ศาสตราวุธ มหาสงครามพลิกสวรรค์
9.3
เขียนโดย guyver
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.19 น.
2 ตอนที่ 1
7 วิจารณ์
6,604 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556 20.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เด็กชายผู้ไร้ซึ่งศาสตรา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายผู้ไร้ซึ่งศาสตรา
8 ปีที่แล้ว ณ หมู่บ้านยุคันธร
ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบงัน ผู้คนที่ต่างรุมล้อมเด็กทารกซึ่งเกิดมาหน้าตาน่ารักน่าชัง
ซึ่งร้องไห้เสียงดังจากการได้ลืมตาขึ้นมามองดูโลกในครั้งแรก บ่งบอกถึงความแข็งแรงของทารกผู้นี้ ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ยืนมองหญิงสาวที่ให้กำเนิดเด็กทารกด้วยสายตาเศร้าหมอง
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหล่าทวยเทพเทวดาทรงเล่นตลกอะไร"
ชายคนหนึ่งในจำนวนผู้เข้ามามุงดูเอ่ยออกมาด้วยสายตางงงวย ปนความวิตก ไม่แตกต่างกับสีหน้าของคนอื่นๆที่เกิดความสงสัย
"นั้นน่ะสิ ตั้งแต่ข้าเกิดมา ยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย"
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูหน้าตาท่าทางไม่ต่างจากชายวัย 25 -26 ปีกล่าวขึ้นมาบ้าง เสียงของผู้มารุมล้อมต่างดังเซ็งแซ้
“โอวววว นี่มันอะไรกัน มีใครแจ้งท่านเมอร์คิวรี่แล้วหรือยัง” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าอยู่นี่แล้ว เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเสียงดังอะไรกัน”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามา เขาแต่งกายด้วยชุดนักรบ สวมเกราะโลหะเงินวาวป้องกัน
ไหล่และหน้าอกเอาไว้ ส่วนล่างมีเกราะไว้ป้องกันบริเวณหน้าขาทั้งสองข้างสวมกางเกงหนัง
ทะมัดทะแมงสีดำมันวาวตัดกับรองเท้าสีเงินเข้ากับเกราะ ซึ่งลายรองเท้าคล้ายๆจะมีปีกงอกออกมา
มือเขากำดาบซึ่งทั้งฝักและด้ามก็มีสีเงินวาวเช่นกัน แต่ด้ามดาบกลับอัศจรรย์คล้ายมีอสรพิษสองตัว
รัดกันอยู่จนก่อเกิดเป็นด้ามดาบขึ้นมา
ทุกคนหันไปที่ชายผู้นั้น
“ท่านเมอร์คิวรี่ ทารกที่เกิดมาไร้ซึ่งอาวุธติดกายมา มันหมายความว่าไง” หญิงสาวที่ถามหาเขา
เอ่ยปากถามขึ้น ขณะที่ชายชื่อเมอร์คิวรี่หยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มผู้ซึ่งอุ้มทารกน้อยเอาไว้
“ที่สำคัญ มารดาผู้ให้กำเนิดเขา สิ้นลมแล้วท่าน ในรอบหลายพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่น
นี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเราเลยนะท่าน ท่านถามไปยังสรวงสวรรค์ดูหน่อยเถิด” หญิงสาวเอ่ยต่อ
เมอร์คิวรี่ยกมือปรามให้หญิงสาวคนนั้นหยุดพูด พร้อมกับหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอุ้มทารกเอาไว้
“อีรอสเพื่อนข้า" เมอร์คิวรี่พูดพลางแตะที่ไหล่ของชายหนุ่มผู้อุ้มทารกเบาๆ
“ข้าคิดว่า เทพเทวดาย่อมมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้ เราจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี และข้าว่าเขา
ต้องเป็น เทวทูต ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นกำลังสำคัญไม่แพ้เทวทูตอื่นๆในที่นี้แน่นอน”
ส่วนภรรยาของเจ้า เฟเธน่า เราจะจัดพิธีส่งนางคืนสวรรค์ สักวันเจ้าจะได้พบนาง
เพื่อนข้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เรายังมีภารกิจต้องคุ้มครองดูแลประตู
เจ้าอยู่ดูแลลูกเจ้าให้ดีสำหรับคืนนี้ ส่วนเทวทูตศาสตราธนู เทวทูตศาสตราดาบ ตาม
ข้ามา เรามีภูตที่ต้องการขึ้นสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาตมาเยือน 4-5 ตน ไปต้อนรับพวกมันกัน
หน่อย
.............................................................................................................................
ณ เวลาปัจจุบัน
เด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่บนเนินพื้นหญ้ามองดูเพื่อนๆในวัยเดียวกันซ้อมรบการต่อสู้ ซึ่ง
แต่ละคนทั้งเด็กชายและเด็กหญิงดูทะมัดทะแมง บ้างจับคู่ซ้อมต่อสู้ด้วยดาบ เสียงที่โลหะกระทบ
กันให้ความรู้สึกฮึกเหิมในการซ้อมยิ่งนัก ในอีกกลุ่มก็ซ้อมยิงธนูเสียงหวีดหวิวของลูกธนูที่วิ่งผ่าน
อากาศเหมือนจะทำลายได้ทุกอย่างที่กั้นขวางวิถีของมัน และทุกกลุ่มจะมีกลุ่มผู้ใหญ่คอยให้คำ
แนะนำและบอกเทคนิคต่างๆให้แก่เด็กๆตลอดเวลา เขาเหม่อลอยคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันรู้สึกถึง
การมาของชายอีกคนที่เดินเข้ามาข้างหลังเขา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ใช้มือลูบที่ศีรษะเด็กน้อยเบาๆ
ด้วยความเอ็นดู
“เพอร์ซุส ลูกพ่อ ทำไมไม่ไปซ้อมกับเพื่อนๆหล่ะลูก”
“ท่านพ่อ” เด็กน้อยพูดโดยไม่ได้หันมามอง “ไม่มีกลุ่มใหนอยากซ้อมกับข้าเลย เพราะข้าไม่มีอาวุธ”
“ลูกรู้ไหม อาวุธของลูกอยู่ตรงนี้”
อีรอสชี้ไปที่หน้าอกของบุตรชาย อาวุธของลูกคือหัวใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ เจ้าไม่ใช่คนที่
แปลกประหลาดเพราะไม่มีอาวุธเหมือนคนอื่นๆ แต่ว่าเจ้าแตกต่างและเป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ
ที่มาเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และพ่อเชื่อว่าสักวันหนึ่งลูกจะค้นหาความจริงนั้นเจอแน่นอน ลูกพ่อ
พ่อต้องไปหา ท่านเมอร์คิวรี่ ก่อนนะ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ทางสวรรค์แจ้งลงมา เย็นนี้เจอกันลูก
อีรอส ขยี้ศีรษะบุตรชายเบาๆอย่างเอ็นดูอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าหมู่บ้านไป
..............................................................................................
ค่ำคืนของวันนี้ ณ หมู่บ้านยุคันธร ที่ห้องประชุม กลุ่มคน 10 คน กำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นความจริงแน่หรือท่านเมอร์คิวรี่” ชายหนุ่มมาดทะมัดทะแมงแต่งกายคล้ายนาย
พรานซึ่งมีกระบอกลูกธนูสะพายอยู่ด้านหลังเอ่ยถามซึ่งครึ่งล่างของเขากลับพิสดารตั้งแต่ครึ่งเอวลง
ไปเป็นม้า ใช่แล้วเขาคือ เซนทอร์ (Centaur สัตว์ที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วน
ล่างลงไปเป็นครึ่งของม้าหนุ่มที่สง่างาม มีคันศรและลูกดอกเป็นอาวุธ)
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องล้อเล่นนะ ซีซ่าร์”
เมอร์คิวรี่ เอ่ยพร้อมกับมองไปที่เซนทอร์ที่เขาเรียกว่าซีซ่าร์
“แต่ทวยเทพทั้งหลายยืนยันมาเช่นนั้น เจ้าบอกพลธนูของเจ้าให้เตรียมพร้อมให้ดีก็แล้วกัน
และกลุ่มนักรบเทวทูตกลุ่มอื่นด้วยขอให้สั่งการลงไปให้เตรียมพร้อมให้ดี เราคือทัพหน้าแน่นอน
และเราไม่รู้ว่าฝ่ายที่จะมา ใครกันที่จะนำทัพ เพราะขณะนี้ภพสวรรค์ก็กำลังจัดเตรียมทัพใหญ่
เอาไว้เช่นกัน สงครามที่เราเฝ้าระวังมาหลายพันปีกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว ที่เราต้องทำคือปกป้อง
ประตูสวรรค์เอาไว้จนกว่าทัพเทวดาจะพร้อมรบ”
สีหน้าของทุกคนในห้องประชุมต่างเคร่งเครียด ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
……………………………………………..
ณ นอกเขตแดนหมู่บ้านทางทิศบูรพา(ตะวันออก)มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 1000 กว่าคนกำลัง
ยืนจ้องมองไปที่เนินเขาที่ว่างเปล่า ที่มีเพียงต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธ์และแนวป่าที่ทอดยาวสุดลูก
หูลูกตา จะว่ายืนมองก็คงไม่ถูกต้องนัก เหตุเพราะทั้งหมดเท้าไม่ได้สัมผัสพื้นดิน หากแต่ลอยอยู่
เหนือยอดไม้ที่สูงใหญ่ทุกต้นในเขตนั้น ซึ่งแต่ละต้นสูงอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 200 ฟุต
“ที่นี่ใช่มั้ย” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวานแต่แข็งกร้าวฟังแล้วเหมือนจะทำให้
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้แตกสลายไป
ขอรับนายท่าน ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างแต่ดูจากกิริยาเหมือนกับจะโน้มตัวลงต่ำดุจดังบ่าวผู้ภักดี ส่วน
บุคคลที่อยู่ด้านหลังออกไปล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดยิ่งนัก เพราะบางคนถึงรูปร่างจะคล้าย
มนุษย์ แต่กลับมีใบหน้าหรือส่วนศีรษะที่คล้ายสัตว์ ทั้งกระทิง กระบือ นก อีกทั้งที่มากกว่านั้นบาง
คนแยกไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่เพราะใบหน้าคล้ายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่จบสิ้น และทุกคนก็สวม
ชุดเกราะเหมือนทหารในกองทัพที่พร้อมเข้าบดขยี้ศัตรูที่เข้ามาขวางทางพวกเขาด้วยอาวุธที่มีอยู่ใน
มือ ไม่ว่าจะเป็น ค้อน ดาบ หอก บางตนมีโล่ห์ป้องกัน แต่บางตนก็ไม่มี
ข้าตามหามานานหลายพันปี ไม่นึกว่าจะอยู่ที่นี่ มนต์บังตาของซุสช่างกล้าแกร่งนัก ฮึ..แต่ตอนนี้
ข้าจะทำให้มันแหลกเป็นจุลภายในพริบตาพร้อมกับเจ้าพวกเทวทูตทั้งหลาย ชายที่มีลักษณะเป็น
ผู้นำทัพกล่าวขึ้น ซึ่งตามลักษณะเขามีความคล้ายมนุษย์มากกว่าอสูรกายที่อยู่ด้านหลังเขา แต่กลับ
มีความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง เหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นเอาไว้ ไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้ล้วนแล้วต้อง
ตัวสั่นงันงกเป็นแน่แท้ หรือหากเป็นศัตรูก็คงแหลกลาญสลายไปทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ
ชุดที่ใส่ก็ดูแตกต่างเพราะส่วนบนไม่มีเกราะป้องกันอันใดเลย มีเพียงผ้าคลุมสีแดงสดที่ปลิวไสวตาม
แรงลม เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูราวกับเหล็กกล้า กล้ามที่เป็นมัดๆเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจาก
หนังสือแฟชั่น แต่กล้ามเนื้อที่สวยงามกลับเปล่งประกายความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอาวุธใดใน
โลกนี้ที่จะสามารถระคายผิวหรือทำอันตรายเขาได้เลย ส่วนครึ่งล่างเขาสวมกางกาง US สีดำของ
ทหาร รองเท้าที่เขาสวมใส่เป็นรองเท้าบูทที่ทหารใส่กันสีดำขลับราวกับไม่เคยถูกใช้หรือเดินบนพื้น
ดินมาก่อนดูอายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี
“พวกมันไม่รู้ตัว แบบนี้เราก็สามารถเหาะเข้าไปถล่มมันได้สบายสินะนายท่าน”นักรบที่มีหัว
เป็นกระทิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ พริบตาร่างของชายผ้าคลุมแดงก็หายไปราวกับล่องหน
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังนักรบหัวกระทิง บรรยากาศเย็นเฉียบไม่มีใครกล้า
เอ่ยอะไร
ข้าจะบอกอะไรเจ้าสัก 2-3 อย่าง เจ้าหัวขี้เลื่อยชายผ้าคลุมแดงกระซิบเบาๆข้างหูนักรบหัวกระทิง
แต่เสียงกลับก้องได้ยินเหมือนก้องอยู่ในหัวของนักรบทุกตน
หนึ่งถ้าข้าไม่ถามหรือขอความเห็นจากเจ้าอย่าได้กล่าววาจาใดๆออกมาให้มันระคายโสตข้า
สอง หมู่บ้านนี้ได้รับความคุ้มกันด้วยมนต์อันแข็งแกร่งของเทพซุสทางเข้าสำหรับผู้บุกรุกมีทางเดียว
คือเข้าทางประตูเท่านั้น และ สาม ข้าคิดว่าเจ้าอธิบายได้ดีกว่าข้าแน่นอน
ชายผู้สวมผ้าคลุมแดง ใช้มือของเขากุมศีรษะของนักรบผู้นั่นเอาไว้แล้วจับขว้างเข้าไปที่หมู่บ้าน
ราวกับขว้างปุยนุ่น เหมือนไม่รู้สึกหนักอะไรเลย แต่ก่อนที่ร่างของนักรบจะเข้าถึงหมู่บ้าน คล้ายๆ
กับร่างเขาไปชนกับผนังกำแพงอันแข็งแกร่ง แล้วก็เกิดแสงสีทองวาบขึ้นมา ก่อนที่ร่างของนักรบ
ตนนั่นจะสลายหายไปเป็นผุยผง
“กำแพงเกราะเวทย์ชั้นสูงของซุส ที่แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอันตรายได้”
ชายผ้าคลุมแดงเอ่ยขึ้น
“เอาหล่ะ เหล่านักรบของข้าจงเตรียมพร้อม เราจะเข้าทางประตูหน้า สงครามครั้งนี้ข้าจะให้มันจบ
เร็วกว่าที่คิด”
ณ ลานกลางหมู่บ้าน เซนทอร์ตนหนึ่งวิ่งตรงมาที่ เมอร์คิวรี่ ซึ่งยืนอยู่กับกลุ่มนักรบกลุ่มหนึ่ง
สีหน้าเขาดูตื่นตระหนกเหมือนกับคนที่เจอกับภูตผีปิศาจมา
“ท่านเมอร์คิวรี่ ๆ” เขาหยุดเพื่อสูดหายใจนิดหนึ่ง “ท่านซีซ่าร์ให้ข้ามาแจ้งข่าวท่านครับ”
“ใจเย็นๆ ท่านบีนอส ท่านซีซ่าร์มีข่าวอันใดหรือ” เมอร์คิวรี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
คือ....ว่า ศัตรูบุกเข้ามาแล้วขอรับ ทางประตูหน้า อีกไม่นานก็คงเริ่มปะทะกัน มีนักรบภูตประมาณพันตน
ส่วนผู้นำทัพ....คือ.....
ใครนำทัพบุกหมู่บ้านเทวทูตเราครั้งนี้เหรอท่านบีนอส เมอร์คิวรี่เอ่ยถาม
ท่านซีซ่าร์บอกว่า เขาคือ เทพผู้แปรพักตร์ แอรีส เทพแห่งสงคราม บุตรแห่งซุสขอรับ
เมอร์คิวรี่ถึงกับหน้าถอดสี เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่อก ก่อนจะอุทานออกมา
จบกัน....
8 ปีที่แล้ว ณ หมู่บ้านยุคันธร
ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบงัน ผู้คนที่ต่างรุมล้อมเด็กทารกซึ่งเกิดมาหน้าตาน่ารักน่าชัง
ซึ่งร้องไห้เสียงดังจากการได้ลืมตาขึ้นมามองดูโลกในครั้งแรก บ่งบอกถึงความแข็งแรงของทารกผู้นี้ ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ยืนมองหญิงสาวที่ให้กำเนิดเด็กทารกด้วยสายตาเศร้าหมอง
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหล่าทวยเทพเทวดาทรงเล่นตลกอะไร"
ชายคนหนึ่งในจำนวนผู้เข้ามามุงดูเอ่ยออกมาด้วยสายตางงงวย ปนความวิตก ไม่แตกต่างกับสีหน้าของคนอื่นๆที่เกิดความสงสัย
"นั้นน่ะสิ ตั้งแต่ข้าเกิดมา ยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย"
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูหน้าตาท่าทางไม่ต่างจากชายวัย 25 -26 ปีกล่าวขึ้นมาบ้าง เสียงของผู้มารุมล้อมต่างดังเซ็งแซ้
“โอวววว นี่มันอะไรกัน มีใครแจ้งท่านเมอร์คิวรี่แล้วหรือยัง” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าอยู่นี่แล้ว เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเสียงดังอะไรกัน”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามา เขาแต่งกายด้วยชุดนักรบ สวมเกราะโลหะเงินวาวป้องกัน
ไหล่และหน้าอกเอาไว้ ส่วนล่างมีเกราะไว้ป้องกันบริเวณหน้าขาทั้งสองข้างสวมกางเกงหนัง
ทะมัดทะแมงสีดำมันวาวตัดกับรองเท้าสีเงินเข้ากับเกราะ ซึ่งลายรองเท้าคล้ายๆจะมีปีกงอกออกมา
มือเขากำดาบซึ่งทั้งฝักและด้ามก็มีสีเงินวาวเช่นกัน แต่ด้ามดาบกลับอัศจรรย์คล้ายมีอสรพิษสองตัว
รัดกันอยู่จนก่อเกิดเป็นด้ามดาบขึ้นมา
ทุกคนหันไปที่ชายผู้นั้น
“ท่านเมอร์คิวรี่ ทารกที่เกิดมาไร้ซึ่งอาวุธติดกายมา มันหมายความว่าไง” หญิงสาวที่ถามหาเขา
เอ่ยปากถามขึ้น ขณะที่ชายชื่อเมอร์คิวรี่หยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มผู้ซึ่งอุ้มทารกน้อยเอาไว้
“ที่สำคัญ มารดาผู้ให้กำเนิดเขา สิ้นลมแล้วท่าน ในรอบหลายพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่น
นี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเราเลยนะท่าน ท่านถามไปยังสรวงสวรรค์ดูหน่อยเถิด” หญิงสาวเอ่ยต่อ
เมอร์คิวรี่ยกมือปรามให้หญิงสาวคนนั้นหยุดพูด พร้อมกับหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอุ้มทารกเอาไว้
“อีรอสเพื่อนข้า" เมอร์คิวรี่พูดพลางแตะที่ไหล่ของชายหนุ่มผู้อุ้มทารกเบาๆ
“ข้าคิดว่า เทพเทวดาย่อมมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้ เราจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี และข้าว่าเขา
ต้องเป็น เทวทูต ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นกำลังสำคัญไม่แพ้เทวทูตอื่นๆในที่นี้แน่นอน”
ส่วนภรรยาของเจ้า เฟเธน่า เราจะจัดพิธีส่งนางคืนสวรรค์ สักวันเจ้าจะได้พบนาง
เพื่อนข้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เรายังมีภารกิจต้องคุ้มครองดูแลประตู
เจ้าอยู่ดูแลลูกเจ้าให้ดีสำหรับคืนนี้ ส่วนเทวทูตศาสตราธนู เทวทูตศาสตราดาบ ตาม
ข้ามา เรามีภูตที่ต้องการขึ้นสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาตมาเยือน 4-5 ตน ไปต้อนรับพวกมันกัน
หน่อย
.............................................................................................................................
ณ เวลาปัจจุบัน
เด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่บนเนินพื้นหญ้ามองดูเพื่อนๆในวัยเดียวกันซ้อมรบการต่อสู้ ซึ่ง
แต่ละคนทั้งเด็กชายและเด็กหญิงดูทะมัดทะแมง บ้างจับคู่ซ้อมต่อสู้ด้วยดาบ เสียงที่โลหะกระทบ
กันให้ความรู้สึกฮึกเหิมในการซ้อมยิ่งนัก ในอีกกลุ่มก็ซ้อมยิงธนูเสียงหวีดหวิวของลูกธนูที่วิ่งผ่าน
อากาศเหมือนจะทำลายได้ทุกอย่างที่กั้นขวางวิถีของมัน และทุกกลุ่มจะมีกลุ่มผู้ใหญ่คอยให้คำ
แนะนำและบอกเทคนิคต่างๆให้แก่เด็กๆตลอดเวลา เขาเหม่อลอยคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันรู้สึกถึง
การมาของชายอีกคนที่เดินเข้ามาข้างหลังเขา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ใช้มือลูบที่ศีรษะเด็กน้อยเบาๆ
ด้วยความเอ็นดู
“เพอร์ซุส ลูกพ่อ ทำไมไม่ไปซ้อมกับเพื่อนๆหล่ะลูก”
“ท่านพ่อ” เด็กน้อยพูดโดยไม่ได้หันมามอง “ไม่มีกลุ่มใหนอยากซ้อมกับข้าเลย เพราะข้าไม่มีอาวุธ”
“ลูกรู้ไหม อาวุธของลูกอยู่ตรงนี้”
อีรอสชี้ไปที่หน้าอกของบุตรชาย อาวุธของลูกคือหัวใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ เจ้าไม่ใช่คนที่
แปลกประหลาดเพราะไม่มีอาวุธเหมือนคนอื่นๆ แต่ว่าเจ้าแตกต่างและเป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ
ที่มาเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และพ่อเชื่อว่าสักวันหนึ่งลูกจะค้นหาความจริงนั้นเจอแน่นอน ลูกพ่อ
พ่อต้องไปหา ท่านเมอร์คิวรี่ ก่อนนะ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ทางสวรรค์แจ้งลงมา เย็นนี้เจอกันลูก
อีรอส ขยี้ศีรษะบุตรชายเบาๆอย่างเอ็นดูอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าหมู่บ้านไป
..............................................................................................
ค่ำคืนของวันนี้ ณ หมู่บ้านยุคันธร ที่ห้องประชุม กลุ่มคน 10 คน กำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นความจริงแน่หรือท่านเมอร์คิวรี่” ชายหนุ่มมาดทะมัดทะแมงแต่งกายคล้ายนาย
พรานซึ่งมีกระบอกลูกธนูสะพายอยู่ด้านหลังเอ่ยถามซึ่งครึ่งล่างของเขากลับพิสดารตั้งแต่ครึ่งเอวลง
ไปเป็นม้า ใช่แล้วเขาคือ เซนทอร์ (Centaur สัตว์ที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วน
ล่างลงไปเป็นครึ่งของม้าหนุ่มที่สง่างาม มีคันศรและลูกดอกเป็นอาวุธ)
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องล้อเล่นนะ ซีซ่าร์”
เมอร์คิวรี่ เอ่ยพร้อมกับมองไปที่เซนทอร์ที่เขาเรียกว่าซีซ่าร์
“แต่ทวยเทพทั้งหลายยืนยันมาเช่นนั้น เจ้าบอกพลธนูของเจ้าให้เตรียมพร้อมให้ดีก็แล้วกัน
และกลุ่มนักรบเทวทูตกลุ่มอื่นด้วยขอให้สั่งการลงไปให้เตรียมพร้อมให้ดี เราคือทัพหน้าแน่นอน
และเราไม่รู้ว่าฝ่ายที่จะมา ใครกันที่จะนำทัพ เพราะขณะนี้ภพสวรรค์ก็กำลังจัดเตรียมทัพใหญ่
เอาไว้เช่นกัน สงครามที่เราเฝ้าระวังมาหลายพันปีกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว ที่เราต้องทำคือปกป้อง
ประตูสวรรค์เอาไว้จนกว่าทัพเทวดาจะพร้อมรบ”
สีหน้าของทุกคนในห้องประชุมต่างเคร่งเครียด ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
……………………………………………..
ณ นอกเขตแดนหมู่บ้านทางทิศบูรพา(ตะวันออก)มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 1000 กว่าคนกำลัง
ยืนจ้องมองไปที่เนินเขาที่ว่างเปล่า ที่มีเพียงต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธ์และแนวป่าที่ทอดยาวสุดลูก
หูลูกตา จะว่ายืนมองก็คงไม่ถูกต้องนัก เหตุเพราะทั้งหมดเท้าไม่ได้สัมผัสพื้นดิน หากแต่ลอยอยู่
เหนือยอดไม้ที่สูงใหญ่ทุกต้นในเขตนั้น ซึ่งแต่ละต้นสูงอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 200 ฟุต
“ที่นี่ใช่มั้ย” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวานแต่แข็งกร้าวฟังแล้วเหมือนจะทำให้
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้แตกสลายไป
ขอรับนายท่าน ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างแต่ดูจากกิริยาเหมือนกับจะโน้มตัวลงต่ำดุจดังบ่าวผู้ภักดี ส่วน
บุคคลที่อยู่ด้านหลังออกไปล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดยิ่งนัก เพราะบางคนถึงรูปร่างจะคล้าย
มนุษย์ แต่กลับมีใบหน้าหรือส่วนศีรษะที่คล้ายสัตว์ ทั้งกระทิง กระบือ นก อีกทั้งที่มากกว่านั้นบาง
คนแยกไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่เพราะใบหน้าคล้ายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่จบสิ้น และทุกคนก็สวม
ชุดเกราะเหมือนทหารในกองทัพที่พร้อมเข้าบดขยี้ศัตรูที่เข้ามาขวางทางพวกเขาด้วยอาวุธที่มีอยู่ใน
มือ ไม่ว่าจะเป็น ค้อน ดาบ หอก บางตนมีโล่ห์ป้องกัน แต่บางตนก็ไม่มี
ข้าตามหามานานหลายพันปี ไม่นึกว่าจะอยู่ที่นี่ มนต์บังตาของซุสช่างกล้าแกร่งนัก ฮึ..แต่ตอนนี้
ข้าจะทำให้มันแหลกเป็นจุลภายในพริบตาพร้อมกับเจ้าพวกเทวทูตทั้งหลาย ชายที่มีลักษณะเป็น
ผู้นำทัพกล่าวขึ้น ซึ่งตามลักษณะเขามีความคล้ายมนุษย์มากกว่าอสูรกายที่อยู่ด้านหลังเขา แต่กลับ
มีความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง เหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นเอาไว้ ไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้ล้วนแล้วต้อง
ตัวสั่นงันงกเป็นแน่แท้ หรือหากเป็นศัตรูก็คงแหลกลาญสลายไปทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ
ชุดที่ใส่ก็ดูแตกต่างเพราะส่วนบนไม่มีเกราะป้องกันอันใดเลย มีเพียงผ้าคลุมสีแดงสดที่ปลิวไสวตาม
แรงลม เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูราวกับเหล็กกล้า กล้ามที่เป็นมัดๆเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจาก
หนังสือแฟชั่น แต่กล้ามเนื้อที่สวยงามกลับเปล่งประกายความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอาวุธใดใน
โลกนี้ที่จะสามารถระคายผิวหรือทำอันตรายเขาได้เลย ส่วนครึ่งล่างเขาสวมกางกาง US สีดำของ
ทหาร รองเท้าที่เขาสวมใส่เป็นรองเท้าบูทที่ทหารใส่กันสีดำขลับราวกับไม่เคยถูกใช้หรือเดินบนพื้น
ดินมาก่อนดูอายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี
“พวกมันไม่รู้ตัว แบบนี้เราก็สามารถเหาะเข้าไปถล่มมันได้สบายสินะนายท่าน”นักรบที่มีหัว
เป็นกระทิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ พริบตาร่างของชายผ้าคลุมแดงก็หายไปราวกับล่องหน
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังนักรบหัวกระทิง บรรยากาศเย็นเฉียบไม่มีใครกล้า
เอ่ยอะไร
ข้าจะบอกอะไรเจ้าสัก 2-3 อย่าง เจ้าหัวขี้เลื่อยชายผ้าคลุมแดงกระซิบเบาๆข้างหูนักรบหัวกระทิง
แต่เสียงกลับก้องได้ยินเหมือนก้องอยู่ในหัวของนักรบทุกตน
หนึ่งถ้าข้าไม่ถามหรือขอความเห็นจากเจ้าอย่าได้กล่าววาจาใดๆออกมาให้มันระคายโสตข้า
สอง หมู่บ้านนี้ได้รับความคุ้มกันด้วยมนต์อันแข็งแกร่งของเทพซุสทางเข้าสำหรับผู้บุกรุกมีทางเดียว
คือเข้าทางประตูเท่านั้น และ สาม ข้าคิดว่าเจ้าอธิบายได้ดีกว่าข้าแน่นอน
ชายผู้สวมผ้าคลุมแดง ใช้มือของเขากุมศีรษะของนักรบผู้นั่นเอาไว้แล้วจับขว้างเข้าไปที่หมู่บ้าน
ราวกับขว้างปุยนุ่น เหมือนไม่รู้สึกหนักอะไรเลย แต่ก่อนที่ร่างของนักรบจะเข้าถึงหมู่บ้าน คล้ายๆ
กับร่างเขาไปชนกับผนังกำแพงอันแข็งแกร่ง แล้วก็เกิดแสงสีทองวาบขึ้นมา ก่อนที่ร่างของนักรบ
ตนนั่นจะสลายหายไปเป็นผุยผง
“กำแพงเกราะเวทย์ชั้นสูงของซุส ที่แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอันตรายได้”
ชายผ้าคลุมแดงเอ่ยขึ้น
“เอาหล่ะ เหล่านักรบของข้าจงเตรียมพร้อม เราจะเข้าทางประตูหน้า สงครามครั้งนี้ข้าจะให้มันจบ
เร็วกว่าที่คิด”
ณ ลานกลางหมู่บ้าน เซนทอร์ตนหนึ่งวิ่งตรงมาที่ เมอร์คิวรี่ ซึ่งยืนอยู่กับกลุ่มนักรบกลุ่มหนึ่ง
สีหน้าเขาดูตื่นตระหนกเหมือนกับคนที่เจอกับภูตผีปิศาจมา
“ท่านเมอร์คิวรี่ ๆ” เขาหยุดเพื่อสูดหายใจนิดหนึ่ง “ท่านซีซ่าร์ให้ข้ามาแจ้งข่าวท่านครับ”
“ใจเย็นๆ ท่านบีนอส ท่านซีซ่าร์มีข่าวอันใดหรือ” เมอร์คิวรี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
คือ....ว่า ศัตรูบุกเข้ามาแล้วขอรับ ทางประตูหน้า อีกไม่นานก็คงเริ่มปะทะกัน มีนักรบภูตประมาณพันตน
ส่วนผู้นำทัพ....คือ.....
ใครนำทัพบุกหมู่บ้านเทวทูตเราครั้งนี้เหรอท่านบีนอส เมอร์คิวรี่เอ่ยถาม
ท่านซีซ่าร์บอกว่า เขาคือ เทพผู้แปรพักตร์ แอรีส เทพแห่งสงคราม บุตรแห่งซุสขอรับ
เมอร์คิวรี่ถึงกับหน้าถอดสี เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่อก ก่อนจะอุทานออกมา
จบกัน....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ