เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.
แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) การเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์กับการพูดคุยยามค่ำคืน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ กลางดึกคืนถัดมา เสียงเคาะประตูที่แสนน่ารำคาญก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนเด็กหนุ่มที่กำลังบรรลุจุดสุดยอดแห่งการสังหารหมู่ต้องจำเดินออกจากจุดประจำมาเปิดประตูรอรับฟังการเคลมที่แสนน่าเบื่อพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งในมือราวกับเป็นกิจวัตรไปแล้ว และเมื่อผมบิดกลอนประตูปลดล็อกบานประตูที่กั้นขวางระหว่างตัวเขากับผู้มาเยือนจากต่างแดน
ใบหน้าบูดบึ้งอันเป็นที่คุ้นเคยของเด็กสาวผมทองก็ถึงเวลาระบายความไม่พอใจออกมา ราวกับว่าแม้การช่วยจัดห้องของเธอจะผ่านไปเกือบห้าวันแล้วก็ตาม ผมก็ไม่เคยสร้างความประทับใจให้กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ถึงตอนนี้ยังจะมีอะไรจะเคลมกับฉันอีกหรือไง ถ้าจะลอกการบ้านละก็นี่!” ผมพูดพร้อมกับยื่นสมุดในมือให้กับเธอ
“ป-เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย ถ้าเป็นเรื่องให้สอนการบ้านฉันก็จะมาปรึกษานายทุกสามทุ่มอยู่แล้ว”
เด็กสาวผมทองเหลือบมองนาฬิกาภายในห้องของเด็กหนุ่มที่กำลังชี้บอกเวลาเลยสี่ทุ่มไปแล้ว การช่วยติวเรื่องการบ้านและหลักภาษาไทยของเธอได้จบลงไปเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดแปลกไปจากเดิมนอกจากน้ำเสียงที่ต่างออกไปจากที่โรงเรียนนั้นก็เห็นจะเป็น สีหน้าขี้อายที่ต่างออกไปจากสมญานามของเธอลิบลับ จนความรู้สึกที่ผมมีให้กับเธอในตอนนี้คล้ายกับช่วงที่พวกเราได้พบกันในวันแรกไม่มีผิด
“ก็นั่นสินะ ว่าแต่การที่สาวสวิสอย่างเธอพูดภาษาไทยซะฉะฉานเกือบทุกพยางค์ขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรให้สอนอีกแล้วล่ะมั้ง ว่าแต่ที่เธอมาห้องฉันตอนดึกดื่นที่ฉันกำลังจะฆ่าล้างตระกูลลูกหลานแบบนี้คงไม่กลัวโดนทำอะไรแปลกๆใช่ไหม”
“ถ้านายจะทำแบบนั้นจริงๆก็ช่วยทำอย่างนุ่มนวลหน่อยล่ะ แล้วเวลาจะเปิดหนังอย่างว่าดูตอนเที่ยงคืนก็ช่วยลดเสียงคอมลงหน่อยได้ไหม เวลาจะข่มตานอนแต่ละทีนี่มีแต่เสียงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ร้องซะ อึ้ย..! ไม่อยากจะพูด”
เด็กสาวกอดแขนตัวเองทำสายตาขยะแขยงใส่โฮสต์หนุ่ม(ที่มาจากความผิดพลาดของทางสถานทูต)จนอีกฝ่ายเริ่มอารมณ์ขึ้น ยูน่าเริ่มแสดงอาการแบบนี้ออกมาอย่างเปิดเผยตั้งแต่ที่ผมตั้งชื่อเล่นสุดเสื่อมให้เมื่อเช้าวันก่อน และทุกๆครั้งที่ยูน่าชายตามองผมไม่ว่าจะในระยะไกลหรือใกล้กันจนเกือบจะเอาริมฝีปากแนบกันได้ตลอดตั้งแต่ที่โรงเรียนไม่เว้นกระทั่งในบ้านก็แสดงออกให้เห็นถึงท่าทางเมินใส่ราวกับเป็นบุคคลที่สมควรถูกรังเกียจจากฝ่ายหญิงเท่านั้น
เช่นนั้นเองสายตาที่ผมมองกลับไปยังเธอนับตั้งแต่ที่ถูกสัมผัสอันกระชับและจมยวบของยูน่าสลักเข้าที่ลำแขนในวันเดียวกันนั้นก็ได้เปลี่ยนสายตาที่เคยเอ็นดูไปเป็นสายตาของผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิงที่ปราศจากความรักนวลสงวนตัวคนหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นเธอมาทำอะไรที่ห้องของฉันกันแน่ แล้วที่บอกว่าให้นุ่มนวลหน่อยมันหมายความว่ายังไง หรือจะบอกเป็นนัยๆว่าที่มาห้องของฉันก็แค่มาคุยแก้เหงาปากเท่านั้น ยัยบิทช์!”
“จริงๆแล้วฉันจะมาคุยเรื่องที่โรงเรียนนิดหน่อย… เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ!”
“ก็’บิทช์’ไง ยัยบิทช์! จะว่าไปชื่อนี้ก็ดูสมกับผู้หญิงที่ชอบเอานมนาบหน้า(แขน)อย่างเธอดีแล้วนี่ ถ้าจะเปลี่ยนชื่อยูน่ามาใช้ชื่อนี้เลยก็จะดีมากเลยนะ”
“ไว้พรุ่งนี้ฉันจะไป… เดี๋ยวสิ! เลิกเรียกฉานว่า บิทช์ บิทช์ บิทช์ สักทีจะได้ไหม แล้วไอ้ที่นายดูแลเอาใจส่ายฉันในวันแรกที่ฉันเข้ามามันหายไปไหนซะหมดแล้วล่ะ”
“จะเปลี่ยนชื่ออีกสักกี่ครั้ง บิทช์ก็ยังเป็นบิทช์อยู่ดีนั่นแหละน่า จะว่าไปเธอมีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่เรอะ รีบๆพูดมาแล้วออกจากห้องฉันไปซะ!”
ผมขมวดคิ้วพูดด้วยความหงุดหงิดที่ต้องมาทะเลาะทางวาจากับสาวน้อยโฮมสเตย์ทุกค่ำคืนจนแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองสักนาทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเธอคนนั้นดันเอาสัมผัสชวนเสียเลือดมากระตุ้นความต้องการส่วนลึกของชายหนุ่มจนอยู่ไม่สุขแม้จะอยู่ตามลำพังคนเดียว
และตามข้อบังคับที่ไม่เป็นทางการของสถานทูตที่บัญญัติเอาไว้สำหรับเหล่าโฮสต์ที่ให้ที่พักอาศัยแก่นักเรียนแลกเปลี่ยนจะต้องให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นกับพวกเธออีกด้วย ถึงแม้ว่าเธอคนนั้นจะมีพฤติกรรมที่น่ารำคาญสักเท่าไหร่ก็ตาม
“โห! นี่คือเว็บไซต์ที่พวกวัยรุ่นไทยชอบเข้ามากที่สุดเหรอ ฉันเพิ่งจะเคยมาเห็นของจริงก็วันนี้แหละ สุดยอดไปเลยนะ”
ในจังหวะที่ผมเผลอลดการ์ดลงหลังจากที่ได้ปลดปล่อยเมฆครึ้มในใจออกมาจนกลับมาแจ่มใสดังครั้งก่อนจะเปิดประตูรับแขก ยูน่าที่สังเกตเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านในห้องยังมีแสงหน้าจอและเสียงลมจากตัวCPUดังออกมาตลอดเวลาจึงฉวยโอกาสรีบวิ่งผ่านหน้าเข้าไปสำรวจสิ่งที่โฮสต์ของเธอกำลังใช้เวลาหมกมุ่นอยู่จนไม่สามารถผละออกมาเปิดประตูให้เธอในการเคาะครั้งแรกได้
และสิ่งที่เธอพบเมื่อกดลงไปบนแถบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากที่เขย่าเมาส์ไปมาเพื่อให้หน้าจอที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั้นเอง เธอก็พบกับหน้าเว็บที่มีแต่ภาษาต่างประเทศในสายตาของเธอทั้งนั้น
“เฮ้ย! อย่าไปแตะอะไรแปลกๆเข้าเชียวนะ ที่สำคัญกว่าคือรีบๆลุกออกไปจากเก้าอี้ของฉันซะ ยัยบิทช์” ผมทำเสียงขู่ใส่เด็กสาวขี้สงสัยที่แย่งกรรมสิทธิ์การผ่อนคลายสมองไปอย่างดื้อๆ จนในที่สุดยูน่าก็หันสายตาอันเป็นประกายกลับมามองที่ผม
“นี่… เจ้านี่อ่านว่าอะไรเหรอ” ยูน่าพูดพลางชี้นิ้วไล่ตามตามคำที่มีตัวการันต์และสระวางอยู่ผิดที่ผิดทาง ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติที่เพิ่งจะคล่องด้านการฟังพูดย่อมไม่มีทางอ่านมันได้
“ไหนๆ กรรมสิทธิ์(กำ-มะ-สิด) ตัวอักษรที่มีตัวการันต์ครอบอยู่ไม่ต้องออกเสียง ส่วนตัว’-รรม’ก็ออกเสียงเป็น’อัม’ สำหรับเธอคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยนะที่จะอ่านคำพวกนี้ออก แต่มันคงไม่ยากสำหรับคนที่พัฒนาสำเนียงภาษาไทยได้ในเวลาแค่สามวันอย่างเธอหรอกจริงไหม?”
สายตาขี้สงสัยของยูน่าได้ทำให้ความขุ่นเคืองในใจของเด็กหนุ่มที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ในห้องของเธอพอลดลงมาบ้าง ผมถอนหายใจยาวๆให้กับความช่างสงสัยของเธอก่อนจะตั้งสมาธิในการสอนหลักภาษาให้กับชาวต่างชาติที่มีความใฝ่รู้ในวัฒนธรรมของไทยอย่างแท้จริงเป็นค่าล่วงเวลา
ผมปล่อยให้ยูน่ากดสำรวจหน้าเว็บนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอไปพบกับข้อความที่มีความน่าสนใจเข้าอย่างหนึ่ง ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเมื่อครู่นี้เองว่าใบหน้าของเด็กสาวคนนี้เปล่งประกายที่สุดเวลาปรึกษาในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้กับคนอื่น ราวกับพวกรวยเสน่ห์ไม่มีผิด
“สิงหา… เจ้าคำพวกนี้อ่านยังไงเหรอ คำที่มีพยัญชนะสองตัวขึ้นต้นสระตัวเดียวน่ะ”
“ไหนๆ... คำควบกล้ำพวกนี้น่ะเหรอ? การออกเสียงจะต้องออกเสียงทั้งสองตัวพร้อมกัน แต่สำหรับคนที่ใช้ภาษาต่างประเทศยากๆมาตลอดอย่างเธอคงง่ายเหมือนกับโรยเกลือปรุงก๋วยเตี๋ยวใช่ไหมล่ะ ค่อยๆเรียนรู้ระหว่างช่วงหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องบรรลุภาษาของเราได้แน่ๆถ้าเธอพยายาม”
ผมยิ้มมุมปากให้กับเด็กสาวที่นั่งทำตาเป็นประกายให้กับคำแนะนำอันทรงคุณค่าของผมในระหว่างที่กำลังเลื่อนลูกกลิ้งเมาส์ลงมาเรื่อยๆตามหน้าต่างข่าวบนเว็บไซต์สำนักข่าวไทยพร้อมกับอ่านออกเสียงตามไปด้วย และด้วยพัฒนาการที่รวดเร็วระดับก้าวกระโดดของเธอนั่นเองที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเหมือนมีเหงื่อหนึ่งสายกำลังไหลลงมาตามขอบแก้ม
ในเมื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้าซึ่งกำลังใช้งานคอมพิวเตอร์แทนเขานั้นมีระดับพัฒนาการการเรียนรู้เทียบชั้นได้กับ”อัจฉริยะ”
เวลาล่วงเลยมากว่าสองชั่วโมง ดวงตาของเด็กสาวผมทองที่ยังคงครอบครองกรรมสิทธิ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ยังคงเปิดกว้างรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกราวกับเป็นช่วงปิดเทอมที่คนเราไม่รู้จักหลับจักนอน ในขณะที่ขอบตาของผมเริ่มจะหรี่แคบลงเพราะความง่วงที่ถาโถมเข้าใส่อย่างไร้ความปรานี เช่นนั้นเองที่ทำให้ผมต้องหาทางทำให้ยูน่ากลับไปยังห้องของตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด
หรือก็คือ “ไล่กลับ” นั่นเอง!
“จะว่าไปนี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องไปเรียนตอนเช้าด้วยไม่ใช่เหรอ รีบๆกลับห้องไปนอนได้แล้วมั้ง” ผมพูดพลางดึงซอกแขนของยูน่าให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และดูเหมือนว่าเธอก็รู้ว่าผมต้องการจะทำอะไร
“อะไรเล่า ก็ฉันอ่านภาษาไทยถูกเกือบทั้งหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ให้ฉันอ่านต่ออีกสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”
“ก็ถ้ามันถูกเกือบทั้งหมดจริงๆละก็นะ ที่เธออ่านออกเสียงมาแทบจะผิดทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอ! ไปฝึกอ่านมาใหม่ซะไป๊”
“ก็เพราะแบบนั้นไงถึงต้องฝึกอ่านต่อจนกว่าจะถูกน่ะ นายเองก็คายผ่านประสบการณ์อ่านผิดๆถุกถูกมาเหมือนกันน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรือไง”
“ดูท่าจะไม่ใช่แค่การอ่านออกเสียงเท่านั้นแล้วล่ะนะ แต่นี่ล่อไปตั้งใช้ศัพท์ผิดๆเลยไม่ใช่หรือไง แบบนี้มันเกินจะให้อภัยแล้ว ออกไปจากห้องฉันซะก่อนที่ฉันจะเกิดอารมณ์!!”
เมื่อเห็นว่าคุยกันต่อไปก็เสียเวลาเปล่า ผมจึงออกแรงดันแผ่นหลังที่เป็นส่วนเดียวที่ยังอุ่นจากการแนบลงไปกับเก้าอี้พลาสติกให้เดินออกไปจากเขตสงวนอย่างสุดแรง ถึงแม้ว่ายูน่าจะพยายามต้านเอาไว้สักเท่าไหร่ แต่แรงของผู้หญิงไม่มีทางขัดขืนผู้ชายมัธยมปลายได้จนเท้าของเธอข้างหนึ่งก้าวออกไปจากประตูห้องแล้ว ยูน่าที่ไม่มีทางสู้แรงได้จึงทำได้เพียงหันกลับมาทำหน้ามุ่ยให้ผมได้ตกหลุมรักอีกครั้ง
แต่แล้วแรงจากแขนทั้งสองข้างของผมก็เริ่มอ่อนลงจนกลายเป็นศูนย์ในชั่วพริบตาถัดมา เพราะคำพูดประโยคเดียวที่เด็กสาวเอ่ยขึ้นมาลอยๆนั่นเอง
“จะว่าไปแล้ว นับจากที่ฉันเข้ามาอยู่กับนายวันแรกก็ผ่านมาตั้งห้าวันแล้วถูกไหม ฉันยังไงเคยเห็นพ่อแม่นายสักครั้งเดียวเลยนะ พวกเขาไปอยู่ไหนกันเหรอ?”
ยูน่าเอ่ยประโยคคำถามที่ผิดไปจากไวยากรณ์ศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกสงสัยล้นหัวใจ แต่เธอคงลืมสังเกตไปว่าเด็กหนุ่มข้างหลังที่กำลังมีท่าทีหยอกล้อกับเธอกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่ แต่หางตาที่ชำเลืองมาเห็นเพียงริมฝีปากนั้นเองที่เป็นตัวบอกบรรยากาศทุกอย่าง
ริมฝีปากของผมกำลังสั่นเทาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากเกินกว่าการคาดเดาของเธอ พร้อมกันนั้นฝ่ามือที่สัมผัสแผ่นหลังของเธอก็ค่อยๆผ่อนแรงลงอย่างช้าๆ ราวกับคนที่หมดแรงจะทำอะไรต่อจากนี้ไม่มีผิด
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ และมันจะดีมากถ้าเธอเลือกจะไม่ถามคำถามนี้อีก”
มุมปากที่เม้มลงเหมือนคนที่กำลังอารมณ์เสียนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัดของผมได้มากกว่าเพียงการมองไปที่แววตา ต่างไปจากใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจของยูน่า สิ่งที่ดวงตาของเธอมองเห็นนั้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นรังเกียจชนิดถ้าจะไล่เธอกลับประเทศตอนนี้ก็ไม่แปลกเลย
แต่แล้วขอบคิ้วที่เขม่นลงมาเพื่อแสดงความรู้สึกทั้งหมดของสิงหาที่ยูน่าเริ่มแสดงอาการกลัวเมื่อได้มองก็กลับเข้าสู่ระดับเดิมอย่างช้าๆ เมื่อใบหน้าของยูน่าที่กำลังออกอาการประหลาดใจกับท่าทีและคำพูดที่คาดเดาไม่ได้ของผมได้เปลี่ยนไปเป็นอะไรบางอย่างที่ต่างออกไปจากที่เคย
อะไรบางอย่างที่มืดมนจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนๆเดียวกับเด็กสาวต่างชาติที่ทำอะไรตามความต้องการบริสุทธิ์ของตัวเอง
“งั้นเหรอ? นายเอง…ก็เหมือนกันสินะ?”
ยูน่าผ่อนตาลงก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องนอนของผมไปด้วยฝีเท้าที่ค่อนข้างช้าไปจากเดิม และแววตาที่มองลงพื้นจนดูเศร้าผิดปกตินั้นทิ้งเอาไว้เพียงเด็กหนุ่มที่มองตามเส้นผมสีทองที่พริ้วไสวไปตามทิศทางการหมุนตัวเดินออกไปเท่านั้น
“แต่จะว่าไป… ทั้งๆที่เมื่อกี้ก่อนที่จะเข้ามาห้องนี้ออกจะร่าเริงแท้ๆ ทำไมยัยนั่นถึงได้เปลี่ยนบรรยากาศได้เร็วขนาดนั้นกันนะ”
ผมหมุนเท้ากลับจากประตูห้องที่ปิดลงอย่างเงียบเชียบไปยังคอมพิวเตอร์ที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้อยู่โดยมีหน้าเว็บที่ยูน่าอ่านค้างเอาไว้แสดงออกมาเป็นภาพแรกที่เห็นได้ทันทีเมื่อหย่อนความไม่สบายอารมณ์และความเมื่อยจากการที่ต้องใช้กำลังแขนดันแผ่นหลังที่ออกแรงต่อต้านของเธอคนนั้นอย่างสุดกำลังจนกระทั่งยอมเดินออกไปด้วยตัวเอง ผมใช้เวลาสำรวจตัวเองอยู่หน้าคอมพิวเตอร์สักพักก่อนที่จะกดปิดมันลงไปอย่างลังเลใจ
(เมื่อกี้เราพูดแรงเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆที่ยัยนั่นออกจะน่ารักแท้ๆ… เฉพาะเวลาที่กำลังอ่านหนังสือเท่านั้นนะ)
แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังคงสว่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำการปิดตัวลงกลายเป็นสีดำ ผมก้มตัวลงไปดึงปลั๊กที่เสียบค้างเอาไว้นานเกือบสามชั่วโมงออกก่อนจะโน้มตัวลงบนเตียงนอนที่แสนจะหรูหราในสายตาคนรอบข้าง “ฟูกติดพื้น”
(ถึงยัยนั่นจะดูฉลาดน่ารักน่าถนอมสักแค่ไหนก็เถอะ แต่ยังไงยัยนั่นก็ยังเป็นแค่เด็กยังไม่บรรลุสกิลแตกเนื้อสาวเท่านั้น พรุ่งนี้เราคงต้องเตรียมคำขอโทษเอาไว้แล้วล่ะ)
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้ว แต่ดวงตาที่พยายามข่มให้หลับลงพร้อมกับนึกคำพูดที่จะปรับความเข้าใจระหว่างพวกเราที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกลับไม่สามารถทำตามความต้องการของเด็กหนุ่มได้ยังคงลืมอยู่อย่างนั้น และกลับจะยิ่งเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าตอนที่มียูน่าป่วนประสาทเสียอีก เป็นอยู่อย่างนี้พักหนึ่งจนกระทั่งความรู้สึกทุกอย่างจะดับวูบไปโดยไม่รู้ตัว
รุ่งอรุณแห่งการตัดสินได้มาถึง... เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆปริออกรับแสงแห่งอรุณรุ่งหลังจากที่ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดมาเป็นเวลานาน แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากปกติก็คือ ทุกๆเช้านับตั้งแต่วันแรกที่เปิดภาคเรียนมาจะต้องมีเด็กสาวผมทองคนหนึ่งกำลังมองลงมายังดวงตาที่ค่อยๆเปิดออกของผมด้วยความเพ่งพินิจจนน่ารำคาญเสียยิ่งกว่าแมลงวันตอมใบหู นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทำลงไปเมื่อคืนนี้มาก
เสียงก้าวเท้าลงบันไดดังขึ้นเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอเพราะความงัวเงียสลับกับเสียงครางด้วยความง่วงที่ยังตกค้างอยู่นิดหน่อยของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะคิดได้ว่าได้ลงมือทำร้ายจิตใจของเด็กสาวผู้อ่อนเดียงสาอย่างร้ายกาจ ผมค่อยๆก้าวเดินลงจากชั้นสองลงไปเพื่อหาอะไรดับเสียงร้องอย่างทรมานในท้อง
และแล้วผมก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อชั้นล่างที่กำลังเดินไปนั้นมีเพียงความมืดที่ราวกับไร้ขอบเขตสิ้นสุด
และเสียงใครบางคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ภายใต้ความมืดที่ปกคลุมอยู่จนเกิดเป็นเสียงของตกเป็นระยะๆที่ไม่น่าไว้วางใจ
ผมค่อยๆวางเท้าลงบนขั้นบันไดและเดินไปข้างหน้าอย่างเบาแรงที่สุดเพื่อลดเสียงที่อาจเกิดขึ้นจนใครคนนั้นรู้สึกตัวได้ ผมคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้และถนัดมือที่สุดเอาไว้กันเหนียวก่อนจะค่อยๆเลื่อนตัวเองเข้าไปให้ใกล้สวิตช์ไฟที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลางสังหรณ์ของผมพอจะรู้ว่าใครที่กำลังหาของบางอย่างอยู่ที่ชั้นล่างนี้ไม่มีทางจะเป็นยูน่าอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นเธอจริงๆก็น่าจะเปิดไฟให้สว่างกว่านี้เพื่อให้หาของที่ว่าพบอย่างรวดเร็ว
และในขณะนี้เสียงของยูน่ายังคงดังออกมาจากช่องประตูห้องของเธอเบาๆอยู่เลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครอื่นอยู่ชั้นล่างนี้อย่างแน่นอน นอกเสียจาก…
(ขโมย!?)
เมื่อคิดได้อย่างนั้นหัวใจที่เริ่มสั่นด้วยความหวั่นก็ยิ่งเต้นรัวมากขึ้นจนแทบจะนับไม่ได้ว่าเต้นไปสักกี่ครั้งต่อวินาที แต่ที่แน่ๆคือจังหวะของมันสั่นและเร็วมากจนทั่วทั้งร่างรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนแทบจะควบคุมฝีเท้าของตัวเองไม่อยู่ ผมค่อยๆประคองจิตใจที่สั่นระวิงก้าวไปตามเสียงที่ได้ยินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมองเห็นเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งกำลังค้นหาของในลิ้นชักอยู่ท่ามกลางเงามืดที่กลืนกินส่วนหนึ่งของบ้าน
แต่ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นจะกำลังอารมณ์เสียอยู่จึงยกออกมาทั้งลิ้นชักเลยทีเดียว เด็กหนุ่มที่ค่อยๆเลื่อนแขนไปยังสวิตช์ไฟสังเกตรายละเอียดของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญคนนั้นต่างออกไปจากยูน่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความยาวของเส้นผม ส่วนสูง รวมไปถึงขนาดหน้าอก
แต่เพราะความตื่นเต้นของผมเองที่ทำให้ไม้ถูพื้นในมือเกิดไปเคาะเข้ากับผนังเกิดเสียงดังจนทำให้ใครคนนั้นรู้สึกตัวและมองเห็นตัวผมที่ตัดกับแสงไฟจากชั้นบนของบันไดที่เปิดค้างเอาไว้สำหรับเข้าห้องน้ำกลางดึกได้อย่างชัดเจน ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้บุคคลแปลกหน้านั้นรู้สึกกลัวจนหนีไปเลยสักนิด
ในทางตรงข้าม เขาคนนั้นกลับเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับสะบัดมันออกเป็นแสงสีเงินสะท้อนเข้าตาทั้งสองข้างจนพร่ามัวไปชั่วครู่ ก่อนจะวิ่งเข้ามาเสียงมันเข้าที่ช่องท้องของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็สามารถหลบพ้นพร้อมกับสวนกลับเข้าที่ขาของใครคนนั้นจนล้มลงกับพื้น แต่แล้วผมกลับกลายเป็นฝ่ายลงไปนอนบนพื้นเสียเองด้วยทักษะการต่อสู้ที่เหลือร้ายของหัวขโมยคนนั้น
“เกิดอะไรขึ้น สิงหา!”
ทางฝ่ายยูน่าที่ได้ยินเสียงอึกทึกด้านล่างก็รีบเปิดประตูออกจากห้องวิ่งลงมายังชั้นล่างด้วยฝีเท้าที่เร็วปานนักกรีฑาโอลิมปิก ซึ่งภาพที่เธอเห็นก็คงจะไม่พ้นเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังถูกปลายมีดพับจ่อลงไปที่ลูกกระเดือดอย่างแน่นอน และแผ่นโลหะสีเทาเงินนั้นกลับจะยิ่งเข้าใกล้ชั้นเนื้อของผมทุกขณะอีกด้วย
“กลับขึ้นห้องไปซะยูน่า! เสร็จแล้วก็รีบๆล็อคประตูห้องซะ..!!”
ผมตะโกนกลับไปยังเด็กสาวที่ร้องเสียงหลงให้กลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะช้าเกินไปแล้วก็ตาม หัวขโมยผู้ปราดเปรียวคนนั้นรีบกระโดดวิ่งตามยูน่าขึ้นไปยังชั้นสองในทันทีที่เหลือบไปเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเธอกำลังมองอยู่ที่ขั้นที่สามของบันได แต่ยูน่าที่สบตาด้วยกลับมองไม่เห็นอย่างอื่นเลยนอกจากดวงตาสีดำภายใต้โม่งผ้าไหมสีดำเท่านั้น
“แก…อย่าคิดว่าจะทำอะไรยูน่าได้เชียวนะ!!”
ทันทีที่ร่างของเด็กหนุ่มหลุดพ้นจากการกลายเป็นลิตเติ้ล เมอร์เมดเวอร์ชั่นผู้ชาย ผมก็รีบพลิกตัวกลับไปรั้งขาของหัวขโมยเอาไว้ได้ข้างหนึ่งจนสะดุดล้มลงไปกับพื้น สายตาของผมสังเกตเห็นเลือดสีแดงกำลังไหลออกมาจากรู้จมูกที่โผล่ออกมาจากหน้ากากถุงน่องเป็นทางยาว ซึ่งนั่นทำให้เขาคนนั้นระงับอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เด็กหนุ่มมัธยมปลายปะทะหัวขโมยรุ่นราวๆไม่ต่างกันมากนัก คมมีดปะทะด้ามจับไม้ถูพื้น ชั่วพริบตาก่อนที่ร่างของผมจะมีรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรู ผมก็หลับหูหลับตาพุ่งหอกที่ไร้คมเข้าไปยังใบหน้าของหัวขโมยคนนั้นอย่างสุดแรงจนกระแทกเข้าเต็มๆหน้า
หัวขโมยคนนั้นจนถอยกรูดพร้อมกับจ้องมาที่ผมตาเขม็ง ใบหน้าที่มีแผลถูกด้ามไม้ถูพื้นเหล็กถากเป็นแผลที่แก้มซ้ายแสดงความโกรธที่ถูกเล่นงานก่อนจะวิ่งหนีไปยังหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างเอาไว้จนหลบหนีได้อย่างลอยนวล
แต่ผมกลับไม่คิดที่จะตรวจสอบของที่อาจถูกขโมยไปเลย เพราะในลิ้นชักที่ถูกรื้อนั้นไม่มีอะไรถูกใส่เอาไว้ตั้งแต่แรก
เว้นแต่สิ่งที่คาใจอยู่นั้นไม่ใช่การที่แขกผู้ไม่มีเกียรติเข้ามาอยู่ในบ้านได้ในขณะที่ผมเพิ่งจะตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานกว่า”หนึ่งนาที” หรือการที่บานกระจกใกล้ตัวกลอนที่ถูกเปิดค้างเอาไว้นั้นจะถูกตัดออกเป็นวงกลมอย่างวิจิตรศิลป์แต่อย่างใด
แต่กลับเป็นความรู้สึกเมื่อถูกขึ้นคร่อมเอามีดจ่อคอหอยเมื่อสักครู่นี้ที่รบกวนใจผมมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ในตอนนั้นผมรู้สึกแปลกๆราวกับว่าเพิ่งทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป ก็จริงอยู่ที่ในตอนนั้นหากผมไม่ออกแรงดันข้อมือของผู้ร้ายให้ออกไปจากรัศมีอันตราย ผมก็อาจจะได้เดินทางไปพบเทวทูตผู้เฝ้าประตูนรก’อาซราเอล’เสียตั้งแต่ตอนนั้นเลยก็ได้…
ถึงอย่างนั้นความรู้สึก ณ ขณะนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มันกลับจะยิ่งฝังแน่นลงในความทรงจำของผิวสัมผัสเสียด้วยซ้ำ เป็นความรู้สึกที่แย่พอๆกับการย้อนดูฉากพระเอกนางเอกล้มกลิ้งบนพื้นหญ้าเอาปากประกบปากติดๆกันสักสิบรอบ
“นี่เรา…เปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ