ศาสตราวุธ มหาสงครามพลิกสวรรค์

9.3

เขียนโดย guyver

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.19 น.

  2 ตอนที่ 1
  7 วิจารณ์
  6,604 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556 20.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เด็กชายผู้ไร้ซึ่งศาสตรา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เด็กชายผู้ไร้ซึ่งศาสตรา
8  ปีที่แล้ว  ณ  หมู่บ้านยุคันธร
 
          ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบงัน ผู้คนที่ต่างรุมล้อมเด็กทารกซึ่งเกิดมาหน้าตาน่ารักน่าชัง  
ซึ่งร้องไห้เสียงดังจากการได้ลืมตาขึ้นมามองดูโลกในครั้งแรก  บ่งบอกถึงความแข็งแรงของทารกผู้นี้ ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงประมาณ 170 เซนติเมตร  ยืนมองหญิงสาวที่ให้กำเนิดเด็กทารกด้วยสายตาเศร้าหมอง
           
 "นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหล่าทวยเทพเทวดาทรงเล่นตลกอะไร"
 
ชายคนหนึ่งในจำนวนผู้เข้ามามุงดูเอ่ยออกมาด้วยสายตางงงวย ปนความวิตก  ไม่แตกต่างกับสีหน้าของคนอื่นๆที่เกิดความสงสัย
 
       "นั้นน่ะสิ  ตั้งแต่ข้าเกิดมา ยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย"    
 
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูหน้าตาท่าทางไม่ต่างจากชายวัย 25 -26 ปีกล่าวขึ้นมาบ้าง  เสียงของผู้มารุมล้อมต่างดังเซ็งแซ้  
 
                “โอวววว นี่มันอะไรกัน  มีใครแจ้งท่านเมอร์คิวรี่แล้วหรือยัง”  หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
 
              “ข้าอยู่นี่แล้ว  เกิดอะไรขึ้น  พวกเจ้าเสียงดังอะไรกัน” 
 
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามา เขาแต่งกายด้วยชุดนักรบ  สวมเกราะโลหะเงินวาวป้องกัน
ไหล่และหน้าอกเอาไว้  ส่วนล่างมีเกราะไว้ป้องกันบริเวณหน้าขาทั้งสองข้างสวมกางเกงหนัง
ทะมัดทะแมงสีดำมันวาวตัดกับรองเท้าสีเงินเข้ากับเกราะ  ซึ่งลายรองเท้าคล้ายๆจะมีปีกงอกออกมา
มือเขากำดาบซึ่งทั้งฝักและด้ามก็มีสีเงินวาวเช่นกัน  แต่ด้ามดาบกลับอัศจรรย์คล้ายมีอสรพิษสองตัว
รัดกันอยู่จนก่อเกิดเป็นด้ามดาบขึ้นมา
 
ทุกคนหันไปที่ชายผู้นั้น 
“ท่านเมอร์คิวรี่  ทารกที่เกิดมาไร้ซึ่งอาวุธติดกายมา  มันหมายความว่าไง”  หญิงสาวที่ถามหาเขา
เอ่ยปากถามขึ้น  ขณะที่ชายชื่อเมอร์คิวรี่หยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มผู้ซึ่งอุ้มทารกน้อยเอาไว้
 
“ที่สำคัญ  มารดาผู้ให้กำเนิดเขา  สิ้นลมแล้วท่าน ในรอบหลายพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่น
นี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเราเลยนะท่าน  ท่านถามไปยังสรวงสวรรค์ดูหน่อยเถิด”  หญิงสาวเอ่ยต่อ
เมอร์คิวรี่ยกมือปรามให้หญิงสาวคนนั้นหยุดพูด  พร้อมกับหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอุ้มทารกเอาไว้
 
                “อีรอสเพื่อนข้า" เมอร์คิวรี่พูดพลางแตะที่ไหล่ของชายหนุ่มผู้อุ้มทารกเบาๆ
 
              “ข้าคิดว่า  เทพเทวดาย่อมมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้  เราจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี  และข้าว่าเขา
ต้องเป็น เทวทูต  ที่ยิ่งใหญ่  และเป็นกำลังสำคัญไม่แพ้เทวทูตอื่นๆในที่นี้แน่นอน”
 
                ส่วนภรรยาของเจ้า เฟเธน่า  เราจะจัดพิธีส่งนางคืนสวรรค์  สักวันเจ้าจะได้พบนาง
เพื่อนข้า  แต่ไม่ใช่ตอนนี้  เรายังมีภารกิจต้องคุ้มครองดูแลประตู
                เจ้าอยู่ดูแลลูกเจ้าให้ดีสำหรับคืนนี้  ส่วนเทวทูตศาสตราธนู เทวทูตศาสตราดาบ ตาม
ข้ามา เรามีภูตที่ต้องการขึ้นสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาตมาเยือน 4-5 ตน  ไปต้อนรับพวกมันกัน
หน่อย
                   .............................................................................................................................
 
ณ  เวลาปัจจุบัน
 
                เด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่บนเนินพื้นหญ้ามองดูเพื่อนๆในวัยเดียวกันซ้อมรบการต่อสู้  ซึ่ง
แต่ละคนทั้งเด็กชายและเด็กหญิงดูทะมัดทะแมง  บ้างจับคู่ซ้อมต่อสู้ด้วยดาบ  เสียงที่โลหะกระทบ
กันให้ความรู้สึกฮึกเหิมในการซ้อมยิ่งนัก ในอีกกลุ่มก็ซ้อมยิงธนูเสียงหวีดหวิวของลูกธนูที่วิ่งผ่าน
อากาศเหมือนจะทำลายได้ทุกอย่างที่กั้นขวางวิถีของมัน  และทุกกลุ่มจะมีกลุ่มผู้ใหญ่คอยให้คำ
แนะนำและบอกเทคนิคต่างๆให้แก่เด็กๆตลอดเวลา เขาเหม่อลอยคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันรู้สึกถึง
การมาของชายอีกคนที่เดินเข้ามาข้างหลังเขา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ  ใช้มือลูบที่ศีรษะเด็กน้อยเบาๆ
ด้วยความเอ็นดู
 
                “เพอร์ซุส  ลูกพ่อ  ทำไมไม่ไปซ้อมกับเพื่อนๆหล่ะลูก”
                “ท่านพ่อ” เด็กน้อยพูดโดยไม่ได้หันมามอง “ไม่มีกลุ่มใหนอยากซ้อมกับข้าเลย เพราะข้าไม่มีอาวุธ”
 
                “ลูกรู้ไหม  อาวุธของลูกอยู่ตรงนี้” 
 
อีรอสชี้ไปที่หน้าอกของบุตรชาย   อาวุธของลูกคือหัวใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้  เจ้าไม่ใช่คนที่
แปลกประหลาดเพราะไม่มีอาวุธเหมือนคนอื่นๆ  แต่ว่าเจ้าแตกต่างและเป็นคนพิเศษ  เป็นคนสำคัญ 
ที่มาเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และพ่อเชื่อว่าสักวันหนึ่งลูกจะค้นหาความจริงนั้นเจอแน่นอน  ลูกพ่อ
 
                พ่อต้องไปหา ท่านเมอร์คิวรี่ ก่อนนะ  เห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ทางสวรรค์แจ้งลงมา  เย็นนี้เจอกันลูก
อีรอส  ขยี้ศีรษะบุตรชายเบาๆอย่างเอ็นดูอีกครั้ง  ก่อนที่จะเดินเข้าหมู่บ้านไป
                                ..............................................................................................
 
ค่ำคืนของวันนี้  ณ  หมู่บ้านยุคันธร  ที่ห้องประชุม  กลุ่มคน 10 คน กำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
                “เป็นความจริงแน่หรือท่านเมอร์คิวรี่”  ชายหนุ่มมาดทะมัดทะแมงแต่งกายคล้ายนาย
พรานซึ่งมีกระบอกลูกธนูสะพายอยู่ด้านหลังเอ่ยถามซึ่งครึ่งล่างของเขากลับพิสดารตั้งแต่ครึ่งเอวลง
ไปเป็นม้า  ใช่แล้วเขาคือ เซนทอร์ (Centaur สัตว์ที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วน
ล่างลงไปเป็นครึ่งของม้าหนุ่มที่สง่างาม มีคันศรและลูกดอกเป็นอาวุธ)
 
                “ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องล้อเล่นนะ ซีซ่าร์”  
 
เมอร์คิวรี่ เอ่ยพร้อมกับมองไปที่เซนทอร์ที่เขาเรียกว่าซีซ่าร์  
 
“แต่ทวยเทพทั้งหลายยืนยันมาเช่นนั้น  เจ้าบอกพลธนูของเจ้าให้เตรียมพร้อมให้ดีก็แล้วกัน
 
และกลุ่มนักรบเทวทูตกลุ่มอื่นด้วยขอให้สั่งการลงไปให้เตรียมพร้อมให้ดี  เราคือทัพหน้าแน่นอน 
 
และเราไม่รู้ว่าฝ่ายที่จะมา  ใครกันที่จะนำทัพ  เพราะขณะนี้ภพสวรรค์ก็กำลังจัดเตรียมทัพใหญ่
 
เอาไว้เช่นกัน  สงครามที่เราเฝ้าระวังมาหลายพันปีกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว  ที่เราต้องทำคือปกป้อง
 
ประตูสวรรค์เอาไว้จนกว่าทัพเทวดาจะพร้อมรบ”
               
สีหน้าของทุกคนในห้องประชุมต่างเคร่งเครียด  ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
                ……………………………………………..
 
ณ นอกเขตแดนหมู่บ้านทางทิศบูรพา(ตะวันออก)มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 1000 กว่าคนกำลัง
ยืนจ้องมองไปที่เนินเขาที่ว่างเปล่า ที่มีเพียงต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธ์และแนวป่าที่ทอดยาวสุดลูก
หูลูกตา จะว่ายืนมองก็คงไม่ถูกต้องนัก เหตุเพราะทั้งหมดเท้าไม่ได้สัมผัสพื้นดิน หากแต่ลอยอยู่
เหนือยอดไม้ที่สูงใหญ่ทุกต้นในเขตนั้น  ซึ่งแต่ละต้นสูงอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 200 ฟุต
“ที่นี่ใช่มั้ย” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวานแต่แข็งกร้าวฟังแล้วเหมือนจะทำให้
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้แตกสลายไป
ขอรับนายท่าน  ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างแต่ดูจากกิริยาเหมือนกับจะโน้มตัวลงต่ำดุจดังบ่าวผู้ภักดี  ส่วน
บุคคลที่อยู่ด้านหลังออกไปล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดยิ่งนัก  เพราะบางคนถึงรูปร่างจะคล้าย
มนุษย์  แต่กลับมีใบหน้าหรือส่วนศีรษะที่คล้ายสัตว์  ทั้งกระทิง กระบือ นก อีกทั้งที่มากกว่านั้นบาง
คนแยกไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่เพราะใบหน้าคล้ายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่จบสิ้น  และทุกคนก็สวม
ชุดเกราะเหมือนทหารในกองทัพที่พร้อมเข้าบดขยี้ศัตรูที่เข้ามาขวางทางพวกเขาด้วยอาวุธที่มีอยู่ใน
มือ ไม่ว่าจะเป็น ค้อน  ดาบ  หอก  บางตนมีโล่ห์ป้องกัน  แต่บางตนก็ไม่มี
ข้าตามหามานานหลายพันปี  ไม่นึกว่าจะอยู่ที่นี่  มนต์บังตาของซุสช่างกล้าแกร่งนัก  ฮึ..แต่ตอนนี้
ข้าจะทำให้มันแหลกเป็นจุลภายในพริบตาพร้อมกับเจ้าพวกเทวทูตทั้งหลาย  ชายที่มีลักษณะเป็น
ผู้นำทัพกล่าวขึ้น ซึ่งตามลักษณะเขามีความคล้ายมนุษย์มากกว่าอสูรกายที่อยู่ด้านหลังเขา  แต่กลับ
มีความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง เหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นเอาไว้ ไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้ล้วนแล้วต้อง
ตัวสั่นงันงกเป็นแน่แท้  หรือหากเป็นศัตรูก็คงแหลกลาญสลายไปทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ
ชุดที่ใส่ก็ดูแตกต่างเพราะส่วนบนไม่มีเกราะป้องกันอันใดเลย มีเพียงผ้าคลุมสีแดงสดที่ปลิวไสวตาม
แรงลม เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูราวกับเหล็กกล้า กล้ามที่เป็นมัดๆเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจาก
หนังสือแฟชั่น แต่กล้ามเนื้อที่สวยงามกลับเปล่งประกายความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอาวุธใดใน
โลกนี้ที่จะสามารถระคายผิวหรือทำอันตรายเขาได้เลย ส่วนครึ่งล่างเขาสวมกางกาง US สีดำของ
ทหาร  รองเท้าที่เขาสวมใส่เป็นรองเท้าบูทที่ทหารใส่กันสีดำขลับราวกับไม่เคยถูกใช้หรือเดินบนพื้น
ดินมาก่อนดูอายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี
“พวกมันไม่รู้ตัว  แบบนี้เราก็สามารถเหาะเข้าไปถล่มมันได้สบายสินะนายท่าน”นักรบที่มีหัว
เป็นกระทิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ  พริบตาร่างของชายผ้าคลุมแดงก็หายไปราวกับล่องหน
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังนักรบหัวกระทิง  บรรยากาศเย็นเฉียบไม่มีใครกล้า
เอ่ยอะไร
ข้าจะบอกอะไรเจ้าสัก 2-3 อย่าง เจ้าหัวขี้เลื่อยชายผ้าคลุมแดงกระซิบเบาๆข้างหูนักรบหัวกระทิง 
แต่เสียงกลับก้องได้ยินเหมือนก้องอยู่ในหัวของนักรบทุกตน
หนึ่งถ้าข้าไม่ถามหรือขอความเห็นจากเจ้าอย่าได้กล่าววาจาใดๆออกมาให้มันระคายโสตข้า
สอง  หมู่บ้านนี้ได้รับความคุ้มกันด้วยมนต์อันแข็งแกร่งของเทพซุสทางเข้าสำหรับผู้บุกรุกมีทางเดียว
คือเข้าทางประตูเท่านั้น  และ สาม  ข้าคิดว่าเจ้าอธิบายได้ดีกว่าข้าแน่นอน
ชายผู้สวมผ้าคลุมแดง  ใช้มือของเขากุมศีรษะของนักรบผู้นั่นเอาไว้แล้วจับขว้างเข้าไปที่หมู่บ้าน
ราวกับขว้างปุยนุ่น เหมือนไม่รู้สึกหนักอะไรเลย  แต่ก่อนที่ร่างของนักรบจะเข้าถึงหมู่บ้าน  คล้ายๆ
กับร่างเขาไปชนกับผนังกำแพงอันแข็งแกร่ง  แล้วก็เกิดแสงสีทองวาบขึ้นมา  ก่อนที่ร่างของนักรบ
ตนนั่นจะสลายหายไปเป็นผุยผง
“กำแพงเกราะเวทย์ชั้นสูงของซุส  ที่แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอันตรายได้” 
ชายผ้าคลุมแดงเอ่ยขึ้น 
“เอาหล่ะ เหล่านักรบของข้าจงเตรียมพร้อม เราจะเข้าทางประตูหน้า  สงครามครั้งนี้ข้าจะให้มันจบ
เร็วกว่าที่คิด”
 
ณ ลานกลางหมู่บ้าน  เซนทอร์ตนหนึ่งวิ่งตรงมาที่ เมอร์คิวรี่  ซึ่งยืนอยู่กับกลุ่มนักรบกลุ่มหนึ่ง
สีหน้าเขาดูตื่นตระหนกเหมือนกับคนที่เจอกับภูตผีปิศาจมา
                “ท่านเมอร์คิวรี่ ๆ” เขาหยุดเพื่อสูดหายใจนิดหนึ่ง  “ท่านซีซ่าร์ให้ข้ามาแจ้งข่าวท่านครับ”
“ใจเย็นๆ ท่านบีนอส  ท่านซีซ่าร์มีข่าวอันใดหรือ”  เมอร์คิวรี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
คือ....ว่า  ศัตรูบุกเข้ามาแล้วขอรับ  ทางประตูหน้า  อีกไม่นานก็คงเริ่มปะทะกัน  มีนักรบภูตประมาณพันตน
ส่วนผู้นำทัพ....คือ.....
                ใครนำทัพบุกหมู่บ้านเทวทูตเราครั้งนี้เหรอท่านบีนอส  เมอร์คิวรี่เอ่ยถาม
                ท่านซีซ่าร์บอกว่า  เขาคือ  เทพผู้แปรพักตร์  แอรีส  เทพแห่งสงคราม  บุตรแห่งซุสขอรับ
                เมอร์คิวรี่ถึงกับหน้าถอดสี  เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่อก  ก่อนจะอุทานออกมา
                                                    จบกัน....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา