เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป

7.5

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เด็กหนุ่มผู้หิวโหยกับหัวขโมยผู้หิวเงิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     “อะไรนะ! เมื่อคืนนี้นายเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้วนะ ทำไมนายถึงไม่ยอมให้ฉันแจ้งตำรวจ”
 
     “ก็ไม่มีอะไรถูกขโมยไปนี่นา อีกอย่างก็ไม่มีใครเป็นอะไรด้วย” ผมตอบคำถามยูน่าพลางเอามือข้างหนึ่งปิดแก้มขวาที่มีพลาสเตอร์แปะเอาไว้จนเป็นพิรุธให้ยูน่าเพ่งความสนใจไปหา
 
     “มือของนายปิดอะไรไว้ แล้วใต้ที่ปิดแผลนั่นมันคืออะไร!”
 
     “ก็แค่… แผลยุงกัดนิดหน่อย” ดวงตาสีดำเลื่อนหลบสีฟ้าจนกลายเป็นที่น่าสงสัยยิ่งกว่าเดิม จนยูน่าเริ่มทนต่อไปไม่ไหวกลายเป็นฝ่ายรุกเข้าหาด้วยตัวเอง
 
     “แค่โดนยุงกัดก็ถึงกับต้องแปะพลาสเตอร์กับเลยเหรอ สรุปแล้วเจ้านั่นมันอะไรกันแน่! ซ่อนอะไรเอาไว้ รีบๆถอดเจ้านั่นออกให้ฉันดูเดี๋ยวนี้เลยนะ”
 
     “ไม่มีอะไรจริงๆ! แล้วจะให้ฉันถอดอะไร กับพวกพลาสติกปิดแผลมันต้องใช้คำว่า’ลอก’ไม่ใช่เรอะ”
 
     “จะถอดหรือจะลอกหรือจะอะไรก็ช่างมันเถอะน่า! รีบๆถอดออกมาได้แล้ว!”
 
     ยูน่ากระโดดเข้าหาแก้มขวาที่ปิดพลาสเตอร์เอาไว้ของเด็กหนุ่มจนปฏิกิริยาตอบสนองของผมทำการเอี้ยวตัวหลบไปเอง แต่เพราะความสามารถในการเปลี่ยนท่วงท่าของผมช้าไปนิดหน่อยจึงทำให้ยูน่าสามารถยื่นปลายนิ้วเข้าไปจนสัมผัสกับใบหน้าส่วนที่ถูกพลาสเตอร์แปะเอาไว้ได้ และด้วยการสัมผัสเพียงถากๆนั้นเองที่ทำให้พลาสเตอร์ตัวปัญหานั้นเริ่มลอกออกมาทีละนิดๆ
 
     ถ้าแผลที่ผมได้รับเป็นเพียงแผลเล็กๆหรือแค่ติดเอาเท่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เพียงแค่ถูกถากเอามุมพลาสเตอร์ออกเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น รอยแผลที่เหมือนกับมีความยาวจนกว่าจะหามุมแปะได้ก็ลำบากแทบแย่ก็ถูกเปิดเผยออกสู่สายตาของเธอทันที
 
     ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ต่างออกไปหลังจากที่สัมผัสได้ว่ายูน่ากำลังมองมายังใบหน้าด้านขวาที่มีพลาสเตอร์ปิดแผลถูกลอกออกเป็นจุดสะกิดเล็กๆ ผมจึงรีบหันขวาให้พร้อมกับใช้นิ้วลูบให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ควรจะเป็นด้วยความเร็วเสียงระดับสาม แม้ว่ามันจะสายเกินไปแล้วก็ตาม
 
     “สิงหา… นายโดนมีดบาดนี่นา ขอฉันดูแผลนั่นหน่อยจะได้หรือเปล่า” ยูน่าเลิกกระโดดเข้าใส่ก่อนจะแสดงสีหน้าเป็นห่วง
 
     “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ที่สำคัญกว่าคือรีบๆกินข้าวได้แล้ว หรือถ้าไม่งั้นก็เชิญไปเข้าแถวสายคนเดียวแล้วกัน”
 
     เมื่อเห็นว่าไม่มีทางที่จะสลัดความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวผมทองได้ ผมจึงใช้วิธีเปลี่ยนประเด็นคุยในทันทีเพื่อไม่ให้เธอต้องรู้สึกไม่ดีกับบาดแผลที่ผมได้รับมาจากตอนที่กำลังซัดกับผู้ร้ายนัวเนียเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ผมย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะคว้ากระเป๋าหนังสือเตรียมออกจากบ้าน แต่น่าเสียดายที่ในขณะนั้นเอง ยูน่าที่อาศัยความเร็วระดับสุดยอดยิ่งกว่ากระชากพลาสเตอร์ยาที่แก้มขวาของผมออกจนร้องเสียงหลง
 
     “นั่นเธอทำอะไรของเธอ มันเจ็บนะรู้หรือเปล่า!!”
 
     เด็กหนุ่มรู้สึกตัวช้าไป เพียงความรู้สึกเจ็บแสบบนใบหน้านั้นยังเทียบไม่ได้กับสายตาที่เหมือนกับแบ่งปันความเจ็บปวดร่วมกันของเด็กสาวผมทองที่มองไปยังผิวหนังที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากการกระชากพลาสเตอร์ที่ติดแน่นออกอย่างฉับพลัน และในตอนนั้นเองที่ใบหูของผมได้ยินเสียงลมหายใจเข้าของยูน่าหยุดลงเพียงแค่นั้น
 
     “เลือด…ไหลออกมาใหญ่แล้ว”
 
     สายตาที่แข็งเกร็งด้วยอาลามตกใจของเด็กสาวมองเห็นของเหลวสีแดงสดกำลังซึมออกมาจากปากแผลที่ยังสมานตัวไม่สนิทของเด็กหนุ่มจนเปลี่ยนผิวหนังที่ถูกกรีดเป็นแผลยาวเท่าที่ปิดแผลพอดีให้กลายเป็นผลทับทิมสุกก่อนจะล้นออกมาราวกับแถบผ้าฉลองปีใหม่ที่ขาดริ่ง ผมยกมือขึ้นห้ามเลือดให้หยุดไหลก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำล้างแผลให้สะอาดเพื่อปิดพลาสเตอร์ยาอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งเอาไว้แต่ยูน่าที่ยังตาค้างไม่หาย
 
     และจากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไรอีกเลยจนถึงที่โรงเรียน…
 
 
     วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่ เพราะเช่นนั้นอาจารย์ประจำวิชาต่างๆจึงยังไม่เริ่มการสอนในทันทีเพียงแค่เข้ามาแนะนำการเรียนการสอนเล็กๆน้อยรอเวลาหมดคาบเท่านั้น ส่วนวิชาที่มีตารางเรียนเป็นครั้งที่สองของสัปดาห์อย่างคณิตศาสตร์หรือภาษาไทยก็เริ่มการเรียนการสอนโดยไม่สนใจนักเรียนเลยว่าจะสนใจฟังกันสักกี่คน
 
     หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียน นักเรียนที่จะตั้งตัวขยันเรียนทันทีนั้นเห็นจะมีเพียงพวกเด็กเรียนที่วันๆไม่มีอะไรทำนอกจากการเรียนเท่านั้น ซึ่งพวกนั้นจะถูกจัดเอาไว้เป็นพิเศษในห้องเรียนแรกๆ ส่วนห้องของผมกับยูน่าจะเป็นพวกรั้งท้าย
 
          “มัธยมศึกษาปีที่ห้าห้องห้า”
 
     แต่มันฟังดูน่าหัวเราะมากกว่าที่ว่าทำไมนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างแดนถึงได้ถูกจัดเอาไว้ในห้องเรียนที่เหล่าอาจารย์ให้ความสนใจน้อยที่สุด แทนที่จะเป็นพวกห้องเรียนที่วิเศษเลิศเลอดังห้องเรียนของพวกเด็กเก่งที่พวกอาจารย์ให้ความคาดหวังมากที่สุด
     หรืออาจเป็นเพราะความเป็นนักเรียนจากต่างแดนที่พูดกันคนละภาษาหรือเปล่าที่ทำให้พวกอาจารย์ไม่ค่อยอยากจะสอนพื้นฐานทางภาษาให้จึงถูกจัดให้อยู่ในห้องที่ถูกละเลยที่สุดก็ไม่มีใครทราบ
     แต่ดูเหมือนว่าการที่พวกอาจารย์จัดให้ยูน่าที่ระดับมันสมองเข้าขั้นอัจฉริยะอยู่ในห้องเรียนที่ฟังดูเหมือนเป็นแหล่งกองสุมของ”พวกชั้นล่าง”ของระบบการศึกษานั้นจะเหมือนกับเป็นการทำให้เธอได้เห็นสังคมการศึกษาในมุมมองที่ต่างออกไปจากโลกของพวกเด็กเก่ง
 
     สังคมของพวกเด็กเล่นที่วันๆแทบจะไม่ทำอะไรนอกจากเข้าโรงเรียนมาพบปะกับเพื่อนรอเวลาเลิกเรียนแล้วออกไปเล่นตามความชอบของตนในขณะที่พวกเด็กเรียนที่ว่าใช้เวลาส่วนนั้นในการเรียนกวดวิชาโดยไม่เข้าสังคมกับใคร และเด็กของห้องสี่ห้องห้าหลายคนที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมโรงเรียน คิดเป็นอัตราส่วนถึงเก้าในสิบของคนที่ช่วยงานโรงเรียนทั้งหมด
 
     แต่ไม่รู้ว่าเพราะอคติต่อเด็กเรียนไม่เก่งของพวกอาจารย์หรือเปล่าที่ทำให้พวกเขามองนักเรียนของห้องเด็กอ่อนนี้ว่าเป็นพวกใช้แรงงานแลกสิทธิ์ในการเข้าศึกษาที่นี่
 
 
     คิดไปก็เครียดเปล่าๆ และในขณะนี้ก็ถึงเวลาพักกลางวันแล้วด้วย เอาเรื่องทุกอย่างไปลงกับอาหารที่จะกัดเข้าไปก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร
     “เอาล่ะ! วันที่สี่ของวันเปิดภาคเรียนนี้จะต้องดื่มอาหารทุกอย่างในโรงอาหารให้หมดเลย!” เสียงประกาศใสๆของเด็กสาวดังขึ้นจนทุกสายตาในโรงอาหารแห่งนั้นหันมามองเป็นทางเดียว
 
     “จะให้ฉันบอกสักกี่ครั้งว่าคำว่าดื่มมันใช้กับของจำพวกของเหลวที่ไม่ต้องเคี้ยว! ถ้าจะใช้กับอาหารจานเดียวต้องใช้คำว่า’โซ้ย’ต่างหาก”
 
     “จะอย่างไหนมันก็คือเอาของกินลงกระเพาะหมดนั่นแหละ จะว่าไปแผลนั่นหายดีแล้วสินะ” ยูน่าพูดพลางชี้นิ้วไปบนแก้มขวาของตัวเองราวกับรหัสลับอะไรบางอย่าง
 
     “ไม่มีทางที่แผลโดนมีดบาดจะหายสนิทในเวลาแค่ไม่ถึงสิบชั่วโมงหรอกน่า ว่าแต่เธอเลือกได้หรือยังว่าจะกินอะไร”
 
     “ยังเลย ถ้าอย่างนั้นฉันขอเอาน้ำขาวๆข้นๆของนายก็แล้วกัน!”
 
 
     เพียงคำพูดประโยคเดียวของเด็กสาวผมทองที่ยังไม่ประสาด้านการใช้ศัพท์อย่างถูกไวยากรณ์ที่เจือไปด้วยรอยยิ้มก็มีพลังทำลายรุนแรงจนทุกคนในโรงอาหารที่ได้ยินทุกคำพูดของหนุ่มสาวสองคนที่ติดกันจนแทบจะเรียกได้ว่ามีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันหันกลับมามองพวกช่างมุงอีกรอบหนึ่ง ผมได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างที่ไม่เข้าหูเอาเสียเลย
 
     ดังเช่น ‘สองคนนี้ไปกันเร็วกว่าที่คิดอีกเว้ย’ บ้างล่ะ หรือไม่ก็ ‘ขนาดเรากับแฟนคบกันตั้งสองเดือนยังเดินหมากไม่เร็วขนาดนี้เลย นี่เพิ่งเปิดเทอมแค่สี่วันก็”โอ๊วเย”กันเลยเหรอเนี่ย!’ บ้างล่ะ เสียงนกเสียงกานี่ช่างประสานเสียงกันจนหนวกหูเสียจริง
 
     แต่ผมที่ตกเป็นเป้านินทาก็ยังคงทำเป็นนิ่งต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ทั้งที่ปฏิกิริยาทางเคมีต่อคลื่นสั่นพ้องเหล่านั้นจะทำให้เข่าของผมแทบจะทรุดลงคุกเข่ากับพื้นซะเดี๋ยวนั้นเลย
 
 
     “ถ้างั้นเอาเป็นต้มข่าไก่สองที่ก็แล้วกันครับ”
     ผมออกแรงสลัดความคิดประหลาดๆที่มีให้กับเด็กสาวผมทองด้านหลังก่อนจะชูนิ้วขึ้นสองนิ้วเป็นการยืนยันการตัดสินใจของตัวเอง และอีกไม่กี่วินาทีถัดมา ข้าวสวยราดต้มข่าไก่สองจานก็ถูกยื่นให้ในมือ มือของผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเงินค่าอาหารให้กับป้าเจ้าของร้านข้าวก่อนจะรับเอาข้าวส่วนของสองคนเดินออกจากแถวไปยังที่นั่งประจำของห้องซึ่งถูกจัดเอาไว้บริเวณด้านในสุดของโรงอาหาร ที่กว่าจะเข้าไปได้ก็ลำบากพอดู
 
     “นี่ๆสิงหา เจ้าซุปขาวๆข้นๆนั่นรสชาติเป็นยังไงเหรอ ฉันไม่เคยลองกินเลยสักครั้งเดียวนะ” ยูน่าเข้าเซ้าซี้หัวไหล่ผมในระหว่างที่กำลังถือจานข้าวของทั้งสองคนเอาไว้จนแขนทั้งสองสั่นไม่เป็นจังหวะ แต่ไม่ใช่เพราะหนักหรือเมื่อยอะไรหรอกนะ
 
     “เลิกเรียกต้มข่าไก่ว่าซุปขาวข้นนั่นสักทีเถอะ ถ้าฉันจะโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกเข้าสักวันมันก็เป็นความผิดของเธอนั่นแหละ”
 
     “ซุปสีขาวแล้วทำไมถ้าใจอยากจะเรียก จะว่าไปโรงอาหารนี่ก็ดูแคบจังเลยนะ น่าจะมีการปรับปรุงสักหน่อยคงจะเดินสะดวกกว่านี้เยอะเลยล่ะ”
 
     “เป็นแค่บิทช์แท้ๆแต่ก็คิดเยอะเป็นเหมือนกันนี่นา ปกติแล้วโรงอาหารนี่มันก็กว้างดีอยู่หรอก แต่บริเวณที่กว้างๆนั่นโดนพวกห้องบนๆแย่งไปจนหมดแล้วนี่นา เพราะงั้นพวกเราก็เลยต้องไปเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมเล็กๆนั่นไงล่ะ”
 
     ผมพายูน่าไปยังที่นั่งกินประจำของพวกเราที่มีเพื่อนร่วมห้องช่วยจองที่นั่งที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ตามจริงถ้าพวกที่มาจากห้องการเรียนดีเลิศแต่กิจกรรมไม่เอาสักอย่างไม่นั่งกินที่เข้าไปถึงสามคนด้วยตัวคนเดียวก็คงจะพอมีที่ให้พวกเราหายใจสะดวกอยู่หรอก แต่ดูเหมือนพวกอาจารย์จะไม่ค่อยสนใจดูแลเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
 
     ราวกับเป็นสิทธิพิเศษของพวก’ชั้นสูง’ที่จะปฏิบัติกับพวกชั้นล่างยังไงก็ได้ไม่มีผิด
 
 
     “ช่างมันเถอะ… เพราะยังไงพวกนั้นก็คงมีอาจารย์หนุนหลังอยู่นั่นแหละถึงได้ทำแบบนี้ได้ อีกอย่างอยู่อย่างนี้พวกเราก็จะได้ทำความรู้จักกันได้ง่ายกว่าล่ะนะ”
 
     ผมก้มหน้าก้มตาจัดวางจานข้าวของผมกับเพื่อนร่วมชายคาลงบนโต๊ะทานอาหารอย่างใจเย็นเพื่อไม่ให้น้ำแกงหกออกมาข้างนอกจนเลอะแขนคนข้างๆ แต่ในตอนนั้นเองที่สัมผัสที่หกของผมระลึกได้ถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่กำลังจู่โจมมายังดวงตาทั้งสองข้าง
 
     เหตุมาจากระหว่างที่ผมกำลังคุยอยู่กับยูน่านั้นได้เดินผ่านจุดรับช้อนส้อมไปอย่างน่าเสียดายที่สุด และกว่าที่จะเดินกลับไปได้ก็ต้องเบียดเสียดกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่ตกมาอยู่ห้องสี่ห้องห้าเช่นเดียวกันทำให้ต้องเสียเวลามาก ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปด้วยตัวเองโดยให้ยูน่ารออยู่ที่โต๊ะเฉยๆ
 
 
     เด็กหนุ่มเดินออกไปจากโต๊ะทานข้าวได้อย่างทุลักทุเลเพราะจำนวนนักเรียนที่อัดแน่นเป็นปลายิ้ม จนเวลาผ่านไปราวๆสองนาทีก็ยังออกมาจากที่เดิมได้ไม่ถึงสิบเมตร แต่เพราะสายตาของผมมองเห็นเพื่อนร่วมห้องกำลังจะหยิบตะเกียบอยู่พอดีจึงตะโกนขอให้หยิบช้อนส้อมมาเผื่อสองคู่ด้วย เช่นนั้นเองที่ทำให้ผมสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นมาก
 
     แต่ในระหว่างที่กำลังรอรับช้อนจากเพื่อนร่วมห้องที่กำลังเดินมาหานั้นเอง สายตาของทั้งสองข้างก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย ระดับความอันตรายประเภทที่ว่าเพียงหางตาสัมผัสถูกก็ต้องกระชากกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมด้วยความเร็วที่เทียบเคียงกับหมัดของซิลเวอร์เซนต์ จนกระทั่งผมรวบรวมความกล้าในการที่จะหันกลับไปมองสิ่งๆนั้นอีกครั้งหนึ่ง
 
     ในชั่วพริบตาเดียวกันนั้นเอง ปลายจมูกของเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาของอะไรบางอย่างที่เรียวเป็นเส้นเล็กๆหลายสิบเส้นแตะเข้าอย่างจัง พร้อมกันนั้นไหล่ของผมก็ถูกกระทบจนเอียงไปด้านหลัง พริบตาถัดมาศีรษะของใครคนนั้นก็ก้มลงนิดๆเป็นการขอโทษแบบห้วนๆ
 
 
     --- ผมสีดำเรียบถูกตัดให้สั้นราวกับผู้ชายขายเกาเหลา รูปร่างผอมเพรียวราวกับผ่านการไดเอ็ทที่ถูกขั้นตอนมาเป็นอย่างดี ส่วนสูง สีผิวเหลืองน้ำผึ้งที่เหมือนกับผ่านแดดมาเป็นเวลานานพอสมควรประกอบกับปลายแขนที่ดูมีกล้ามหน่อยๆช่างดูผิดกับใบหน้าที่สะสวยแบบเป็นธรรมชาติของเธอเสียเหลือเกิน หากว่าผมของเธอคนนั้นมีกลิ่นหอมของแชมพูลอยออกมาด้วยก็น่าจะได้คะแนนราวๆเก้าเต็มสิบอยู่หรอก ---
 
 
     “เฮ้ย ตาเคลิ้มเลยนะเอ็ง สนใจเด็กคนนั้นอยู่เหรอ” กว่าที่ผมจะตั้งสติกลับมาได้ก็จนเพื่อนของผมมาสะกิดสีข้างจนกระตุกขึ้นแล้ว และเด็กสาวคนนั้นก็เดินจากไปเป็นที่เรียบร้อย
 
     “จะบ้าหรือเปล่า อย่างฉันไม่มีทางสนใจสาวถึกและบึกบึนแบบนั้นหรอกน่า!” ผมบ่ายเบี่ยงได้น่าสงสัยมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
 
     “ดูเหมือนว่าเด็กคนเมื่อกี้จะเป็นรุ่นน้องปีสี่ล่ะมั้ง เห็นว่าอยู่ห้องห้าเหมือนกันด้วยนี่นา ห้องห้ากับห้องห้าชอบพอกันก็สมกันดีแล้วนี่เนอะ”
 
     “สมกันดีพี่คุณสิครับ แล้วอีกอย่างเมื่อกี้เรียกน้องคนนั้นซะเหมือนกับรุ่นพี่มหาลัยเลยไม่ใช่เหรอ ที่กระผมพูดเมื่อกี้คุณเอ็งไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม!”
 
     ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็หันรีหันขวางมองตามหลังรุ่นน้องที่เดินชนไหล่เมื่อครู่นี้ไปเผื่อว่าเธอจะยังคงอยู่ในโรงอาหารในขอบเขตที่พอจะจับลักษณะเด่นได้ ซึ่งก็คว้าน้ำเหลว…
 
     แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ตามกวนใจผมมาตั้งแต่เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นครั้งแรกก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของผม
 
     พลาสเตอร์ที่ปิดจมูกและแก้มซ้ายของเด็กคนนั้น... เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่หัวขโมยที่งัดหน้าต่างบ้านเมื่อคืนได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ป้องกันตัวเมื่อคืนนั่นเอง
 
     และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้หลังจากที่รุ่นน้องจอแบนคนนั้นเงยหน้าขึ้นในตอนที่ก้มตัวลงขอโทษเมื่อครู่นี้ เป็นความรู้สึกที่หนาวสันหลังจนขยับไม่ได้ไปชั่วครู่หนึ่ง ผมเห็นริมฝีปากและนัยน์ตาของเธอคนนั้นกำลังมีท่าทีตกใจเหมือนกับเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้า บางอย่างที่เป็นความทรงจำอันแสนเลวร้ายของเธอเอง
 
     ผมยังคงยืนขวางทางเดินอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปยังโต๊ะประจำของตัวเองเพื่อทานข้าวเที่ยงให้หมดก่อนจะกลับไปนอนต่อที่ห้อง โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ารุ่นน้องคนนั้นยังคงจับตามองผมอยู่ที่ซอกหลีบบันไดขึ้นตึกเรียน และยังมองมาแบบไม่วางตาอีกด้วย
 
     “มันจะดำเนินอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่านายจะทำอะไรที่ไม่สมควรทำอย่างที่สุด แล้วตอนนั้นฉันจะเป็นคนจัดการนายเอง รุ่นพี่…ที่แสนน่ารัก”
 
     เธอคนนั้นหันหลังกลับขึ้นห้องเรียนอย่างเชื่องช้า ราวกับว่ากำลังเฝ้ามองอะไรบางอย่างด้วยดวงตาแห่งอินทรีที่กำลังจับตามองเหยื่อที่คืบคลานอยู่บนพื้นดินโล่งๆ
 
 
 
     วันเสาร์หลังจากเปิดภาคเรียนมาได้หนึ่งสัปดาห์ตามปกติแล้วจะเป็นวันเรียนพิเศษครั้งแรกของเหล่านักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยไม่เป็นที่พึงพอใจของทางโรงเรียนโดยจะมีอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ควบคุมดูแลกิจกรรมการเรียนการสอนเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งนักเรียนของห้องเรียนระดับล่างๆที่เกรดเฉลี่ยอยู่ในขั้นอันตรายรวมไปถึงนักเรียนเข้าใหม่ที่มีคะแนนสอบเข้าอยู่ในเกณฑ์ไม่ผ่านครึ่งก็ต้องถูกบังคับให้เรียนเช่นเดียวกัน เว้นแต่จะเป็นพวกที่ทางบ้านไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนเท่านั้นที่จะได้รับการยกเว้น
 
     ซึ่งในบรรดานักเรียนทั้งหมดนั้น พวกที่ได้เรียนในห้องเรียนระดับบนๆนั้นจะเป็นพวกที่ทางบ้านมีเงินส่งเรียนพิเศษจนสามารถทำข้อสอบได้คะแนนสูงๆทั้งนั้น จึงดูเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับพวกที่ได้รับเงินดูแลจากครอบครัวรายเดือนไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมสามารถหลุดพ้นจากคำพูดทำนองเสียดแทงของพวกอาจารย์สอนพิเศษที่โรงเรียนได้นั่นแหละ
 
     “ทำไมคนอย่างฉันถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย” เด็กสาวคนหนึ่งทำหน้านิ่วอยู่ข้างๆเด็กหนุ่มที่ดูมีประสบการณ์ช่ำชองมากว่าห้าสิบปี
 
     “เธอมาอาศัยบ้านของฉันอยู่ถูกไหม? เพราะอย่างนั้นเธอก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยเหมือนกัน เอาริมฝีปากบนประกบริมฝีปากล่างแล้วทำตามหน้าที่ของเธอไปซะ”
 
 
     หนุ่มสาวสองคนกำลังกระทำการบางอย่างที่เร่งเร้าให้เหงื่อไหลออกเหมือนเปิดประตูระบายน้ำใต้ชายคาที่มีสิ่งของฝุ่นเขรอะที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บจนกลายเป็นเสียงหอบแฮ่กกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของเด็กหนุ่มให้ขับเคลื่อนไปตามความปรารถนาของตัวเอง
 
     “แต่ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนนะ อยู่ๆจะให้ฉันทำอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า” เด็กสาวทำเสียงเสียงหอบพร้อมกับขยับร่างกายไปตามที่เด็กหนุ่มที่ให้ที่พักอาศัยกับเธอขอร้องเอาไว้ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก
 
     “ปากบอกว่าไม่เคยทำแต่ก็ทำได้เยี่ยมเลยไม่ใช่เหรอ สมแล้วที่ได้ชื่อเล่นว่า’บิทช์’ คนตั้งชื่อนั่นให้เธอจะต้องตาแหลมมากแน่ๆ”
 
     “ก็คนที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเลิกเรียกฉันว่าบิทช์อย่างนั้น บิทช์อย่างนี้สักทีจะได้หรือเปล่า นอกจากนั้นนายจะเรียกฉันว่ายังไงก็แล้วแต่นายเลย”
 
     เด็กสาวหน้าแดงก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเหมือนกำลังเตรียมตัวรับสถานการณ์บางอย่าง แต่สีหน้าของเธอในตอนนี้ประกอบกับหยาดเหงื่อที่ไหลออกจากร่างของเธอนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มมองเธอต่างออกไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา
 
     “คง…ได้ล่ะมั้ง ถ้าอย่างนั้นฉันจะเริ่มล่ะนะ เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน ผ่อนคลายเข้าไว้นะ ยัยพะยูน”
 
     เด็กสาวผมทองหลบสายตาของเด็กหนุ่มพักหนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มชวนหลงใหลออกมาจนผมต้องกลายเป็นฝ่ายหลบตาเธอเสียเอง เธอผ่อนคลายอิริยาบทเต็มที่เพื่อรอรับบทบรรเลงท่วงทำนองแห่งสายสัมพันธ์คู่ระหว่างพวกเธออย่างเต็มใจ ขณะนี้หนุ่มสาวที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อที่พรั่งพรูออกจากทุกส่วนกำลังหันหน้าเข้าหากัน ในระยะที่ใกล้มากจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อบอุ่นของกันและกัน
 
     “ขอเป็นชื่ออื่นได้หรือเปล่า ชื่อพะยูนมันฟังดูไม่เหมาะกับผู้หญิงเลยสักนิด”
 
     “ถ้าอย่างนั้นจะเอายังไงดี ช่างมันเถอะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าไหม---”
 
     เด็กหนุ่มหันสายตากลับมายังเด็กสาวที่หน้าแดงเป็นกลีบกุหลาบเลี่ยมทองด้วยท่าทางไม่ค่อยชินกับการถูกเด็กสาวน่ารักอย่างเธอมองในระยะใกล้ขนาดนี้สักเท่าไหร่ ตอนนั้นเองที่ผมเกร็งอวัยวะส่วนสำคัญที่สุดในกิจกรรมในร่มครั้งนี้ด้วยพลังทั้งหมดจนเด็กสาวทำอะไรไม่ถูกนอกจากมองไปที่มันด้วยสายตาที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
     “--- ยูน่า...”
 
     “เอาเลย เอาให้สุดแรงไปเลย ต้นตำนานแห่งเซนต์เซย์ย่า!”  *เธอกำลังหมายถึงกลุ่มดาวสิงโต (สิงหา) นั่นเอง
 
     ผมทุ่มกำลังไปยังร่างกายนั้นอย่างสุดกำลังจนอวัยวะที่ออกแรงมากที่สุดสั่นด้วยความรู้สึกที่ส่งตรงไปยังส่วนปลายของมันจนกระตุกขึ้นลงเป็นจังหวะเหมือนนักกล้ามที่ฝึกฝนร่างกายแค่ในระยะเบื้องต้น แต่แค่นั้นก็มากเพียงพอแล้วที่ทำให้นักกิจกรรมโรงเรียนตัวยงอย่างผมสามารถทำมันได้อย่างสะดวก
 
     “ปัดโธ่เฟ้ย! ทำไมไอ้กล่องรุ่นบรรพบุรุษต้นตระกูลลังกระดาษนี่มันถึงได้หนักจังฟะ!!”
 
 
 
     เช้าวันเสาร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและแสงอาทิตย์ที่แรงกล้านั้น บรรดาเด็กเรียนที่ตั้งเป้าไว้อย่างมั่นหมายว่าจะเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงต่างก็ออกจากบ้านที่น่าจะได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดพักผ่อนอย่างสนุกสนานมาเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเพื่อที่จะมาเรียนเสริมกอบโกยความรู้เข้าหาตัวให้ได้มากที่สุด
     
 
     สังเกตจากสีหน้าของทุกคนที่เดินผ่านไปมาหน้าร้านสะดวกซื้อที่ผมกำลังทำงานพิเศษช่วงเลิกเรียนนั้นดูเหมือนกับพวกเขาไม่ได้รังเกียจที่จะยัดเยียดความรู้ที่มากเกินกว่าสมองจะรองรับได้ได้เลยสักนิด ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำงานอยู่ในร้านนั้นหรอกนะ แต่เป็นถัดจากหน้าร้านนั้นไปอีกหน่อยต่างหาก
 
     แต่ในขณะเดียวกันแววตาของพวกเด็กเรียนเหล่านั้นก็ดูไม่มีประกายดังเช่นเพื่อนร่วมห้องที่ถูกอาจารย์หมางเมินเลยสักนิด สายตาที่มองไปยังทางข้างหน้านั้นเหมือนกับคนที่โดนสะกดจิตให้พูดเป็นแต่คำว่า ”ฉันจะต้องเก่งยิ่งกว่าใครทั้งหมด” หรือไม่ก็ ”ฉันจะต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงให้ได้อย่างแน่นอน” ราวกับพวกปลาตากแห้งที่มีแต่รสเค็มเท่านั้นไม่มีผิด
 
     “แวะเข้ามาก่อนได้นะครับ มีทั้งน้ำเฉาก๊วยเย็นๆ ทั้งน้ำดื่มเย็นชื่นใจราคาเบาๆนะครับ สนใจเชิญเข้ามาซื้อได้เลยครับ”
 
     ผมส่งเสียงเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาอยู่หน้าสถาบันกวดวิชา”วงเวียนปานกลาง”ด้วยกำลังเสียงเกือบทั้งหมดที่มีเพื่อให้พวกเขาที่อาจจะรู้สึกกระหายจากอากาศที่ร้อนผิดปกติให้เข้ามาเลือกดูเครื่องดื่มดับกระหายที่ผมตั้งเอาไว้บนร้านตั้งพื้นเป็นตัวอย่างสินค้าที่มีโดยเก็บเสียงสุดลำคอเอาไว้ตะคอกใส่หน้าผู้ช่วยสาวที่เตรียมของอยู่ด้านหลัง แต่ระหว่างที่กำลังรอลูกค้าที่เดินผ่านไปมานั้นเอง ผมก็ได้ยินคำพูดทำนองที่คล้ายๆกับที่ได้ยินจากปากอาจารย์หรือพวกห้องบนๆทั้งนั้น
 
 
     เป็นคำพูดประมาณว่า “สงสัยตอนมีโอกาสได้เรียนไม่ตั้งใจเลยต้องมาหาเงินด้วยวิธีนี้” หรือไม่ก็ “ลูกต้องตั้งใจเรียนนะจะได้ไม่ต้องมาทำงานงกๆๆแบบพี่เขา”
 
     โธ่เฟ้ย!! ก็ถ้าไอ้พวกอาจารย์มหาบรรลัยนั่นตั้งใจสอนห้องห้าอย่างฉันเหมือนที่สอนพวกห้องหนึ่งห้องสองฉันก็คงมีความรู้พอจะไปต่อยอดแบบพวกคุณอยู่หรอก แล้วอีกอย่างบ้านก็ไม่ได้มีเงินจะไปเรียนพิเศษหรูหราโอ่อ่าอย่างพวกคุณมึงสักหน่อย!! แถมดีไม่ดีคุณกระผมอาจจะไม่ได้เรียนต่อมหาลัยด้วยก้ได้
 
 
     ถ้าจะให้พูดก็พูดเถอะ ถ้าให้วัดกันระหว่างผมกับคุณ คุณน่ะเรียนรู้วิชาการไปได้ความรู้เอาไว้ต่อสู้ในเวทีสอบเข้าเรียนต่อได้ แต่ไอ้กระผมนี่เรียนรู้วิชาชีพเอาไว้ใช้ต่อสู้ในสังเวียนชีวิตเลยนะครับ! ระดับของพวกเรามันต่างกันเฟ้ย!!
 
     “ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้ามาซื้อมากเท่าไหร่เลยนะ นี่ขนาดเด็กสาวแสนสวยอุตส่าห์สละเวลามาตั้งร้านด้วยแล้วแท้ๆนะ”
 
     “ความน่ารักใช้ไม่ได้ผลกับพวกเด็กเรียนที่ไม่สนใจผู้หญิงหรอกน่า ต่อให้เป็น’บิทช์’อย่างเธอก็ตามทีเถอะ”
 
     “แม้แต่บิทช์อย่างฉัน… ช่างมันเถอะ ช่วยกันคิดหน่อยสิว่าทำยังไงถึงจะทำให้มีลูกค้าเข้าร้านเราเยอะๆ ขืนเป็นแบบนี้พวกเราได้อดตายกันพอดีน่ะสิ”
 
     “เฮ้ย! ใช้คำพูดผิดไวยากรณ์อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดกันพอดีสิฟะ!”
 
 
     ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปช่วงหนึ่ง ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมายังพวกเราทั้งสองคนเหมือนกับคู่รักที่พลาดพลั้งในการใช้หมากฝรั่งสามชิ้น45บาทในการป้องกันผลลัพธ์อันแสนเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เวลาตัวผู้อยู่ในช่วงติดสัด ทั้งๆที่ตามจริงยูน่าแค่ตามผมมาออกร้านเพราะความนึกสนุกเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะผมสีทองที่ดูแปลกในสายตาคนรอบข้างล่ะมั้งที่ทำให้ถูกมองว่าเราเป็นพวกพ่อค้ารุ่นเยาว์ที่ขายของมีชีวิตไปวันๆ
 
     แต่สวรรค์ก็ไม่ทอดทิ้งลูกแกะที่น่าสงสารเมื่อลูกค้าขาประจำของผมแวะเข้ามาซื้อน้ำดื่มจากร้านของผมช่วงวันหยุดเพื่อบรรเทาความร้อนที่สุดจะบรรยายในช่วงสายพร้อมทั้งชวนทั้งสองคุยกันอย่างเปิดอก
 
     และผมก็คิดเอาไว้แล้วว่าคำถามแรกที่เหล่าลูกค้าขาประจำจะต้องถามก็คือ 'เรื่องของเด็กสาวผมทองที่มาด้วยกันนั่นเอง' ซึ่งผมก็ได้ตัดบทไปว่าเป็นเพียงคนรู้จักที่บังเอิญอยากได้ส่วนแบ่งกำไรเท่านั้น และเหมือนว่าพวกลูกค้าก็เชื่อซะด้วย
 
     และในช่วงบ่ายวันนั้นหลังจากที่การเรียนพิเศษที่แสนน่าเบื่อหน่ายของเพื่อนร่วมห้องเสร็จสิ้นลง ผมก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมากจากการช่วยอุดหนุนของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่สู้อุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมเยียนร้านตั้งพื้นของผม และหลังจากนั้นการหารายได้เสริมของนักเรียนห้องห้าก็ได้เริ่มขึ้น
 
     ไม่ว่าจะเป็นการช่วยพ่อแม่ประกอบกิจการร้านค้า, การเล่นดนตรีเปิดหมวก รวมไปถึงการรับจ้างทำอุปกรณ์ประกอบฉากของโทรทัศน์ที่มีผลงานออกสู่จอแก้วให้เห็นบ่อยๆ แน่นอนว่าที่พวกเราทำไปทั้งหมดก็เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเสียตั้งแต่เนิ่นๆโดยหารายได้เข้ากระเป๋าในเวลาเดียวกัน ทั้งผมและยูน่าสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีรอยยิ้มของนักเรียนชั้นเดียวกันห้องไหนจะสดใสได้เท่าห้องของเราอีกแล้ว
 
     นั่นจึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของห้องรั้งท้ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
 
 
     แต่รอยยิ้มก็ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เมื่อสิ่งที่ผมคาดเอาไว้เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น กิจการค้าเครื่องดื่มของผมดำเนินไปได้เพียงครึ่งวันเท่านั้นเพราะสินค้าเกิดขาดตลาดขึ้นมา ในระหว่างที่ผมกำลังรอให้ลูกมือเปิดกล่องโฟมที่ภายในมีสินค้าล็อตใหม่ที่มีน้ำแข็งคอยให้ความเย็นอยู่ตลอดเวลาเพื่อออกขายอีกครั้งหนึ่ง
 
     เพียงสายตาของผมหันกลับไปมองเด็กสาวที่ยกกล่องโฟมลุกขึ้นไปช่วยยูน่าขนมันมายังเสื่อจักสานนั่นเอง เงินส่วนที่ผมเตรียมเอาไว้ทอนเงินจากลูกค้าก็ถูกใครในเสื้อกันหนาวสีดำมีฮู้ดพร้อมใส่หมวกปิดใบหน้าขโมยไปซะเกลี้ยง ซ้ำยังต่อหน้าต่อตาเพื่อนๆของผมอีกด้วย นอกจากนั้นยังสังเกตเห็นว่าที่แก้มซ้ายของใครคนนั้นมีรอยถลอกสีน้ำตาลปรากฏอยู่เป็นแถบสีจางๆ!
 
     “หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าหัวขโมยตังค์ทอน! ฉันบอกว่าให้หยุดไง!!” เพื่อนของผมที่กำลังเล่นดนตรีเปิดหมวกอยู่ข้างๆตะโกนไล่หลังใครคนนั้นไปพร้อมกับเตรียมวิ่งไล่ตามไป แต่ในตอนนั้นเองที่ผมออกตัววิ่งนำไปก่อนอย่างสุดแรงเร่ง
 
 
             “พวกแกอยู่ตรงนี้แหละ! เดี๋ยวฉันตามมันไปเอง!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา