เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป
7.5
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
11.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ห่างหายไปนานและกลับมาลงอีกครั้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ การไล่ล่าบนท้องถนนอันแสนดุเดือดได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใครก็ตามที่กำลังสวมเสื้อกันหนาวปิดฮู้ดกลางสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนของกรุงเทพที่ร้อนปานนรกระเบิดพร้อมทั้งใส่หมวกทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่งได้ทำการฉกกระป๋องใส่เหรียญของผมที่ได้มาอย่างยากลำบากไปอย่างหน้านิ่งๆ
และเพราะหัวขโมยวิ่งราวคนนั้นมีร่องรอยอันเป็นที่คุ้นตาของผมมากจึงยิ่งทำให้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นเองที่ทำให้ฝีเท้าของทั้งสองเร็วและคล่องตัวยิ่งกว่านักฟรีรันนิ่งเสียอีก ผมวิ่งไล่กัดใครคนนั้นไม่ปล่อยกระทั่งลวดหนามหรือกำแพงติดเศษแก้วยังรั้งทั้งสองเอาไว้ไม่ได้ พวกเรายังคงวิ่งไล่กวดกันต่อไปจนลืมความรู้สึกเจ็บที่โดนเศษแก้วบาดมือไปจนหมดสิ้น มีเพียงความรู้สึกที่ไม่อยากถูกส่งตัวให้ตำรวจกับอยากได้เงินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อและลำคอกลับคืนมาเท่านั้นที่เป็นเชื้อไฟให้ผมยังคงขยับขาที่เมื่อยสุดๆวิ่งไปข้างหน้าได้ จนในที่สุดผมก็สามารถต้อนขโมยคนนั้นไปยังตรอกแคบๆที่มีกำแพงสูงล้อมรอบเป็นผลสำเร็จ “แฮ่ก… ต้องให้วิ่งไล่ตามซะ…อย่างฉันน่ะ…วิ่งแค่นี้ไม่มี…หรอกนะ” เสียงคุณกำลังจะหมดแรงอยู่แล้วนะครับ “เหรอ แต่เสียงของแกฟังดูเหมือนกับ… ผู้เสียหายมือใหม่อย่างแกน่ะไม่มีทางวิ่งไล่ฉันทันหรอก อุ่ก!” หัวขโมยที่ถูกผมต้อนจนมุมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งหนึ่งราวกับมีอะไรอยู่ข้างในนั้น แต่แล้วเขาก็ต้องล้มเข่ากระแทกเพราะความเหนื่อยที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ฝ่ายจำเลยและผู้เสียหายต่างนั่งพักเอาแรงกันโดยไม่มีฝ่ายใดกล้าเสี่ยงลุกขึ้นมาให้ล้มหน้าคมำอีกครั้งแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที พวกเราก็สามารถลุกขึ้นยืนได้โดยไม่มีอาการหอบให้เห็นอีกต่อไปแล้ว “เหมือนฉันจะเคยเจอแกครั้งนึงถูกต้องไหม? รู้สึกจะเป็นตอนเที่ยงคืนของเมื่อสองวันก่อน…” ผมบดเท้าลงบนพื้นคอนกรีตเป็นการบอกฝ่ายตรงข้ามว่าผมพร้อมจะสู้หากอีกฝ่ายขัดขืนการจับกุม แน่นอนว่าโจรวิ่งราวคนนั้นก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่ “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นฉันประมาทแกไปหน่อยเลยฝากเอาไว้ได้แค่รอยบาดบนแก้มเท่านั้น คราวนี้แหละที่แกจะได้รอยสักสุดเท่ไปอวดบรรพบุรุษของแกในนรก!!” โจรวิ่งราวชักมีดพับออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงชี้ใส่ผมที่ไม่มีอาวุธติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ผมก็หาเครื่องป้องกันเป็นฝาถังขยะอลูมิเนียมสวมเข้าไปที่มือขวาแทนโล่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะเข้าตะลุมบอน สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับฉากต่อสู้ในนวนิยายแฟนตาซีไม่มีผิด “อย่าเอาแต่ปากมากแล้วรีบๆเข้ามาเจาะรูที่ตัวฉันเลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นสิ่งที่จะอยู่บนตัวแกจะไม่ใช่เลือดของฉัน แต่จะเป็นกุญแจมือของตำรวจ!” ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามใดๆอีกต่อไป ชั่วพริบตาที่เศษกรวดบนพื้นที่กะเทาะออกจากพื้นคอนกรีตถูกเตะไปด้านหลัง ร่างของโจรวิ่งราวก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเหมือนนักมวยเจนสังเวียนที่ต้องการจะน็อคคู่ต่อสู้ให้ได้ในยกที่สอง เนื่องจากยกแรกได้เริ่มต้นและจบลงในบ้านของผมแล้วนั่นเอง แข้งปะทะแข้ง คมมีดปะทะฝาครอบถังขยะ คราวนี้ผมสามารถประมือกับโจรวิ่งราวได้อย่างสูสีโดยไม่ได้รับบาดแผลใดๆเลยจนอีกฝ่ายเริ่มจะสนุกกับการประลองครั้งนี้ขึ้นมา ทำให้การจับกุมอันเป็นจุดประสงค์แรกได้กลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว แต่มันกลับน่าแปลกยิ่งกว่าเมื่อไม่มีใครสังเกตเห็นการต่อสู้ชี้ชะตาทางม้าลายครั้งนี้แม้แต่คนเดียว ราวกับพระเจ้าได้ลบคนอื่นที่ไม่เกี่ยวออกไปจนเหลือสองคนนี้อยู่บนโลกเท่านั้น “ทำไมกันล่ะ? ทำไมแกถึงต้องมาเป็นหัวขโมยแบบนี้ด้วย!” ผมตะโกนก้องในขณะที่หลบคมมีดที่ฟันลงมาหลายต่อหลายครั้งอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก แต่เพราะคำถามนั้นของผมกลายเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ของหัวขโมยคนนั้นเข้าหรืออย่างไร การเคลื่อนไหวท่อนแขนที่กุมมีดเอาไว้เริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยจนผมมองตามไม่ทันทำให้ต้องยกฝาครอบขึ้นมาปัดป้องเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อความอดทนหมดลง ผมก็ขว้างฝาถังขยะใส่หน้าของหัวขโมยที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ฮู้ดเสื้อกันหนาวซ้อนกับหมวกอย่างสุดแรง ฝาถังนั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มๆจนมันเซไหลไปข้างหลัง แม้ว่าจุดประสงค์จริงๆของผมก็คือใช้ฝาถังขว้างใส่ให้ฮู้ดเปิดออกเท่านั้นแท้ๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้นะ เมื่อเห็นหัวขโมยถอยทรุดไปด้านหลังจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปแย่งมีดจากคนร้ายตามแบบฉบับพระเอกรนหาที่ตายทุกประการ แน่นอนว่าแขนของทั้งสองสะบัดขึ้นลงตามจังหวะหยิบยื้อกระทบกระแทกจนดูน่าหวาดเสียวมาก แต่ก็ยังคงไม่มีใครสังเกตเห็นการท้าความตายครั้งนี้ของผมอยู่ดี “การเป็นขโมยมันสนุกมากนักหรือไง! หรือว่าที่ผ่านมาแกสวดภาวนาต่ออาซาเซลไม่ให้มีใครต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำของแกทุกๆครั้งก่อนที่จะลงมืองัดบ้านคนอื่นเขา แล้วมาคราวนี้แกยังฉกเงินของฉันไปต่อหน้าต่อตาอีก คิดยังไงของแกกันแน่!!” เสียงตะโกนอย่างกระหืดหระหอบของเด็กหนุ่มดังขึ้นอย่างติดๆขัดๆเนื่องจากการทุ่มพลังสมาธิไปยังฝ่ามือที่จะให้บิดลงมามากเกินไปไม่ได้ และในจังหวะนั้นเองที่ท่อนแขนของหัวขโมยที่งัดบ้านของผมคราวก่อนทนแรงยื้อต่อไปไม่ไหวหักลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัวทัน ฉัวะ!! และตอนนั้นเองที่คมมีดได้แทงลงไปยังของบางอย่างจนมีของเหลวไหลออกมาเจิ่งนองบนพื้นคอนกรีตเป็นทางยาว “ไม่…ไม่จริงน่า นี่เรา…เราทำอะไรลงไป” บนพื้นที่เต็มไปด้วยขยะกองเรี่ยราดจากการประหมัดกันระหว่างผมกับคู่แค้นเก่านั้นมีร่างหนึ่งแน่นิ่งอยู่กับพื้นในสภาพถูกมีดแทงเข้าไปจนมีน้ำบางอย่างไหลออกมาจากสิ่งๆนั้นเปื้อนพื้นและรองเท้าผ้าใบสีขาวของเด็กหนุ่มเป็นคราบเหนียวที่ซักไม่ออก แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นได้ถูกประเคนให้กับฝ่ายตรงข้ามจนยืนไม่ติดพื้นเลยทีเดียว “ฉันจะสอนแกให้รู้เองว่าโลกนี้มันเป็นยังไง!!” เสียงชายคนหนึ่งแหกปากตะโกนลั่นไปนอกซอยตันแห่งนั้นก่อนจะตามมาด้วยข้อเท้าที่สปริงตัวขึ้นไปบนอากาศพุ่งเข้าใส่ศีรษะของชายในเสื้อกันหนาวอย่างสุดแรงเกิด ลูกเตะที่แฝงไปด้วยแรงทั้งหมดกระแทกเข้าที่ซอกหูของโจรวิ่งราวอย่างเต็มรักจนล้มลงไปทั้งยืน ทั้งที่ถ้าเป็นคนปกติคงหมดสติคาที่ไปแล้วอย่างแน่นอน การที่ผมสามารถทำแบบนี้ได้ก็เพราะคนร้ายกำลังตกใจกับการที่ปล่อยให้อาวุธป้องกันตัวหลุดออกจากมือไปอย่างง่ายดาย และมีดเล่มนั้นก็ได้ปักลงไปบนลูกแอปเปิ้ลที่กลิ้งออกมาจากถังขยะที่ล้มระเนระนาดกับพื้นนั่นเอง เป็นการปิดฉากตำนานแห่งหัวขโมยที่ก่อเหตุผิดพลาดโดยผู้เคราะห์ร้ายรายเดียวกันซ้ำกันสองครั้งในรอบสัปดาห์ลงอย่างเงียบเชียบ เว้นแต่เพียงว่าคนที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวจะข้ามขั้นตอนสำคัญไปอย่างหนึ่ง
ลำแข้งของผมซัดเข้าที่กกหูของชายแปลกหน้าที่ไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าใต้หมวกคลุมเต็มแรงจนทรุดลงกับพื้นเพื่อผ่อนคลายอิริยาบทให้หายจากอาการตื่นเต้นที่ปล่อยไม้เด็ดออกไปหลายครั้งจนแทบจะหมดมุกไปแล้วจริงๆ ถ้าให้ผมตอบตามตรงก็คือ ถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อออกไปมากกว่านี้ ผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายเสร็จเอา… “ฉันจะยังไม่โทรแจ้งตำรวจ เพราะก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องอยากจะถามแกสักหน่อย” ผมค่อยๆพาร่างกายที่เพิ่งเสร็จธุระเร่งด่วนเมื่อสักครู่นี้เดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆตัวคนร้ายที่เพิ่งจะเอาชนะได้โดยไม่ลืมที่จะเก็บมีดพกของเขาคนนั้นลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างมิดชิด “มีเรื่องจะถาม? มาจนถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรจะต้องคุยกันแล้วล่ะมั้ง แล้วปล่อยเอาไว้แบบนี้จะดีเร้อ ถ้าฉันกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่สถานการณ์จะตรงข้ามทันที เข้าใจหรือยัง!” ชายคนนั้นแยกเขี้ยวใส่ราวกับสละซึ่งความเป็นชายไปจนหมดสิ้น และมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเลยแม้แต่น้อย “ฉันถามแกมีหน้าที่แค่ตอบ แกก่อเหตุแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว” ผมตั้งตนในความไม่ประมาทนั่งทับสันหลังของหัวขโมยเพื่อกดไม่ให้เขาสามารถลุกขึ้นมาได้ แต่สัมผัสที่บั้นเอวของผมสัมผัสได้นั้นกลับเป็นร่างที่บอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนที่สามารถสู้กับคนที่มีกำลังแขนแข็งแรงจากการยกของหนักมาตลอดได้อย่างทัดเทียมเช่นนั้น “เชอะ! ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินการสอบปากคำเป็นครั้งแรกนี่แหละ แล้วถ้าฉันไม่ตอบมันจะเป็นยังไงกันนะ?” หัวขโมยยังคงพูดกวนประสาทต่อไปด้วยการแลบลิ้นปลิ้นลูกตาใส่จนผมเริ่มจะระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติยับยั้งอารมณ์ดีพอที่จะลงมือกับเขาแค่การเล็มใบหูเท่านั้น “นั่นแกจะทำอะไรน่ะ! รีบเอาปากเน่าๆของแกออกไปจากหูฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! มันจั๊กจี้จนจะทนไม่ไหวแล้ว” ร่างของหัวขโมยดิ้นพราดอยู่ในกำมือที่จับมันกดเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นจากพื้นได้ ผมได้ยินเสียงลมหายใจของหมอนั่นเริ่มสั่นไม่เป็นจังหวะเพราะกำหนดลมหายใจในระหว่างที่รู้สึกจั๊กจี้ตรงใบหูไม่คล่อง “ถ้าแกยังแอ๊บแบ๊วไม่ตอบคำถามฉันอยู่อย่างนี้ละก็ เชิญไปบอกลาอนุสาวรีย์ความเป็นชายใต้หว่างขาของแกได้เลย เพราะฉันจะทำให้แกอับอายไปชั่วชีวิตจนไม่กล้าออกไปสู้หน้าใครอีกเลย!” คราวนี้ผมใช้นิ้วลูบไปยังร่างกายส่วนต่างๆของหัวขโมยที่เพิ่งล้มได้อย่างไม่อายฟ้าดินจนอีกฝ่ายทนอยู่ต่อไปไม่ไหว แต่คนๆนั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้อยู่ดีเพราะน้ำหนักตัวของผมที่กดทับลงบนแผ่นหลังอย่างถูกจุด เช่นนั้นเองที่ทำให้ผมสามารถสำรวจร่างกายของคู่ต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ แต่ยิ่งลูบยิ่งรู้สึกแปลก ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่มีรูปร่างนุ่มละมุนน่าขยี้ขย้ำคล้ายผู้หญิงแบบนี้มาก่อน อีกทั้งใต้เสื้อกันหนาวส่วนใต้รักแร้กับต้นคอก็มีเหมือนกับสายรัดอะไรบางอย่างโยงเอาไว้เหมือนกับเมื่อครั้งที่ผมสำรวจเรือนร่างของยูน่าทุกซอกทุกมุม แต่นั่นก็มาจากการถูกบังคับโดยใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าของสาวเจ้าอีกนั่นแหละ
หัวขโมยออกแรงดิ้นไปมาจนจุดที่น้ำหนักตัวของผมกดทับลงไปเริ่มส่ายไม่เป็นทิศทางทำให้ส่งผลต่ออีกฝ่ายน้อยลงราวกับปฏิกิริยาต่อต้านการลวนลามทางศักดิ์ศรีที่รุนแรงเกินจะประเมินค่าได้ และในที่สุด… ขโมยคนนั้นก็สลัดตัวผมหลุดออกจากแผ่นหลังได้ตามที่ต้องการ พร้อมกับชี้นิ้วทำท่าทางดูถูกใส่เด็กหนุ่มที่ไม่ยอมโทรแจ้งตำรวจเสียตั้งแต่แรก “ดูเหมือนว่าแกจะคิดผิดซะแล้วนะที่ไม่ยอมโทรบอกคนอื่นเรื่องที่แกอยู่ที่นี่ แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีข่าวลงเองแหละว่าฉันนี่แหละเป็นคนงัดบ้านพยายามเข้าไปขโมยของบ้านแก แล้วก็เป็นคนฆ่าแกด้วยมือของฉันเอง!!” พิธีประกาศศึกเสร็จสิ้น คนร้ายที่เพิ่งถูกผมควบคุมตัวได้จนถึงเมื่อสักครู่นี้ดันตัวเองลุกขึ้นยืนพร้อมกับพุ่งเข้าบีบคอเด็กหนุ่มที่กำลังก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นราวกับจะฆ่าให้ตายจริงๆ ด้วยแรงบีบนั้นทำให้ลูกตาของผู้ที่มั่นใจในโชคไร้ขีดจำกัด (อ้างอิงจากเกมRPFที่ผมเคยเล่น) นั้นเกือบจะถลนออกมานอกเบ้า และใบหน้าของผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวมะเขือเทศสุก “เป็นยังไงล่ะ! ความรู้สึกตอนที่ได้ไปอยู่ข้างล่าง… อีกเดี๋ยวแกก็จะได้สลับขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้วล่ะนะ บนสวรรค์ยังไงล่ะ!!” ผมยกมือขึ้นเปิดขอบฮู้ดที่ปิดส่วนแก้มของชายคนนั้นออกราวกับคนที่รู้ชะตากรรมของตัวเองจนเห็นรอยแผลที่ถูกด้ามไม้ถูพื้นขูดเอาเมื่อสามวันก่อนเป็นแถบสีน้ำตาลจางๆ แม้ว่าแผลแบบนี้จะต้องมีแผลเป็นแบบรอยจ้ำมากกว่าก็ตามที “ใช่! ฉันนี่แหละหัวขโมยที่งัดเข้าบ้านแกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อันที่จริงแกก็น่าจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วนะ” ฝ่ามือมรณะกดเข้าที่หลอดลมของเด็กหนุ่มแรงยิ่งขึ้นจนสำลักน้ำลายออกมา ริมฝีปากและรูจมูกทั้งสองข้างเปิดออกกว้างเพื่อรับออกซิเจนที่ลอยอยู่รอบตัวเข้าไปในหลอดลมที่ถูกปิดสนิทจนกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า นั่นทำให้ชายคนนั้นรู้สึกพึงพอใจมาก “เป็นยังไง เริ่มจะตาลายแล้วใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกแค่ไม่กี่สิบวินาทีแกก็ไปโลกหน้าแล้ว เตรียมคำพูดเอาไว้เวลาเจอญาติๆของแกให้ดีๆล่ะ!” ชายคนนั้นรู้สึกสะใจกับการที่ได้เป็นเจ้าชีวิตของคนอื่นมากจนลืมสังเกตไปว่าขณะนั้นผมยังมีอาวุธสุดท้ายถูกเก็บเอาไว้อยู่ “มีดพับของมันที่ถูกแย่งมาไว่ในกระเป๋ากางเกง” “นี่แอ… (นี่แก...)” เสียงที่ใช้อากาศภายในปากบีบเป็นเสียงแหลมแหบๆจนฟังไม่ได้ศัพท์ดังกระทบใบหูของหัวขโมยคนนั้นจนไม่เป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ “คงกะงืมไอแง้วฉิ… ว่าอั๋นอีอะไงอู่ (คงจะลืมไปแล้วสิ… ว่าฉันมีอะไรอยู่)" ในตอนนั้นเองที่ลำคอของชายคนนั้นถูกอะไรบางอย่างโอบเอาไว้จนไม่สามารถหมุนคอไปทิศอื่นได้ และจากหางตาที่มองเห็นเป็นลางๆนั้นบอกว่ามันเป็นเท้าของคนที่ถูกบีบคอจนหายใจไม่ออกไปแล้ว ซึ่งนั่นก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจในสมรรถภาพทางกายของเด็กหนุ่มที่เขากำลังขึ้นคร่อมอยู่ ...ผมคงจะลืมบอกไปล่ะสิว่าหัวขโมยคนนั้นมีส่วนสูงเพียงหน้าอกของผมเท่านั้นเอง ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงที่มหาศาลจากช่วงล่างของผมจนหงายหลังตึง ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือของเขาหลุดออกจากลำคอของผมจนสามารถหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ผมสามารถลุกขึ้นยืนได้ทั้งๆที่ยังมีอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม “ดูท่าจะไม่ยอมหมดลมง่ายๆนะ เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงตั้งใจจะฆ่าแกให้ตายตั้งแต่ตอนนที่ไปขโมยของบ้านแกวันนั้นเลย” “แต่ฉันก็รอดมาได้นี่ถูกไหม..? คราวนี้ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อไว้แล้วล่ะนะ” ผมคว้าคอเสื้อของหัวขโมยให้ลุกขึ้นก่อนจะออกแรงทุ่มชายคนนั้นข้ามไหล่ไปอย่างสุดกำลังจนหลังคอกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บหนักไม่สามารถขยับร่างกายไปได้อีกนาน หลังจากที่ได้เอาคืนอย่างสาสมแล้ว ผมก็ดึงคอเสื้อกันหนาวด้านหลังของชายคนนั้นหมายจะพาไปส่งที่สถานีตำรวจใกล้ๆด้วยตัวเอง แต่เพราะความที่ลมขึ้นหน้ามากเกินไปทำให้ผมลืมไปว่าแค่ชักมีดออกมาขู่ก็เกินพอแล้ว
ซิปที่ปิดเสื้อกันหนาวนั้นอยู่ก็หลุดออกตามแรงเหวี่ยงเมื่อสักครู่นี้ และมีรอยปริรูดลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงร่างของชายคนนั้นให้ลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรงต้าน ผิดกับตัวฮู้ดและหมวกที่เหมือนกับมีโครงสร้างต้านแรงโน้มถ่วงทำให้มันไม่หลุดออกจากศีรษะชายคนนั้นสักที หรือตอนนี้ควรจะเรียกชายคนนั้นด้วยคำๆใหม่ดี… เพราะหัวซิปรูดหลุดออกจากเสื้อกันหนาวที่ถูกน้ำหนักตัวดึงลงตลอดเวลา ทำให้ตัวซิปที่ยังติดอยู่นั้นปริออกปล่อยให้ร่างของโจรวิ่งราวให้ล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้น และยังเป็นการเปิดเผยสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อกันหนาวนั้นอีกด้วย “นี่มัน เฮ้ย!!” เพราะรู้สึกได้ถึงความเบาราวปุยนุ่นของเสื้อกันหนาวจึงทำให้ผมหันกลับไปมองชายที่กำลังถูกผมจับคอเสื้อลากไปยังตำรวจก่อนที่เขาจะถอดเสื้อกันหนาวที่สวมอยู่เพื่อหลบหนีอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วผมก็ต้องตกใจจนหน้าซีดเหมือนแวมไพร์ขาดเลือดเมื่อได้รู้ความจริงของผู้ร้ายที่ผมเป็นคนจับได้ด้วยตัวเองทันทีที่หมวกซึ่งปิดบังหน้าของเขาคนนั้นหลุดออก ---ผมสีดำเรียบถูกตัดให้สั้นราวกับผู้ชายขายบะหมี่เกี๊ยวปากซอย รูปร่างผอมเพรียวราวกับอดอยากอาหารมาสองมื้อสามชั่วโมง ส่วนสูงระดับประมาณหน้าอกชวนให้นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ ยังไม่นับถึงสีผิวเหลืองน้ำผึ้งและขนาดหน้าอกที่เหมือนกับเนินภูเขาไฟเตี้ยติดดินที่สงบแล้ว รวมไปถึงโครงหน้าและสัดส่วนแขนที่เหมือนกับพวกเล่นกล้ามที่เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา--- ที่แท้คนร้ายที่งัดเข้าบ้านของผมเมื่อวันก่อน คนที่ฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ที่แก้มขวาของผม วิ่งราวเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงไปอย่างหน้าตาเฉย แสดงทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้น รวมทั้งคนที่เพิ่งจะถูกทำอะไรสุดแสนจะบัดซบลงไปเมื่อครู่นี้ ก็คือ...[[คุณรุ่นน้องผมสั้นที่เดินสวนทางกันในโรงอาหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้เอง!]]
และเพราะหัวขโมยวิ่งราวคนนั้นมีร่องรอยอันเป็นที่คุ้นตาของผมมากจึงยิ่งทำให้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นเองที่ทำให้ฝีเท้าของทั้งสองเร็วและคล่องตัวยิ่งกว่านักฟรีรันนิ่งเสียอีก ผมวิ่งไล่กัดใครคนนั้นไม่ปล่อยกระทั่งลวดหนามหรือกำแพงติดเศษแก้วยังรั้งทั้งสองเอาไว้ไม่ได้ พวกเรายังคงวิ่งไล่กวดกันต่อไปจนลืมความรู้สึกเจ็บที่โดนเศษแก้วบาดมือไปจนหมดสิ้น มีเพียงความรู้สึกที่ไม่อยากถูกส่งตัวให้ตำรวจกับอยากได้เงินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อและลำคอกลับคืนมาเท่านั้นที่เป็นเชื้อไฟให้ผมยังคงขยับขาที่เมื่อยสุดๆวิ่งไปข้างหน้าได้ จนในที่สุดผมก็สามารถต้อนขโมยคนนั้นไปยังตรอกแคบๆที่มีกำแพงสูงล้อมรอบเป็นผลสำเร็จ “แฮ่ก… ต้องให้วิ่งไล่ตามซะ…อย่างฉันน่ะ…วิ่งแค่นี้ไม่มี…หรอกนะ” เสียงคุณกำลังจะหมดแรงอยู่แล้วนะครับ “เหรอ แต่เสียงของแกฟังดูเหมือนกับ… ผู้เสียหายมือใหม่อย่างแกน่ะไม่มีทางวิ่งไล่ฉันทันหรอก อุ่ก!” หัวขโมยที่ถูกผมต้อนจนมุมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งหนึ่งราวกับมีอะไรอยู่ข้างในนั้น แต่แล้วเขาก็ต้องล้มเข่ากระแทกเพราะความเหนื่อยที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ฝ่ายจำเลยและผู้เสียหายต่างนั่งพักเอาแรงกันโดยไม่มีฝ่ายใดกล้าเสี่ยงลุกขึ้นมาให้ล้มหน้าคมำอีกครั้งแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที พวกเราก็สามารถลุกขึ้นยืนได้โดยไม่มีอาการหอบให้เห็นอีกต่อไปแล้ว “เหมือนฉันจะเคยเจอแกครั้งนึงถูกต้องไหม? รู้สึกจะเป็นตอนเที่ยงคืนของเมื่อสองวันก่อน…” ผมบดเท้าลงบนพื้นคอนกรีตเป็นการบอกฝ่ายตรงข้ามว่าผมพร้อมจะสู้หากอีกฝ่ายขัดขืนการจับกุม แน่นอนว่าโจรวิ่งราวคนนั้นก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่ “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นฉันประมาทแกไปหน่อยเลยฝากเอาไว้ได้แค่รอยบาดบนแก้มเท่านั้น คราวนี้แหละที่แกจะได้รอยสักสุดเท่ไปอวดบรรพบุรุษของแกในนรก!!” โจรวิ่งราวชักมีดพับออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงชี้ใส่ผมที่ไม่มีอาวุธติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ผมก็หาเครื่องป้องกันเป็นฝาถังขยะอลูมิเนียมสวมเข้าไปที่มือขวาแทนโล่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะเข้าตะลุมบอน สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับฉากต่อสู้ในนวนิยายแฟนตาซีไม่มีผิด “อย่าเอาแต่ปากมากแล้วรีบๆเข้ามาเจาะรูที่ตัวฉันเลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นสิ่งที่จะอยู่บนตัวแกจะไม่ใช่เลือดของฉัน แต่จะเป็นกุญแจมือของตำรวจ!” ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามใดๆอีกต่อไป ชั่วพริบตาที่เศษกรวดบนพื้นที่กะเทาะออกจากพื้นคอนกรีตถูกเตะไปด้านหลัง ร่างของโจรวิ่งราวก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเหมือนนักมวยเจนสังเวียนที่ต้องการจะน็อคคู่ต่อสู้ให้ได้ในยกที่สอง เนื่องจากยกแรกได้เริ่มต้นและจบลงในบ้านของผมแล้วนั่นเอง แข้งปะทะแข้ง คมมีดปะทะฝาครอบถังขยะ คราวนี้ผมสามารถประมือกับโจรวิ่งราวได้อย่างสูสีโดยไม่ได้รับบาดแผลใดๆเลยจนอีกฝ่ายเริ่มจะสนุกกับการประลองครั้งนี้ขึ้นมา ทำให้การจับกุมอันเป็นจุดประสงค์แรกได้กลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว แต่มันกลับน่าแปลกยิ่งกว่าเมื่อไม่มีใครสังเกตเห็นการต่อสู้ชี้ชะตาทางม้าลายครั้งนี้แม้แต่คนเดียว ราวกับพระเจ้าได้ลบคนอื่นที่ไม่เกี่ยวออกไปจนเหลือสองคนนี้อยู่บนโลกเท่านั้น “ทำไมกันล่ะ? ทำไมแกถึงต้องมาเป็นหัวขโมยแบบนี้ด้วย!” ผมตะโกนก้องในขณะที่หลบคมมีดที่ฟันลงมาหลายต่อหลายครั้งอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก แต่เพราะคำถามนั้นของผมกลายเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ของหัวขโมยคนนั้นเข้าหรืออย่างไร การเคลื่อนไหวท่อนแขนที่กุมมีดเอาไว้เริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยจนผมมองตามไม่ทันทำให้ต้องยกฝาครอบขึ้นมาปัดป้องเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อความอดทนหมดลง ผมก็ขว้างฝาถังขยะใส่หน้าของหัวขโมยที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ฮู้ดเสื้อกันหนาวซ้อนกับหมวกอย่างสุดแรง ฝาถังนั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มๆจนมันเซไหลไปข้างหลัง แม้ว่าจุดประสงค์จริงๆของผมก็คือใช้ฝาถังขว้างใส่ให้ฮู้ดเปิดออกเท่านั้นแท้ๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้นะ เมื่อเห็นหัวขโมยถอยทรุดไปด้านหลังจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปแย่งมีดจากคนร้ายตามแบบฉบับพระเอกรนหาที่ตายทุกประการ แน่นอนว่าแขนของทั้งสองสะบัดขึ้นลงตามจังหวะหยิบยื้อกระทบกระแทกจนดูน่าหวาดเสียวมาก แต่ก็ยังคงไม่มีใครสังเกตเห็นการท้าความตายครั้งนี้ของผมอยู่ดี “การเป็นขโมยมันสนุกมากนักหรือไง! หรือว่าที่ผ่านมาแกสวดภาวนาต่ออาซาเซลไม่ให้มีใครต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำของแกทุกๆครั้งก่อนที่จะลงมืองัดบ้านคนอื่นเขา แล้วมาคราวนี้แกยังฉกเงินของฉันไปต่อหน้าต่อตาอีก คิดยังไงของแกกันแน่!!” เสียงตะโกนอย่างกระหืดหระหอบของเด็กหนุ่มดังขึ้นอย่างติดๆขัดๆเนื่องจากการทุ่มพลังสมาธิไปยังฝ่ามือที่จะให้บิดลงมามากเกินไปไม่ได้ และในจังหวะนั้นเองที่ท่อนแขนของหัวขโมยที่งัดบ้านของผมคราวก่อนทนแรงยื้อต่อไปไม่ไหวหักลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัวทัน ฉัวะ!! และตอนนั้นเองที่คมมีดได้แทงลงไปยังของบางอย่างจนมีของเหลวไหลออกมาเจิ่งนองบนพื้นคอนกรีตเป็นทางยาว “ไม่…ไม่จริงน่า นี่เรา…เราทำอะไรลงไป” บนพื้นที่เต็มไปด้วยขยะกองเรี่ยราดจากการประหมัดกันระหว่างผมกับคู่แค้นเก่านั้นมีร่างหนึ่งแน่นิ่งอยู่กับพื้นในสภาพถูกมีดแทงเข้าไปจนมีน้ำบางอย่างไหลออกมาจากสิ่งๆนั้นเปื้อนพื้นและรองเท้าผ้าใบสีขาวของเด็กหนุ่มเป็นคราบเหนียวที่ซักไม่ออก แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นได้ถูกประเคนให้กับฝ่ายตรงข้ามจนยืนไม่ติดพื้นเลยทีเดียว “ฉันจะสอนแกให้รู้เองว่าโลกนี้มันเป็นยังไง!!” เสียงชายคนหนึ่งแหกปากตะโกนลั่นไปนอกซอยตันแห่งนั้นก่อนจะตามมาด้วยข้อเท้าที่สปริงตัวขึ้นไปบนอากาศพุ่งเข้าใส่ศีรษะของชายในเสื้อกันหนาวอย่างสุดแรงเกิด ลูกเตะที่แฝงไปด้วยแรงทั้งหมดกระแทกเข้าที่ซอกหูของโจรวิ่งราวอย่างเต็มรักจนล้มลงไปทั้งยืน ทั้งที่ถ้าเป็นคนปกติคงหมดสติคาที่ไปแล้วอย่างแน่นอน การที่ผมสามารถทำแบบนี้ได้ก็เพราะคนร้ายกำลังตกใจกับการที่ปล่อยให้อาวุธป้องกันตัวหลุดออกจากมือไปอย่างง่ายดาย และมีดเล่มนั้นก็ได้ปักลงไปบนลูกแอปเปิ้ลที่กลิ้งออกมาจากถังขยะที่ล้มระเนระนาดกับพื้นนั่นเอง เป็นการปิดฉากตำนานแห่งหัวขโมยที่ก่อเหตุผิดพลาดโดยผู้เคราะห์ร้ายรายเดียวกันซ้ำกันสองครั้งในรอบสัปดาห์ลงอย่างเงียบเชียบ เว้นแต่เพียงว่าคนที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวจะข้ามขั้นตอนสำคัญไปอย่างหนึ่ง
ลำแข้งของผมซัดเข้าที่กกหูของชายแปลกหน้าที่ไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าใต้หมวกคลุมเต็มแรงจนทรุดลงกับพื้นเพื่อผ่อนคลายอิริยาบทให้หายจากอาการตื่นเต้นที่ปล่อยไม้เด็ดออกไปหลายครั้งจนแทบจะหมดมุกไปแล้วจริงๆ ถ้าให้ผมตอบตามตรงก็คือ ถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อออกไปมากกว่านี้ ผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายเสร็จเอา… “ฉันจะยังไม่โทรแจ้งตำรวจ เพราะก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องอยากจะถามแกสักหน่อย” ผมค่อยๆพาร่างกายที่เพิ่งเสร็จธุระเร่งด่วนเมื่อสักครู่นี้เดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆตัวคนร้ายที่เพิ่งจะเอาชนะได้โดยไม่ลืมที่จะเก็บมีดพกของเขาคนนั้นลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างมิดชิด “มีเรื่องจะถาม? มาจนถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรจะต้องคุยกันแล้วล่ะมั้ง แล้วปล่อยเอาไว้แบบนี้จะดีเร้อ ถ้าฉันกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่สถานการณ์จะตรงข้ามทันที เข้าใจหรือยัง!” ชายคนนั้นแยกเขี้ยวใส่ราวกับสละซึ่งความเป็นชายไปจนหมดสิ้น และมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเลยแม้แต่น้อย “ฉันถามแกมีหน้าที่แค่ตอบ แกก่อเหตุแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว” ผมตั้งตนในความไม่ประมาทนั่งทับสันหลังของหัวขโมยเพื่อกดไม่ให้เขาสามารถลุกขึ้นมาได้ แต่สัมผัสที่บั้นเอวของผมสัมผัสได้นั้นกลับเป็นร่างที่บอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนที่สามารถสู้กับคนที่มีกำลังแขนแข็งแรงจากการยกของหนักมาตลอดได้อย่างทัดเทียมเช่นนั้น “เชอะ! ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินการสอบปากคำเป็นครั้งแรกนี่แหละ แล้วถ้าฉันไม่ตอบมันจะเป็นยังไงกันนะ?” หัวขโมยยังคงพูดกวนประสาทต่อไปด้วยการแลบลิ้นปลิ้นลูกตาใส่จนผมเริ่มจะระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติยับยั้งอารมณ์ดีพอที่จะลงมือกับเขาแค่การเล็มใบหูเท่านั้น “นั่นแกจะทำอะไรน่ะ! รีบเอาปากเน่าๆของแกออกไปจากหูฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! มันจั๊กจี้จนจะทนไม่ไหวแล้ว” ร่างของหัวขโมยดิ้นพราดอยู่ในกำมือที่จับมันกดเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นจากพื้นได้ ผมได้ยินเสียงลมหายใจของหมอนั่นเริ่มสั่นไม่เป็นจังหวะเพราะกำหนดลมหายใจในระหว่างที่รู้สึกจั๊กจี้ตรงใบหูไม่คล่อง “ถ้าแกยังแอ๊บแบ๊วไม่ตอบคำถามฉันอยู่อย่างนี้ละก็ เชิญไปบอกลาอนุสาวรีย์ความเป็นชายใต้หว่างขาของแกได้เลย เพราะฉันจะทำให้แกอับอายไปชั่วชีวิตจนไม่กล้าออกไปสู้หน้าใครอีกเลย!” คราวนี้ผมใช้นิ้วลูบไปยังร่างกายส่วนต่างๆของหัวขโมยที่เพิ่งล้มได้อย่างไม่อายฟ้าดินจนอีกฝ่ายทนอยู่ต่อไปไม่ไหว แต่คนๆนั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้อยู่ดีเพราะน้ำหนักตัวของผมที่กดทับลงบนแผ่นหลังอย่างถูกจุด เช่นนั้นเองที่ทำให้ผมสามารถสำรวจร่างกายของคู่ต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ แต่ยิ่งลูบยิ่งรู้สึกแปลก ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่มีรูปร่างนุ่มละมุนน่าขยี้ขย้ำคล้ายผู้หญิงแบบนี้มาก่อน อีกทั้งใต้เสื้อกันหนาวส่วนใต้รักแร้กับต้นคอก็มีเหมือนกับสายรัดอะไรบางอย่างโยงเอาไว้เหมือนกับเมื่อครั้งที่ผมสำรวจเรือนร่างของยูน่าทุกซอกทุกมุม แต่นั่นก็มาจากการถูกบังคับโดยใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าของสาวเจ้าอีกนั่นแหละ
หัวขโมยออกแรงดิ้นไปมาจนจุดที่น้ำหนักตัวของผมกดทับลงไปเริ่มส่ายไม่เป็นทิศทางทำให้ส่งผลต่ออีกฝ่ายน้อยลงราวกับปฏิกิริยาต่อต้านการลวนลามทางศักดิ์ศรีที่รุนแรงเกินจะประเมินค่าได้ และในที่สุด… ขโมยคนนั้นก็สลัดตัวผมหลุดออกจากแผ่นหลังได้ตามที่ต้องการ พร้อมกับชี้นิ้วทำท่าทางดูถูกใส่เด็กหนุ่มที่ไม่ยอมโทรแจ้งตำรวจเสียตั้งแต่แรก “ดูเหมือนว่าแกจะคิดผิดซะแล้วนะที่ไม่ยอมโทรบอกคนอื่นเรื่องที่แกอยู่ที่นี่ แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีข่าวลงเองแหละว่าฉันนี่แหละเป็นคนงัดบ้านพยายามเข้าไปขโมยของบ้านแก แล้วก็เป็นคนฆ่าแกด้วยมือของฉันเอง!!” พิธีประกาศศึกเสร็จสิ้น คนร้ายที่เพิ่งถูกผมควบคุมตัวได้จนถึงเมื่อสักครู่นี้ดันตัวเองลุกขึ้นยืนพร้อมกับพุ่งเข้าบีบคอเด็กหนุ่มที่กำลังก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นราวกับจะฆ่าให้ตายจริงๆ ด้วยแรงบีบนั้นทำให้ลูกตาของผู้ที่มั่นใจในโชคไร้ขีดจำกัด (อ้างอิงจากเกมRPFที่ผมเคยเล่น) นั้นเกือบจะถลนออกมานอกเบ้า และใบหน้าของผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวมะเขือเทศสุก “เป็นยังไงล่ะ! ความรู้สึกตอนที่ได้ไปอยู่ข้างล่าง… อีกเดี๋ยวแกก็จะได้สลับขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้วล่ะนะ บนสวรรค์ยังไงล่ะ!!” ผมยกมือขึ้นเปิดขอบฮู้ดที่ปิดส่วนแก้มของชายคนนั้นออกราวกับคนที่รู้ชะตากรรมของตัวเองจนเห็นรอยแผลที่ถูกด้ามไม้ถูพื้นขูดเอาเมื่อสามวันก่อนเป็นแถบสีน้ำตาลจางๆ แม้ว่าแผลแบบนี้จะต้องมีแผลเป็นแบบรอยจ้ำมากกว่าก็ตามที “ใช่! ฉันนี่แหละหัวขโมยที่งัดเข้าบ้านแกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อันที่จริงแกก็น่าจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วนะ” ฝ่ามือมรณะกดเข้าที่หลอดลมของเด็กหนุ่มแรงยิ่งขึ้นจนสำลักน้ำลายออกมา ริมฝีปากและรูจมูกทั้งสองข้างเปิดออกกว้างเพื่อรับออกซิเจนที่ลอยอยู่รอบตัวเข้าไปในหลอดลมที่ถูกปิดสนิทจนกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า นั่นทำให้ชายคนนั้นรู้สึกพึงพอใจมาก “เป็นยังไง เริ่มจะตาลายแล้วใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกแค่ไม่กี่สิบวินาทีแกก็ไปโลกหน้าแล้ว เตรียมคำพูดเอาไว้เวลาเจอญาติๆของแกให้ดีๆล่ะ!” ชายคนนั้นรู้สึกสะใจกับการที่ได้เป็นเจ้าชีวิตของคนอื่นมากจนลืมสังเกตไปว่าขณะนั้นผมยังมีอาวุธสุดท้ายถูกเก็บเอาไว้อยู่ “มีดพับของมันที่ถูกแย่งมาไว่ในกระเป๋ากางเกง” “นี่แอ… (นี่แก...)” เสียงที่ใช้อากาศภายในปากบีบเป็นเสียงแหลมแหบๆจนฟังไม่ได้ศัพท์ดังกระทบใบหูของหัวขโมยคนนั้นจนไม่เป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ “คงกะงืมไอแง้วฉิ… ว่าอั๋นอีอะไงอู่ (คงจะลืมไปแล้วสิ… ว่าฉันมีอะไรอยู่)" ในตอนนั้นเองที่ลำคอของชายคนนั้นถูกอะไรบางอย่างโอบเอาไว้จนไม่สามารถหมุนคอไปทิศอื่นได้ และจากหางตาที่มองเห็นเป็นลางๆนั้นบอกว่ามันเป็นเท้าของคนที่ถูกบีบคอจนหายใจไม่ออกไปแล้ว ซึ่งนั่นก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจในสมรรถภาพทางกายของเด็กหนุ่มที่เขากำลังขึ้นคร่อมอยู่ ...ผมคงจะลืมบอกไปล่ะสิว่าหัวขโมยคนนั้นมีส่วนสูงเพียงหน้าอกของผมเท่านั้นเอง ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงที่มหาศาลจากช่วงล่างของผมจนหงายหลังตึง ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือของเขาหลุดออกจากลำคอของผมจนสามารถหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ผมสามารถลุกขึ้นยืนได้ทั้งๆที่ยังมีอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม “ดูท่าจะไม่ยอมหมดลมง่ายๆนะ เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงตั้งใจจะฆ่าแกให้ตายตั้งแต่ตอนนที่ไปขโมยของบ้านแกวันนั้นเลย” “แต่ฉันก็รอดมาได้นี่ถูกไหม..? คราวนี้ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อไว้แล้วล่ะนะ” ผมคว้าคอเสื้อของหัวขโมยให้ลุกขึ้นก่อนจะออกแรงทุ่มชายคนนั้นข้ามไหล่ไปอย่างสุดกำลังจนหลังคอกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บหนักไม่สามารถขยับร่างกายไปได้อีกนาน หลังจากที่ได้เอาคืนอย่างสาสมแล้ว ผมก็ดึงคอเสื้อกันหนาวด้านหลังของชายคนนั้นหมายจะพาไปส่งที่สถานีตำรวจใกล้ๆด้วยตัวเอง แต่เพราะความที่ลมขึ้นหน้ามากเกินไปทำให้ผมลืมไปว่าแค่ชักมีดออกมาขู่ก็เกินพอแล้ว
ซิปที่ปิดเสื้อกันหนาวนั้นอยู่ก็หลุดออกตามแรงเหวี่ยงเมื่อสักครู่นี้ และมีรอยปริรูดลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงร่างของชายคนนั้นให้ลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรงต้าน ผิดกับตัวฮู้ดและหมวกที่เหมือนกับมีโครงสร้างต้านแรงโน้มถ่วงทำให้มันไม่หลุดออกจากศีรษะชายคนนั้นสักที หรือตอนนี้ควรจะเรียกชายคนนั้นด้วยคำๆใหม่ดี… เพราะหัวซิปรูดหลุดออกจากเสื้อกันหนาวที่ถูกน้ำหนักตัวดึงลงตลอดเวลา ทำให้ตัวซิปที่ยังติดอยู่นั้นปริออกปล่อยให้ร่างของโจรวิ่งราวให้ล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้น และยังเป็นการเปิดเผยสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อกันหนาวนั้นอีกด้วย “นี่มัน เฮ้ย!!” เพราะรู้สึกได้ถึงความเบาราวปุยนุ่นของเสื้อกันหนาวจึงทำให้ผมหันกลับไปมองชายที่กำลังถูกผมจับคอเสื้อลากไปยังตำรวจก่อนที่เขาจะถอดเสื้อกันหนาวที่สวมอยู่เพื่อหลบหนีอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วผมก็ต้องตกใจจนหน้าซีดเหมือนแวมไพร์ขาดเลือดเมื่อได้รู้ความจริงของผู้ร้ายที่ผมเป็นคนจับได้ด้วยตัวเองทันทีที่หมวกซึ่งปิดบังหน้าของเขาคนนั้นหลุดออก ---ผมสีดำเรียบถูกตัดให้สั้นราวกับผู้ชายขายบะหมี่เกี๊ยวปากซอย รูปร่างผอมเพรียวราวกับอดอยากอาหารมาสองมื้อสามชั่วโมง ส่วนสูงระดับประมาณหน้าอกชวนให้นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ ยังไม่นับถึงสีผิวเหลืองน้ำผึ้งและขนาดหน้าอกที่เหมือนกับเนินภูเขาไฟเตี้ยติดดินที่สงบแล้ว รวมไปถึงโครงหน้าและสัดส่วนแขนที่เหมือนกับพวกเล่นกล้ามที่เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา--- ที่แท้คนร้ายที่งัดเข้าบ้านของผมเมื่อวันก่อน คนที่ฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ที่แก้มขวาของผม วิ่งราวเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงไปอย่างหน้าตาเฉย แสดงทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้น รวมทั้งคนที่เพิ่งจะถูกทำอะไรสุดแสนจะบัดซบลงไปเมื่อครู่นี้ ก็คือ...[[คุณรุ่นน้องผมสั้นที่เดินสวนทางกันในโรงอาหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้เอง!]]
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ