Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก
8.3
เขียนโดย justin
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.
23 ตอน
1 วิจารณ์
29.01K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ผู้คุมกฎ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงเท้าก้าวย่ำไปในโพลงป่า กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เสียงดังกรุบกรับ จนโผล่พ้นทิ้งโพลงป่าไว้เบื้องหลัง เขาเอี้ยวตัวหันไปดูบุรุษที่ไล่ล่าตามเขามาจากสถานที่เกิดเหตุ ม่านตาสีเขียวเข้มเปิดกว้างมองออกไปได้ไกล
ผู้ไล่ล่ายังคงเคลื่อนตัวลอยรวดเร็วตามมาติดๆ ราวกับสิงโตที่ไล่ตะคลุบเหยื่อของมัน เขาเคลื่อนตัวหนีรวดเร็วดุจพอๆ กันกับผู้ไล่ล่า แต่ความชำนาญยังด้อยกว่า ร่างของเขาชนกับสิ่งที่กีดขวางด้านหน้าอย่างจัง จนตัวกระเด็นสะท้อนถอยหลังออกมา
ผู้ล่ายืนขวางจังก้าประจันหน้าต่อกัน เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผู้ล่าหลับตาสูดกลิ่นคาวเลือดที่ลอยโชยมา เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปาก ดวงตาทั้งคู่แข็งกร้าวฉายความเป็นนักสู้ประกายออกมา ตอนนี้ความเงียบเข้ามาปรกคลุมแทนที่ สายตายังจ้องกันเขม่ง
“แอนๆ นัทหายไปไหน”
เสียงนนท์ตะโกนถามแอน หลังจากที่ทีมข่าวออกมาทำข่าวในจังหวัดนครราชสีมา ไม่ไกลจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เขื่อนลำตะคอง คดียิงนักธุรกิจท้องถิ่นเสียชีวิต ซึ่งดูเหมือนผู้ตายจะพัวพันเกี่ยวข่องกับการค้ายาเสพติด จะเป็นฆ่าตัดตอนหรือการหักหลังกัน แอนกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ นัทกับนนท์ ถ่ายภาพของผู้เสียชีวิตและบริเวณรอบๆ ใกล้เคียง
การทำงานดำเนินไปด้วยดีมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กำลังตรวจสอบศพผู้เสียชีวิต มีชาวบ้านมามุงดูยื่นเป็นกลุ่มเป็นก้อนซุบซิบกันไปต่างๆ นาๆ
ภาพสุดท้ายที่นนท์จำได้ นัทเพิ่งถ่ายรูปผู้เสียชีวิตเสร็จกำลังจะเดินไปที่รูปรอบๆ ที่เกิดเหตุ แต่ดูเหมือนมีชายคนหนึงรูปร่างสูงโปร่ง หวีผมเป๋ไปทางซ้ายมันวาวด้วยน้ำมันใส่ผม ในชุดทำงานสีน้ำเงิน เสื้อด้านในสีเทาผู้ไทต์ยาวลงมาถึงหัวเข็มขัด กางเกงสแลค รองเท้าคัทชูสีดำมันเงา ใส่เสื้อโค้ททับด้านนอกปรายเสื้อยาวถึงเข่าด้านล่าง
นนท์เองยังนึกในใจเมืองไทยร้อนจะตายใส่เสื้อโค้ททับเข้าไปได้อย่างไร แต่ก็คิดไปว่าคงเป็นนักสืบที่เข้ามาสืบคดีนี้ ถึงแม้การแต่งกายจะไม่คุ้นนักในสายตานักสืบเมืองไทย ที่เคยเห็นก็มีแต่ในหนังฝรั่ง
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ชายในชุดเสื้อโค้ทเดินตรงไปหานัท แล้วเหมือนมีการพูดคุยกันสักครู่ ได้ยินไม่ถนัด ก่อนที่ทั้งสองจะหายตัวไปทางด้านหลังของบ้านผู้เสียชีวิต
ใจหนึงนนท์ก็คิดว่านัทคงไปเข้าห้องน้ำ แต่มันก็รู้สึกว่านานเกินปรกติวิสัย นนท์พยามกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไร้เงาของนัท ก่อนจะเดินเข้าไปถามแอน นนท์เห็นกล้องถ่ายรูปดิจิตอลหล่นตกอยู่บนพื้นหลังบ้าน
“แอนก็ไม่เห็นเหมือนกันนะนนท์”
“อืม นั่นซิ เมื่อกี้เพิ่งเห็นเดินไปถ่ายรูปทางด้านข้างก่อนจะหายไปนะ”
“นัทไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า”
“ไม่น่านะ เพราะมันนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว”
“กล้องถ่ายรูปก็ตกอยู่ที่นี่นะแอน แต่เจ้าตัวหายไปไหนอ่ะ”
นนท์พูดด้วยน้ำเสียงดูกังวล เหลือบตาไปดูรถที่ทีมข่าวขับมาก็จอดปรกติอยู่ทางด้านหน้า
“ลองคอยดูซักพักก็แล้วกันนนท์ ถ้านัทยังไม่กลับมา ก็ลองโทรเข้ามือถือดู”
“อืม ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะอยู่แถวๆ นี้”
นนท์กับแอนเดินเข้าไปสอบถามความคืบหน้าของคดีกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อ ในขณะที่นัทยังหายตัวเงียบไป
ความเงียบเข้ามาปรกคลุมแทนที่ สายตายังจ้องกันเขม่ง เขาปรากฏกายต่อหน้านัท ดวงตาเปล่งประกายวาวสีน้ำตาลเข้ม ดูภูมิฐานทรงอิทธิพล
สายตาของนัทจับมองไปที่เขาอย่างไม่กระพริบ เขาแผดเสียงคำรามอย่างทรงพลัง มันปลุกวิญญาณที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวนัท
" ให้ตายเถอะ เสียงคุณ...”
นัทตะลึงงันกับบุรุษที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าขณะนี้ พลันนึกในใจ ตัวอะไรกันอีกละทีนี้
"มาจากนรกขุมไหนอ่ะ”
นัทพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวลอยเข้าไปใกล้บุรุษแปลกหน้าผู้นั้น
คำถามนั้นกระตุ้นความอยากที่เขาจะพูดความจริง
"ข้าคือผู้คุมกฎ"
มันลื่นไหลออกจากปากเขาเพียงหนึ่งประโยคง่ายๆ ทำให้นัทผงะถอยหลังไปเล็กน้อย
"ฮ่าๆๆๆ ผู้คุมกฏอะไร"
เสียงของนัทเอ่ยขึ้นรากเสียงยาวเยาะเย้ย
"อะฮ่ะ ตลกดีนี่ "
"ใช่แล้ว น่าขำนักหรือเจ้าแวมไพร์น้อย"
เขากวาดสายตามองไปที่นัทราวกลับสิงห์โตที่พร้อมจะกัดเหยื่อทันทีหลังตะครุบได้
"เจ้า ช่างดูงดงาม"
เขายื่นมือไปสัมพัสใบหน้าของนัทที่ยืนยิ้มและขำขันอยู่ตรงหน้า
"เอ้อะ เอ้ย อย่ามาแตะตัวข้า"
นัทสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์มาสู่ความจริง
เขาหายร่างมายืนอยู่ด้านหลังของนัทอีกครั้ง
"ดุจความตาย"
" เฮ่อะ คุณจะฆ่าผมเหรอ"
"เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก ทุกคนที่เปลี่ยนเป็นแวมไพร์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์กรผู้คุมกฏ"
รางกายของเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวลอยเข้ามาหานัทจนเกือบประชิด
"ต้องถูกกำจัด"
เมื่อ 800 ปีก่อนหน้านี้ มีมนุษย์ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์มากมาย และผู้สร้างไม่ได้ควบคุมแวมไพร์ที่ตนเองสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดอาละวาดออกล่ามนุษย์จนกราดเกลื่อน
มีมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่สุดอยู่อาณาจักรหนึ่งได้ผลิตนักล่าแวมไพร์ขึ้น และออกล่าไปตามที่ต่างๆ ทำให้ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างก็ทำลายล้างกันไปเป็นจำนวนมาก
จนกระทั้งราชาแวมไพร์ได้เข้าไปทำข้อตกลงกับจักรพรรดิของอาณาจักรนั้น เพื่อให้ทั้งเหล่ามนุษย์และเหล่าแวมไพร์หยุดตามล่ากัน
โดยมีเงื่อนไขจากราชาแวมไพร์ที่จะเอาเลือดของแวมไพร์มามอบให้จักรพรรดิเพื่อใช้ดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ ขณะเดียวกันราชาแวมไพร์จะได้ปกครองอาณาเขตแวมไพร์ไปทั่วจักรวรรดิ
หลังจากนั้นอีก 500 ปีต่อมา มีแวมไพร์กำเนิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมากเช่นเคย ต่างก็ออกล่ามนุษย์เป็นอาหารจนเกือบหมดแผ่นดิน
ภายหลังอีก 100 ปี สภาแวมไพร์ของราชาจึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นมา และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า องค์กรผู้คุมกฎ เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการกำเนิดใหม่ของแวมไพร์ที่มีมากจนเกินไป
โดยมีกฎว่าแวมไพร์ผู้ที่จะเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ได้ ต้องเป็นญาติใกล้ชิด เครือญาติ หรือผู้สืบสายโลหิตกันมาจากญาติที่เป็นมนุษย์
นอกจากนี้แล้วต้องแจ้งแก่องค์กรผู้คุมกฎก่อนเท่านั้น หากได้รับการอนุญาต จึงจะสามารถให้กำเนิดแวมไพร์ใหม่ได้ เหล่าแวมไพร์ต่างเรียกห้วงเวลานั้นว่า "ร้อยปีแห่งความว่างเปล่า"
“ท่าทางอมตะชนจะเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า”
ผู้คุมกฎพูดเสียงราบเรียบ ก้าวเท้าย่ำเดินไปรอบๆ ตัวนัท
“ฮึๆ ลองดูซิ เข้ามาเลย”
การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นระหว่างผู้คุมกฎที่มีอายุมายาวนานและแวมไพร์น้อยที่กำเนิดใหม่ได้ไม่ถึงสามปีได้เริ่มต้นขึ้น
ขณะสายลมอ่อนๆ ได้พัดวนขึ้นไป ร่างของผู้คุมกฎเคลื่อนตัวลอยขึ้นอย่างช้าๆ ลมพัดหมุนตัวเป็นเกรียวคลื่น เสื้อโค้ทสีน้ำเงินโบกสะบัดคลี่กระจายไปทางด้านหลัง พลังและอานุภาพกำลังแผ่รังสีหมุนรอบตัว แสงสีนวลขาวเคลื่อนตัวพรุ่งใส่แวมไพร์หนุ่ม
“เฮ้อะ อ่ะ อ้าช”
อานุภาพนั้นพลักตัวแวมไพร์หนุ่มดันถอยหลังไป รอยเท้าครูดไปเป็นแนวยาว แวมไพร์หนุ่มขู่คำรามเสียงดังก้องกังวานเหมือนจะรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี ผายมือที่กำแน่นอวดเล็บที่ยื่นยาวออกมา
พลังของแวมไพร์หนุ่มทำให้เกิดศูนย์ยากาศ ใบไม้ กิ่งไม้ เศษหินที่วางอยู่เรียงรายยกตัวขึ้นลอย เขากระโจนตัวลอยขึ้นไปโผใส่ผู้คุมกฎ ร่างของทั้งสองประทะกัน คลื่นอานุภาพตีวงแผ่กว้างออกกระจาย
........................................... *..............................................
ผู้ไล่ล่ายังคงเคลื่อนตัวลอยรวดเร็วตามมาติดๆ ราวกับสิงโตที่ไล่ตะคลุบเหยื่อของมัน เขาเคลื่อนตัวหนีรวดเร็วดุจพอๆ กันกับผู้ไล่ล่า แต่ความชำนาญยังด้อยกว่า ร่างของเขาชนกับสิ่งที่กีดขวางด้านหน้าอย่างจัง จนตัวกระเด็นสะท้อนถอยหลังออกมา
ผู้ล่ายืนขวางจังก้าประจันหน้าต่อกัน เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผู้ล่าหลับตาสูดกลิ่นคาวเลือดที่ลอยโชยมา เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปาก ดวงตาทั้งคู่แข็งกร้าวฉายความเป็นนักสู้ประกายออกมา ตอนนี้ความเงียบเข้ามาปรกคลุมแทนที่ สายตายังจ้องกันเขม่ง
“แอนๆ นัทหายไปไหน”
เสียงนนท์ตะโกนถามแอน หลังจากที่ทีมข่าวออกมาทำข่าวในจังหวัดนครราชสีมา ไม่ไกลจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เขื่อนลำตะคอง คดียิงนักธุรกิจท้องถิ่นเสียชีวิต ซึ่งดูเหมือนผู้ตายจะพัวพันเกี่ยวข่องกับการค้ายาเสพติด จะเป็นฆ่าตัดตอนหรือการหักหลังกัน แอนกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ นัทกับนนท์ ถ่ายภาพของผู้เสียชีวิตและบริเวณรอบๆ ใกล้เคียง
การทำงานดำเนินไปด้วยดีมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กำลังตรวจสอบศพผู้เสียชีวิต มีชาวบ้านมามุงดูยื่นเป็นกลุ่มเป็นก้อนซุบซิบกันไปต่างๆ นาๆ
ภาพสุดท้ายที่นนท์จำได้ นัทเพิ่งถ่ายรูปผู้เสียชีวิตเสร็จกำลังจะเดินไปที่รูปรอบๆ ที่เกิดเหตุ แต่ดูเหมือนมีชายคนหนึงรูปร่างสูงโปร่ง หวีผมเป๋ไปทางซ้ายมันวาวด้วยน้ำมันใส่ผม ในชุดทำงานสีน้ำเงิน เสื้อด้านในสีเทาผู้ไทต์ยาวลงมาถึงหัวเข็มขัด กางเกงสแลค รองเท้าคัทชูสีดำมันเงา ใส่เสื้อโค้ททับด้านนอกปรายเสื้อยาวถึงเข่าด้านล่าง
นนท์เองยังนึกในใจเมืองไทยร้อนจะตายใส่เสื้อโค้ททับเข้าไปได้อย่างไร แต่ก็คิดไปว่าคงเป็นนักสืบที่เข้ามาสืบคดีนี้ ถึงแม้การแต่งกายจะไม่คุ้นนักในสายตานักสืบเมืองไทย ที่เคยเห็นก็มีแต่ในหนังฝรั่ง
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ชายในชุดเสื้อโค้ทเดินตรงไปหานัท แล้วเหมือนมีการพูดคุยกันสักครู่ ได้ยินไม่ถนัด ก่อนที่ทั้งสองจะหายตัวไปทางด้านหลังของบ้านผู้เสียชีวิต
ใจหนึงนนท์ก็คิดว่านัทคงไปเข้าห้องน้ำ แต่มันก็รู้สึกว่านานเกินปรกติวิสัย นนท์พยามกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไร้เงาของนัท ก่อนจะเดินเข้าไปถามแอน นนท์เห็นกล้องถ่ายรูปดิจิตอลหล่นตกอยู่บนพื้นหลังบ้าน
“แอนก็ไม่เห็นเหมือนกันนะนนท์”
“อืม นั่นซิ เมื่อกี้เพิ่งเห็นเดินไปถ่ายรูปทางด้านข้างก่อนจะหายไปนะ”
“นัทไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า”
“ไม่น่านะ เพราะมันนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว”
“กล้องถ่ายรูปก็ตกอยู่ที่นี่นะแอน แต่เจ้าตัวหายไปไหนอ่ะ”
นนท์พูดด้วยน้ำเสียงดูกังวล เหลือบตาไปดูรถที่ทีมข่าวขับมาก็จอดปรกติอยู่ทางด้านหน้า
“ลองคอยดูซักพักก็แล้วกันนนท์ ถ้านัทยังไม่กลับมา ก็ลองโทรเข้ามือถือดู”
“อืม ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะอยู่แถวๆ นี้”
นนท์กับแอนเดินเข้าไปสอบถามความคืบหน้าของคดีกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อ ในขณะที่นัทยังหายตัวเงียบไป
ความเงียบเข้ามาปรกคลุมแทนที่ สายตายังจ้องกันเขม่ง เขาปรากฏกายต่อหน้านัท ดวงตาเปล่งประกายวาวสีน้ำตาลเข้ม ดูภูมิฐานทรงอิทธิพล
สายตาของนัทจับมองไปที่เขาอย่างไม่กระพริบ เขาแผดเสียงคำรามอย่างทรงพลัง มันปลุกวิญญาณที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวนัท
" ให้ตายเถอะ เสียงคุณ...”
นัทตะลึงงันกับบุรุษที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าขณะนี้ พลันนึกในใจ ตัวอะไรกันอีกละทีนี้
"มาจากนรกขุมไหนอ่ะ”
นัทพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวลอยเข้าไปใกล้บุรุษแปลกหน้าผู้นั้น
คำถามนั้นกระตุ้นความอยากที่เขาจะพูดความจริง
"ข้าคือผู้คุมกฎ"
มันลื่นไหลออกจากปากเขาเพียงหนึ่งประโยคง่ายๆ ทำให้นัทผงะถอยหลังไปเล็กน้อย
"ฮ่าๆๆๆ ผู้คุมกฏอะไร"
เสียงของนัทเอ่ยขึ้นรากเสียงยาวเยาะเย้ย
"อะฮ่ะ ตลกดีนี่ "
"ใช่แล้ว น่าขำนักหรือเจ้าแวมไพร์น้อย"
เขากวาดสายตามองไปที่นัทราวกลับสิงห์โตที่พร้อมจะกัดเหยื่อทันทีหลังตะครุบได้
"เจ้า ช่างดูงดงาม"
เขายื่นมือไปสัมพัสใบหน้าของนัทที่ยืนยิ้มและขำขันอยู่ตรงหน้า
"เอ้อะ เอ้ย อย่ามาแตะตัวข้า"
นัทสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์มาสู่ความจริง
เขาหายร่างมายืนอยู่ด้านหลังของนัทอีกครั้ง
"ดุจความตาย"
" เฮ่อะ คุณจะฆ่าผมเหรอ"
"เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก ทุกคนที่เปลี่ยนเป็นแวมไพร์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์กรผู้คุมกฏ"
รางกายของเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวลอยเข้ามาหานัทจนเกือบประชิด
"ต้องถูกกำจัด"
เมื่อ 800 ปีก่อนหน้านี้ มีมนุษย์ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์มากมาย และผู้สร้างไม่ได้ควบคุมแวมไพร์ที่ตนเองสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดอาละวาดออกล่ามนุษย์จนกราดเกลื่อน
มีมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่สุดอยู่อาณาจักรหนึ่งได้ผลิตนักล่าแวมไพร์ขึ้น และออกล่าไปตามที่ต่างๆ ทำให้ทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างก็ทำลายล้างกันไปเป็นจำนวนมาก
จนกระทั้งราชาแวมไพร์ได้เข้าไปทำข้อตกลงกับจักรพรรดิของอาณาจักรนั้น เพื่อให้ทั้งเหล่ามนุษย์และเหล่าแวมไพร์หยุดตามล่ากัน
โดยมีเงื่อนไขจากราชาแวมไพร์ที่จะเอาเลือดของแวมไพร์มามอบให้จักรพรรดิเพื่อใช้ดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ ขณะเดียวกันราชาแวมไพร์จะได้ปกครองอาณาเขตแวมไพร์ไปทั่วจักรวรรดิ
หลังจากนั้นอีก 500 ปีต่อมา มีแวมไพร์กำเนิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมากเช่นเคย ต่างก็ออกล่ามนุษย์เป็นอาหารจนเกือบหมดแผ่นดิน
ภายหลังอีก 100 ปี สภาแวมไพร์ของราชาจึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นมา และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า องค์กรผู้คุมกฎ เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการกำเนิดใหม่ของแวมไพร์ที่มีมากจนเกินไป
โดยมีกฎว่าแวมไพร์ผู้ที่จะเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ได้ ต้องเป็นญาติใกล้ชิด เครือญาติ หรือผู้สืบสายโลหิตกันมาจากญาติที่เป็นมนุษย์
นอกจากนี้แล้วต้องแจ้งแก่องค์กรผู้คุมกฎก่อนเท่านั้น หากได้รับการอนุญาต จึงจะสามารถให้กำเนิดแวมไพร์ใหม่ได้ เหล่าแวมไพร์ต่างเรียกห้วงเวลานั้นว่า "ร้อยปีแห่งความว่างเปล่า"
“ท่าทางอมตะชนจะเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า”
ผู้คุมกฎพูดเสียงราบเรียบ ก้าวเท้าย่ำเดินไปรอบๆ ตัวนัท
“ฮึๆ ลองดูซิ เข้ามาเลย”
การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นระหว่างผู้คุมกฎที่มีอายุมายาวนานและแวมไพร์น้อยที่กำเนิดใหม่ได้ไม่ถึงสามปีได้เริ่มต้นขึ้น
ขณะสายลมอ่อนๆ ได้พัดวนขึ้นไป ร่างของผู้คุมกฎเคลื่อนตัวลอยขึ้นอย่างช้าๆ ลมพัดหมุนตัวเป็นเกรียวคลื่น เสื้อโค้ทสีน้ำเงินโบกสะบัดคลี่กระจายไปทางด้านหลัง พลังและอานุภาพกำลังแผ่รังสีหมุนรอบตัว แสงสีนวลขาวเคลื่อนตัวพรุ่งใส่แวมไพร์หนุ่ม
“เฮ้อะ อ่ะ อ้าช”
อานุภาพนั้นพลักตัวแวมไพร์หนุ่มดันถอยหลังไป รอยเท้าครูดไปเป็นแนวยาว แวมไพร์หนุ่มขู่คำรามเสียงดังก้องกังวานเหมือนจะรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี ผายมือที่กำแน่นอวดเล็บที่ยื่นยาวออกมา
พลังของแวมไพร์หนุ่มทำให้เกิดศูนย์ยากาศ ใบไม้ กิ่งไม้ เศษหินที่วางอยู่เรียงรายยกตัวขึ้นลอย เขากระโจนตัวลอยขึ้นไปโผใส่ผู้คุมกฎ ร่างของทั้งสองประทะกัน คลื่นอานุภาพตีวงแผ่กว้างออกกระจาย
........................................... *..............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ