เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป

7.5

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ชีวิตวัยเรียนอันแสนขมกับหน่มน้มอันแสนโต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เค้าลางแห่งหายนะทุกอย่างเริ่มต้นมาจากคำพูดของอาจารย์ประจำชั้นในชั่วโมงโฮมรูมครั้งแรกของชีวิตมัธยมปีที่ห้าเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง

 

 

     “ปีการศึกษาใหม่นี้จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศมาเรียนกับพวกเราด้วย ครูฝากพวกเธอช่วยดูแลเด็กคนนี้ด้วยก็แล้วกันนะ”

 

     ตอนนั้นผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะใช้เวลาในคาบโฮมรูมนั้นในการนอนชดเชยช่วงที่ถูกเสียงปลุกจากโลกปีศาจรบกวนจนข่มตาไม่ลงอีกเลย แทบจะไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำว่าอาจารย์ประจำชั้นคนใหม่จะให้โอวาทอะไรบ้าง และไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าวิบัติการณ์ที่ร้ายแรงถึงชีวิตประจำวันของผมถึงเพียงนี้

 

     ทุกอย่างเริ่มจากการลุกขึ้นแนะนำตัวเป็นทางการของเด็กสาวผมทองที่นั่งหลบอยู่หลังห้องฝั่งติดหน้าต่างด้านหลังโต๊ะเรียนของผมไปสองช่องนั่นเอง

 

 

     “ซาหวัดดีค่า ฉานชื่อ ยูน่า เฮโมวิช มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ค่า ฉันยางไม่ค่อยรู้ปาหวาดสาดของทายเท่าหร่าย รบกวนทูกโคนช่วยสอนดิฉานด้วยนะค้า”

 

     เสียงสดใสที่เปล่งออกมาเป็นภาษาไทยผิดๆเพี้ยนๆของเธอคนนั้นกลับกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนร่วมห้องทุกคนไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับเลือกเข้าโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-สวิต หรือผมสีทองที่ดูแปลกตาในสายตาคนไทยอย่างผมก็ดี และเมื่อนำเอาองค์ประกอบทุกอย่างนี้มารวมกับใบหน้าที่สะสวยโดยไม่ต้องติดเครื่องประดับอะไรให้วุ่นวาของเธอคนนั้นด้วยแล้ว ยูน่าก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆทุกคนอย่างช่วยไม่ได้

     ในช่วงพักระหว่างคาบเรียน สาวน้อยผมทองก็ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางไปโดยปริยาย ส่วนหัวข้อเรื่องก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าสารทุกข์สุขดิบของการใช้ชีวิตในแดนพุทธของสาวต่างชาติอีกแล้ว

     “ยูน่ารู้สึกยังไงบ้างที่ได้มาเมืองไทย เธอคงได้เห็นประเทศของเราแค่ในโทรทัศน์หรือหนังสือนำเที่ยวเท่านั้นสินะ ได้มาเจอของจริงรู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

     “ก้อ จาว่างายดีล่ะ ปราเทสทายเปนเมืองที่น่าอยู่มาก ผู้โคนที่นี่ก้อมีรอยยี้มอย่างที่รายการโทรทัสพูดเอาไว้จริงๆ”

     “ภาษาไทยยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เลยสินะ สำเนียงของเราไม่เข้ากับประเทศสวิสเซอร์แลนด์เลยสินะ”

     “บอกโตรงๆว่าภาษาทายค่อนข้างจะยากนา ทั้งกานออกเสียงแล้การสะโกดคาม แต่ฉานจะพยายามเรียนรู้มานให้ได้เรวที่สุด เพื่อเพื่อนๆที่น่าร้ากทุกโคน”

     เสียงน่ารักของเด็กสาวต่างชาติที่ยังไม่ค่อยคล่องด้านการออกเสียงทำให้เพื่อนร่วมห้องทุกคนรู้สึกดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างวาดฝันเอาไว้ว่าจะต้องช่วยให้ยูน่าสามารถพูดสำเนียงเดียวกันให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่เวลาพูดคุยกันจะได้รู้สึกสนุกมากขึ้น

 

     การพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเด็กไทยและต่างประเทศเป็นไปอย่างตื่นเต้น จนกระทั่งใครคนหนึ่งที่ปากเปราะถามถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรจะนำมาพูดในที่นี้ คำถามที่ไม่สมควรให้เด็กผู้หญิงไร้ประสบการณ์ได้รับรู้มันแม้เพียงเศษเสียงสักปริเดียว

     “แล้วตอนนี้ยูน่าอาศัยอยู่กับใครเหรอ เคยได้ยินมาว่าพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศจะได้รับการรับรองจากสถานทูตในการจัดโฮมสเตย์ให้นี่นา โฮสต์ของเธอจะต้องเป็นคนที่โชคดีมากแน่นอนที่มีเด็กผู้หญิงต่างชาติน่ารักๆอยู่ร่วมบ้านเดียวกันตั้งหนึ่งปีเต็มๆ”

     เพียงคำพูดที่ชวนติดตามของเพื่อนสาวคนหนึ่งที่นำเรื่องที่ค้นหาเจอทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมาถามเด็กสาวผมทองที่ทำหน้ายิ้มบานไม่รู้โรย บรรยากาศของทั่วทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในทันที

     เว้นจะมีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นที่มีความรู้สึกกับเรื่องนี้ต่างออกไป ใครคนหนึ่งที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้แถวกลางๆของห้อง รอเพียงคำตอบที่เหมือนกับตอกย้ำค่าสเตตัสด้านโชคที่สูงลิบลิ่วของเขาให้ออกมาจากปากของเธอเท่านั้น


     “ตอนนี้นาเหรอ ฉานอาสัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกานกาบ’สิงหา’น่า”

     เพียงยูน่าประกาศชื่อบุคคลผู้โชคดีสุดขั้วคนนั้นออกไป ทั่วทั้งห้องที่เคยกรุ่นไปด้วยความสดใสและเสียงหยอกล้อก็พลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ดำมืดยิ่งกว่าขุมนรกใดๆจนเด็กหนุ่มที่ถูกขานชื่อออกมารู้สึกได้ เป็นลางสังหรณ์ร้ายกาจของสิ่งที่ควรจะเรียกว่า”จิตสังหาร”ระดับนักฆ่ามือพระกาฬนั่นเอง

     “เมื่อกี้ เธอไม่ได้พูดผิดตรงไหนใช่ไหม? สิงหาที่เธอพูดถึงนี่คงเป็นคนอื่นที่ชื่อเหมือนกันเท่านั้นใช่หรือเปล่า?”

     เพื่อนร่วมห้องสาวที่ทำหน้าเครียดหลังจากได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มที่เป็นโฮสต์ให้กับเด็กสาวผมทองจงใจพูดเพื่อให้เด็กสาวช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอกำลังเข้าใจอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผิด แต่ในตอนนั้นเองที่ยูน่าขยับเก้าอี้ลุกขึ้นเดินไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าเหวอ หลังจากที่เธอประกาศชื่อออกไปซะเสียงดังฟังชัด

     และถัดมาก็เป็นสัมผัสอวบอิ่มที่ทำให้ท่อนแขนส่วนบนของผมจมยวบลงไปในความอ่อนนุ่มอย่างยากจะมีสิ่งใดเทียบเทียม และแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเหมือนกำแพงที่ถูกพ่นสีใส่อย่างลวกๆจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรง

     แต่ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ทั้งตัวผมและบรรดาเพื่อนร่วมห้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่านี้อีก เมื่อยูน่าเอ่ยปากลบล้างข้อสงสัยทั้งหมดที่เพื่อนใหม่ของเธอมีด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ต่างออกไปจากเดิม

     “ได้ยินไม่ผิดหรอก ก็สิงหาคนนี้แหละที่เป็นโฮสต์ให้กับฉัน..!”

     ผมในตอนนี้ที่กำลังถูกเด็กสาวต่างชาติกอดแขนเอาไว้แน่นจนหน้าอกของเธอได้เป็นฝ่ายโอบแขนเอาไว้เสียเอง อันที่จริงตัวผมก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหน้าอกของเธอมีขนาดที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้สัมผัสด้วยประสาทรับรู้ของตัวเองเข้าไปก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก


     ทุกอย่างมันเริ่มมาจากเสียงเคาะประตูหน้าบ้านที่ดังขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการชมบันทึกถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเมื่อสามวันก่อนเปิดปีการศึกษาใหม่ นั่นทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอันตรายหากเปิดประตูรับแขกที่ไม่คุ้นหน้าคนนี้ และจะยิ่งอันตรายกว่าหากผมเลือกที่จะไม่ออกไปเปิดให้แขกคนที่ว่านั้นเข้ามาภายในบ้าน

 

     “สวัสดีครับ พวกผมมาจากสถานทูตกลาง ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมครับ?”

 

     ชายร่างท้วมคนหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาของผมที่ตั้งใจว่าจะแค่มาบอกเข้าบ้านผิดแล้วกลับไปเล่นเกมเมื่อบานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเขินอายเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นที่เธอไม่รู้จัก แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับการให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านก็ตาม แต่เพราะสถานะของชายคนนั้นในฐานะนักการทูตที่มีทั้งอายุและวุฒิสูงกว่านั้นก็ทำให้ผมจำต้องยอมให้เขาเข้ามาในบ้านแต่โดยดี

     พร้อมกับเด็กสาวผมทองอีกคนหนึ่งที่มองมายังผมด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่า”หนูมาดีนะ อย่าทำมิดีมิร้ายกับหนูนะคะ”ตั้งแต่แรกสบสายตาจนเข้ามาภายในประตูบ้าน และแม้ว่าผมจะเดินไปปิดประตูที่เปิดค้างเอาไว้ เธอคนนั้นก็ไม่ยอมละสายตาไปจากตัวผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว


     “ก็อย่างที่คุยกันไว้เมื่อหลายวันก่อน วันนี้ผมได้พาเด็กที่จะมาเป็นโฮมสเตย์ในบ้านของคุณมาทำความรู้จักกันแล้ว ผมอยากให้คุณ หรือจะเรียกว่าเธอช่วยให้ที่อาศัยกับเด็กคนนี้จนกว่าจะหมดช่วงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วยนะ ผมสัญญาว่าครอบครัวของเธอจะได้รับค่าสวัสดิการในการดูแลเด็กคนนี้เป็นประจำทุกเดือน นี่นามบัตรของผม เผื่อพวกคุณมีอะไรสงสัยหรือถูกรบกวนชีวิตประจำวันก็สามารถโทรติดต่อผมได้ทันที”

 

     ชายท้วมที่ดูเหมือนตือโป๊ยก่ายฉวยโอกาสพูดแบบน้ำไหลไฟลุกโชนโดยไม่เปิดจังหวะให้ผมได้โต้ตอบกับเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว หรือบางทีนั่นอาจจะเป็นวิธีการทั่วไปของนักการทูตที่จะต้องพูดติดต่อกับชาวต่างชาติด้วยความเร็วที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่พอใจกับการรบกวนความสงบสุขของชีวิตช่วงปิดภาคเรียนสัปดาห์สุดท้ายของเขาเป็นอย่างมาก


     “ถ้าไม่มีอะไรที่ค้างคาใจแล้วผมก็คงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วผมจะให้ทางสถานทูตส่งค่าสวัสดิการมาให้ครอบครัวของคุณทุกวันที่27ของทุกเดือน ขอให้โชคดีครับ”

 

     ในที่สุดการที่ต้องทนฟังใครก็ไม่รู้สาธยายต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็จบลงด้วยการตัดบทของเจ้าตือโป๊ยก่ายที่ขอตัวกลับไปทำงานที่สถานทูตต่อเกี่ยวกับเรื่องการเซ็นเอกสารรับรองนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างชาติ ทิ้งเอาไว้เพียงใบหน้าที่อึ้งพูดอะไรไม่ออกของผมกับความเงียบกริบของสาวขี้อายเท่านั้น

 

     “เอ่อ วอทส์ ยัวร์ เนม? แวร์ อาร์ ยู คัมฟอร์ม?” 

     ผมเปิดเรื่องด้วยสำเนียงอังกฤษขี้ไก่กับเด็กสาวผมทองที่ตกค้างอยู่หลังจากที่อีกคนหนึ่งขอชิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย สายตาของผมเห็นเธอกำลังละล่ำละลักตอบคำถามของผมด้วยเสียงที่เบาเหมือนกับว่าเธอกำลังอายที่จะสนทนากับชาวต่างชาติที่ไม่รู้หน้าค่าตามาก่อน

 

     “ยุ-ยูน่า เฮโมวิช ไอม ฟ-ฟอร์ม สวิสเซอร์แลนด์ เอ่อ…”  เด็กสาวพูดโต้ตอบกับผมด้วยภาษาอังกฤษที่สั่นเป็นระวิงจนเริ่มรู้สึกได้ว่าการที่เธอมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นจะต้องเป็นข้อผิดพลาดบางประการของทางสถานทูตสวิสอย่างแน่นอน

 

     แต่สิ่งที่น่าจะเป็นข้อผิดพลาดมากว่านั้นน่าจะเป็นนักการทูตคนนั้นมากกว่า ผมจำได้ว่าตลอดช่วงปิดเทอมสามเดือนที่ผ่านมานั้นแทบไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และต่อให้มันจะมีก็เป็นเพียงการโทรผิดเท่านั้น และผมก็ไม่เคยพูดคุยกับคนของทางสถานทูตไทยหรือต่างประเทศมาก่อนเลย ดังนั้นการที่เธอคนนี้มาเป็นโฮมสเตย์ในการดูแลของผมนั้นต้องเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเท่าที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด

 

     “ให้ผู้หญิงคนเดียวมาอยู่ร่วมหลังคาเดียวกันกับผู้ชายอายุประมาณพอๆกันแบบนี้ มันอันตรายไม่ใช่เหรอครับ ไอ้ศาสดาหมูหันเอ๊ย!!”

 

   ผมตะโกนซ้ำไปซ้ำมาในใจราวกับคนบ้าจนเด็กสาวผมทองต้องหลบไปอยู่อีกมุมห้องหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเธอได้ทั้งนั้นเพราะพ่อแม่ของผมไม่เคยแวะมาเยี่ยมผมที่บ้านเลย จึงทำให้ผมต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้น แต่โชคยังดีหน่อยที่แม่ของผมส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ทุกเดือนอย่างไม่ขาด

 

     เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ชีวิตที่ปราศจากผู้ปกครองของผมไม่ลำบากสักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับพวกที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวคนอื่นๆ แต่หากจะมีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมขาดไปจากสิ่งนั้นก็เห็นจะมีเพียง “ความอบอุ่นของอ้อมกอดบุพการี”เท่านั้น

 

     “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่พวกข้าวของที่เธอเอาติดตัวมาด้วยอยู่ไหนล่ะ ฉันจะได้ช่วยเธอขนขึ้นห้องให้...”

 

     เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่เผลอไปนึกถึงความทรงจำที่ไม่น่ารื้อฟื้นเข้าก่อนจะหันกลับไปมองเด็กสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่มุมห้องฝั่งตรงข้าม อาจเป็นเพราะผมเผลอเร่งเสียงขึ้นแบบกะทันหันเมื่อกี้หรือเปล่าที่ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ผมก็เห็นยูน่ายังคงรวบรวมสติที่แตกกระเจิงของตัวเองให้กลับเข้าประสานกันให้ได้มากที่สุดก่อนจะชี้ไปยังประตูหน้าบ้าน แม้ว่าตรงนั้นจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม

 

     แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปดูก็ต้องตกใจจนถึงกับกระโจนหลบเข้าไปในซอกหลืบประตูตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดอีกคนหนึ่ง เนื่องมาจากสิ่งที่ได้เห็นนั้นผิดจากที่คาดเอาไว้มาก…

 

     “เอ่อ...คุณยูน่าครับ? ไม่ทราบว่าที่คุณแบกของพวกนี้มากะจะมาอาศัยอยู่กับผมชั่วชีวิตเลยหรือยังไงกันครับ”

 

     ผมเค้นเสียงจากปอดทะลุหลอดลมถามออกมาด้วยเสียงเหมือนคนกำลังออกแรงวิ่งอยู่อย่างสุดกำลังระหว่างที่กำลังขนสัมภาระที่ยูน่านำติดตัวมาจากบ้านของตัวเองในต่างประเทศ หากเปรียบเทียบจากภายนอกจะสังเกตได้ว่าตัวถุงที่ใส่ของมานั้นใหญ่ยิ่งกว่าตัวของเด็กสาวเองเสียอีก...

 

     ใหญ่กว่าจนเริ่มรู้สึกสงสัยว่าเด็กคนนี้เอากระเป๋าเดินทางใหญ่ขนาดนั้นผ่านเข้าเครื่องโดยที่เครื่องบินไม่ตกกลางทางได้ยังไง


     แบกไปบ่นไป จนในที่สุดข้าวของทุกอย่างของเด็กสาวผมทองก็ได้ถูกขนเข้าไปในห้องว่างที่มีเตียงนอนถูกจัดเอาไว้ตรงมุมห้องด้านในห่างจากประตูเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเรี่ยวแรงที่แห้งเหือดไปจากร่างของเด็กหนุ่มติดเกมจนหมดสิ้น

 

     “ฉันขนของของเธอหมดแล้วนะ ทีนี้เธอก็จัดห้องนี้ได้ตามใจชอบเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปทำภารกิจเสี่ยงชีวิตของฉันต่อจากครึ่งชั่วโมงที่แล้วให้เสร็จก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกฉันได้นะ”

 

     ผมหันหลังเดินออกจากห้องว่างที่กำลังจะถูกโอนกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับเด็กสาวต่างชาติในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเพื่อจะไปชมบันทึกถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่ถูกขัดจังหวะโดยเจ้าหมูขึ้นเขียงนั่นต่อให้จบภายในวันนี้ แต่ในระหว่างที่ข้อเท้าของผมกำลังจะลอยขึ้นจากพื้นนั้นเอง ชายเสื้อด้านหลังก็ถูกอะไรบางอย่างดึงเอาไว้เหมือนกับไม่อยากให้ผมออกจากห้องไปไหน

 

     และเมื่อหันกลับไปมองก็พบกับเด็กสาวที่กำลังทำสีหน้าเขินอายยืนสั่นอยู่ด้านหลังของผม พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งแนบริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเธอเอาไว้อย่างกล้าๆกลัวๆ

 

     “ถ-ถ้ายังไงนายก็ช่วยขนของให้ฉันแล้ว นายช่วยจัดห้องให้ฉันด้วยเลยจะได้หรือเปล่า?”

 

     ผมรู้สึกอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินออกมาจากปากของเด็กสาวผมทอง ไม่ใช่เพราะไวยากรณ์และสำเนียงพูดที่ถูกต้องจนคนไทยบางส่วนยังต้องอายหรือใบหน้าน่าทะนุถนอมของเธอที่กลายเป็นสีชมพูอย่างรวดเร็วขณะกำลังขอร้องผมทั้งน้ำตาแต่อย่างใด

 

     แต่เพราะการบริหารเวลาช่วงปิดเทอมวันสุดท้ายที่ถูกทำลายย่อยยับในชั่วพริบตาที่เจ้าหมูนุ่มMKนั่นเป็นตัวการต่างหาก!

 

     “ทำไม… เราต้องมาเป็นโฮสต์ให้ยัยเด็กไม่ยอมโตนี่ด้วยฟะ!!”

 

 

     และนี่เองที่ทำให้สีหน้าของผมตลอดทั้งวันนี้ดูไม่ค่อยรับโลกสักเท่าไหร่ เพราะการที่ผมต้องช่วยเด็กสาวที่เพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังนั้นจัดห้องเต็มไปด้วยความเรื่องมากและจุกจิกกระทั่งรายละเอียดเล็กน้อย ซึ่งกว่าที่ผมจะทำให้ได้ตรงตามความต้องการของยูน่าทุกประการนั้นล่อเวลาเข้าไปตั้งแต่บ่ายสองจนเกือบเที่ยงคืน


     และหลังจากนั้นทุกๆคืนผมก็ต้องได้ยินคำขอร้องที่เอาแต่ใจของเธอดังเข้ากระทบกระดูกก้นหอยจนแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองแม้สักนาทีเดียว

 

     นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ยูน่าต้องแอบเปิดประตูห้องนอนของผมในระหว่างที่กำลังทำการสังหารหมู่เหล่าลูกชายลูกสาวที่แสนน่ารักจนกลายเป็นว่าผมต้องสั่งสมความบ้าคลั่งเอาไว้ตลอดมา แม้ว่านั่นจะดูไม่สมกับที่ยูน่าดูเป็นสาวน้อยขี้อายเลยสักนอด กลับกันจะยิ่งดูเหมือนว่าเธอทำตัวเป็นราชินีหลังจากที่ผมยอมทำตามคำของครั้งแรกของเธอเสียด้วยซ้ำ


 

     “จะว่าไปแล้วพวกเราคงเรียกเธอว่ายูน่าๆตลอดไปไม่ได้หรอกเนอะ ดูเหมือนว่าเราคงต้องตั้งชื่อเล่นให้กับเธอสักหน่อยแล้วล่ะนะ!”

 

     “เอาชื่อนี้เป็นไง ‘โม’ ฟังดูเข้ากับนามสกุลดีด้วย”

 

     “ใครบอก มันต้อง'นา'ต่างหากถึงจะเข้ากับชื่อจริง”

 

     “จะว่าอะไรไหมถ้าพวกเราจะเรียกยูน่าว่า’ยุน’ ฟังดูเกาลี้เกาหลี”

 

     ศึกการต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์การตั้งชื่อให้กับเพื่อนใหม่ที่มาจากประเทศที่ไม่รู้จักคำว่า”ชื่อเล่น”ได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เว้นแต่มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ยอมเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้เลยตั้งแต่แรก

     “เป็นอะไรไปเหรอสิงหา หรือว่าเธอเครียดที่ไม่ยอมมีใครเรียกชื่อเล่นของเธอ” เพื่อนสาวคนหนึ่งถามขึ้นด้วยใบหน้ากวนอารมณ์


     “เปล่าสักหน่อย อันที่จริงประสบการณ์สี่วันที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับยัยนี่ก็มากพอที่ฉันจะคิดชื่อเล่นให้ได้แล้วล่ะน่า”

 

    เด็กหนุ่มที่ไว้ผมรองทรงสูงกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูรื่นรมย์จนใครๆต่างก็สงสัยในความเป็นหนึ่งในเหล่าผู้ถูกปฏิเสธของทางโรงเรียนกันถ้วนหน้า เขาหัวเราะในลำคอก่อนที่จะเอามือขวาประทับลงบนไหล่ซ้ายของโฮมสเตย์ผู้แสนน่ารำคาญอย่างใจเย็น

 

     “ฉันจะตั้งชื่อเล่นให้เธอเอง เพราะอย่างเธอคงไม่มีชื่อไหนจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว” ผมหลับตาลงอย่างสงบจนรู้สึกได้ว่ากำลังถูกยูน่ามองด้วยสายตาแปลกๆ ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น กระทั่งเพื่อนร่วมห้องก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน

 

     ในจังหวะเดียวกันกับที่ผมประกาศชื่อเล่นของเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ออกมาสู่สาธารณชนด้วยใบหน้าที่มั่นใจในชัยชนะเหนือราชินี ออดเริ่มคาบต่อไปก็ดังขึ้นทันทีราวกับเป็นการเซ็นเซอร์แห่งศีลธรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชีวิตจริง


 

     “อย่างเธอที่เอาแต่กวนประสาทรวมทั้งแอบส่องดูห้องของฉันตลอดทั้งคืนน่ะต้องเอาชื่อนี้ไปเลย ยัยบิทช์!

 

     {เล่นเสียงจากนามสกุล ”วิช(-vic) – ลูกของ…” เป็น “บิทช์(bi**h) – สุนัขตัวเมีย/ ผู้หญิงอย่างว่า แต่เพื่อความสุภาพจึงขอให้ใช้คำแปลแบบแรกนะครับ”}

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา