รวมผลงานชุด วิวาห์ชำระแค้น
-
เขียนโดย ploythara
วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.03 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
18.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 19.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทที่ 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ5
เมื่อได้ตัวยามาแล้วหมอหลวงก็นำไปบดรวมกับตัวยาที่เหลือแล้วแบ่งเป็นสี่ส่วนสำหรับทั้งสี่คน ส่วนแรกหมอหลวงรีบนำมาถวายจินอ๋องที่กำลังยือรออยู่หน้าห้องทันที อีกสามส่วนที่เหลือหมอหลวงส่งไปยังตำหนักขององค์หญิงทั้งสองแลจวนแม่ทัพหมิง
สองวันต่อมา วังหลวงเป่ยมู่
“พระขนิษฐาทั้งสองนางของเราเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรัสถามนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงห้าแลองค์หญิงแปดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์
“องค์หญิงห้าทรงฟื้นแล้วเพคะ/องค์หญิงแปดก็ทรงฟื้นแล้วเช่นกันเพคะ” นางกำนัลทั้งสองทูลตอบเป็นเสียงเดียว
“เช่นนั้นพวกเจ้าจงไปดูแลนางทั้งสองต่อเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความโล่งพระทัย
“เพคะ/เพคะ” นางกำนัลทั้งสองทูลตอบแล้วเดินกลับไปยังตำหนักขององค์หญิงที่ตนดูแล
องค์หญิงเชียนเชียนฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกแปลกใจมากที่ตนนอนอยู่บนเตียงที่หรูหรา ใส่ชุดนอนที่ทำจากแพรพรรณชั้นดี อีกทั้งมีห้องส่วนตัวที่ใหญ่โตสวยงาม นางเป็นสาวใช้นะ ไยจึงมีของพวกนี้ได้ แล้วนางอยู่ที่ใดหรือนี่! ป่านนี้องค์หญิงมั่นเถียนคงพิโรธแล้วที่ไม่เห็นหน้านาง
“ฟางอวี้เจ้าอยู่ที่ใด องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง บุรุษผู้นั้นมาพบองค์หญิงอีกหรือไม่?”
นางเรียกหาสหายคนสนิทแลรัวคำถาม
“ฟางอวี้เป็นผู้ใดกัน บุรุษผู้นั้นหมายถึงฝ่าบาทหรือเพคะองค์หญิงเชียนเชียน หม่อมฉันปิ่งเอ๋อร์” นางกำนัลคนสนิททูล
“ข้าเป็นสาวใช้มิใช่องค์หญิง มิได้นามว่าเชียนเชียนเช่นที่เจ้าเรียกเมื่อครู่ด้วย ข้านามว่าเสี่ยวเชียน”นางตอบแล้วหันไปมองร่างบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังเดินเข้ามาหานางพร้อมกล่าวว่า
“เชียนเชียนเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง วันนี้พี่ว่างจากราชกิจจะชวนเจ้าไปหาน้องแปด” ฮ่องเต้ที่ประทับนั่งลงข้างพระขนิษฐาเอ่ยถามนาง
“รัชทายาทท่านไม่ต้องแกล้งทำดีกับข้านะ เพราะข้าทราบดีว่าข้าเป็นเพืยงสาวใช้ผู้ต่ำต้อย อีกอย่างท่านมิใช่พี่ชายข้า อย่าแทนตัวเองเช่นนั้น น้องแปดคือผู้ใดกัน” นางถาม
“รัชทายาทหรือเราคือเทียนอวี้ฮ่องเต้แห่งเป่ยมู่เป็นเชษฐาของเจ้า น้องแปดคือน้องสาวของเราทั้งสองคน ปิ่งเอ๋อร์พระขนิษฐาไยจึงเป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ทรงตอบพระขนิษฐาแล้วหันไปถามนางกำนัลคนสนิทว่าเกิดอันใดขึ้นกับพระขนิษฐาของพระองค์
แย่ล่ะ! นางจะทูลฝ่าบาทเช่นใดดีนะว่าองค์หญิงเชียนเชียนความจำเสื่อม ถ้าฝ่าบาทรู้คงทรงพิโรธมากเป็นแน่ที่พระขนิษฐาผู้สดใส ร่าเริง ช่างเจรจาองค์นี้ต้องมีชะตากรรมที่อาภัพเช่นนี้เพียงเพราะฟื้นจากการประชวรครั้งใหญ่
“เราถามมิได้ยินหรือ เหม่อลอยอันใดอยู่ทหารมาจับตัวนางไปโบย ยี่สิบไม้ จากนั้นไปเรียกท่านหมอหลวงไปพบข้าที่ท้องพระโรงด้วย” ฮ่องเต้รับสั่ง
“ฝ่าบาท….” นางทูลได้เพียงเท่านี้ทหารที่อยู่หน้าตำหนักก็มาลากตัวนางไปโบย
ตามบัญชาของฮ่องเต้
องค์หญิงเชียนเชียนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่งงเป็นไก่ตาแตก คิดจะช่วยนางกำนัลน้อยผู้นั้นแต่ก็กลัวบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าตนในตอนนี้เช่นกัน นางรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนักจึงไล่ทุกผู้ออกจากห้องไป
“พวกท่านออกไปข้างนอกเถิด ข้าต้องการพักผ่อน”
“เจ้าพักผ่อนเถิดวันพรุ่งพี่จะเยี่ยมเจ้าใหม่” ฮ่องเต้ตรัสแล้วดำเนินออกจากตำหนักขององค์หญิงห้าไปยังตำหนักองค์หญิงแปด
องค์หญิงหลันเอ๋อร์นั้นเมื่อฟื้นขึ้นมานางก็หาทางหนีออกจากห้องบรรทมของตนเพราะคิดว่านางคงสร้างปัญหาให้นายท่านอีกคราแล้วหากเขากลับมานางจะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีแผลงๆของเขาอีกเป็นแน่ แต่นางกลับเดินไปชนร่างของบุรุษผู้หนึ่งเข้า
“หลันเอ๋อร์เจ้าจะไปที่ใดให้พี่ไปส่งหรือไม่”ฮ่องเต้ตรัสถามนาง
“ข้ามิใช่หลันเอ๋อร์ที่ท่านพูดถึง ข้าชื่อเซียงหลันแลมิมีพี่ชาย ข้าจะกลับจวนราชครูท่านไปส่งข้าหน่อยนะป่านนี้นายท่านคงเรียกหาข้าแล้ว” นางตอบ
“หลันเอ๋อร์เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิดอีกสองวันข้าจะให้หมอหลวงมารักษาอาการเจ้าให้หายขาด” ฮ่องเต้ตรัส
ท้องพระโรง
“ท่านหมอหลวงเหตุใดพระขนิษฐาทั้งสองของเราจึงความจำเสื่อมเล่า ท่านมีวิธีรักษาพวกนางไหม” ฮ่องเต้ตรัสถามหมอหลวง
“นี่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา วิธีรักษามีเพียงวิธีเดียวคือรอเวลาที่ความทรงจำจะฟื้นคืนพะยะค่ะ” หมอหลวงกราบทูล
“เช่นนั้นตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี ส่งพวกนางกลับไปหนานหลี่ดีหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ดี เพราะความทรงจำขององค์หญิงทั้งสองได้หยุดลงในหนานหลี่ทำเช่นนี้ถือเป็นการรักษาแบบ ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’” หมอหลวงกราบทูล
“หลินชิงท่านจงไปตามราชอารักษ์ซูมาเร็ว” ฮ่องเต้รับสั่งกับขันทีหลิน
“พะยะค่ะ”หลินกงกงรับคำบัญชาแล้วเดินออกจากท้องพระโรงไป
สองชั่วยามต่อมา
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซูเผยยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้
“เราต้องการให้ท่านเขียนสาส์นสองฉบับ ฉบับแรกเขียนถึงท่านราชครูหนานหลี่ อีกฉบับส่งไปยังตำหนักหงส์เริงรื่นขององค์หญิงมั่นเถียน เราจะส่งพระขนิษฐาทั้งสองกลับไปรักษาตัวที่หนานหลี่” ฮ่องเต้ตรัสถึงความต้องการของพระองค์ทันที
“ได้พะยะค่ะ กระหม่อมจะเขียนตอนนี้เลย” ซูเผยกล่าว
วันต่อมาสาส์นลับสองฉบับถูกส่งไปแคว้นหนานหลี่ตามพระราชประสงค์ของเทียนอวี้ฮ่องเต้ หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์องค์หญิงทั้งสองก็เสด็จไปอยู่หนานหลี่เพื่อรักษาพระอาการ ครานี้องค์หญิงมั่นเถียนทรงออกมารับองค์หญิงเชียนเชียนด้วยพระองค์เองแลดูแลนางเป็นอย่างดีเพราะทรงทราบแล้วว่านางมีศักดิ์เทียบเท่ากับตน ต่อมาทั้งสองจึงกลายเป็นองค์หญิงแสนซนประจำวังกวงอวี้ฮ่องเต้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่เว้นแต่ละวันนับว่าได้รับกรรมที่สาสมแล้ว ส่วนราชครูหนันกงอวี๋เมื่อทราบว่าเซียงหลันที่เคยถูกตนแกล้งเป็นถึงองค์หญิงแห่งเป่ยมู่ก็ต้อนรับและจัดห้องที่ดีที่สุดในจวนให้นางพัก มิยอมให้นางกลับมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวอีก
จวนแม่ทัพหมิง
ร่างที่สลบไสลของหมิงอวิ๋นซานแม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยมู่ถูกวางลงบนเตียงในห้องส่วนตัวของเขา ทุกผู้ในจวนต่างก็หวาดวิตกว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก หลังจากนั้นไม่นานยาบดส่วนที่เหลือจากหมอหลวงก็ส่งมาถึงจวนเสียที บ่าวรีบนำไปต้มแล้วนำมาให้นายท่านทาน
วันต่อมา
แม่ทัพหมิงที่ฟื้นจากการสลบไสลแล้วกระวีกระวาดออกจากจวนไปประชุมเช้าทันทีแต่เมื่อมาถึงท้องพระโรงฮ่องเต้ก็ทรงไล่ให้เขากลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนเพราะทรงทราบดีว่าแม้เขาจะมิได้รับผลกระทบจากยาแต่ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนต่อความร้อนเป็นเวลานานได้ ยากต่อการฝึกทหารซึ่งเป็นหน้าที่ของเขา เขามีนิสัยดื้อเพ่งไม่ยอมกลับไปพักผ่อนที่จวนตามพระบัญชายังคงทำหน้าที่ของตนอย่างหักโหมเช่นเดิม แม้
ช่วงแรกๆ ร่างกายจะยังทนต่อการทำงานอย่างห้กโหมได้บ้างแต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ก็กลับมาอีกครา ครานี้เขาเป็นหนักกว่าเดิมหลายเท่าฮ่องเต้ทรงเห็นใจเขามากจึงอนุญาตให้พักรักษาตัวได้จนกว่าจะหายดี หน้าที่ของเขาถูกย้ายให้รองแม่ทัพหวางทำแทนชั่วคราว
สองเดือนต่อมา
แม่ทัพหมิงหายเป็นปกติกลับมารับหน้าฝึกซ้อมทหารเช่นเดิมความบ้างานของเขามิมีทีท่าจะลดน้อยลงเลยกลับมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ที่แปลกไปคือในตอนนี้เขารู้สึกคะนึงหาสตรีผู้หนึ่งเป็นอย่างมาก “นาง” ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลเพียงผู้เดียวของเขา เห็นเขามิมีความสำคัญถึงขนาดเอ่ยว่า “ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าหมิงอวิ๋นซาน แม้เจ้าจะเป็นบุรุษที่เหลือเป็นคนสุดท้ายในอาณาจักรลิ่วกั๋ว” “นาง” ที่เปรียบเสมือนดอกฟ้าแห่งหนาน
หลี่ สูงศักดิ์เกินที่ “เขา” ซึ่งเป็นเพียงแม่ทัพจะเอื้อมไปเด็ดมาอยู่เคียงข้างกายได้ จริงอยู่ที่อายุอานามของเขาย่างยี่สิบเจ็ดแล้วแต่เขายังมิได้แต่งภรรยา สตรีทุกนางในเป่ยมู่ล้วนชื่นชมเขามีอีกจำนวนมากที่ต้องการเป็นฮูหยินจวนแม่ทัพหมิงแต่เขายังมิเคยสนใจสตรีนางใดเลยนอกจากคู่หมั้นที่หมั้นกันไว้ตั้งแต่ทั้งสองยังเด็กนามว่า ‘จี้หรูเอิน’ หรือ ‘เอินเอ๋อร์’ เท่านั้น จี้หรูเอินเป็นบุตรีของเจ้ากรมพลเรือน จี้ซ่างอี้ กับ เถาเหมยเจิน ฮูหยินใหญ่สกุลจี้ นางถือเป็นหนึ่งในแปดหญิงงามของเป่ยมู่ที่บุรุษทุกผู้หมายปองแต่กลับมั่นในรักกับ ‘พี่อวิ๋นซาน ยอดขุนพลแห่งเป่ยมู่’ ของนางเพียงผู้เดียว
เมื่อได้ตัวยามาแล้วหมอหลวงก็นำไปบดรวมกับตัวยาที่เหลือแล้วแบ่งเป็นสี่ส่วนสำหรับทั้งสี่คน ส่วนแรกหมอหลวงรีบนำมาถวายจินอ๋องที่กำลังยือรออยู่หน้าห้องทันที อีกสามส่วนที่เหลือหมอหลวงส่งไปยังตำหนักขององค์หญิงทั้งสองแลจวนแม่ทัพหมิง
สองวันต่อมา วังหลวงเป่ยมู่
“พระขนิษฐาทั้งสองนางของเราเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรัสถามนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงห้าแลองค์หญิงแปดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์
“องค์หญิงห้าทรงฟื้นแล้วเพคะ/องค์หญิงแปดก็ทรงฟื้นแล้วเช่นกันเพคะ” นางกำนัลทั้งสองทูลตอบเป็นเสียงเดียว
“เช่นนั้นพวกเจ้าจงไปดูแลนางทั้งสองต่อเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความโล่งพระทัย
“เพคะ/เพคะ” นางกำนัลทั้งสองทูลตอบแล้วเดินกลับไปยังตำหนักขององค์หญิงที่ตนดูแล
องค์หญิงเชียนเชียนฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกแปลกใจมากที่ตนนอนอยู่บนเตียงที่หรูหรา ใส่ชุดนอนที่ทำจากแพรพรรณชั้นดี อีกทั้งมีห้องส่วนตัวที่ใหญ่โตสวยงาม นางเป็นสาวใช้นะ ไยจึงมีของพวกนี้ได้ แล้วนางอยู่ที่ใดหรือนี่! ป่านนี้องค์หญิงมั่นเถียนคงพิโรธแล้วที่ไม่เห็นหน้านาง
“ฟางอวี้เจ้าอยู่ที่ใด องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง บุรุษผู้นั้นมาพบองค์หญิงอีกหรือไม่?”
นางเรียกหาสหายคนสนิทแลรัวคำถาม
“ฟางอวี้เป็นผู้ใดกัน บุรุษผู้นั้นหมายถึงฝ่าบาทหรือเพคะองค์หญิงเชียนเชียน หม่อมฉันปิ่งเอ๋อร์” นางกำนัลคนสนิททูล
“ข้าเป็นสาวใช้มิใช่องค์หญิง มิได้นามว่าเชียนเชียนเช่นที่เจ้าเรียกเมื่อครู่ด้วย ข้านามว่าเสี่ยวเชียน”นางตอบแล้วหันไปมองร่างบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังเดินเข้ามาหานางพร้อมกล่าวว่า
“เชียนเชียนเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง วันนี้พี่ว่างจากราชกิจจะชวนเจ้าไปหาน้องแปด” ฮ่องเต้ที่ประทับนั่งลงข้างพระขนิษฐาเอ่ยถามนาง
“รัชทายาทท่านไม่ต้องแกล้งทำดีกับข้านะ เพราะข้าทราบดีว่าข้าเป็นเพืยงสาวใช้ผู้ต่ำต้อย อีกอย่างท่านมิใช่พี่ชายข้า อย่าแทนตัวเองเช่นนั้น น้องแปดคือผู้ใดกัน” นางถาม
“รัชทายาทหรือเราคือเทียนอวี้ฮ่องเต้แห่งเป่ยมู่เป็นเชษฐาของเจ้า น้องแปดคือน้องสาวของเราทั้งสองคน ปิ่งเอ๋อร์พระขนิษฐาไยจึงเป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ทรงตอบพระขนิษฐาแล้วหันไปถามนางกำนัลคนสนิทว่าเกิดอันใดขึ้นกับพระขนิษฐาของพระองค์
แย่ล่ะ! นางจะทูลฝ่าบาทเช่นใดดีนะว่าองค์หญิงเชียนเชียนความจำเสื่อม ถ้าฝ่าบาทรู้คงทรงพิโรธมากเป็นแน่ที่พระขนิษฐาผู้สดใส ร่าเริง ช่างเจรจาองค์นี้ต้องมีชะตากรรมที่อาภัพเช่นนี้เพียงเพราะฟื้นจากการประชวรครั้งใหญ่
“เราถามมิได้ยินหรือ เหม่อลอยอันใดอยู่ทหารมาจับตัวนางไปโบย ยี่สิบไม้ จากนั้นไปเรียกท่านหมอหลวงไปพบข้าที่ท้องพระโรงด้วย” ฮ่องเต้รับสั่ง
“ฝ่าบาท….” นางทูลได้เพียงเท่านี้ทหารที่อยู่หน้าตำหนักก็มาลากตัวนางไปโบย
ตามบัญชาของฮ่องเต้
องค์หญิงเชียนเชียนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่งงเป็นไก่ตาแตก คิดจะช่วยนางกำนัลน้อยผู้นั้นแต่ก็กลัวบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าตนในตอนนี้เช่นกัน นางรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนักจึงไล่ทุกผู้ออกจากห้องไป
“พวกท่านออกไปข้างนอกเถิด ข้าต้องการพักผ่อน”
“เจ้าพักผ่อนเถิดวันพรุ่งพี่จะเยี่ยมเจ้าใหม่” ฮ่องเต้ตรัสแล้วดำเนินออกจากตำหนักขององค์หญิงห้าไปยังตำหนักองค์หญิงแปด
องค์หญิงหลันเอ๋อร์นั้นเมื่อฟื้นขึ้นมานางก็หาทางหนีออกจากห้องบรรทมของตนเพราะคิดว่านางคงสร้างปัญหาให้นายท่านอีกคราแล้วหากเขากลับมานางจะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีแผลงๆของเขาอีกเป็นแน่ แต่นางกลับเดินไปชนร่างของบุรุษผู้หนึ่งเข้า
“หลันเอ๋อร์เจ้าจะไปที่ใดให้พี่ไปส่งหรือไม่”ฮ่องเต้ตรัสถามนาง
“ข้ามิใช่หลันเอ๋อร์ที่ท่านพูดถึง ข้าชื่อเซียงหลันแลมิมีพี่ชาย ข้าจะกลับจวนราชครูท่านไปส่งข้าหน่อยนะป่านนี้นายท่านคงเรียกหาข้าแล้ว” นางตอบ
“หลันเอ๋อร์เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิดอีกสองวันข้าจะให้หมอหลวงมารักษาอาการเจ้าให้หายขาด” ฮ่องเต้ตรัส
ท้องพระโรง
“ท่านหมอหลวงเหตุใดพระขนิษฐาทั้งสองของเราจึงความจำเสื่อมเล่า ท่านมีวิธีรักษาพวกนางไหม” ฮ่องเต้ตรัสถามหมอหลวง
“นี่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา วิธีรักษามีเพียงวิธีเดียวคือรอเวลาที่ความทรงจำจะฟื้นคืนพะยะค่ะ” หมอหลวงกราบทูล
“เช่นนั้นตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี ส่งพวกนางกลับไปหนานหลี่ดีหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ดี เพราะความทรงจำขององค์หญิงทั้งสองได้หยุดลงในหนานหลี่ทำเช่นนี้ถือเป็นการรักษาแบบ ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’” หมอหลวงกราบทูล
“หลินชิงท่านจงไปตามราชอารักษ์ซูมาเร็ว” ฮ่องเต้รับสั่งกับขันทีหลิน
“พะยะค่ะ”หลินกงกงรับคำบัญชาแล้วเดินออกจากท้องพระโรงไป
สองชั่วยามต่อมา
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซูเผยยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้
“เราต้องการให้ท่านเขียนสาส์นสองฉบับ ฉบับแรกเขียนถึงท่านราชครูหนานหลี่ อีกฉบับส่งไปยังตำหนักหงส์เริงรื่นขององค์หญิงมั่นเถียน เราจะส่งพระขนิษฐาทั้งสองกลับไปรักษาตัวที่หนานหลี่” ฮ่องเต้ตรัสถึงความต้องการของพระองค์ทันที
“ได้พะยะค่ะ กระหม่อมจะเขียนตอนนี้เลย” ซูเผยกล่าว
วันต่อมาสาส์นลับสองฉบับถูกส่งไปแคว้นหนานหลี่ตามพระราชประสงค์ของเทียนอวี้ฮ่องเต้ หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์องค์หญิงทั้งสองก็เสด็จไปอยู่หนานหลี่เพื่อรักษาพระอาการ ครานี้องค์หญิงมั่นเถียนทรงออกมารับองค์หญิงเชียนเชียนด้วยพระองค์เองแลดูแลนางเป็นอย่างดีเพราะทรงทราบแล้วว่านางมีศักดิ์เทียบเท่ากับตน ต่อมาทั้งสองจึงกลายเป็นองค์หญิงแสนซนประจำวังกวงอวี้ฮ่องเต้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่เว้นแต่ละวันนับว่าได้รับกรรมที่สาสมแล้ว ส่วนราชครูหนันกงอวี๋เมื่อทราบว่าเซียงหลันที่เคยถูกตนแกล้งเป็นถึงองค์หญิงแห่งเป่ยมู่ก็ต้อนรับและจัดห้องที่ดีที่สุดในจวนให้นางพัก มิยอมให้นางกลับมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวอีก
จวนแม่ทัพหมิง
ร่างที่สลบไสลของหมิงอวิ๋นซานแม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยมู่ถูกวางลงบนเตียงในห้องส่วนตัวของเขา ทุกผู้ในจวนต่างก็หวาดวิตกว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก หลังจากนั้นไม่นานยาบดส่วนที่เหลือจากหมอหลวงก็ส่งมาถึงจวนเสียที บ่าวรีบนำไปต้มแล้วนำมาให้นายท่านทาน
วันต่อมา
แม่ทัพหมิงที่ฟื้นจากการสลบไสลแล้วกระวีกระวาดออกจากจวนไปประชุมเช้าทันทีแต่เมื่อมาถึงท้องพระโรงฮ่องเต้ก็ทรงไล่ให้เขากลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนเพราะทรงทราบดีว่าแม้เขาจะมิได้รับผลกระทบจากยาแต่ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนต่อความร้อนเป็นเวลานานได้ ยากต่อการฝึกทหารซึ่งเป็นหน้าที่ของเขา เขามีนิสัยดื้อเพ่งไม่ยอมกลับไปพักผ่อนที่จวนตามพระบัญชายังคงทำหน้าที่ของตนอย่างหักโหมเช่นเดิม แม้
ช่วงแรกๆ ร่างกายจะยังทนต่อการทำงานอย่างห้กโหมได้บ้างแต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ก็กลับมาอีกครา ครานี้เขาเป็นหนักกว่าเดิมหลายเท่าฮ่องเต้ทรงเห็นใจเขามากจึงอนุญาตให้พักรักษาตัวได้จนกว่าจะหายดี หน้าที่ของเขาถูกย้ายให้รองแม่ทัพหวางทำแทนชั่วคราว
สองเดือนต่อมา
แม่ทัพหมิงหายเป็นปกติกลับมารับหน้าฝึกซ้อมทหารเช่นเดิมความบ้างานของเขามิมีทีท่าจะลดน้อยลงเลยกลับมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ที่แปลกไปคือในตอนนี้เขารู้สึกคะนึงหาสตรีผู้หนึ่งเป็นอย่างมาก “นาง” ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลเพียงผู้เดียวของเขา เห็นเขามิมีความสำคัญถึงขนาดเอ่ยว่า “ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าหมิงอวิ๋นซาน แม้เจ้าจะเป็นบุรุษที่เหลือเป็นคนสุดท้ายในอาณาจักรลิ่วกั๋ว” “นาง” ที่เปรียบเสมือนดอกฟ้าแห่งหนาน
หลี่ สูงศักดิ์เกินที่ “เขา” ซึ่งเป็นเพียงแม่ทัพจะเอื้อมไปเด็ดมาอยู่เคียงข้างกายได้ จริงอยู่ที่อายุอานามของเขาย่างยี่สิบเจ็ดแล้วแต่เขายังมิได้แต่งภรรยา สตรีทุกนางในเป่ยมู่ล้วนชื่นชมเขามีอีกจำนวนมากที่ต้องการเป็นฮูหยินจวนแม่ทัพหมิงแต่เขายังมิเคยสนใจสตรีนางใดเลยนอกจากคู่หมั้นที่หมั้นกันไว้ตั้งแต่ทั้งสองยังเด็กนามว่า ‘จี้หรูเอิน’ หรือ ‘เอินเอ๋อร์’ เท่านั้น จี้หรูเอินเป็นบุตรีของเจ้ากรมพลเรือน จี้ซ่างอี้ กับ เถาเหมยเจิน ฮูหยินใหญ่สกุลจี้ นางถือเป็นหนึ่งในแปดหญิงงามของเป่ยมู่ที่บุรุษทุกผู้หมายปองแต่กลับมั่นในรักกับ ‘พี่อวิ๋นซาน ยอดขุนพลแห่งเป่ยมู่’ ของนางเพียงผู้เดียว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ