยความอยากรู้ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจ

 

 

“ในเมืองไทยมีแวมไพร์อยู่หลายตนในวงการต่างๆ ซึ่งเป็นความลับ เราจะเปิดเผยให้กับผู้กำเนิดใหม่ให้รู้เท่านั้น อย่างเช่นนาย ซึ่งเราเองจะบอกนายทีหลังเองให้รู้ว่ามีใครบ้าง”

 

ผมหยุดใช้ความคิดนิดหนึง

 

 

“ส่วนที่เรามาเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร เราจะเล่าให้นายฟัง จริงๆ แล้วเรามีอายุมากว่า 200 กว่าปีแล้ว”

 

“อาร์ท อายุนาย 200 กว่าปี !!! แสดงว่าไม่ใช่ 24 ปี ตามที่นายบอกเรานะซิ”

 

“เราอายุ 24 ปีจริง และอายุ 24 มากว่า 200 ปีแล้วละนัท” ผมพูดต่อ

 

 

“เราเป็นแวมไพร์ตอนอายุ 24 เหมือนกับนายตอนนี้ เรามีชีวิตอยู่ในตอนกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมาจนถึงกรุงแตกครั้งสุดท้าย ในตอนนั้นพวกพม่าไล่ฆ่าชาวกรุงศรีอย่างมากมาย ตอนกรุงแตกเราหนีตามกลุ่มของพระยาตากออกมาจนถึงบางกอก และร่วมออกรบกับพระยาตากก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นพระเจ้าตากสินในเวลาต่อมา ในครั้งนั้นเราร่วมออกรบไปตีที่เมืองจัน แต่ครั้งนั้นเราถูกทหารศึกฝ่ายพระยาจันทบุรีฟันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งไม่มีทางรอดชีวิตได้เลย”

 

 

“นายออกรบกับพระเจ้าตาสินด้วย !!!”

 

นัทมองมาที่ผมอย่างพินิจในสิ่งที่ผมพูด

 

 

“ใช่แล้วนัท”

 

“แล้วนายกลายมาเป็นแวมไพร์ตอนไหน เป็นได้อย่างไร”

 

 

“ในตอนนั้นนั่นแหละ .....ก่อนหน้านั่น ก่อนที่กรุงศรีฯจะแตก ได้มีชาวต่างชาติเดินทางจาก

โปรตุเกตแล่นเรือสำเภามาเพื่อค้าขายกับชาวกรุงศรีอยุธยา ได้มีพ่อค้าท่านหนึงติดสำเภาเข้ามาค้าขายด้วย และเราได้รู้จักกับท่าน เราเป็นคนสอนภาษาให้ท่านจนท่านพูดและเข้าใจได้ เรากับท่านจึงสนิทกันมาก ท่านรักเราเหมือนกับลูกชายของท่าน เราก็รักท่านเหมือนบิดาของเรา จนกระทั้งทัพพม่าบุกเข้ามาพิชิตกรุงศรีและเข้าตีกรุงจนกรุงศรีอยุธยาแตก ในตอนนั้นทั้งท่านและเราก็หนีไปกับกลุ่มของพระยาตาก และออกรบด้วยกันทุกครั้ง”

 

 

ผมหยุดนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

 

 

“นายได้เข้าร่วมกู้ชาติกับพระเจ้าตากสินด้วย”

 

นัทพูดพร้อมพยักหน้ารับรู้ถึงเหตุการณ์

 

 

“ใช่แล้วนัท จนกระทั้งกองทัพของพระยาตากบุกตีเมืองจัน เราจึงได้บาดเจ็บอย่างหนักจนกำลังใกล้จะตาย ในตอนนั้นท่านจึงพาเราแยกออกมาต่างหาก ท่านถามว่าเรายังยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ เราจึงบอกกับท่านว่าเรายังยากมีชีวิตอยู่ ท่านจึงเปลี่ยนเราเหมือนกับที่เราเปลี่ยนนายนั่นแหละ”

 

 

“อืมม แล้วนายใช้ชีวิตมาอย่างไร เราสงสัย คือนายสามารถเดินทางมาที่กรุงเทพได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเรา ทำไมนายจึงทำเหมือนกับไม่เคยมาที่กรุงเทพฯ”

 

 

“มันเป็นการปิดบังตัวเอง พวกเราทำทุกอย่างให้กลมกลืนกับมนุษย์ทั่วไป และทุกสิบห้าปีเราจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ”

 

“ทำไมต้องเป็นแบบนั้นละอาร์ท”

 

นัทถามผมด้วยความสงสัย

 

 

“เพราะร่างกายหน้าตาเราจะไม่เปลี่ยนเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ถ้าอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ ผู้คนที่คุ้นเคยกับพวกเราก็จะเริ่มสงสัยว่าทำไมพวกเราไม่แก่ชราเหมือนคนอื่นๆ การย้ายถิ่นฐานจึงจำเป็นสำหรับพวกเรา นอกเสียจากว่าเราจะยอมอยู่ในเงามืดเท่านั้น”

 

นัทมองมาที่ผมและเดินมาจับมือผมไว้

 

 

“อาร์ทแล้วเราต้องใช้ชีวิตอย่างไร เราแปลกใจที่นายก็ใช้ชีวิตในเวลากลางวันได้ แสงแดดไม่ทำอันตรายอะไรนายเพราะอะไร”

 

“อืมม นัทเพราะพวกเราดื่มเลือดสังเคราะห์ที่ผสมกับสารกันแดดเพื่อลดผลกระทบของรังสียูวีจึงทำให้พวกเราใช้ชีวิตในเวลากลางวันได้.......ส่วนนายยังต้องหลบแสงแดดก่อน ก่อนที่จะได้รับเลือดสังเคราะห์ ซึ่งอีกสองวันจะถูกส่งมาให้เราที่นี่”

 

 

นัทพยักหน้ารับรู้ถึงความเข้าใจ แววตาของเขาฉายแววแห่งความหวังมากขึ้นกว่าเก่า

 

 

“วิถีชีวิตของเราคงต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลใช่ไหมอาร์ท เรารู้สึกกลัวยังไงไม่รู้”

 

 

“ใช่แล้วจากนี้ชีวิตของนายจะเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่นายจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนาน”

 

ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ นัท ยื่นมือขึ้นไปจับไหล่นัทเบาๆ

 

 

“อย่ากลัวเลยนัท เพราะเราจะอยู่กับนาย จนกว่านายจะคุ้นเคยกับชีวิตใหม่นี้ จนกว่านายจะอยากอยู่คนเดียว ถึงตอนนั้นเราจะจากนายไปและนายจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่ไม่ต้องกลัวเราจะได้เจอกันตลอดอย่างแน่นอน”

 

 

นัทปรายตามองมาที่ใบหน้าของผมอีกครั้ง

 

 

“ขอบใจนายมากอาร์ท นอกจากนายจะสร้างเราขึ้นมาแล้ว นายยังเป็นครูที่จะสอนเราให้ใช้ชีวิตอีก ขอบใจมากเพื่อน”

 

 

ผมพยักหน้ายิ้มรับคำขอบใจของนัท ผมมองนัทด้วยความเข้าใจ การแลกมาซึ่งชีวิตอมตะที่นัทได้

นัทต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของตนเองไปตลอดกาล

 

 

 

 

 

 

“ไม่ซินะ ความผิดพลาดครั้งนี้มันเกิดจากความจำเป็น ไม่ใช่ความตั้งใจของเรา”

 

ใช่แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะกินเลือดของมนุษย์ และไม่ได้อยากสร้างพวกมนุษย์ให้เป็นพวกเรา

พวกเราได้ยุติเรื่องนี้มานานนับร้อยๆ ปีแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

 

 

 

 

 

                             ............................... * ...........................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา