Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก
เขียนโดย justin
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) จุดกำเนิด แวมไพร์นัท
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความใช่แล้วผมไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่มีตัวตนในสังคมของมนุษย์ สามารถไปไหนมาไหนได้ ไม่ต้องคอยหลบซ่อนอีกต่อไป ผมไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่าสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้มันเป็นสิ่งที่ยากก็ตาม
“ผมจะทำอย่างไรดี”
ในขณะครุ่นคิด ความสับสันก็พรุ่งพล่านเข้ามา
“ไม่ซินะ ความผิดพลาดครั้งนี้มันเกิดจากความจำเป็น ไม่ใช่ความตั้งใจของเรา”
ใช่แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะกินเลือดของมนุษย์ และไม่ได้อยากสร้างพวกมนุษย์ให้เป็นพวกเรา พวกเราได้ยุติเรื่องนี้มานานนับร้อยๆ ปีแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ
ทำอย่างไรได้กับเหตุการณ์อย่างนั้น...............
............เมื่อสามวันที่แล้ว............
“เอ้าๆ พวกเราอีกไม่นานก็จะถึงหุบเขาแล้วนะ แหม วันนี้สนุกกันจริงๆ เอ้า ดื่มหน่อยๆ”
เสียงคนนำทีมมาเที่ยวที่เมืองกาญจนบุรี เอ่ยขึ้นในขณะหลายๆ คนกำลังจะหลับ หลังจากขึ้นไปเที่ยวที่สังขละบุรี
“ช่วงเลี้ยวตรงเขานี้อันตรายนะ” คนหนึงเอ่ยขึ้น
ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน ในใจคงพลันนึกว่า ปากเสีย จริงๆ
“พวกที่ยังไม่หลับ มาดื่มกันหน่อย อีกเดี๋ยวก็ถึงที่กินอาหารกันแล้ว”
ความสนุกกับความเพลิดเพลินในการเที่ยวครั้งนี้มันสนุกสนานมาก แต่ผมไม่ได้มากับพวกเค้า แค่เป็นต้นสายที่อาศัยเดินทางไปกรุงเทพด้วยเท่านั้น
“พ่อหนุ่มที่ขึ้นมาใหม่นะ ชื่ออะไรละเราอ่ะ” ชายคนหนึงอายุราวๆ ลุงถามผม
“อาร์ทครับ”
“อ๋อ เหรอๆ แล้วจะติดรถไปกรุงเทพ ไปทำอะไรที่นั่นละ หรือไปเที่ยว”
“ไปทำงานครับ พอดีมีเพื่อนรู้จักกันมาเที่ยวกับทัวร์นี้ ผมก็เลยขอติดไปกรุงเทพด้วยครับ”
นัทคนที่ผมรู้จักมาสองปีเมื่อครั้งนั้นนัทก็มาเที่ยวแถวนี้กับเพื่อนๆ ที่กรุงเทพ และได้รู้จักกับผมและก็สนิทคุ้นเคยกัน ผมช่วยพวกเขาพาเที่ยวหลายที่ในสังขละบุรีและให้ทุกคนมาพักที่บ้านผมโดยไม่ได้คิดราคาค่างวดอะไร
ก่อนลากลับนัทก็ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อกัน หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกันมาตลอด นัทบอกว่าเผื่อผมอยากเดินทางไปเที่ยวกรุงเทพ จะได้ไปพักที่บ้านของเขาได้
ครั้งนี้นัทกับเพื่อนมาเที่ยวกับคณะทัวร์ และได้ติดต่อบอกกับผมเพื่อนัดเจอกัน ผมบอกกับนัทว่าอยากจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพ จะติดรถกลับไปด้วยได้หรือเปล่า นัทก็ดำเนินการขอเป็นส่วนเพิ่มขากลับกรุงเทพให้
ผมจึงได้เดินทางติดรถไปกรุงเทพด้วยในครั้งนี้
“อืมม ก็ดีนะไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองกรุง แตกต่างกันเยอะกับที่นี่ ที่นี่ธรรมชาติสวยงาม” น้าคนข้างๆ พูดเสริม
“ครับ”
“เอ้า แล้วเราละ กินเหล้าเป็นเปล่า มา มะ มากินด้วยกัน”
“อ่า ไม่ละครับ ผมไม่ถนัดเท่าไร” ผมปฏิเสธไป
“แล้วอายุเท่าไรแล้วละค่ะ” หญิงสาวคนหนึงในคณะทัวร์ถามขึ้น
“อายุ 24 แล้ว อายุเท่ากันกับผมนี่แหละน้า” นัทลืมตาขึ้นมาตอบหลังจากที่หลับเพื่อพักสายตา
“เหรอ เออ ดีๆ เป็นเพื่อนกัน รุ่นเดียวกันมีอะไรจะได้ปรึกษากันได้ ช่วยๆ กันแหละดีแล้ว”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มให้
“เป็นงัยบ้างนาย ตื่นเต้นเปล่าได้เดินทางเข้ากรุงเทพครั้งแรก” นัทถามผม
“อืมม ตื่นเต้นดิ แต่ก็เบาใจที่ได้รู้จักกับนัทนะ ไปถึงแล้วยังมีเพื่อนด้วยค่อยยังชั่วหน่อย”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เราจะดูแลนายอย่างเต็มที่ ตอบแทนที่นายเคยดูแลเรากับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวเมื่อครั้งที่แล้ว”
นัทพูดเสร็จเอามือมาตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อให้ผมหายกังวล
“ขอบใจนายมากนะนัท” ผมพยักหน้า และยิ้มให้กับนัท
“เรายังจำได้ที่นายพาเราไปเที่ยวที่ด่านเจดีย์สามองค์ ครั้งนั้นถ้าไม่มีนายเราคงไปไม่ถูกแน่ๆ ฮ่าๆๆ”
“ใช่ๆ ก็นายกับเพื่อนเล่นมาเที่ยวแบบแบ็คแพ็กกัน ก็ต้องหลงกันเป็นธรรมดาอะนัท”
“นั่นซินะ ฮ่าๆๆ นึกแล้วก็ขำนะ หารถเดินทางไม่ได้เลย ว่าจะไปพักแถวนั้นเขาก็บอกว่าไม่มีโรงแรม เล่นเอาเครียดกันไปเลย ตอนแรกถ้าไม่เจอนาย พวกเรากะจะไปขอพักที่วัดอ่ะตอนนั้น”
“ ฮ่าๆๆ จำได้ๆ ตอนนั้นเราขับรถผ่านมาพอดี พวกนายโบกรถเรา แล้วนายก็เดินเข้ามาถามหาวัดกับเรา พอคุยกันเราถึงได้รู้ว่านายกับเพื่อนๆ ไม่มีที่นอนกัน”
“ใช่แล้วอาร์ท ถ้าไม่ได้นายพวกเราต้องนอนกลางดินกันแน่เลย เพราะวัดแถวนั้นไม่มี เราโชคดีมากที่ได้เจอกับนายตอนนั้นนะ แล้วหลังจากนั่นนายยังเป็นไกด์นำพวกเราเที่ยวอีก ขอบคุณนายมากๆ อาร์ท”
“อืมม ไม่เป็นไรหรอกนัท ครั้งนี้เราเลยได้พึ่งพานายบ้าง”
ผมมองหน้านัท นัทยิ้มตอบให้เหมือนบอกว่าให้สบายใจได้ ไม่ต้องกังวลอะไร
“เออ อาร์ทเราถามอะไรนายหน่อยซิ”
“ฮึ อะไรเหรอนัท”
“แล้วนาย.............”
นัทเอ่ยถามผมยังไม่ทันขาดขำ
“พี่ๆ ระวัง !!!! “
เสียงเด็กรถตะโกนบอกคนขับสุดเสียง
เอี๊ยดดดดดดดดดด โครมมมมม
ผมได้ยินเสียงรถกระทบกับคันกั้นถนนทางเลี้ยวอย่างดังระคนกับเสียงกรี๊ดของลูกทัวร์ในรถ ผมเอื้อมมือไปจับตัวนัทไว้ แต่การกระแทกแรงมากทำให้รถตกจากไหล่ถนนลงไปที่เหวข้างทาง รถกลิ้งตลบเหวี่ยงไปมาทำให้มือผมหลุดจากตัวนัทกระเด็นไปด้านหลัง ส่วนนัทกระเด็นออกหน้าต่างไป รถทัวร์ยังกลิ้งลงต่อไป
ตอนนี้ผมไม่เห็นนัทแล้ว เห็นแต่ลูกทัวร์แต่ละคนกระเด็นไปมาปนกับเสียงร้องระงม
คลื่ดๆๆๆ เคล้งๆ เสียงรถที่ตกจากไหล่ทางหยุดลง ทุกอย่างสงบนิ่ง ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้องของคนในรถ
“อืมมม ใช่แล้วซินะ ทุกคนคงไม่รอดแน่ๆ”
ผมมองไปรอบๆ ในรถมีลูกทัวร์นอนเกลือนกราด บางคนกระเด็นออกไปนอกรถรวมทั้งนัทด้วย
ผมค่อยๆ คลานออกมาจากรถที่คว่ำหงายท้องอยู่
“มีใครได้ยินเสียงผมบ้างมั่ย” ผมตะโกนสุดเสียง
“พี่ครับ น้าครับ ได้ยินเสียงผมหรือเปล่า”
ผมยื่นใบหน้าเข้าไปในรถตรงช่องหน้าต่างที่กระจกแตก
“พี่ๆ ครับ ได้ยินเสียงผมหรือเปล่า”
ผมตะโกนอย่างสุดเสียงอีกครั้ง และเดินไปรอบๆ รถทัวร์ที่พลิกคว่ำอยู่
“พี่ครับพี่ มีใครได้ยินเสียงผมบ้าง”
มีแต่เสียงของความเงียบสงัดตอบกลับผมมา
ผมเดินมาหยุดตรงหน้ารถมองรอดเข้าไปผ่านกระจกหน้ารถที่แตกละเอียด ไม่มีใครส่งเสียงร้อง ไม่มีใครเคลื่อนไหวอีก
ผมทรุดตัวนั่งลง
“นี่มันอะไรกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ใช่ซิตอนรถตกไหล่เขาลงมา ผมเห็นนัทกระเด็นออกจากรถไป
“นัท !! ..... นัท...... นัท”
ผมตะโกนเสียงเรียกนัท
ผมออกวิ่งขึ้นตามไหล่เขาที่รถกลิ้งลงมา
“นัท นัท นายอยู่ตรงไหน”
ผมวิ่งไป ตะโกนเรียกนัทไป ในใจพลันนึกถึงว่านัทจะเป็นอย่างไรบ้าง นัทยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ
ผมวิ่งไป ตะโกนเรียกนัทไป วิ่งขึ้นไหล่เขามาได้สักครึ่งทางผมก็ได้ยินเสียงร้องของนัท
“อาร์ท โอ้ยยย อาร์ทช่วยด้วย เราอยู่นี่”
เสียงของนัทกระทบกับหูของผม และสายตาผมมองไปที่เสียงนั่น ถึงแม้ว่าสายตาผมจะใช้ไม่ค่อยดีในเวลากลางวันก็ตาม
“นัท !!!”
ผมเห็นนัทแล้วอยู่ห่างผมประมาณห้าร้อยเมตร ผมกระโดดข้ามไหล่เขาและต้นไม้ลงมาหยุดตรงนัท นัทหลับตาอยู่แต่ยังร้องด้วยความเจ็บปวด
“อาร์ท นายมาแล้วเหรอ นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่อะนัทเราไม่เป็นอะไร”
ผมมองดูที่นัท ตามตัวนัทมีแผลเต็มไปหมดเลือดไหลท่วมตัว แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดนัทกระเด็นออกมาจากรถคงกลิ้งหล่นลงมาหลายตะหลบ และมาหยุดตรงทีมีกิ่งไม้เสียบทะลุที่หลังออกมาหน้าอก
“อาร์ท เราเจ็บมากเหลือเกิน เจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว”
“นัททำใจดีๆ ไว้ เราจะโทรแจ้งให้ตำรวจมาช่วย”
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์โทรเพื่อแจ้งอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ไม่มีสัญญาณ”
ให้ตายเถอะในเวลาที่เกิดเรื่องแบบนี้ มันมักจะเป็นไปตามสูตรเสมอ โทรศัพท์ไม่มีคลื่นสัญญาณ
“อืม ใช่ซินะเราอยู่ตรงไหล่มันจะมีสัญญาณได้งัย” ผมพรึมพรำกับตัวเอง
“โอ้ยยอาร์ท อาร์ททททท ช่วยเราด้วย”
“นัทเป็นงัยบ้าง นายเป็นงัยบ้าง”
“เราเจ็บที่น่าอก ที่น่าอก”
ผมมองลงดูเพื่อน สงสารนัทมาก นัทคงจะเจ็บมาก และแผลตามตัวอีก ใบหน้า แขน และตัวเต็มไปด้วยเลือด
“นัท นัท นายอย่างเพิ่งเป็นอะไรนะ”
ผมค่อยๆ ประครองนัทมาที่อ้อมแขน
“อาร์ท เราคงไม่รอดแน่ๆ ทุกคนละเป็นงัยบ้าง”
“ทุกคนตายหมดแล้วละนัท”
“นายโชคดีนะที่ไม่เป็นอะไร นายโชคดีมากอาร์ท”
นัทมองมาที่ดวงตาของผม
“นัทนายจะต้องไม่เป็นอะไร นายต้องไม่เป็นอะไร”
“อาร์ทเราขอบคุณมากที่ปลอบใจเรา แต่เราคงไม่รอดแน่ๆ”
นัทเอามือมาจับที่มือผมไว้
“อาร์ท เรายังไม่อยากตาย เราเพิ่งมีชีวิตได้มาเพียงแค่นี้ เรายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก”
นัทพูดไปมีน้ำตาไหลนองอาบแก้ม
“อาร์ท เรายังอยากมีชีวิตอยู่ เรายังอยากเห็นความสำเร็จของชีวิต เรายังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่ากับเวลา เรายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อาร์ทแต่เราคงไม่ไหว เราคงต้องตายแน่ๆ เราเจ็บหน้าอกเหลือเกิน”
ผมมองหน้าอาร์ทด้วยความสงสาร
“โธ่ นัท”
“อาร์ทปล่อยเราไว้ที่นี่เถอะ นายรีบขึ้นไปขอความช่วยเหลือตามถนนที่คนขับรถผ่านมา นี่ก็ไกล้ค่ำแล้วเดี๋ยวนายจะมองไม่เห็นทาง”
“ไม่เป็นนัท ไม่ต้องเป็นห่วงเรา เราเป็นห่วงนายมาก เราจะไม่ยอมทิ้งนาย เราจะไม่ไปไหนหรอก”
“อาร์ท เราคงไม่รอดแล้ว เรารู้สึกง่วงเราอยากจะหลับ”
นัทพูดเสร็จก็หลับตาลง นัทคงเสียเลือดมาก นัทคงใกล้จะสิ้นลมหายใจแล้ว
“นัท นัท นายอย่างเพิ่งหลับนะ ถ้านายหลับนายจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย”
นัทลืมตาขึ้นมามองที่ใบหน้าผม
“อาร์ท เราคงตายแน่ๆ คงอีกไม่นานหรอก”
“นัทนายจะไม่ตาย เราจะทำให้นายไม่ตาย”
“นายจะทำอยังงัย นายเป็นหมอเหรอ”
“เปล่าเราไม่ได้เป็นหมอ แต่เราจะช่วยให้นายไม่ต้องตายได้ นายเชื่อใจเราเถอะ”
นัทมองที่หน้าผมอย่างแปลกใจ “นายจะช่วยเราอยังงัย โอ้ยยย เจ็บหน้าอก”
“ฟังเรานะนัท นายไม่ต้องทำอะไร นายอยู่เฉยๆ อย่าตกใจกำสิ่งที่เราทำ อย่ากลัว อย่ากังวล”
“นายจะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้เหรออาร์ท” นัทถามผมด้วยความสงสัย
ผมมองหน้านัทและยิ้มให้ ผมค่อยพยุงตัวนัทขึ้นมาที่ตัก ผมจับกิ่งไม้ที่ปักอกของนัท
“นายทนเอาหน่อยนะ มันจะเจ็บมากตอนเราดึงออก”
“อาร์ท ถ้านายดึงกิ่งไม้ออกเราจะรอดได้เหรอ”
“ไม่นัท นายจะไม่รอดเพราะดึงกิ่งไม้ออก แต่นายจะรอดเพราะเราทำให้นายมีชีวิตได้”
ผมค่อยๆ จับกิ่งไม้จนแน่นและดึงออกมาอย่างแรง
“ซรวดดด”
“โอ้ยยย อร้าทททททท โอ้ยยยเราเจ็บ”
ผมยื่นใบหน้าเข้าไปข้างๆ หูของนัท
“นัทหลับตาซะ”
นัทจับมือผมกำไว้แน่น ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าของผมมาที่คอของนัท ผมเปิดปากเผยให้เห็นเขี้ยวที่ผับเก็บซ่อนไว้ ผมจะทำให้เพื่อนผมกลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยวิธีของผม ผมค่อยๆฝังเขี้ยวลงที่คอของนัทและดูดดื่มเลือดของนัทเข้าไปในร่างกาย นัทลืมตาโพลงขึ้น
“อาร์ท นายทำอะไร นาย....”
ผมถอนเขี้ยวออกจากคอของนัท
“เราจะทำให้นายมีชีวิตอมตะเหมือนเรา นายจะไม่ต้องตาย”
ผมยกแขนของผมขึ้นมาและใช้เล็บกรีดเข้าไปที่ข้อแขน มีเลือดของผมไหลออกมา ผมยื่นแขนของผมไปที่ปากของนัท
“นัท ดื่มเลือดเราซะ เลือดเราจะทำให้นายมีชีวิตอมตะ”
นัทมองที่หน้าผม ก่อนจะคว้าแขนผมไปดูดดื่มเลือดนั้น เมื่อเลือดผมเข้าสู่ร่างกายของนัทเพียงครู่เดียว นัทลืมตาโพล่งขึ้น มีอาการกระตุกและเกรงแขนขา
“ฮึ !!! อ่ะ อ๊าชช อึมมม อ่าเออะ อ่า...”
“นัทมันแป๊บเดียว มันแค่แป๊บเดียวทนเอาหน่อยนะ”
ผมมองที่หน้านัท อาการกระตุกเกร็ง ค่อยๆ คลายลง แผลที่ใบหน้า และตามแขนขาของนัทค่อยเจือจางหายไป แผลที่หน้าอกค่อยๆ ประกบติดกันและหายไป เหมือนกับว่านัทไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
“นัทนายจะมีชีวิตอีกครั้ง นายจะเป็นอมตะเหมือนกับเรา”
นัทค่อยๆ ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่ง
“อาร์ท”
นัทเรียกชื่อผม สายตานัทเปลี่ยนไปเป็นประกายวาว ริมฝีปากเผยอออกเพราะเขี้ยวกำเนิด
“นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมนัท”
“อาร์ท นี่เราเป็นอะไรไป”
“เราช่วยนายไว้ นายบอกว่านายยังไม่อยากตาย นายยังอยากมีชีวิตอยู่ เราจึงทำให้นายชีวิตอีกครั้ง”
นัทมองหน้าผม นัทเอามือลูบคลำตามลำตัวและแขนขา มันไม่มีบาดแผลอีกแล้ว นัทจับที่น่าอกบาดแผลสำคัญที่จะทำให้นัทไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ใช่แล้ว มันหายสนิทเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“อาร์ท นี่นายเป็นอะไร ทำไมนายถึงทำให้เราเป็นแบบนี้ได้”
“นัท เราเป็นแวมไพร์ เป็นแวมไพร์ที่อยู่มาอย่างยาวนานแล้ว”
นัทมองมาที่ผมขณะที่เขี้ยวยังเผยอออกมาอยู่
“นัทเก็บเขี้ยวก่อน”
“เก็บยังงัย”
“นายใช้สมองสั่งมัน มันจะพับเก็บไป และเมื่อนายต้องการใช้มัน ก็สั่งมันให้เปิดออกมา”
นัทก้มหน้าลงใช้สมองสั่งเขี้ยวก็พับเก็บเข้าไป นัทหันมามองที่หน้าผม
..................... * ..................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ