เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป
7.5
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
11.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) คำพูดที่เป็นปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมเชื่อว่าทุกๆคนคงจะเคยมีปัญหาชีวิตวัยเรียนเกี่ยวกับเพศตรงข้ามมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกเพ่งเล็งด้วยเหตุเล็กๆน้อยๆอย่างใครคนนั้นบังเอิญหลบตาคุณตอนหันไปเจอพอดี หรือจะเป็นอุบัติเหตุเหตุร้ายแรงอย่างวิ่งชนกันบนทางเดินจนเริ่มพันธสัญญาA และ B พร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
แต่รูปแบบที่ผมเจอนั้นเลวร้ายกว่านั้นเยอะ...
“สิงหา มีรุ่นน้องมาหาแน่ะ”
ชั่วพริบตาที่ประสาทรับเสียงของฝมรับรู้ได้ถึงคำต้องห้ามที่ฟังดูไม่น่ามีพิษมีภัยในสายตาคนรอบข้าง ความรู้สึกเย็นเยือกเหมือนมีสายฟ้าไหลผ่านกระดูกสันหลังก็จู่โจมเข้าใส่ร่างของผมอย่างไร้ความปรานีจนต้องขับไล่มันออกไปโดยเร็วที่สุด และด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุด
“บอกยัยนั่นไปว่าฉันไม่อยู่ในห้อง เสียงที่ได้ยินเป็นแค่ปรากฏการณ์สั่นพ้องของขี้ไคลใต้ร่มผ้าเท่านั้น”
ผมรีบซุกใบหน้าลงไปใต้โต๊ะเรียนโดยเร็วก่อนที่ใครคนนั้นจะทันสังเกตเห็นผมนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับขดตัวให้เป็นลูกบอล ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตนี้มีเพียง’ความนิ่งเฉย’เท่านั้นที่จะช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจากอันตรายใต้สะดือครั้งนี้ไปได้
แต่เชื่อหรือไม่ว่าความพยายามครั้งนี้นอกจากมันจะไม่ให้ผลสำเร็จตามที่คาดเอาไว้ มันยังตอบแทนผมด้วยการทำให้ลำคอของผมต้องเกร็งแน่นอย่างเร่งด่วนอีกด้วย
เพราะถ้าไม่อย่างนั้น กระดูกคอของผมคงได้เคลื่อนจนต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
“ทำไมเวลาฉันเรียกถึงไม่ทักตอบ อยากโดนมีดกระซวกไส้อีกหรือไง?”
แรงบีบรัดที่ต้นคอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมือทั้งสองข้างของผมยกขึ้นออกแรงต้านโดยอัตโนมัติต่อสิ่งที่พยายามจะป่นกระดูกคอให้เป็นเศษแคลเซียมอย่างสุดกำลังล้า เจ้าของสิ่งนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกเสียจากท่อนแขนเรียวยาวที่มีแนวของกล้ามเนื้อปรากฏให้เห็นหน่อยๆซึ่งกำลังพับเป็นตัววีกดอัดเข้ามาที่ซอกคอของผมทั้งหน้าหลังจนหน้าของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ
ไม่ใช่เพราะเลือดไหลเวียนไม่ดี แต่เป็นเพราะหลังคอบริเวณท้ายทอยของผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มระดับสุดยอดที่เป็นรองเพียง <บิทช์> กำลังบดขยี้ไปมาตามการเคลื่อนตำแหน่งซ้ายขวาระหว่างผมกับเธอคนนั้นราวกับจะปลิดชีพผมให้ดับดิ้นไปด้วยความอ่อนนุ่มนั้น
และคนเพียงคนเดียวที่มีความคิดอยากจะทำแบบนั้นจนแสดงออกมาทางสีหน้า คุณก็คงรู้อยู่แล้ว
“นี่เธอเล่นบ้าอะไรของเธอ! เกิดพลาดไปจนฉันพาลูกออกมาดูโลกใต้ร่มผ้าไม่ได้ตลอดชีวิตขึ้นมาจะชดใช้ยังไง!” ผมรีบมุดช่องว่างใต้วงแขนของรุ่นน้องตัวปัญหาก่อนที่เสียงอันไม่น่าพิสมัยจะดังขึ้นมาพร้อมขึ้นเสียงใส่ด้วยอารมณ์ทั้งหมด
“พาลูกออกมาเปิดหูเปิดตา แกคิดว่าแกอายุเท่าไหร่กันเชียวถึงริอ่านอยากมีลูกน่ะ! ไอ้ผู้โชคดีประจำสัปดาห์” รา โต้วาทะอย่างไร้เดียงสาผิดกับทรงผมออกแนวทอมๆของเธอ นั่นเองที่ทำให้ผมอยากจะสอนความเป็นไปของโลกแห่งลูกผู้ชายให้เธอเห็นเหลือเกิน
“ไม่ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อเลยสินะ งั้นฉันจะบอกยัยถึงและบึกบึนให้ได้เข้าใจโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้เองก็แล้วกัน”
ผมขยับริมฝีปากเข้าไปประชิดใบหูสีเหลืองน้ำผึ้งของรุ่นน้องนักหัดเล่นกล้ามหญิงจนสามารถกระซิบบอกกฏแห่งการ”แฮนด์ซั่ม”อย่างถูกวิธีให้คุณเธอได้รู้ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศทั่วทั้งห้องกำลังเปลี่ยนไปราวกับมีใครทำกล่องใส่ระเบิดขวดตกพื้น ทั้งผมและอาจจะรวมถึงราสัมผัสได้ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างดังเล็ดลอดออกมาจากบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่ลอกเลียนการกระทำของเราสองคน แถมยังมีชำเลืองสายตาที่น่าสะอิดสะเอียนมาอย่างไม่วางตาอีกด้วย
หรือบางทีอาจเป็นเพราะ การที่รามีการตอบรับอย่างฉับไวต่อ”คำอธิบายหลักการสังหารหมู่ลูกหลานของตัวเอง”ที่ผมเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อสักครู่ก็เป็นได้
“ฉันว่าเราเปลี่ยนที่คุยกันหน่อยดีกว่านะ ยัยรา”
ผมชักจะทนไม่ไหวกับแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเหล่าเพื่อนที่ยืนรายล้อมพวกเราเอาไว้ ประกอบกับเวลาพักกลางวันที่ยังเหลืออีกกว่าสิบนาทีทำให้ผมตัดสินใจจับแขนพายัยหัวขโมยสาวเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนอีกแล้วว่าเสียงนินทาจากในห้องจะหนาหูขึ้นสักเท่าไหร่
อ๋อใช่! ผมยังไม่ได้บอกยัยบิทช์ถึงเรื่องที่ผมกับยัยราขอตัวกลับบ้านก่อนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเลย แต่ผมจะบอกยัยนั่นเรื่องของรุ่นน้องที่น่าสะพรึงกลัวเร็วๆนี้แหละ
อีกไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็สามารถหาจุดยืนคุยที่จะไม่มีใครสามารถได้ยินเรื่องที่พวกเรากำลังจะยกมาเป็นประเด็นโต้วาทีไร้ที่สิ้นสุดได้สักที หรือตามจริงคือต่อให้มีใครได้ยินก็ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ดีต่างหาก
—{หน้าห้องหนึ่งที่มีแต่พวกเด็กเรียน}—
ผมเริ่มเป็นฝ่านเปิดหัวข้อเจรจากับรุ่นน้องที่กำลังติดหนี้บุญคุณกับผมในทันทีโดยไม่ให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์แม้สักวินาทีเดียว ในขณะที่เธอคนนั้นก็ยังคงมีใบหน้านิ่งสนิทอยู่เช่นเดิมเพราะทธิ์คำพูดที่ออกแนวเสื่อมเกินกว่าผู้หญิงจะรับได้ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเธอ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าราสามารถได้ยินคำพูดที่ออกมาจากลำคอที่แห้งเป็นทะเลทรายของผมอย่างไม่ขาดตกแม้พยางค์เดียว
ถึงแม้ว่าแค่เปิดเรื่องมาเพียงประโยคแรกก็ดูท่าจะไปไม่รอดแล้วก็ตามที…
“ให้ตายสินะ เธอเนี่ยจะมีประสาทรับรู้ช้าสักเท่าไหร่กันเชียว กับอีแค่การพาลูกออกสู่โลกภายนอกก็ยังไม่รู้แล้วจะไปตามเกมพวกผู้ชายลูกเล่นเยอะทันได้ยังไง”
ผมสังเกตได้ว่าทันทีที่พูดจบประโยคแรก สีหน้าของราก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดจนสังเกตได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่แล้วกราฟการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกก็กลายเป็นแนวดิ่งในทันที
“แก แก แกพูดอะไรของแกน่ะไอ้จิตบิดเบี้ยว! โดนไวรัสอะไรเข้าไปถึงได้พูดคำๆนั้นออกมาให้ผู้หญิงฟัง หน้าด้านชัดๆ หน้าด้านชัดๆ!”
“รูปร่างแบบนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ ก็แค่ตัวอย่างของผู้ชายเวลาไม่มีบ้องข้าวหลามติดตัวเท่านั้นเอง ว่าแต่เสียเงินไปกับค่าแปลงฟีโนไทป์เท่าไหร่ล่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ผมก็รู้สึกได้ว่าร่างของผมถูกผลักออกไปด้านหลังอย่างสุดแรงโดยมีท่อนขาของราคอยรั้งการเคลื่อนไหวของขาผมเอาไว้ไม่ให้สามารถค้ำยันลำตัวที่กำลังถอยไปด้านหลังได้ ผลที่ออกมาคือผมล้มหงายท้องตึง จากนั้นก็ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ซี่โครงจากน้ำหนักตัวราวๆสี่สิบกิโลบดทับลงมาอย่างหนักหน่วงประกอบกับแรงโต้กลับที่พื้นกระทำต่อแผ่นหลังของผมไม่ให้จมลงไปในพื้นกระเบื้อง
และเมื่อคำนวณตามหลักฟิสิกส์ของแรงกระทำเท่ากับแรงต้านแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ “จุก”!
“สงสัยในตัวตนของฉันขนาดนั้นเลยหรือไง คุณผู้เสียหาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน… ถ้าฉันแสดงความเป็นผู้หญิงให้แกเห็นแล้ว หนี้บุญคุณที่เรามีต่อกันก็ถือเป็นโมฆะนะ”
ราที่ตอนนี้กำลังนั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกของผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นแตะกระดุมเม็ดบน รุ่นน้องผมสั้นส่งสายตาเป็นประกายให้ผมพร้อมกับย้อมแก้มทั้งสองเป็นสีแดงระเรื่อจนต่อให้คนโง่สักแค่ไหนก็รู้ว่าเธอเอาจริง ทุกสายตาโดนรอบกำลังจับจ้องมายังพวกเราที่กำลังมีพฤติกรรมไร้ยางอายและความรักนวลสงวนตัวโดยสิ้นเชิง
แต่ก็เหมือนกับเหตุการณ์ในซอยตันเมื่อวันเสาร์นั้นไม่มีผิด รอบๆนั้นไม่มีอาจารย์คนไหนอยู่เลยสักคนเดียว รวมไปถึงพวกนักเรียนที่กำลังมุงดูนักเรียนชายหญิงกำลังกระทำการบัดสีอยู่บนทางเดินนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจที่จะเดินไปเรียกอาจารย์มาเลยแม้แต่คนเดียว
ถ้าว่ากันตามระเบียบแล้วก็ต้องเรียกผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายมาแจ้งให้ทราบถึงพฤติกรรมอันไม่งามของคู่รักวันเรียนนี้ แต่พ่อแม่ของผมตอนนี้ไม่รู้ว่าไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายหรือลำบากแร้นแค้นอยู่ที่ไหนจึงไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนพ่อแม่ของราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไงหากรู้ว่าลูกสาวของตนกำลังเติบโตไปถึงขั้นไหน
แต่คำพูดของราที่เอ่ยกับผมหลังจากที่ถูกผมจับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นก็กำลังรบกวนจินตนาการอันสุดหยั่งถึงของผมอยู่
‘ไม่มีใครรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ฉันทำลงไปหรอกน่า’
เพราะไม่มีใครคอยห้ามปรามจนเสียคนหรือ หรือว่าเพราะครอบครัวของราก็เหมือนกับครอบครัวของผมที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลลอย่างใกล้ชิดเหรอ แต่ที่แน่ๆคือภายใต้แววตาที่ส่อแววเกลียดชังจนไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกันได้ของเธอในตอนนั้นมีบางสิ่งที่คล้ายกับผมเมื่อก่อนหน้านี้
เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ยูน่าเคยแสดงออกมาให้ผมเห็นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน วันเดียวกับที่บ้านของผมถูกรุ่นน้องคนนี้งัดเข้ามาทำร้ายผมนั่นเอง
ผมเผลอปล่อยความคิดของตัวเองให้จินตนาการไปถึงเรื่องไร้สาระต่างๆนานาจนเกือบจะกลายเป็นประเด็นหลุดโลกไปแล้ว แต่เพราะเวลาช่วงพักกลางวันนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงสิบนาทีแล้วจึงทำให้ผมต้องรีบผลักราขึ้นจากตัวของผมกลับสู่ท่าคุยตามปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ถูกปากม้าปากปูจับให้ไปอยู่ในชมรมคนมีคู่ดังที่ผมกับยัยบิมช์เคยถูกเสนอชื่อเข้าไปในทำเนียบนั่นแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็โชคดีที่หลุดออกจากสารบบเสียก่อน
“แล้วที่เธอมาหาฉันถึงห้องนี่มีธุระอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าแค่จะมาฟังเรื่องที่ฉันจะคุยกับคนอื่นๆเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะเราคุยกันไว้แล้วว่าจะไม่เล่าเรื่องของเธอให้ใครฟัง”
สำหรับผมที่เอาแต่พูดก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าขณะนี้คู่สนทนาจะยังมีสติดีพอที่จะฟังในสิ่งที่ผมพูดอยู่หรือเปล่า ราเรียกได้ว่าสติและจิตวิญญาณได้หลุดลอยไปอีกซีกโลกหนึ่งจนยากจะเรียกกลับมาแล้ว และเจ้าพวกชอบมุงนี่ก็กระซิบอะไรต่อมิอะไรอย่างกับจะอวดจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดให้ผมเดาอิจฉาเล่นๆ
จนกระทั่งผมสะกิดเข้าไปที่ลำแขนที่แข็งผิดเด็กหญิงมัธยมโฟร์ทั่วๆไปจนคุณเธอได้สติกลับคืนมานั่นแหละจึงมำให้พวกเราสามารถคุยกันต่อได้ จะว่าไปแล้วเมื่อกี้เหมือนกับยัยราโดนคาถาลวงตาเข้าไปจนมองเห็นแต่ภาพบาดตาเท่านั้น
“เออ โทษที เมื่อกี้คุยกันไปถึงไหนแล้วหว่า… พูดถึงเรื่องการบรรลุร้อยแปดท่วงท่าใช่หรือเปล่า?”
ราพูดประโยคนั้นออกมาได้หน้าตาเฉยจนผมอยากจะเอารองเท้ายัดเข้าไปในกระโปรงของเธอเสียเหลือเกิน รู้หรือเปล่าว่าการทวนคำพูดอะไรผิดจากเดิมแบบนั้นมันทำให้ผมเดือดร้อนนะ
“ร้อยแปดท่วงท่าล้างป่าช้าน่ะสิ! ฉันกำลังถามเธอว่าที่บุกมาหาฉันถึงห้องเรียนนั่นต้องการอะไรกันแน่ หรือว่าเธอมาแค่จะฆ่าเวลาเล่นน่ะหา!”
ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความรำคางที่สุดหยั่งถึงจนรุ่นน้องที่คุยด้วยถึงกับชักสีหน้าใส่ แต่เป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกลัวเหมือนผู้หญิงเห็นกะจั๊วบินไปบินมามากกว่าจะเป็นการปีนเกลียวดังเช่นความหมายที่หลายคนกำลังคิดอยู่ และหลังจากที่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยจนใกล้เวลาออดดังทุกขณะ ริมฝีปากที่ขยับสั่นขึ้นลงของเธอก็เปิดออกเพื่อพูดในสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายตั้งแต่แรกออกมาในที่สุด
“เอ่อ คาบต่อไปฉันมีสอบน่ะ ขอยืมดินสอ2Bหน่อยได้หรือเปล่า”
ราตอบด้วยสายตาที่พยายามหลบตาผมอย่างสุดความสามารถ แต่รู้สึกเหมือนผมจะคิดไปเองมากกว่า เด็กคนนั้นก็แค่พยายามยั่วอารมณ์ของผู้ชายที่รู้ความจริงเบื้องลึกของเธอให้ได้เท่านั้นเอง
แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะสงสารหรือรำคาญอย่างไรที่ทำให้ผมยอมใจอ่อนกับคำขอร้องของเธอ ผมเดินจ้ำกลับไปยังโต๊ะเรียนของผมพร้อมกับหยิบดินสอไม้ที่ด้านข้างเขียนกำกับว่า’2B’ออกมายื่นให้กับรุ่นน้องที่มีแต่ปัญหาอย่างเสียมิได้ก่อนจะไล่เธอกลับห้องตัวเองไป ถึงแม้ว่าห้องเรียนของราเองก็เป็นห้องที่อาจารย์ไม่ค่อยให้ความสนใจ “ห้องห้า” ก็ตามที
แต่ดูเหมือนว่าราจะเป็นนักเรียนที่ขยันเรียนที่สุดในห้องของเธอแล้วก็ได้ หากเทียบกับห้องเรียนของผมช่วงเปิดเทอมใหม่ๆเมื่อปีที่แล้วที่บรรดาเพื่อนร่วมห้องเอาแต่ใช้เวลาระหว่างคาบในการนอนและช่วงพักในการตื่นนอนก็จะเห็นว่า มัธยมปีที่สี่ของปีนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
ผมมองราตั้งแต่หันหลังเดินออกไปพร้อมดินสอไม้ในมือที่กำเอาไว้อย่างทะนุถนอมจนกระทั่งหายไปในกลุ่มนักเรียนที่กำลังทยอยกลับเข้าห้องเรียนหลังช่วงพักเที่ยง จนผมเองก็ต้องกลับห้องเช่นกันเมื่อเสียงออดนรกดังขึ้นมาเป็นการสิ้นสุดช่วงพัก
แต่เมื่อผมกลับถึงห้องก็ต้องพบกับปัญหาใหม่ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน เมื่อทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่ผมตั้งแต่ก้าวเท้าผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาจนถึงที่นั่งของตัวเองเหมือนกับครั้งที่ยูน่าประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าอาศัยเป็นโฮมสเตย์อยู่ที่บ้านของผม รวมไปถึงเรื่องที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในห้องก็แทบจะไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ยูน่าเกาะติดผมแจสักนิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อฝ่ายหญิงก็เป็นอันเสร็จ
และแล้วผมก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่โรงเรียนดังขึ้นมาทางโต๊ะเรียนด้านหลัง แม้ว่ามันจะอยู่ห่างลงไปถึงสองแถวก็ตาม
“สิงหา เด็กคนนั้นใครเหรอ หรือว่าจะเป็นคนรู้จักของนาย”
“ไม่-ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ใช่ทั้งคนรู้จักอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่ <เด็ก> ด้วย”
ผมเผลอใช้ความรู้สึกที่มีให้ราในการตอบคำถามยูน่าไป เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด
“ไม่ใช่เด็ก… ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นวัยรุ่นน่ะสิ!” ส่วนยูน่าเองก็ใช้ความใสซื่อทางด้านภาษาในการเฉี่ยวจุดบ้าจี้ไปอย่างหวุดหวิดจนทำให้ผมรอดตัวมาได้ในบางครั้ง และทุกครั้งนอกจากนั้นก็มักจะเป็นหายนะที่สุดคาดเดา
“ศัพท์ที่ใช้ยังผิดอยู่เยอะเลยนะ ไว้กลับบ้านไปเราจะติวเรื่องนี้ให้เข้มไปเลย ยัยบิทช์”
“ติวเรื่องเรียน หรือติวเรื่องรักจ๊ะ คู่รักข้ามขอบฟ้าคู่นี้”
เสียงนกร้องที่ไหนช่างรบกวนการดื่มด่ำชีวิตวัยเรียนอันแสนมีคุณค่าของผมเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีฝูงไฮยีน่าช่วยประสานเสียงเสริมความน่ารำคาญให้กับประโยคเดิมๆที่ผมไม่อยากได้ยินจนอยากจะรีบกระโดดหน้าต่างหนีไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้รู้กันไปเลย
ถ้าไม่ติดที่ว่าผมต้องคอยจำกัดพฤติกรรมของยัยหัวขโมยมัธยมโฟร์กับคนบ้าประจำมัธยมห้านั่นเท่านั้นแหละ
แล้วในที่สุด เรื่องทุกอย่างก็กลับมาลงเอยที่บ้านของผมจนได้
“พักหลังๆมานี่เริ่มอ่านภาษาไทยคล่องขึ้นเยอะแล้วนะ พัฒนาขึ้นมากจนฉันชักจะหวั่นๆซะแล้วสิ”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ติดฟิล์มกรองแสงบรรเทาอาการแสบตาซึ่งกำลังแสดงหน้าข่าวการเมืองที่มีการใช้ศัพท์ความหมายยากๆเพื่อความน่าเชื่อถือนั้นได้มีเด็กสาวจากต่างแดนคนหนึ่งกำลังหันหน้าส่งรอยยิ้มไปให้เด็กหนุ่มที่เป็นคนริเริ่มความคิดให้เธอใช้วิธีนี้ในการพัฒนาทักษะด้านการอ่านอย่างต่อเนื่องราวกับฉลองให้กับชัยชนะเหนือกำแพงภาษาที่ขีดกั้นเธอเอาไว้จากความสนุกของชีวิตต่างแดน
พัฒนาการของยูน่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากจนแม้แต่ผมที่เป็นคนสอนเองก็ยังเผลอยิ้มให้กับเธอในความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงของเด็กสาวที่สามารถบรรลุทักษะฟัง-อ่าน-เขียนได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นจากใจจริง
และถึงจะไม่อยากก็ตาม…มันก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องพูดคำนี้แล้ว
“เธอจบหลักสูตรการใช้ภาษาแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะ” ผมยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กสาวผมทองที่หลับตาลงด้วยความรู้สึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เป็นไงล่ะสิงหา ในที่สุดฉันก็เข้าถึงระดับเดียวกับนายได้แล้วนะ รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาเลยล่ะสิ”
“ฉันไม่อิจฉาเธอหรอก เพราะระดับที่เธอก้าวถึงมันก็แค่ถัดจากฉันลงไปขั้นนึงเท่านั้นเอง ที่เหลือก็แค่ให้เธอฝึกการพูดเพิ่มเท่านั้นเอง”
“ทำไมล่ะ? ทำไมฉันถึงได้อยู่ต่ำกว่านายระดับนึงด้วยล่ะ ทั้งๆที่ฉันก็พัฒนาฝีมือลงมาได้ขนาดนี้แล้ว…”
“ก็เพราะการใช้คำว่า <พัฒนา> คู่กับ <ลง> นั่นแหละที่ฉุดระดับของเธอลงไปจากที่ควรจะเป็น! แล้วอีกนานสักแค่ไหนเธอถึงจะพัฒนาการพูดให้ออกมาดีเหมือนด้านอื่นๆได้สักทีหา ยัยบิทช์!”
“คำก็บิทช์ สองคำก็บิทช์ ฉันย่ะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ลำพังแค่การอ่านให้ออกเขียนให้ได้น่ะก็กินสมาธิฉันไปถึงไหนแล้ว จะให้พัฒนาด้านนั้นเพิ่มอีกก็คงไม่ต่ำกว่าอีกหลายเดือนนั่นแหละ…”
“ก็ตั้งใจให้มันมากขึ้นเซ่! แล้วที่พูดมาเมื่อกี้ก็ออกเสียงผิดไปตัวนึงด้วย แบบนี้มันเกินจะให้อภัยแล้วเฟ้ย!”
ผมเกิดบันดาลใจอะไรก็ไม่ทราบจับขมับทั้งสองข้างของยูน่าบีบเหากันจนเธอเริ่มจะทนไม่ไหวร้องออกมาด้วยความปวดอย่างรุนแรงพร้อมทั้งแสดงให้เห็นผ่านขอบตาที่มีน้ำใสๆปริ่มออกมาเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ
“แต่ฉันก็ว่าเธอพัฒนาไปได้เยอะจริงๆนั่นแหละ เยอะจนฉันยังตกใจเลยล่ะ” ผมคลายมือที่บีบขมับยูน่าออกจนเป็นอิสระก่อนจะหลุดคำพูดนี้ออกมาจนสาวน้อยรู้สึกไม่เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงแบบแม่เหล็กสลับขั้วของผมแม้แต่นิดเดียว
“วันแรกที่พวกเราเจอกันนี่เธอไม่กล้าที่จะคุยกับฉันซะด้วยซ้ำ แถมยังเป็นพวกกลัวสังคมประเภทที่ว่าต้องหลบอยู่หลังตู้หรือมุมห้องตลอดเวลา แต่มาตอนนี้นี่อย่างว่าแต่พวกเพื่อนร่วมห้องเลย ขนาดคนแปลกหน้าที่เคยเจอกันครั้งแรกเธอยังเข้าไปคุยด้วยเหมือนคนรู้จัก แบบนี้เขาเรียกกว่าปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ของสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า”
แต่ก่อนที่ยูน่าจะได้พูดอะไรออกมามากกว่านี้ ผมก็เผลอชิงตัดบทของเธอไปเสียก่อนด้วยประโยคที่ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย
“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็คงไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเธออีกต่อไปแล้วล่ะ จากนี้เธอคงไม่ต้องมาที่ห้องฉันในเวลาส่วนตัวอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ เว้นแต่จะมาเล่นคอมของฉันก็ช่วยเคาะประตูก่อนก็ดีนะ วันนี้คาบเรียนเลิกแล้วล่ะ”
ผมก้มลงมองตัวเลขบอกเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าผมเลิกสอนวิชาภาษาไทยให้เด็กสาวต่างชาติคนนี้เร็วกว่าปกติถึงครึ่งชั่วโมง แต่เพราะผมเอาแต่หันไปมองที่หัวเตียงด้านตรงข้ามกับคอมพิวเตอร์หยิบเอาหนังสืออะไรมาอ่านก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าขณะนี้ยูน่ากำลังทำอะไรอยู่
สีหน้าของเธอในตอนนี้เหมือนกับคนที่สูญเสียอะไรบางอย่างที่ทำมาจนเป็นกิจวัตรไปอย่างไม่สามารถย้อนกลับมาทำได้อีกต่อไปแล้ว เธอขยับริมฝีปากปล่อยอากาศออกมาเป็นสำเนียงภาษาที่ผมแปลไม่รู้เรื่อง แต่หากดูจากนัยน์ตาของเธอแล้วคงแปลออกมาได้ดังนี้
“สิงหา ฉันน่ะ…ไม่ได้ต้องการได้ยินนายบอกว่าพัฒนาการของฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ”
แต่รูปแบบที่ผมเจอนั้นเลวร้ายกว่านั้นเยอะ...
“สิงหา มีรุ่นน้องมาหาแน่ะ”
ชั่วพริบตาที่ประสาทรับเสียงของฝมรับรู้ได้ถึงคำต้องห้ามที่ฟังดูไม่น่ามีพิษมีภัยในสายตาคนรอบข้าง ความรู้สึกเย็นเยือกเหมือนมีสายฟ้าไหลผ่านกระดูกสันหลังก็จู่โจมเข้าใส่ร่างของผมอย่างไร้ความปรานีจนต้องขับไล่มันออกไปโดยเร็วที่สุด และด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุด
“บอกยัยนั่นไปว่าฉันไม่อยู่ในห้อง เสียงที่ได้ยินเป็นแค่ปรากฏการณ์สั่นพ้องของขี้ไคลใต้ร่มผ้าเท่านั้น”
ผมรีบซุกใบหน้าลงไปใต้โต๊ะเรียนโดยเร็วก่อนที่ใครคนนั้นจะทันสังเกตเห็นผมนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับขดตัวให้เป็นลูกบอล ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตนี้มีเพียง’ความนิ่งเฉย’เท่านั้นที่จะช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจากอันตรายใต้สะดือครั้งนี้ไปได้
แต่เชื่อหรือไม่ว่าความพยายามครั้งนี้นอกจากมันจะไม่ให้ผลสำเร็จตามที่คาดเอาไว้ มันยังตอบแทนผมด้วยการทำให้ลำคอของผมต้องเกร็งแน่นอย่างเร่งด่วนอีกด้วย
เพราะถ้าไม่อย่างนั้น กระดูกคอของผมคงได้เคลื่อนจนต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
“ทำไมเวลาฉันเรียกถึงไม่ทักตอบ อยากโดนมีดกระซวกไส้อีกหรือไง?”
แรงบีบรัดที่ต้นคอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมือทั้งสองข้างของผมยกขึ้นออกแรงต้านโดยอัตโนมัติต่อสิ่งที่พยายามจะป่นกระดูกคอให้เป็นเศษแคลเซียมอย่างสุดกำลังล้า เจ้าของสิ่งนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกเสียจากท่อนแขนเรียวยาวที่มีแนวของกล้ามเนื้อปรากฏให้เห็นหน่อยๆซึ่งกำลังพับเป็นตัววีกดอัดเข้ามาที่ซอกคอของผมทั้งหน้าหลังจนหน้าของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ
ไม่ใช่เพราะเลือดไหลเวียนไม่ดี แต่เป็นเพราะหลังคอบริเวณท้ายทอยของผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มระดับสุดยอดที่เป็นรองเพียง <บิทช์> กำลังบดขยี้ไปมาตามการเคลื่อนตำแหน่งซ้ายขวาระหว่างผมกับเธอคนนั้นราวกับจะปลิดชีพผมให้ดับดิ้นไปด้วยความอ่อนนุ่มนั้น
และคนเพียงคนเดียวที่มีความคิดอยากจะทำแบบนั้นจนแสดงออกมาทางสีหน้า คุณก็คงรู้อยู่แล้ว
“นี่เธอเล่นบ้าอะไรของเธอ! เกิดพลาดไปจนฉันพาลูกออกมาดูโลกใต้ร่มผ้าไม่ได้ตลอดชีวิตขึ้นมาจะชดใช้ยังไง!” ผมรีบมุดช่องว่างใต้วงแขนของรุ่นน้องตัวปัญหาก่อนที่เสียงอันไม่น่าพิสมัยจะดังขึ้นมาพร้อมขึ้นเสียงใส่ด้วยอารมณ์ทั้งหมด
“พาลูกออกมาเปิดหูเปิดตา แกคิดว่าแกอายุเท่าไหร่กันเชียวถึงริอ่านอยากมีลูกน่ะ! ไอ้ผู้โชคดีประจำสัปดาห์” รา โต้วาทะอย่างไร้เดียงสาผิดกับทรงผมออกแนวทอมๆของเธอ นั่นเองที่ทำให้ผมอยากจะสอนความเป็นไปของโลกแห่งลูกผู้ชายให้เธอเห็นเหลือเกิน
“ไม่ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อเลยสินะ งั้นฉันจะบอกยัยถึงและบึกบึนให้ได้เข้าใจโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้เองก็แล้วกัน”
ผมขยับริมฝีปากเข้าไปประชิดใบหูสีเหลืองน้ำผึ้งของรุ่นน้องนักหัดเล่นกล้ามหญิงจนสามารถกระซิบบอกกฏแห่งการ”แฮนด์ซั่ม”อย่างถูกวิธีให้คุณเธอได้รู้ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศทั่วทั้งห้องกำลังเปลี่ยนไปราวกับมีใครทำกล่องใส่ระเบิดขวดตกพื้น ทั้งผมและอาจจะรวมถึงราสัมผัสได้ถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างดังเล็ดลอดออกมาจากบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่ลอกเลียนการกระทำของเราสองคน แถมยังมีชำเลืองสายตาที่น่าสะอิดสะเอียนมาอย่างไม่วางตาอีกด้วย
หรือบางทีอาจเป็นเพราะ การที่รามีการตอบรับอย่างฉับไวต่อ”คำอธิบายหลักการสังหารหมู่ลูกหลานของตัวเอง”ที่ผมเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อสักครู่ก็เป็นได้
“ฉันว่าเราเปลี่ยนที่คุยกันหน่อยดีกว่านะ ยัยรา”
ผมชักจะทนไม่ไหวกับแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเหล่าเพื่อนที่ยืนรายล้อมพวกเราเอาไว้ ประกอบกับเวลาพักกลางวันที่ยังเหลืออีกกว่าสิบนาทีทำให้ผมตัดสินใจจับแขนพายัยหัวขโมยสาวเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนอีกแล้วว่าเสียงนินทาจากในห้องจะหนาหูขึ้นสักเท่าไหร่
อ๋อใช่! ผมยังไม่ได้บอกยัยบิทช์ถึงเรื่องที่ผมกับยัยราขอตัวกลับบ้านก่อนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเลย แต่ผมจะบอกยัยนั่นเรื่องของรุ่นน้องที่น่าสะพรึงกลัวเร็วๆนี้แหละ
อีกไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็สามารถหาจุดยืนคุยที่จะไม่มีใครสามารถได้ยินเรื่องที่พวกเรากำลังจะยกมาเป็นประเด็นโต้วาทีไร้ที่สิ้นสุดได้สักที หรือตามจริงคือต่อให้มีใครได้ยินก็ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ดีต่างหาก
—{หน้าห้องหนึ่งที่มีแต่พวกเด็กเรียน}—
ผมเริ่มเป็นฝ่านเปิดหัวข้อเจรจากับรุ่นน้องที่กำลังติดหนี้บุญคุณกับผมในทันทีโดยไม่ให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์แม้สักวินาทีเดียว ในขณะที่เธอคนนั้นก็ยังคงมีใบหน้านิ่งสนิทอยู่เช่นเดิมเพราะทธิ์คำพูดที่ออกแนวเสื่อมเกินกว่าผู้หญิงจะรับได้ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเธอ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าราสามารถได้ยินคำพูดที่ออกมาจากลำคอที่แห้งเป็นทะเลทรายของผมอย่างไม่ขาดตกแม้พยางค์เดียว
ถึงแม้ว่าแค่เปิดเรื่องมาเพียงประโยคแรกก็ดูท่าจะไปไม่รอดแล้วก็ตามที…
“ให้ตายสินะ เธอเนี่ยจะมีประสาทรับรู้ช้าสักเท่าไหร่กันเชียว กับอีแค่การพาลูกออกสู่โลกภายนอกก็ยังไม่รู้แล้วจะไปตามเกมพวกผู้ชายลูกเล่นเยอะทันได้ยังไง”
ผมสังเกตได้ว่าทันทีที่พูดจบประโยคแรก สีหน้าของราก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดจนสังเกตได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่แล้วกราฟการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกก็กลายเป็นแนวดิ่งในทันที
“แก แก แกพูดอะไรของแกน่ะไอ้จิตบิดเบี้ยว! โดนไวรัสอะไรเข้าไปถึงได้พูดคำๆนั้นออกมาให้ผู้หญิงฟัง หน้าด้านชัดๆ หน้าด้านชัดๆ!”
“รูปร่างแบบนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ ก็แค่ตัวอย่างของผู้ชายเวลาไม่มีบ้องข้าวหลามติดตัวเท่านั้นเอง ว่าแต่เสียเงินไปกับค่าแปลงฟีโนไทป์เท่าไหร่ล่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ผมก็รู้สึกได้ว่าร่างของผมถูกผลักออกไปด้านหลังอย่างสุดแรงโดยมีท่อนขาของราคอยรั้งการเคลื่อนไหวของขาผมเอาไว้ไม่ให้สามารถค้ำยันลำตัวที่กำลังถอยไปด้านหลังได้ ผลที่ออกมาคือผมล้มหงายท้องตึง จากนั้นก็ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ซี่โครงจากน้ำหนักตัวราวๆสี่สิบกิโลบดทับลงมาอย่างหนักหน่วงประกอบกับแรงโต้กลับที่พื้นกระทำต่อแผ่นหลังของผมไม่ให้จมลงไปในพื้นกระเบื้อง
และเมื่อคำนวณตามหลักฟิสิกส์ของแรงกระทำเท่ากับแรงต้านแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ “จุก”!
“สงสัยในตัวตนของฉันขนาดนั้นเลยหรือไง คุณผู้เสียหาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน… ถ้าฉันแสดงความเป็นผู้หญิงให้แกเห็นแล้ว หนี้บุญคุณที่เรามีต่อกันก็ถือเป็นโมฆะนะ”
ราที่ตอนนี้กำลังนั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกของผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นแตะกระดุมเม็ดบน รุ่นน้องผมสั้นส่งสายตาเป็นประกายให้ผมพร้อมกับย้อมแก้มทั้งสองเป็นสีแดงระเรื่อจนต่อให้คนโง่สักแค่ไหนก็รู้ว่าเธอเอาจริง ทุกสายตาโดนรอบกำลังจับจ้องมายังพวกเราที่กำลังมีพฤติกรรมไร้ยางอายและความรักนวลสงวนตัวโดยสิ้นเชิง
แต่ก็เหมือนกับเหตุการณ์ในซอยตันเมื่อวันเสาร์นั้นไม่มีผิด รอบๆนั้นไม่มีอาจารย์คนไหนอยู่เลยสักคนเดียว รวมไปถึงพวกนักเรียนที่กำลังมุงดูนักเรียนชายหญิงกำลังกระทำการบัดสีอยู่บนทางเดินนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจที่จะเดินไปเรียกอาจารย์มาเลยแม้แต่คนเดียว
ถ้าว่ากันตามระเบียบแล้วก็ต้องเรียกผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายมาแจ้งให้ทราบถึงพฤติกรรมอันไม่งามของคู่รักวันเรียนนี้ แต่พ่อแม่ของผมตอนนี้ไม่รู้ว่าไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายหรือลำบากแร้นแค้นอยู่ที่ไหนจึงไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนพ่อแม่ของราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไงหากรู้ว่าลูกสาวของตนกำลังเติบโตไปถึงขั้นไหน
แต่คำพูดของราที่เอ่ยกับผมหลังจากที่ถูกผมจับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นก็กำลังรบกวนจินตนาการอันสุดหยั่งถึงของผมอยู่
‘ไม่มีใครรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ฉันทำลงไปหรอกน่า’
เพราะไม่มีใครคอยห้ามปรามจนเสียคนหรือ หรือว่าเพราะครอบครัวของราก็เหมือนกับครอบครัวของผมที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลลอย่างใกล้ชิดเหรอ แต่ที่แน่ๆคือภายใต้แววตาที่ส่อแววเกลียดชังจนไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกันได้ของเธอในตอนนั้นมีบางสิ่งที่คล้ายกับผมเมื่อก่อนหน้านี้
เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ยูน่าเคยแสดงออกมาให้ผมเห็นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน วันเดียวกับที่บ้านของผมถูกรุ่นน้องคนนี้งัดเข้ามาทำร้ายผมนั่นเอง
ผมเผลอปล่อยความคิดของตัวเองให้จินตนาการไปถึงเรื่องไร้สาระต่างๆนานาจนเกือบจะกลายเป็นประเด็นหลุดโลกไปแล้ว แต่เพราะเวลาช่วงพักกลางวันนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงสิบนาทีแล้วจึงทำให้ผมต้องรีบผลักราขึ้นจากตัวของผมกลับสู่ท่าคุยตามปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ถูกปากม้าปากปูจับให้ไปอยู่ในชมรมคนมีคู่ดังที่ผมกับยัยบิมช์เคยถูกเสนอชื่อเข้าไปในทำเนียบนั่นแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็โชคดีที่หลุดออกจากสารบบเสียก่อน
“แล้วที่เธอมาหาฉันถึงห้องนี่มีธุระอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าแค่จะมาฟังเรื่องที่ฉันจะคุยกับคนอื่นๆเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะเราคุยกันไว้แล้วว่าจะไม่เล่าเรื่องของเธอให้ใครฟัง”
สำหรับผมที่เอาแต่พูดก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าขณะนี้คู่สนทนาจะยังมีสติดีพอที่จะฟังในสิ่งที่ผมพูดอยู่หรือเปล่า ราเรียกได้ว่าสติและจิตวิญญาณได้หลุดลอยไปอีกซีกโลกหนึ่งจนยากจะเรียกกลับมาแล้ว และเจ้าพวกชอบมุงนี่ก็กระซิบอะไรต่อมิอะไรอย่างกับจะอวดจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดให้ผมเดาอิจฉาเล่นๆ
จนกระทั่งผมสะกิดเข้าไปที่ลำแขนที่แข็งผิดเด็กหญิงมัธยมโฟร์ทั่วๆไปจนคุณเธอได้สติกลับคืนมานั่นแหละจึงมำให้พวกเราสามารถคุยกันต่อได้ จะว่าไปแล้วเมื่อกี้เหมือนกับยัยราโดนคาถาลวงตาเข้าไปจนมองเห็นแต่ภาพบาดตาเท่านั้น
“เออ โทษที เมื่อกี้คุยกันไปถึงไหนแล้วหว่า… พูดถึงเรื่องการบรรลุร้อยแปดท่วงท่าใช่หรือเปล่า?”
ราพูดประโยคนั้นออกมาได้หน้าตาเฉยจนผมอยากจะเอารองเท้ายัดเข้าไปในกระโปรงของเธอเสียเหลือเกิน รู้หรือเปล่าว่าการทวนคำพูดอะไรผิดจากเดิมแบบนั้นมันทำให้ผมเดือดร้อนนะ
“ร้อยแปดท่วงท่าล้างป่าช้าน่ะสิ! ฉันกำลังถามเธอว่าที่บุกมาหาฉันถึงห้องเรียนนั่นต้องการอะไรกันแน่ หรือว่าเธอมาแค่จะฆ่าเวลาเล่นน่ะหา!”
ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความรำคางที่สุดหยั่งถึงจนรุ่นน้องที่คุยด้วยถึงกับชักสีหน้าใส่ แต่เป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกลัวเหมือนผู้หญิงเห็นกะจั๊วบินไปบินมามากกว่าจะเป็นการปีนเกลียวดังเช่นความหมายที่หลายคนกำลังคิดอยู่ และหลังจากที่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยจนใกล้เวลาออดดังทุกขณะ ริมฝีปากที่ขยับสั่นขึ้นลงของเธอก็เปิดออกเพื่อพูดในสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายตั้งแต่แรกออกมาในที่สุด
“เอ่อ คาบต่อไปฉันมีสอบน่ะ ขอยืมดินสอ2Bหน่อยได้หรือเปล่า”
ราตอบด้วยสายตาที่พยายามหลบตาผมอย่างสุดความสามารถ แต่รู้สึกเหมือนผมจะคิดไปเองมากกว่า เด็กคนนั้นก็แค่พยายามยั่วอารมณ์ของผู้ชายที่รู้ความจริงเบื้องลึกของเธอให้ได้เท่านั้นเอง
แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะสงสารหรือรำคาญอย่างไรที่ทำให้ผมยอมใจอ่อนกับคำขอร้องของเธอ ผมเดินจ้ำกลับไปยังโต๊ะเรียนของผมพร้อมกับหยิบดินสอไม้ที่ด้านข้างเขียนกำกับว่า’2B’ออกมายื่นให้กับรุ่นน้องที่มีแต่ปัญหาอย่างเสียมิได้ก่อนจะไล่เธอกลับห้องตัวเองไป ถึงแม้ว่าห้องเรียนของราเองก็เป็นห้องที่อาจารย์ไม่ค่อยให้ความสนใจ “ห้องห้า” ก็ตามที
แต่ดูเหมือนว่าราจะเป็นนักเรียนที่ขยันเรียนที่สุดในห้องของเธอแล้วก็ได้ หากเทียบกับห้องเรียนของผมช่วงเปิดเทอมใหม่ๆเมื่อปีที่แล้วที่บรรดาเพื่อนร่วมห้องเอาแต่ใช้เวลาระหว่างคาบในการนอนและช่วงพักในการตื่นนอนก็จะเห็นว่า มัธยมปีที่สี่ของปีนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
ผมมองราตั้งแต่หันหลังเดินออกไปพร้อมดินสอไม้ในมือที่กำเอาไว้อย่างทะนุถนอมจนกระทั่งหายไปในกลุ่มนักเรียนที่กำลังทยอยกลับเข้าห้องเรียนหลังช่วงพักเที่ยง จนผมเองก็ต้องกลับห้องเช่นกันเมื่อเสียงออดนรกดังขึ้นมาเป็นการสิ้นสุดช่วงพัก
แต่เมื่อผมกลับถึงห้องก็ต้องพบกับปัญหาใหม่ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน เมื่อทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่ผมตั้งแต่ก้าวเท้าผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาจนถึงที่นั่งของตัวเองเหมือนกับครั้งที่ยูน่าประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าอาศัยเป็นโฮมสเตย์อยู่ที่บ้านของผม รวมไปถึงเรื่องที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในห้องก็แทบจะไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ยูน่าเกาะติดผมแจสักนิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อฝ่ายหญิงก็เป็นอันเสร็จ
และแล้วผมก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่โรงเรียนดังขึ้นมาทางโต๊ะเรียนด้านหลัง แม้ว่ามันจะอยู่ห่างลงไปถึงสองแถวก็ตาม
“สิงหา เด็กคนนั้นใครเหรอ หรือว่าจะเป็นคนรู้จักของนาย”
“ไม่-ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ใช่ทั้งคนรู้จักอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่ <เด็ก> ด้วย”
ผมเผลอใช้ความรู้สึกที่มีให้ราในการตอบคำถามยูน่าไป เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด
“ไม่ใช่เด็ก… ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นวัยรุ่นน่ะสิ!” ส่วนยูน่าเองก็ใช้ความใสซื่อทางด้านภาษาในการเฉี่ยวจุดบ้าจี้ไปอย่างหวุดหวิดจนทำให้ผมรอดตัวมาได้ในบางครั้ง และทุกครั้งนอกจากนั้นก็มักจะเป็นหายนะที่สุดคาดเดา
“ศัพท์ที่ใช้ยังผิดอยู่เยอะเลยนะ ไว้กลับบ้านไปเราจะติวเรื่องนี้ให้เข้มไปเลย ยัยบิทช์”
“ติวเรื่องเรียน หรือติวเรื่องรักจ๊ะ คู่รักข้ามขอบฟ้าคู่นี้”
เสียงนกร้องที่ไหนช่างรบกวนการดื่มด่ำชีวิตวัยเรียนอันแสนมีคุณค่าของผมเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีฝูงไฮยีน่าช่วยประสานเสียงเสริมความน่ารำคาญให้กับประโยคเดิมๆที่ผมไม่อยากได้ยินจนอยากจะรีบกระโดดหน้าต่างหนีไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้รู้กันไปเลย
ถ้าไม่ติดที่ว่าผมต้องคอยจำกัดพฤติกรรมของยัยหัวขโมยมัธยมโฟร์กับคนบ้าประจำมัธยมห้านั่นเท่านั้นแหละ
แล้วในที่สุด เรื่องทุกอย่างก็กลับมาลงเอยที่บ้านของผมจนได้
“พักหลังๆมานี่เริ่มอ่านภาษาไทยคล่องขึ้นเยอะแล้วนะ พัฒนาขึ้นมากจนฉันชักจะหวั่นๆซะแล้วสิ”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ติดฟิล์มกรองแสงบรรเทาอาการแสบตาซึ่งกำลังแสดงหน้าข่าวการเมืองที่มีการใช้ศัพท์ความหมายยากๆเพื่อความน่าเชื่อถือนั้นได้มีเด็กสาวจากต่างแดนคนหนึ่งกำลังหันหน้าส่งรอยยิ้มไปให้เด็กหนุ่มที่เป็นคนริเริ่มความคิดให้เธอใช้วิธีนี้ในการพัฒนาทักษะด้านการอ่านอย่างต่อเนื่องราวกับฉลองให้กับชัยชนะเหนือกำแพงภาษาที่ขีดกั้นเธอเอาไว้จากความสนุกของชีวิตต่างแดน
พัฒนาการของยูน่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากจนแม้แต่ผมที่เป็นคนสอนเองก็ยังเผลอยิ้มให้กับเธอในความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงของเด็กสาวที่สามารถบรรลุทักษะฟัง-อ่าน-เขียนได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นจากใจจริง
และถึงจะไม่อยากก็ตาม…มันก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องพูดคำนี้แล้ว
“เธอจบหลักสูตรการใช้ภาษาแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะ” ผมยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กสาวผมทองที่หลับตาลงด้วยความรู้สึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เป็นไงล่ะสิงหา ในที่สุดฉันก็เข้าถึงระดับเดียวกับนายได้แล้วนะ รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาเลยล่ะสิ”
“ฉันไม่อิจฉาเธอหรอก เพราะระดับที่เธอก้าวถึงมันก็แค่ถัดจากฉันลงไปขั้นนึงเท่านั้นเอง ที่เหลือก็แค่ให้เธอฝึกการพูดเพิ่มเท่านั้นเอง”
“ทำไมล่ะ? ทำไมฉันถึงได้อยู่ต่ำกว่านายระดับนึงด้วยล่ะ ทั้งๆที่ฉันก็พัฒนาฝีมือลงมาได้ขนาดนี้แล้ว…”
“ก็เพราะการใช้คำว่า <พัฒนา> คู่กับ <ลง> นั่นแหละที่ฉุดระดับของเธอลงไปจากที่ควรจะเป็น! แล้วอีกนานสักแค่ไหนเธอถึงจะพัฒนาการพูดให้ออกมาดีเหมือนด้านอื่นๆได้สักทีหา ยัยบิทช์!”
“คำก็บิทช์ สองคำก็บิทช์ ฉันย่ะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ลำพังแค่การอ่านให้ออกเขียนให้ได้น่ะก็กินสมาธิฉันไปถึงไหนแล้ว จะให้พัฒนาด้านนั้นเพิ่มอีกก็คงไม่ต่ำกว่าอีกหลายเดือนนั่นแหละ…”
“ก็ตั้งใจให้มันมากขึ้นเซ่! แล้วที่พูดมาเมื่อกี้ก็ออกเสียงผิดไปตัวนึงด้วย แบบนี้มันเกินจะให้อภัยแล้วเฟ้ย!”
ผมเกิดบันดาลใจอะไรก็ไม่ทราบจับขมับทั้งสองข้างของยูน่าบีบเหากันจนเธอเริ่มจะทนไม่ไหวร้องออกมาด้วยความปวดอย่างรุนแรงพร้อมทั้งแสดงให้เห็นผ่านขอบตาที่มีน้ำใสๆปริ่มออกมาเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ
“แต่ฉันก็ว่าเธอพัฒนาไปได้เยอะจริงๆนั่นแหละ เยอะจนฉันยังตกใจเลยล่ะ” ผมคลายมือที่บีบขมับยูน่าออกจนเป็นอิสระก่อนจะหลุดคำพูดนี้ออกมาจนสาวน้อยรู้สึกไม่เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงแบบแม่เหล็กสลับขั้วของผมแม้แต่นิดเดียว
“วันแรกที่พวกเราเจอกันนี่เธอไม่กล้าที่จะคุยกับฉันซะด้วยซ้ำ แถมยังเป็นพวกกลัวสังคมประเภทที่ว่าต้องหลบอยู่หลังตู้หรือมุมห้องตลอดเวลา แต่มาตอนนี้นี่อย่างว่าแต่พวกเพื่อนร่วมห้องเลย ขนาดคนแปลกหน้าที่เคยเจอกันครั้งแรกเธอยังเข้าไปคุยด้วยเหมือนคนรู้จัก แบบนี้เขาเรียกกว่าปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ของสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า”
แต่ก่อนที่ยูน่าจะได้พูดอะไรออกมามากกว่านี้ ผมก็เผลอชิงตัดบทของเธอไปเสียก่อนด้วยประโยคที่ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย
“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็คงไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเธออีกต่อไปแล้วล่ะ จากนี้เธอคงไม่ต้องมาที่ห้องฉันในเวลาส่วนตัวอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ เว้นแต่จะมาเล่นคอมของฉันก็ช่วยเคาะประตูก่อนก็ดีนะ วันนี้คาบเรียนเลิกแล้วล่ะ”
ผมก้มลงมองตัวเลขบอกเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าผมเลิกสอนวิชาภาษาไทยให้เด็กสาวต่างชาติคนนี้เร็วกว่าปกติถึงครึ่งชั่วโมง แต่เพราะผมเอาแต่หันไปมองที่หัวเตียงด้านตรงข้ามกับคอมพิวเตอร์หยิบเอาหนังสืออะไรมาอ่านก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าขณะนี้ยูน่ากำลังทำอะไรอยู่
สีหน้าของเธอในตอนนี้เหมือนกับคนที่สูญเสียอะไรบางอย่างที่ทำมาจนเป็นกิจวัตรไปอย่างไม่สามารถย้อนกลับมาทำได้อีกต่อไปแล้ว เธอขยับริมฝีปากปล่อยอากาศออกมาเป็นสำเนียงภาษาที่ผมแปลไม่รู้เรื่อง แต่หากดูจากนัยน์ตาของเธอแล้วคงแปลออกมาได้ดังนี้
“สิงหา ฉันน่ะ…ไม่ได้ต้องการได้ยินนายบอกว่าพัฒนาการของฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ