Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก
8.3
เขียนโดย justin
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.
23 ตอน
1 วิจารณ์
29.02K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) การจากลาชั่วนิรันดร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนนี้จ้าวนางฟ้อนแก้วได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่มิได้เปลี่ยนไปเช่นข้า นางเปลี่ยนไปเป็นปีศาจร้ายที่ข้ามิเคยพานพบมาก่อน
จ้าวนางฟ้อนแก้ววิ่งหายไปไหนความมืดมิดของป่าทึบด้านหลังของนางอย่างรวดเร็ว
“จ้าวนาง !! จ้าวนาง นั่นเจ้าจะไปไหน”
ข้าตะโกนเรียกนางอย่างสุดเสียง ก่อนที่นางวิ่งหายลับไปทางเรือนพักของจ้าวอุ่นคำเมือง
ที่เรือนพักจ้าวอุ่นคำเมือง ทุกคนที่ออกตามหาจ้าวนางฟ้อนแก้วต่างกลับมารวมตัวกันที่ลานด้านล่างของเรือน
“มีใครได้พบตัวจ้าวนางรึยัง”
เสียงจ้าวอินตะโกนถามเหล่าทหารที่ออกตามหา
“บ่มีผู้ใดพบตัวจ้าวนางเลยข้าเจ้า”
“แล้วจ้าวปี้อุ่นคำเมืองปิ๊กมาเรือนรึยัง”
“ยังเลยข้าเจ้า จ้าวอุ่นคำเมืองและพวกทหารที่ออกไปตามจ้าวนางยังบ่มีใครปิ๊กมาสักคนเลยข้าเจ้า”
ขณะที่ทุกคนกำลังสาระวนถามไถ่กันอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างของจ้าวนางฟ้อนแก้วยืนอวดกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเรือนพัก
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว นั่นใช่จ้าวนางหรือเปล่าข้าเจ้า”
เสียงคำสร้อยตะโกนถามหญิงปริศนาที่ยืนอยู่นั้น จนทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง
นางค่อยๆ เดินเข้ามาที่ลานของเรือนพัก แสงของคบเพลิงกระทบกับใบหน้าของนางเป็นเงาเคลื่อนตัวไปมา
“ฟ้อนแก้วรึหลาน ใช่เจ้าหรือเปล่า คำสร้อยเจ้าเข้าไปดูใกล้ๆ สิ”
เมื่อคำสร้อยหญิงรับใช้หน้าห้องของจ้าวนางฟ้อนแก้วได้รับคำสั่งจากจ้าวอิน นางจึงถือคบเพลิงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“แฮร่ๆ”
เสียงขู่คำรามดุดันออกมาจากของหญิงปริศนา
“จ้าวนางน้อย จ้าวนางน้อยใช่ก่อ”
ยังมิทันจะสิ้นเสียงถามของคำสร้อย ร่างของจ้าวนางฟ้อนแก้วก็โผกระโจนใส่คำสร้อยจนล้มหงายท้องลงไปที่ลานพื้น จ้าวนางฟ้อนแก้วนั่งคร่อมตัวของคำสร้อยอยู่ด้านบน นัยน์ตาของนางเป็นสีแดงก่ำ ปากของนางแสยะออกจนเห็นเขี้ยววาววับทั้งด้านบนและด้านล่าง เล็บมือของนางยื่นยาวออกมาดุจเล็บของสัตว์ร้าย
นางเอามือตะปบข่วนไปที่ใบหน้าของคำสร้อย เป็นแผลเหวอะวะ
“ว้ายยยยย !!! ช่วยด้วย ช่วยข้าเจ้าด้วย”
คำสร้อยกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างลนลาน ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงระคนกับตกใจ หน้าตาตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงด้านหน้า จ้าวอินรีบถอยหลังหนีออกจากลานหน้าเรือนไปรวมกับทหารและคนรับใช้อีกกลุ่มหนึง
“ช่วยข้าเจ้าด้วย อย่าจ้าวนาง อย่าทำข้าเจ้าเลย อย่าทำ.....อ่ะ เอ่อะ”
ยังไม่ทันสิ้นคำร้องขอของคำสร้อย จ้าวนางฟ้อนแก้วเงื้อมมือทะลวงหน้าอกของคำสร้อยเข้าไปควักหัวใจของคำสร้อย กระชากออกมาจากร่างของนาง จ้าวนางฟ้อนแก้วยกมือที่กำหัวใจของคำสร้อยขึ้นมามอง มันยังเต้น ตุ้บตับๆ อยู่ นางก้มลงกินหัวใจนั้นอย่างสัตว์ร้ายที่หิวกระหาย
เมื่อข้าตามจ้านางฟ้อนแก้วมาถึงเรือนที่พักของจ้าวอุ่นคำเมือง สิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าคือซากศพที่นอนเกลื่อดกรานไปคนละทิศคนละทางเต็มลานหน้าเรือน สภาพแต่ละคนถูกควักเครื่องใน ถูกกัด ถูกข่วน เลือดกระจายเต็มไปทั่ว ข้าเดินตามหานางไปทั่วบริเวณนั้น พลางร้องเรียกหานาง
“จ้าวนาง เจ้าอยู่ทีไหน”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาที่ข้า ข้าเดินไปจนเกือบจะสุดด้านหลังของเรือน ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือค่อยๆ ดังออกมาจากป่าด้านหลัง
“ช่วยด้วย ช่วยข้าเจ้าด้วย”
ร่างนั้นค่อยๆ คลานออกมา เป็นหญิงรับใช้นางหนึงที่เดินทางมากับกลุ่มของจ้าวอิน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“ทำไม นางทำไมรึ”
“จ้าวนางกลายเป็นผีปอบไปแล้ว จ้าวนางถูกคำสาปผีฟ้ากลายเป็นผีปอบไปแล้ว ช่วยข้าเจ้าด้วยนะท่าน”
“ ผีปอบ ?? ”
ถึงข้าจะงุนงงเล็กน้อยกับคำที่เรียกนี้ แต่ข้าก็มิได้สนใจ ข้าใส่ใจแต่ว่าตอนนี้หญิงที่ข้ารักนางไปทางไหน
“แล้วเจ้าเห็นนางไปทางไหน”
“จ้าวนางวิ่งหายไปทางคุ้งน้ำโน้นเจ้า”
ข้าจับนางหญิงรับใช้ลุกขึ้นนั่ง มือทั้งสองของข้าค่อยๆ จับศีรษะของนาง ...กรุ๊บบ..... ข้าบิดมือหักคอจนนางสิ้นใจ
ร่างของข้าลอยขึ้นเคลื่อนตัวไปตามทางที่จ้าวนางวิ่งหายไป จ้าวอินกับทหารและคนรับใช้อีกสามสี่คนหนีรอดเงื้อมมือของจ้าวนางฟ้อนแก้วไปได้
ข้าติดตามนางไปในทุกหนทุกแห่งตามสัญชาตญาณของข้า แต่ก็ไม่อาจจะค้นพบเจอนาง เวลาผ่านไปหลายวันจนมีเสียงล่ำลือเรื่องปอบผีฟ้าของเจ้านางฟ้อนแก้ว ต่างก็วิพากษ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าผีฟ้าลงโทษจ้าวนางโดยเข้าสิงสู่ จนกลายร่างเป็นผีปอบ
ข้าไม่ได้ใส่ใจสำหรับเรื่องนี่เท่าไรนัก เพราะข้ารู้ดีว่าสิ่งที่จ้าวนางเป็นนั้นมันเป็นเพราะข้าเอง ข้าเพิ่งได้เรียนรู้ว่า เลือดตายของผู้ที่ตายไปแล้วเป็นเลือดพิษสำหรับแวมไพร์ และเลือดของแวมไพร์มีฤทธิ์ทำให้ศพฟื้นคืนกลับมาเป็นปีศาจร้าย
เวลาผ่านไปแรมปี ทุกครั้งที่มีการตายของชาวบ้านละแวกใดละแวกหนึงข้าจะตามไปที่นั้น แต่คลาดกับนางทุกครั้ง ข้ายังไม่ลดละความพยามที่จะตามหานาง ข่าวล่ำลือเรื่องปอบผีฟ้าคละคลุ้งไปทั่วดินแดน เต็มไปด้วยความสยดสยอง ความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วท่ามกลางหมู่มนุษย์ในดินแดนนั้น
จนกระทั้งคืนหนึง ข้าได้พบกับนางขณะที่นางกำลังกัดกินเหยื่อของนางอยู่
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“แฮร่ๆๆ“
นางหันมามองที่ข้า ก่อนที่จะขู่คำราม ข้ามองหญิงที่ข้ารัก น้ำตาโลหิตไหลซึมอาบแก้มข้าอีกครั้ง
“ข้าผิดเอง ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าทำจะทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ โธ่ ยอดรักของข้า”
นางยังขู่คำรามใส่ข้า เหมือนกับกลัวว่าข้าจะเข้ามาแย่งเหยื่อที่เป็นอาหารของนางไป
“นี่ข้าเอง อาทิตชายคนรักของเจ้าอย่างไร เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ”
นางมองมาที่ข้า นางค่อยๆ วางเศษชิ้นของเหยื่อ นางก้าวท้าวย่ำเดินเข้ามาหาข้าอย่างช้าๆ ตัวงอบิดไปบิดมา นางเดินเข้ามาสูดดมกลิ่นกายไปมารอบๆ ตัวข้า
ข้าเห็นในสิ่งที่นางเป็น มันเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะทนได้ ข้าทำให้หญิงที่ข้ารักต้องกลายสภาพเป็นปีศาจที่หิวกระหาย เป็นเครื่องจักรทำลายอันน่าสยอง ข้าเอื้อมมือไปโอบกอดนางไว้ นางดิ้นขัดขืนเล็กน้อย
“นี่ข้าเอง ยอดรักของข้า”
นางมองมาทีใบหน้าอย่างสงสัย “ แ ฮ่ ๆ ” ข้าโอบกอดนางไว้จนนางเริ่มสงบลง
“ข้าขอโทษ ยอดดวงใจของข้า ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ไว้ ความรักของข้าที่มีต่อเจ้าจักไม่มีวันเจือจางหายไปชั่วนิจนิรันกาล”
...ซรวดดด.....
ปลาย ไม้แหลมคมกริบถูกทิ่มแทงเข้าไปตรงที่หัวใจของจ้าวนางฟ้อนแก้ว
“กรี๊ดดดดด อ๊าชชช......”
เสียงนางกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“ข้าขอโทษ”
น้ำตาโลหิตแห่งความเจ็บปวดของข้าเอ่อไหลรินอาบสองแก้ม เมื่อข้าต้องเป็นที่ผู้ลงมือปลิดชีพหญิงรักของข้า
หญิงที่ข้ารักดิ้นรนอย่างทรมานให้อ้อมแขนของข้า
ข้าไม่อาจจะปล่อยให้นางต้องมีสภาพทรมานเยี่ยงปีศาจนี้ได้ แม้ข้าจะรักนางเพียงใดก็ตาม ร่างของจ้าวนางค่อยๆ หยุดและสงบแน่นิ่งลง กายของนางค่อยๆ กลายสภาพเป็นเหมือนมนุษย์ ดังดุจตอนที่ข้ารักนาง
ข้ากอดร่างของนางไว้แนบแน่น จนร่างเราเกือบจะกลายเป็นกายเดียวกัน นางยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าของข้า ชายอันเป็นที่รักของนางก่อนจะสิ้นใจในอ้อมกอด ข้าร้องให้คร่ำครวญโหยหวนดังก้องกังวานไปทั่วเขาลำเนาไพร ก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆ สลายไปเหลือแต่เพียงผุยผง
ข้าพาอัฐิของนางไปฝังไว้ที่ตรงหน้าผานั่น และเฝ้าอยู่อย่างนั้น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นทศวรรษ เสียงคำร่ำลือปอบผีฟ้าของจ้าวนางยังร่ำลือต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
คล้อยหลัง ๓ ปี หลังจากงานพิธีโสกันต์ฯ จ้าวดารารัศมี พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้เสด็จลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อร่วมในพระราชพิธีลงสรง และสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าหญิงดารารัศมีได้โดยเสด็จพระราชบิดาลงมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ด้วย และได้รับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอม ตำแหน่งพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี จึงทรงประทับอยู่ ณ กรุงเทพพระมหานครนับแต่นั้นมา
................................. * ...............................
จ้าวนางฟ้อนแก้ววิ่งหายไปไหนความมืดมิดของป่าทึบด้านหลังของนางอย่างรวดเร็ว
“จ้าวนาง !! จ้าวนาง นั่นเจ้าจะไปไหน”
ข้าตะโกนเรียกนางอย่างสุดเสียง ก่อนที่นางวิ่งหายลับไปทางเรือนพักของจ้าวอุ่นคำเมือง
ที่เรือนพักจ้าวอุ่นคำเมือง ทุกคนที่ออกตามหาจ้าวนางฟ้อนแก้วต่างกลับมารวมตัวกันที่ลานด้านล่างของเรือน
“มีใครได้พบตัวจ้าวนางรึยัง”
เสียงจ้าวอินตะโกนถามเหล่าทหารที่ออกตามหา
“บ่มีผู้ใดพบตัวจ้าวนางเลยข้าเจ้า”
“แล้วจ้าวปี้อุ่นคำเมืองปิ๊กมาเรือนรึยัง”
“ยังเลยข้าเจ้า จ้าวอุ่นคำเมืองและพวกทหารที่ออกไปตามจ้าวนางยังบ่มีใครปิ๊กมาสักคนเลยข้าเจ้า”
ขณะที่ทุกคนกำลังสาระวนถามไถ่กันอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างของจ้าวนางฟ้อนแก้วยืนอวดกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเรือนพัก
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว นั่นใช่จ้าวนางหรือเปล่าข้าเจ้า”
เสียงคำสร้อยตะโกนถามหญิงปริศนาที่ยืนอยู่นั้น จนทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง
นางค่อยๆ เดินเข้ามาที่ลานของเรือนพัก แสงของคบเพลิงกระทบกับใบหน้าของนางเป็นเงาเคลื่อนตัวไปมา
“ฟ้อนแก้วรึหลาน ใช่เจ้าหรือเปล่า คำสร้อยเจ้าเข้าไปดูใกล้ๆ สิ”
เมื่อคำสร้อยหญิงรับใช้หน้าห้องของจ้าวนางฟ้อนแก้วได้รับคำสั่งจากจ้าวอิน นางจึงถือคบเพลิงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“แฮร่ๆ”
เสียงขู่คำรามดุดันออกมาจากของหญิงปริศนา
“จ้าวนางน้อย จ้าวนางน้อยใช่ก่อ”
ยังมิทันจะสิ้นเสียงถามของคำสร้อย ร่างของจ้าวนางฟ้อนแก้วก็โผกระโจนใส่คำสร้อยจนล้มหงายท้องลงไปที่ลานพื้น จ้าวนางฟ้อนแก้วนั่งคร่อมตัวของคำสร้อยอยู่ด้านบน นัยน์ตาของนางเป็นสีแดงก่ำ ปากของนางแสยะออกจนเห็นเขี้ยววาววับทั้งด้านบนและด้านล่าง เล็บมือของนางยื่นยาวออกมาดุจเล็บของสัตว์ร้าย
นางเอามือตะปบข่วนไปที่ใบหน้าของคำสร้อย เป็นแผลเหวอะวะ
“ว้ายยยยย !!! ช่วยด้วย ช่วยข้าเจ้าด้วย”
คำสร้อยกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างลนลาน ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงระคนกับตกใจ หน้าตาตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงด้านหน้า จ้าวอินรีบถอยหลังหนีออกจากลานหน้าเรือนไปรวมกับทหารและคนรับใช้อีกกลุ่มหนึง
“ช่วยข้าเจ้าด้วย อย่าจ้าวนาง อย่าทำข้าเจ้าเลย อย่าทำ.....อ่ะ เอ่อะ”
ยังไม่ทันสิ้นคำร้องขอของคำสร้อย จ้าวนางฟ้อนแก้วเงื้อมมือทะลวงหน้าอกของคำสร้อยเข้าไปควักหัวใจของคำสร้อย กระชากออกมาจากร่างของนาง จ้าวนางฟ้อนแก้วยกมือที่กำหัวใจของคำสร้อยขึ้นมามอง มันยังเต้น ตุ้บตับๆ อยู่ นางก้มลงกินหัวใจนั้นอย่างสัตว์ร้ายที่หิวกระหาย
เมื่อข้าตามจ้านางฟ้อนแก้วมาถึงเรือนที่พักของจ้าวอุ่นคำเมือง สิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าคือซากศพที่นอนเกลื่อดกรานไปคนละทิศคนละทางเต็มลานหน้าเรือน สภาพแต่ละคนถูกควักเครื่องใน ถูกกัด ถูกข่วน เลือดกระจายเต็มไปทั่ว ข้าเดินตามหานางไปทั่วบริเวณนั้น พลางร้องเรียกหานาง
“จ้าวนาง เจ้าอยู่ทีไหน”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาที่ข้า ข้าเดินไปจนเกือบจะสุดด้านหลังของเรือน ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือค่อยๆ ดังออกมาจากป่าด้านหลัง
“ช่วยด้วย ช่วยข้าเจ้าด้วย”
ร่างนั้นค่อยๆ คลานออกมา เป็นหญิงรับใช้นางหนึงที่เดินทางมากับกลุ่มของจ้าวอิน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“ทำไม นางทำไมรึ”
“จ้าวนางกลายเป็นผีปอบไปแล้ว จ้าวนางถูกคำสาปผีฟ้ากลายเป็นผีปอบไปแล้ว ช่วยข้าเจ้าด้วยนะท่าน”
“ ผีปอบ ?? ”
ถึงข้าจะงุนงงเล็กน้อยกับคำที่เรียกนี้ แต่ข้าก็มิได้สนใจ ข้าใส่ใจแต่ว่าตอนนี้หญิงที่ข้ารักนางไปทางไหน
“แล้วเจ้าเห็นนางไปทางไหน”
“จ้าวนางวิ่งหายไปทางคุ้งน้ำโน้นเจ้า”
ข้าจับนางหญิงรับใช้ลุกขึ้นนั่ง มือทั้งสองของข้าค่อยๆ จับศีรษะของนาง ...กรุ๊บบ..... ข้าบิดมือหักคอจนนางสิ้นใจ
ร่างของข้าลอยขึ้นเคลื่อนตัวไปตามทางที่จ้าวนางวิ่งหายไป จ้าวอินกับทหารและคนรับใช้อีกสามสี่คนหนีรอดเงื้อมมือของจ้าวนางฟ้อนแก้วไปได้
ข้าติดตามนางไปในทุกหนทุกแห่งตามสัญชาตญาณของข้า แต่ก็ไม่อาจจะค้นพบเจอนาง เวลาผ่านไปหลายวันจนมีเสียงล่ำลือเรื่องปอบผีฟ้าของเจ้านางฟ้อนแก้ว ต่างก็วิพากษ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าผีฟ้าลงโทษจ้าวนางโดยเข้าสิงสู่ จนกลายร่างเป็นผีปอบ
ข้าไม่ได้ใส่ใจสำหรับเรื่องนี่เท่าไรนัก เพราะข้ารู้ดีว่าสิ่งที่จ้าวนางเป็นนั้นมันเป็นเพราะข้าเอง ข้าเพิ่งได้เรียนรู้ว่า เลือดตายของผู้ที่ตายไปแล้วเป็นเลือดพิษสำหรับแวมไพร์ และเลือดของแวมไพร์มีฤทธิ์ทำให้ศพฟื้นคืนกลับมาเป็นปีศาจร้าย
เวลาผ่านไปแรมปี ทุกครั้งที่มีการตายของชาวบ้านละแวกใดละแวกหนึงข้าจะตามไปที่นั้น แต่คลาดกับนางทุกครั้ง ข้ายังไม่ลดละความพยามที่จะตามหานาง ข่าวล่ำลือเรื่องปอบผีฟ้าคละคลุ้งไปทั่วดินแดน เต็มไปด้วยความสยดสยอง ความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วท่ามกลางหมู่มนุษย์ในดินแดนนั้น
จนกระทั้งคืนหนึง ข้าได้พบกับนางขณะที่นางกำลังกัดกินเหยื่อของนางอยู่
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“แฮร่ๆๆ“
นางหันมามองที่ข้า ก่อนที่จะขู่คำราม ข้ามองหญิงที่ข้ารัก น้ำตาโลหิตไหลซึมอาบแก้มข้าอีกครั้ง
“ข้าผิดเอง ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าทำจะทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ โธ่ ยอดรักของข้า”
นางยังขู่คำรามใส่ข้า เหมือนกับกลัวว่าข้าจะเข้ามาแย่งเหยื่อที่เป็นอาหารของนางไป
“นี่ข้าเอง อาทิตชายคนรักของเจ้าอย่างไร เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ”
นางมองมาที่ข้า นางค่อยๆ วางเศษชิ้นของเหยื่อ นางก้าวท้าวย่ำเดินเข้ามาหาข้าอย่างช้าๆ ตัวงอบิดไปบิดมา นางเดินเข้ามาสูดดมกลิ่นกายไปมารอบๆ ตัวข้า
ข้าเห็นในสิ่งที่นางเป็น มันเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะทนได้ ข้าทำให้หญิงที่ข้ารักต้องกลายสภาพเป็นปีศาจที่หิวกระหาย เป็นเครื่องจักรทำลายอันน่าสยอง ข้าเอื้อมมือไปโอบกอดนางไว้ นางดิ้นขัดขืนเล็กน้อย
“นี่ข้าเอง ยอดรักของข้า”
นางมองมาทีใบหน้าอย่างสงสัย “ แ ฮ่ ๆ ” ข้าโอบกอดนางไว้จนนางเริ่มสงบลง
“ข้าขอโทษ ยอดดวงใจของข้า ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ไว้ ความรักของข้าที่มีต่อเจ้าจักไม่มีวันเจือจางหายไปชั่วนิจนิรันกาล”
...ซรวดดด.....
ปลาย ไม้แหลมคมกริบถูกทิ่มแทงเข้าไปตรงที่หัวใจของจ้าวนางฟ้อนแก้ว
“กรี๊ดดดดด อ๊าชชช......”
เสียงนางกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“ข้าขอโทษ”
น้ำตาโลหิตแห่งความเจ็บปวดของข้าเอ่อไหลรินอาบสองแก้ม เมื่อข้าต้องเป็นที่ผู้ลงมือปลิดชีพหญิงรักของข้า
หญิงที่ข้ารักดิ้นรนอย่างทรมานให้อ้อมแขนของข้า
ข้าไม่อาจจะปล่อยให้นางต้องมีสภาพทรมานเยี่ยงปีศาจนี้ได้ แม้ข้าจะรักนางเพียงใดก็ตาม ร่างของจ้าวนางค่อยๆ หยุดและสงบแน่นิ่งลง กายของนางค่อยๆ กลายสภาพเป็นเหมือนมนุษย์ ดังดุจตอนที่ข้ารักนาง
ข้ากอดร่างของนางไว้แนบแน่น จนร่างเราเกือบจะกลายเป็นกายเดียวกัน นางยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าของข้า ชายอันเป็นที่รักของนางก่อนจะสิ้นใจในอ้อมกอด ข้าร้องให้คร่ำครวญโหยหวนดังก้องกังวานไปทั่วเขาลำเนาไพร ก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆ สลายไปเหลือแต่เพียงผุยผง
ข้าพาอัฐิของนางไปฝังไว้ที่ตรงหน้าผานั่น และเฝ้าอยู่อย่างนั้น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นทศวรรษ เสียงคำร่ำลือปอบผีฟ้าของจ้าวนางยังร่ำลือต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
คล้อยหลัง ๓ ปี หลังจากงานพิธีโสกันต์ฯ จ้าวดารารัศมี พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้เสด็จลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อร่วมในพระราชพิธีลงสรง และสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าหญิงดารารัศมีได้โดยเสด็จพระราชบิดาลงมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ด้วย และได้รับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอม ตำแหน่งพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี จึงทรงประทับอยู่ ณ กรุงเทพพระมหานครนับแต่นั้นมา
................................. * ...............................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ