ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก
10.0
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.
15 ตอน
5 วิจารณ์
38.77K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) Chapter 08 : คนที่ไม่เหลือใคร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ19/01/13
Chapter08 : คนที่ไม่เหลือใคร ลุกซ์ : "มองทำไมครับ?"
หมับ! พลั่ก!
ขณะที่ผมหลับตาปี๋ทำหน้าพะอืดพะอมร่างของพี่จักรก็ผละออกไปพร้อมกับเสียงวัตถุกระทบกันผมจึงรีบลืมตามองและพบว่าพี่จักรถูกใครบางคนต่อยจนหน้าคว่ำ ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจแต่ที่จริงโล่งใจสุดๆ ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดผมว่าผมได้อ้วกแน่ๆ ขยะแขยงฉิบหาย
“มึงเป็นใครวะ!?!” ไอ้พี่จักรที่ถูกต่อยคว่ำถามอย่างฉุนเฉียว
“เสือกไรด้วย?” อีกคนเลิกคิ้วทำหน้ากวนตีนจนน่าเอาตีนถีบหน้า แต่ผมจะกล้าทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อผมรักเขามากซะขนาดนั้น
พี่ลุกซ์...มาอยู่ที่นี่ได้ไง? หรือว่าพี่แกก็มา...เหมือนกัน แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกสะท้านวาบในใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยร่างเล็กหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มยืนมองพวกเราอยู่ข้างๆ รถพี่ลุกซ์ เดี๋ยวนี้พี่มันหันไปบริโภคผู้ชายแล้วหรือ? ทำไมล่ะ? ทำไมไม่ให้คนนั้นเป็นผม? ถึงผมจะไม่น่ารัก ไม่น่าทะนุถนอมเหมือนคนที่มากับพี่มันก็ตาม
“มึงนั่นแหละเสือกอะไร? กูกำลังสวีตกับเมียกูมึงมายุ่งทำไม?” ไอ้พี่จักรตะคอก เฮ้ย! ลามปามละมึง ใครเมียมึงครับ?
ไอ้พี่ลุกซ์ตวัดสายตาคมกริบมามองผม ผมสะดุ้งก่อนจะก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“พี่จักรครับ คนคนนี้เขาเป็นรุ่นน้องของพี่ชายเปอร์ครับ” ผมบอกก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ยิ่งเด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นเดินมาเกาะแขนพี่ลุกซ์ผมยิ่งเจ็บ
“ร่าน!” ไอ้พี่ลุกซ์กระชากเสียง คำพูดนั้นคงสำหรับผมล่ะมั้ง ตอนนี้พี่ลุกซ์คงกำลังมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามเหมือนเคย ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้
“งั้นเรารีบไปเถอะเปอร์” ไอ้พี่จักรทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูให้ผมด้วยอารมณ์โมโห ผมยืนนิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นรถ
“มึงรู้จักมันนานแค่ไหน?” พี่ลุกซ์ถามขึ้น ผมชะงักก่อนจะก้าวลงมาเพื่อคุยกับพี่มัน ไอ้พี่จักรทำหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เพิ่งรู้จักครับ” ผมตอบเสียงเบา ที่พี่มันถามแบบนี้เพราะว่าพี่มันเป็นห่วงผมหรือเปล่า? หรือแค่อยากจะเยาะเย้ยเท่านั้น?
“แล้วมึงก็ไปกับมัน? เฮอะ! มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทีกับกูแม่งทำสะดิ้งบอกว่าเจ็บบอกว่าไม่เอา ฮึๆ” ประโยคสุดท้ายพี่มันก้มลงมากระซิบเสียงเย็นจนผมขนลุกตั้งชันด้วยความกลัวและความเสียใจ ผมเม้มปากแน่นพูดอะไรไม่ออกเพราะความเสียใจมันจุกอยู่ที่อก ทรมาน
“นี่! จะให้พวกกูไปได้หรือยัง?” ไอ้พี่จักรถามเสียงหงุดหงิด ตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าใครทั้งนั้นเพราะผมยิ้มไม่ออก ถ้าเป็นปกติผมฝืนทำตัวเฮฮาได้ตลอดแต่ตอนนี้ความรู้สึกอยากร้องไห้มันแทรกเข้ามาจนทำตัวเหมือนปกติไม่ได้
“ไม่ได้!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก ผมเหลือบมองหน้าพี่แกอย่างสงสัย แต่พอเห็นว่าสายตาคมดุนั่นกำลังมองผมอยู่ผมก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที เข้มแข็งหน่อยสิเปอร์ ยิ้ม...ยิ้มออกมาเหมือนเมื่อก่อนสิ รอยยิ้มจอมปลอมของมึงน่ะเค้นมันออกมาสิ!
“โธ่พี่ มาถึงขนาดนี้แล้วพี่จะห้ามผมทำไมคร้าบ” ผมเงยหน้ายิ้มตาหยีเพื่อปิดบังความรู้สึก เอาล่ะๆ ยิ้มต่อไปนะเปอร์ ถึงหน้ามึงจะรู้สึกชามึงก็ต้องยิ้ม เขาจะได้ไม่สมเพชเวทนามึงไง
“ฮึ! มึงอยากลองแรดดูสักครั้งเหรอ? ไหนบอกว่าจะไปหาเพื่อนแล้วทำไมถึงแรดมาหาผู้ชายแบบนี้!?!” คำว่าแรดคำว่าร่านที่พี่มันด่าผมนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้มุมปากของผมค่อยๆ โค้งลงเรื่อยๆ คำพูดพวกนั้นมันทำให้ผมแสร้งยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ
“ผมแค่มาหาความรักที่พี่ให้ผมไม่ได้ไงครับ ไม่ดีเหรอ ถ้าผมรักคนอื่นพี่จะได้ไม่รำคาญผมไง” ผมฝืนยิ้มให้ไอ้พี่ลุกซ์พลางพูดเสียงแผ่วเป็นจังหวะ
“...”
“ถ้าพี่ทำเหมือนเป็นห่วงผมแบบนี้เดี๋ยวผมก็ตัดใจไม่ลงหรอก” ผมก้มหน้ายิ้มเยาะตัวเอง น่าสมเพชจริงๆ อกหักจากผู้ชายก็เลยหาผู้ชายมาดามอก ที่ถูกด่าว่าแรดว่าร่านก็คงเหมาะสมแล้ว
“กูเนี่ยนะเป็นห่วงมึง? กูแค่สมเพชที่เห็นน้องของรุ่นพี่กูทำตัวเหลวแหลกแบบนี้” ผมสะอึกรีบกำมือแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด ไม่เอานะเปอร์ แค่ถูกคนที่รักดูถูกแค่นี้มึงจะร้องไห้ไม่ได้นะ ให้ตายเถอะ ถ้าการรักใครมากขนาดนี้แล้วทำให้อ่อนแอลงรู้งี้ไม่น่าไปรักเลยซะดีกว่า ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมอ่อนแอจนกลายเป็นคนขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
“ก็ผมมันคนไม่ดีนี่ครับ คนดีที่ไหนเขาหนีออกจากบ้านจนต้องถ่อสังขารไปขอที่อยู่จากคนอื่น และถ้าผมมันไม่น่ารังเกียจคงไม่ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาจริงไหมครับ?” ผมพูดประชดตัวเองโดยไม่ลืมที่จะยิ้ม พูดเองก็เจ็บเองแฮะ เฮ้อ...ผมนี่มันเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือไงนะถึงได้ทำร้ายตัวเองตลอดเวลาแบบนี้
“...”
“พี่ไล่ผมออกมาเองนี่นา ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมคงต้องไปนอนข้างถนน” ผมเงยหน้าส่งยิ้มให้พี่ลุกซ์อีกครั้ง ผมปิดตาแน่นเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาและผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่มันจะไม่รู้ว่าผมกำลังทรมานกับการถูกทิ้ง
“มึงมันก็แค่คนน่าสมเพช” สิ้นคำของพี่ลุกซ์น้ำอุ่นๆ ก็ไหลลงมาจากดวงตาที่ปิดแน่น ผมกลั้นแล้วนะ แต่มันไม่อยู่จริงๆ หากถูกคนอื่นด่าคนอื่นว่าผมไม่เจ็บหรอกแต่นี่เป็นพี่ลุกซ์...คนที่ผมรัก ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมผมถึงรักเขาได้มากมายขนาดนี้ ไม่แน่นะ ผมอาจจะถูกพระเจ้าลงโทษเรื่องที่ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงที่นอนด้วยก็เป็นได้
“ผะ...ผมรู้ตัว...” ผมพูดเสียงสั่นแต่หน้าก็ยังพยายามที่จะยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด “ผม...ผมมันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงผมรู้ตัวดี ผมรู้...รู้ตัวดี...ว่าพี่เกลียดผมมากแค่ไหน? แต่ผมก็ยังรัก...แต่ผมก็ยังอยากเจอ แต่ถ้ามันทำให้พี่ลำบากใจต่อไปนี้ผมจะไม่ยุ่งอีก...ฮึก...แล้วก็ได้ อึ๊ก!” ผมเอนตัวพิงรถก่อนจะทรุดลงนั่งกอดเข่า เขารังเกียจผมมากขนาดนี้ผมเองก็ควรจะถอยห่างได้แล้ว ถ้ายิ่งอยู่ใกล้ก็รังแต่จะทำให้ความรังเกียจนั้นมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“อย่ามาสำออย มึงก็รู้ว่าน้ำตาของมึงไม่ได้มีผลอะไรกับกู” ผมซบหน้าแนบเข่าของตัวเองก่อนจะเงียบไม่พูดอะไร มันชัดเจนแล้วว่าพี่ลุกซ์ไม่มีทางที่จะรักผมได้ ต่อให้ผมพยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ พี่มันก็คงเป็นเหมือนผม...ผมรักพี่มันตั้งแต่แรกพบโดยไม่มีเหตุผล พี่มันเองก็คงจะเกลียดผมตั้งแต่แรกเจอโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ผมรักมาก...พี่มันก็เกลียดมาก
หมับ! เพี้ยะ!
ร่างของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนก่อนมือหนาจะฟาดลงมาที่ใบหน้าของผมเต็มแรง ด้วยแรงตบนั้นทำให้ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวล้มกระแทกพื้น ผมนั่งตัวสั่นเพราะสะอื้นอยู่ที่พื้นโดยไม่ลุกขึ้นมาหรือเงยหน้าขึ้นมามองใครทั้งนั้น โหดร้าย...ใจดำ...
ผมยอมตัดใจแล้วนะทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้ แค่นี้ยังใจร้ายกับผมไม่พออีกเหรอ? แค่นี้พี่ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้ใครมารักไม่พอใช่ไหม? ได้โปรด...ตอนนี้ผมทรมานเหลือเกิน
สักพักผมก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆ เดินหนีไป ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงจนไม่อยากทำอะไร ผมคิดถึงพี่ถัง ผมอยากไปอยู่กับพี่มัน มีพี่มันแค่คนเดียวที่ให้ความรักกับผมได้ ถึงมันจะไม่ใช่ความรักในแบบของคนรักแต่มันก็อบอุ่นที่สุด ผมคงไม่แสวงหาความรักที่ฉาบฉวยอีกแล้วเพราะมันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย
บรืนนนน!
เอี๊ยดดดดด!!
ผมไม่รู้ว่าผมเดินไปในทิศทางใดแต่รู้ตัวอีกทีเสียงดังของการเสียดสีที่เกิดจากล้อรถกับพื้นถนนก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่สาดส่องเข้าตาจนผมลืมตาไม่ขึ้น รถชนเหรอ...อาจจะดีกับผมก็ได้มั้ง ฮึๆ
หมับ!
ตุบ!
ขณะที่ผมยิ้มรับกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้อมือของผมก็ถูกฉุดให้หลบรัศมีการชนจนร่างของผมเซไปปะทะกับร่างกายแกร่งๆ ของคนดึง แข้งขาผมอ่อนแรงจนยืนด้วยตัวเองไม่ไหวคนข้างหลังจึงพยุงผมไว้ ในใจของผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนข้างหลังจะเป็นใครก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นพี่ลุกซ์
“เดินดูทางหน่อยสิวะ ปัดโธ่เอ๊ย!!” คนขับรถคันที่จะชนผมตวาดดังลั่นก่อนจะออกรถไป ผมไม่ได้สนใจเขาแต่ผมกำลังสนใจว่าคนที่ดึงผมเอาไว้จะเป็นใคร ไม่ใช่พี่ลุกซ์ได้ไหมผมขอร้อง
แต่ดูเหมือนความหวังผมจะดับวูบลงเมื่อคนที่ดึงผมเอาไว้ก็คือพี่ลุกซ์ พอตั้งตัวได้ผมก็รีบบิดตัวออกจากมือแกร่งทันที แต่พอยืนได้เองไม่นานร่างผมก็ล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้งเมื่อแก้มข้างเดิมถูกตบซ้ำ ผมก้มหน้าสะอื้นอย่างไม่อายใคร วินาทีนี้ผมไม่เหลืออะไรไว้ให้รู้สึกดีอีกแล้วแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง
“พอหรือยัง? ถ้ายังไม่พอก็ตบอีกสิครับ ตบให้หน้าของผมมันหายด้านไปเลยยิ่งดี ฮึๆๆ” ผมยืนขึ้นและเงยหน้าเผชิญหน้ากับพี่ลุกซ์ ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจับจ้องดวงตาคมกริบที่กำลังแสดงความโกรธจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปน ถ้าเกลียดผมแล้วมาช่วยผมไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปเลยล่ะ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจผมแล้วจะให้ผมอยู่ไปทำไม?!
“มึงเป็นบ้าอะไร!?! อยากประชดกูเลยจะโดดให้รถชนว่างั้น!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก
“ฮะๆ กับคนที่ไม่มีใครรักอย่างผมถึงประชดใครไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ถึงผมจะต้องตายไปจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ” ผมยิ้มนิดๆ ที่มาช่วยผมไว้ก็คงเพราะคิดว่าผมคิดจะฆ่าตัวตายประชดสินะ
“มึงจะเรียกร้องความสนใจจากกูไปเพื่ออะไรในเมื่อมึงก็รู้ว่ากูไม่รักมึง!” พี่มันตะคอก น้ำตาผมรื้นขึ้นมาอีกระลอก
“ผมรู้แล้วและผมก็พอแล้วนี่ไงครับ ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจ! โอเค...ผมรักพี่แต่ถ้าพี่ไม่รักผมพี่ก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับผมอีก จะเป็นจะตายมันก็ชีวิตของผม!” ผมตวาดและผลที่ได้รับก็คือแรงตบที่ตบซ้ำที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้ล้มลงไปเพราะผมยืนให้มั่นคงกว่าเดิม
“แล้วพ่อกับแม่มึงล่ะ!?!” พี่มันถลึงตามองผมอย่างโกรธเคือง
“ถ้าพวกเขารักผมสักนิดผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้...” ผมพูดเสียงแผ่วเบา
“ขนาดตัวมึงเองมึงยังไม่รักแล้วมึงจะหวังให้ใครมารักคนอย่างมึง” พี่มันเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมแน่นจนผมต้องห่อไหล่เพราะความเจ็บ
ผมชะงักกับคำพูดของพี่ลุกซ์ นั่นสินะ...ผมมันไม่รักตัวเอง เอาแต่ทำร้ายตัวเองโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บปวดมากแค่ไหนและไม่สนใจว่าคนที่เขารักผมจะเจ็บปวดมากกว่าผมไหม? ไอ้พี่ถังมันคงจะเจ็บปวดสินะที่ผมไม่ดูแลตัวเองเลย
“ฮึก! ถะ...ถ้า...ถ้าผมรักตัวเองแล้วพี่จะรักผมบ้างได้ไหม?” ผมถามทั้งน้ำตา พี่ลุกซ์คลายมือที่จับไหล่ผมออกก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่น
“ถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ?” พี่มันถาม
“อือ...ฮึก...ไม่ก็ไม่ครับ” ผมพยักหน้าทั้งน้ำตา ต่อให้ฝืนให้ตายคนไม่รักมันก็ไม่รัก
ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะเดินไปลากกระเป๋าของตัวเอง พี่ลุกซ์มองตามก่อนจะถาม “มึงจะทำอะไรอีก? กูบอกว่าไม่ได้รักแค่นี้คิดจะประชดอะไรอีก!?!” พี่มันตะคอกถาม ผมหันไปยิ้มให้
“เปล่าครับ ผมแค่จะไปหาที่นอน” ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม สงสัยครั้งนี้คงต้องพึ่งไอ้พัดจริงๆ แล้วสินะ
“ชิ! มานี่!” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้าหงุดหงิดก่อนจะเดินมากระชากข้อมือแล้วลากผมไปที่รถ
“ละ...แล้ว...” ผมมองไปที่หนุ่มน้อยน่ารักที่มากับพี่ลุกซ์ด้วยสายตางุนงงซึ่งเขาก็กำลังมองตามอย่างงุนงงเช่นเดียวกัน
“ดิน วันนี้ศึกษาเองไปก่อนนะ” ไอ้พี่ลุกซ์บอกก่อนจะกดหัวผมให้ผลุบเข้าไปในรถ
“โด่! ผมจะกล้าเที่ยวบาร์เกย์คนเดียวได้ไงล่ะครับ ผมกลับดีกว่า” เด็กหนุ่มคนนั้นยักไหล่ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายพลางเดินออกไปเรียกแท็กซี่ ส่วนไอ้พี่จักรก็ยังยืนงงอยู่ที่เดิม
พี่ลุกซ์ขับรถพาผมกลับไปที่คอนโดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนพี่แกจะยังหัวเสียกับเรื่องของผมไม่หายส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ในรถหรู ขนาดหายใจแรงๆ ผมยังไม่กล้าทำเลย
พี่ลุกซ์โยนกระเป๋าของผมเข้าไปในห้องแล้วเดินนำเข้าไป ผมก้มหน้าเดินตาม ไม่รู้ว่าพี่มันมาอารมณ์ไหน ผมกลัวว่าจะรับไม่ทัน
“กูให้นอนแค่ที่โซฟาและห้ามมึงเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องกู” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกพูดเสียงเข้ม
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ ทำไมถึงยอมให้ผมอยู่ด้วยง่ายๆ แบบนี้ล่ะทั้งๆ ที่เมื่อตอนเย็นผมขอร้องแทบตายแท้ๆ
“ทำความสะอาดห้อง ทำกับข้าว เฝ้าห้องตอนที่กูไม่อยู่แลกกับที่พักและอาหาร ถ้าอยากได้เงินก็บอก กูจะให้” พี่มันพูดอีก ผมเงยหน้ามองพี่มันงงๆ
“เอ่อ...”
“คิดซะว่ากูจ้างมึงให้มาดูแลห้องกู แต่ห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับห้องนอนของกูก็เท่านั้น อ้อ กูจะชอบพาผู้หญิงมานอน ถ้ารับไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกก่อนค่อยกลับเข้ามา” ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง “กูบอก!” พี่มันตะคอกเมื่อผมไม่หือไม่อือ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้
“และมึงก็อย่าคิดนะว่ากูพิศวาสมึง!” พี่มันย้ำ
“ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้ครับ” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบา มาถึงขนาดนี้แล้วผมรู้ดีว่าพี่ไม่มีความคิดที่จะรักผมเลยสักนิด
“แล้วมึงจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” พี่มันถาม
“ผมไม่รู้ครับ ถ้าพี่ถังกลับมาผมก็จะไป” ผมตอบเสียงเบา รู้หรอกว่าไม่อยากให้อยู่ด้วยนานๆ แม้ว่าผมอยากจะอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม แต่อีกใจก็อยากจะไปให้ไกลๆ เพราะอยู่ใกล้แล้วมันเจ็บทุกที
“เฮอะ! กูถามหน่อยเถอะ พี่ถังเป็นพี่หรือเป็นผัวมึงกันแน่วะ” พี่ลุกซ์กอดอกมองผมเหยียดๆ ผมขมวดคิ้วมองพี่ลุกซ์อย่างไม่ชอบใจทันที ถึงผมกับพี่ถังไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่เราก็ผูกพันกันเหมือนพี่น้อง ทำไมต้องถามแบบนี้ด้วย ผมกับพี่ถังเราบริสุทธิ์ใจนะ!
“เป็นพี่ครับ! อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ ผมไม่ชอบ!” ใครมาว่าพี่ผมผมก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ยิ่งเป็นพี่ถังที่ผมรักมากผมยิ่งไม่อยากให้ใครมาดูถูก
พลั่ก!
ร่างของผมล้มกลิ้งลงบนโซฟาทันทีที่ถูกผลัก
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาขึ้นเสียงใส่กู? มึงเป็นใครฮะ!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ถลึงตามองผมอย่างไม่ชอบใจ ผมรีบเบือนหน้าหลบสายตาเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ถ้าเป็นผมในเวลาปกติคงเถียงไฟแลบไปนานแล้วและถ้าผมเถียงไม่ชนะผมจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาดแต่ผมในเวลานี้คงทำได้เพียงยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนใจร้ายเท่านั้นแหละ
“ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าพูด พี่มันทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง ผมมองตามก่อนจะก้มหน้าเหมือนเดิม
ชีวิตของผมในตอนนี้เหมือนไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีอนาคตที่แน่นอน ในวันเปิดเทอมผมจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน จะให้ขอพี่ลุกซ์มันก็คงจะมากไปแต่จะให้ขอพี่ถังผมก็เกรงใจพี่มัน น้องแท้ๆ ก็ไม่ใช่แล้วจะให้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ได้ไง
เออ...ผมลืมไปเลย!! ผมลืมโทรหาไอ้พี่ถัง ป่านนี้พี่มันคงกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วมั้งเนี่ย!
คิดได้ดังนั้นผมก็รีบเปิดโทรศัพท์กดโทรหาไอ้พี่ถังทันที โชคดีนะเนี่ยที่เราเติมเงินโทรศัพท์ไว้เยอะจึงโทรทางไกลหาพี่มันได้
“ไอ้เปอร์!!” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดมาตามสายจนผมต้องรีบยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“ถัง...โทษทีนะ แฮะๆ” ผมหัวเราะฝืดๆ ดูท่าทางพี่มันจะโกรธมากเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมาหัวเราะปัญญาอ่อน!! ถ้ามึงโทรมาช้ากว่านี้อีกห้านาทีกูได้ไปโวยวายที่สนามบินแน่! โอ๊ย!! กูแม่งคิดผิดจริงๆ ที่มาเรียนที่นี่ มึงนะมึง!!” ไอ้พี่ถังบ่นอย่างหัวเสีย
“ขอโทษนะถัง พอดีมีเรื่องนิดหน่อยแต่ตอนนี้โอเคแล้วแหละ” ผมพูดเสียงอ่อน
“เฮ้อ!! มึงออกจากบ้านมาแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้?” พี่มันถอนหายใจหนักๆ เพื่อข่มอารมณ์ก่อนจะถามขึ้น
“ก็...ไม่มีอ่ะ คงต้องหางานพาร์ทไทม์ทำไปพลางๆ ก่อน” ผมพูด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำงานอะไรแต่ก็พูดเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้พี่มันกังวล
“เดี๋ยวกูโอนเงินไปให้” พี่มันบอก
“ไม่ๆๆ ไม่ต้องเลยมึง อยู่ที่นั่นมันต้องใช้เงินเยอะ มึงไม่ต้องให้กูหรอก” ผมรีบปฏิเสธ
“เปอร์...บ้านกูรวยอีกอย่างกูทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้เงินตั้งเยอะแน่ะ” พี่มันพูด
“แต่ว่า...” ผมพยายามจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ ถ้าพี่มันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแสดงว่าพี่มันอยากเก็บเงินไปทำอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมไม่อยากเป็นภาระ เอ่อ...ถึงผมจะเป็นมาโดยตลอดก็เหอะนะ แฮะๆ
“มึงไม่ต้องคิดว่าที่กูทำงานเพราะอยากได้เงินใช้หรอกนะ กูทำงานเพื่อหาประสบการณ์ เงินที่ได้ก็แค่ผลพลอยได้เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธ” พี่มันพูดดักเหมือนรู้ใจ
“ถังแต่กูไม่...”
“เปอร์...มึงเป็นน้องกู ถึงไม่ใช่สายเลือดแต่มึงก็เป็นเหมือนน้องในไส้ ถ้าแค่นี้กูให้มึงไม่ได้กูก็ไม่สมควรให้เรียกกูว่าพี่แล้วล่ะเปอร์” พี่มันพูดนิ่งๆ ผมก้มหน้ากัดริมฝีปาก
“ถังขอบคุณมาก...ขอบคุณจริงๆ นะ” ผมพูดเสียงแผ่ว ซึ้งน้ำใจพี่มันจริงๆ
“ไปเปิดบัญชีแล้วบอกเลขบัญชีมากูจะโอนเงินเข้าไปให้ กูต้องไปเรียนแล้ว อย่าทำให้กูกังวลอีกนะมึง” ไอ้พี่ถังพูดก่อนจะวางสายไป ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาโดยเอาหมอนอิงมาให้แทนหมอนหนุน
แอร์เย็นๆ กระทบผิวกายทำให้ผมต้องไปค้นหาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมเนื่องจากไม่มีผ้าห่ม ผมนอนขดบนโซฟาตัวยาวโดยที่ยังเปิดไฟในห้องไว้อย่างนั้นเนื่องจากผมไม่ค่อยถูกกับความมืดสักเท่าไหร่ ก็คนมันขาดความอบอุ่นนี่ครับก็เลยไม่ชอบอยู่ในความมืดเพราะมันทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
RRRRRR
โทรศัพท์ของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังนอน ผมงัวเงียตื่นก่อนจะมองดูเวลา นี่เป็นเวลาตี5แล้วใครโทรมาเอาป่านนี้นะ ถ้าโทรผิดพ่อจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดูสิ
“หวัดดีครับ!” ผมกรอกเสียงขุ่นๆ ลงไปตามสาย
“เปอร์...” เสียงนุ่มๆ ของผู้หญิงดังขึ้นทำให้ผมตื่นจากอาการงัวเงีย แม่...
“ครับ?” ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แกไปอยู่ที่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน?” เสียงแม่ถาม
“นี่คุณ! มันหายไปแค่วันเดียวเดี๋ยวก็ซมซานกลับมา” เสียงพ่อเล็ดรอดออกมาทำให้ผมหน้าเสียถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องไปฟังพ่อเขานะเปอร์ กลับมาที่บ้านเถอะ” แม่พูดขอร้อง ผมเม้มปากเป็นเส้นตรง สงสารแม่แต่ไม่อยากเจอพ่อ
“ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมครับ?” ผมถามเสียงเบา
“เปอร์!”
“งั้นแค่นี้นะครับ” ผมพูดก่อนจะวางสาย แม่ครับ...ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ที่ผมเป็นลูกที่ดีไม่ได้
ผมมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะถอนหายใจยาว จะนอนต่อก็นอนไม่หลับผมจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมวางแปรงสีฟันของตัวเองไว้ข้างๆ แปรงสีฟันสีน้ำเงินเข้มซึ่งน่าจะเป็นของพี่ลุกซ์ก่อนจะยิ้มแล้วจับปลายของแปรงสีฟันให้หันหน้าเข้าหากันพลางทำปากจู๋ ฮู้! ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ากำลังจูบพี่ลุกซ์หรอกน่า
“ทำอะไรของมึง?” เสียงทุ้มๆ ติดงัวเงียดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งรีบวางแปรงสีฟันทั้งสองลง ถ้าพี่มันรู้ว่าผมแอบคิดสัปดนล่ะก็ผมถูกเฉดหัวออกจากบ้านแน่
“ปะ...เปล่าครับ”
ร่างสูงของพี่ลุกซ์ยืนพิงสันประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดมองผมด้วยสายตาหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ผมมองตามด้วยสายตาละห้อยก่อนจะหันมาแปรงฟัน
“ตื่นเช้าจังเลยนะครับ” ผมถามยิ้มๆ หลังจากแปรงฟันเสร็จ ไอ้พี่ลุกซ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาตัวที่ผมนอนเมื่อคืนเหลือบสายตามามองผมแล้วเงียบไม่พูดอะไร ผมหน้าเจื่อนลงทันทีที่อีกฝ่ายทำท่ารำคาญ ด่าผมออกมายังจะดีซะกว่าเงียบใส่แบบนี้ นี่พี่แกไปโมโหใครมาหรือเปล่าถึงได้ทำท่าปั่นปึ่งใส่ผมตั้งแต่เช้าแบบนี้
ผมมองแผ่นหลังกว้างพลางเม้มปากนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ผมไม่รู้ว่าถ้าหากผมไปนั่งบนโซฟาเสมอกับพี่ลุกซ์แล้วแกจะโกรธหรือเปล่า ผมกลัวพี่มันว่าผมริทำตัวเสมอนายทั้งๆ ที่อยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้แท้ๆ
เฮ้อ...ถ้าพี่มันรู้ว่าผมทำห่าอะไรไม่เป็นเลยพี่มันจะโกรธแล้วไล่ผมออกไปหรือเปล่าเนี่ย พอคิดถึงจุดนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทันที ก่อนอื่นต้องหาวิธีทำอาหารเช้า เอาอะไรดีล่ะ? ไข่ดาว ฮอทดอกละกัน
ผมไล่สายตาดูวิธีทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ก่อนจะเริ่มสำรวจครัวโดยเริ่มจากตู้เย็น ในตู้เย็นส่วนมากจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำดื่ม นมและน้ำอัดลมแต่ก็ยังดีที่มีไข่ไก่หลายฟองวางไว้ที่ฝาตู้เย็น มีแต่ไข่ไม่มีไส้กรอกแล้วจะทำอะไรเพิ่มอีกดีเนี่ย
ขณะที่กำลังคิดมากผมก็เหลือบไปเห็นกระปุกแยมกับเนยที่วางอยู่ใต้ชั้นวางไข่และเหลือบไปเห็นขนมปังฟาร์มเฮาส์วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ถ้าอย่างนั้นก็ทำขนมปังปิ้งก็แล้วกัน
ผมนั่งทบทวนวิธีทำอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเริ่มต้นด้วยการทอดไข่ดาว ผมยิ้มอย่างดีใจที่ตอกไข่ลงกระทะได้อย่างสวยงามทั้งสองฟอง ทั้งๆ ที่ทำครั้งแรกแต่ก็ทำได้ดีขนาดนี้ผมดีใจเป็นบ้า ฮุๆ พี่ลุกซ์จะต้องตกใจแน่ๆ ที่ผมทำได้ขนาดนี้ อาหารมื้อแรกแห่งรักฉลองที่เราได้อยู่ด้วยกันผมตั้งใจทำเพื่อพี่ลุกซ์เลยนะครับ ฮ่าๆๆ ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้วเรา คึๆ
“อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ” ผมโผล่หน้าออกไปเรียกพี่ลุกซ์ด้วยรอยยิ้ม แต่กว่าที่ผมจะทำอาหารมื้อนี้เสร็จก็กินเวลาไปตั้งหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็หกโมงกว่าๆ แล้ว
พี่ลุกซ์เก็บหนังสือพิมพ์ก่อนจะเดินหน้านิ่งๆ เข้ามาตามคำเรียกของผม ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารพลางจับมือตัวเองแน่นเพื่อลุ้นว่าพี่มันจะชอบหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจมากเลยนะว่าพี่มันต้องชอบเพราะผมทำออกมาได้ดีมากทีเดียว มันเป็นครั้งแรกที่ผมภูมิใจมาก
พี่ลุกซ์ก้มลงดมอาหารที่ผมทำก่อนจะกอดอกแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาไปเททิ้ง!” ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ไอ้ลุกกกกกกกกกกซ์!! มึงทำร้ายน้องอีกแล้วน้าาาาา แอร๊ก!! อยากตบตีมันจริงๆ ตอนนี้อาจจะไม่เศร้าเคล้าน้ำตาเท่าไหร่ ตอนแต่งไรเตอร์เศร้ามากพอมาอ่านซ้ำ...อ้าว...ทำไมน้ำตาไม่ไหลฟะ ฮ่าๆๆ หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อความเลวของพี่มันหรอกนะคะ แหมๆ เบื่อตอนนี้ยังเร็วไป ฮ่าๆๆๆ (หัวเราะเยี่ยงโรคจิต)
Chapter08 : คนที่ไม่เหลือใคร ลุกซ์ : "มองทำไมครับ?"
หมับ! พลั่ก!
ขณะที่ผมหลับตาปี๋ทำหน้าพะอืดพะอมร่างของพี่จักรก็ผละออกไปพร้อมกับเสียงวัตถุกระทบกันผมจึงรีบลืมตามองและพบว่าพี่จักรถูกใครบางคนต่อยจนหน้าคว่ำ ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจแต่ที่จริงโล่งใจสุดๆ ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดผมว่าผมได้อ้วกแน่ๆ ขยะแขยงฉิบหาย
“มึงเป็นใครวะ!?!” ไอ้พี่จักรที่ถูกต่อยคว่ำถามอย่างฉุนเฉียว
“เสือกไรด้วย?” อีกคนเลิกคิ้วทำหน้ากวนตีนจนน่าเอาตีนถีบหน้า แต่ผมจะกล้าทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อผมรักเขามากซะขนาดนั้น
พี่ลุกซ์...มาอยู่ที่นี่ได้ไง? หรือว่าพี่แกก็มา...เหมือนกัน แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกสะท้านวาบในใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยร่างเล็กหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มยืนมองพวกเราอยู่ข้างๆ รถพี่ลุกซ์ เดี๋ยวนี้พี่มันหันไปบริโภคผู้ชายแล้วหรือ? ทำไมล่ะ? ทำไมไม่ให้คนนั้นเป็นผม? ถึงผมจะไม่น่ารัก ไม่น่าทะนุถนอมเหมือนคนที่มากับพี่มันก็ตาม
“มึงนั่นแหละเสือกอะไร? กูกำลังสวีตกับเมียกูมึงมายุ่งทำไม?” ไอ้พี่จักรตะคอก เฮ้ย! ลามปามละมึง ใครเมียมึงครับ?
ไอ้พี่ลุกซ์ตวัดสายตาคมกริบมามองผม ผมสะดุ้งก่อนจะก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“พี่จักรครับ คนคนนี้เขาเป็นรุ่นน้องของพี่ชายเปอร์ครับ” ผมบอกก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ยิ่งเด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นเดินมาเกาะแขนพี่ลุกซ์ผมยิ่งเจ็บ
“ร่าน!” ไอ้พี่ลุกซ์กระชากเสียง คำพูดนั้นคงสำหรับผมล่ะมั้ง ตอนนี้พี่ลุกซ์คงกำลังมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามเหมือนเคย ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้
“งั้นเรารีบไปเถอะเปอร์” ไอ้พี่จักรทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูให้ผมด้วยอารมณ์โมโห ผมยืนนิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นรถ
“มึงรู้จักมันนานแค่ไหน?” พี่ลุกซ์ถามขึ้น ผมชะงักก่อนจะก้าวลงมาเพื่อคุยกับพี่มัน ไอ้พี่จักรทำหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เพิ่งรู้จักครับ” ผมตอบเสียงเบา ที่พี่มันถามแบบนี้เพราะว่าพี่มันเป็นห่วงผมหรือเปล่า? หรือแค่อยากจะเยาะเย้ยเท่านั้น?
“แล้วมึงก็ไปกับมัน? เฮอะ! มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทีกับกูแม่งทำสะดิ้งบอกว่าเจ็บบอกว่าไม่เอา ฮึๆ” ประโยคสุดท้ายพี่มันก้มลงมากระซิบเสียงเย็นจนผมขนลุกตั้งชันด้วยความกลัวและความเสียใจ ผมเม้มปากแน่นพูดอะไรไม่ออกเพราะความเสียใจมันจุกอยู่ที่อก ทรมาน
“นี่! จะให้พวกกูไปได้หรือยัง?” ไอ้พี่จักรถามเสียงหงุดหงิด ตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าใครทั้งนั้นเพราะผมยิ้มไม่ออก ถ้าเป็นปกติผมฝืนทำตัวเฮฮาได้ตลอดแต่ตอนนี้ความรู้สึกอยากร้องไห้มันแทรกเข้ามาจนทำตัวเหมือนปกติไม่ได้
“ไม่ได้!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก ผมเหลือบมองหน้าพี่แกอย่างสงสัย แต่พอเห็นว่าสายตาคมดุนั่นกำลังมองผมอยู่ผมก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที เข้มแข็งหน่อยสิเปอร์ ยิ้ม...ยิ้มออกมาเหมือนเมื่อก่อนสิ รอยยิ้มจอมปลอมของมึงน่ะเค้นมันออกมาสิ!
“โธ่พี่ มาถึงขนาดนี้แล้วพี่จะห้ามผมทำไมคร้าบ” ผมเงยหน้ายิ้มตาหยีเพื่อปิดบังความรู้สึก เอาล่ะๆ ยิ้มต่อไปนะเปอร์ ถึงหน้ามึงจะรู้สึกชามึงก็ต้องยิ้ม เขาจะได้ไม่สมเพชเวทนามึงไง
“ฮึ! มึงอยากลองแรดดูสักครั้งเหรอ? ไหนบอกว่าจะไปหาเพื่อนแล้วทำไมถึงแรดมาหาผู้ชายแบบนี้!?!” คำว่าแรดคำว่าร่านที่พี่มันด่าผมนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้มุมปากของผมค่อยๆ โค้งลงเรื่อยๆ คำพูดพวกนั้นมันทำให้ผมแสร้งยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ
“ผมแค่มาหาความรักที่พี่ให้ผมไม่ได้ไงครับ ไม่ดีเหรอ ถ้าผมรักคนอื่นพี่จะได้ไม่รำคาญผมไง” ผมฝืนยิ้มให้ไอ้พี่ลุกซ์พลางพูดเสียงแผ่วเป็นจังหวะ
“...”
“ถ้าพี่ทำเหมือนเป็นห่วงผมแบบนี้เดี๋ยวผมก็ตัดใจไม่ลงหรอก” ผมก้มหน้ายิ้มเยาะตัวเอง น่าสมเพชจริงๆ อกหักจากผู้ชายก็เลยหาผู้ชายมาดามอก ที่ถูกด่าว่าแรดว่าร่านก็คงเหมาะสมแล้ว
“กูเนี่ยนะเป็นห่วงมึง? กูแค่สมเพชที่เห็นน้องของรุ่นพี่กูทำตัวเหลวแหลกแบบนี้” ผมสะอึกรีบกำมือแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด ไม่เอานะเปอร์ แค่ถูกคนที่รักดูถูกแค่นี้มึงจะร้องไห้ไม่ได้นะ ให้ตายเถอะ ถ้าการรักใครมากขนาดนี้แล้วทำให้อ่อนแอลงรู้งี้ไม่น่าไปรักเลยซะดีกว่า ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมอ่อนแอจนกลายเป็นคนขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
“ก็ผมมันคนไม่ดีนี่ครับ คนดีที่ไหนเขาหนีออกจากบ้านจนต้องถ่อสังขารไปขอที่อยู่จากคนอื่น และถ้าผมมันไม่น่ารังเกียจคงไม่ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาจริงไหมครับ?” ผมพูดประชดตัวเองโดยไม่ลืมที่จะยิ้ม พูดเองก็เจ็บเองแฮะ เฮ้อ...ผมนี่มันเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือไงนะถึงได้ทำร้ายตัวเองตลอดเวลาแบบนี้
“...”
“พี่ไล่ผมออกมาเองนี่นา ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมคงต้องไปนอนข้างถนน” ผมเงยหน้าส่งยิ้มให้พี่ลุกซ์อีกครั้ง ผมปิดตาแน่นเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาและผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่มันจะไม่รู้ว่าผมกำลังทรมานกับการถูกทิ้ง
“มึงมันก็แค่คนน่าสมเพช” สิ้นคำของพี่ลุกซ์น้ำอุ่นๆ ก็ไหลลงมาจากดวงตาที่ปิดแน่น ผมกลั้นแล้วนะ แต่มันไม่อยู่จริงๆ หากถูกคนอื่นด่าคนอื่นว่าผมไม่เจ็บหรอกแต่นี่เป็นพี่ลุกซ์...คนที่ผมรัก ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมผมถึงรักเขาได้มากมายขนาดนี้ ไม่แน่นะ ผมอาจจะถูกพระเจ้าลงโทษเรื่องที่ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงที่นอนด้วยก็เป็นได้
“ผะ...ผมรู้ตัว...” ผมพูดเสียงสั่นแต่หน้าก็ยังพยายามที่จะยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด “ผม...ผมมันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงผมรู้ตัวดี ผมรู้...รู้ตัวดี...ว่าพี่เกลียดผมมากแค่ไหน? แต่ผมก็ยังรัก...แต่ผมก็ยังอยากเจอ แต่ถ้ามันทำให้พี่ลำบากใจต่อไปนี้ผมจะไม่ยุ่งอีก...ฮึก...แล้วก็ได้ อึ๊ก!” ผมเอนตัวพิงรถก่อนจะทรุดลงนั่งกอดเข่า เขารังเกียจผมมากขนาดนี้ผมเองก็ควรจะถอยห่างได้แล้ว ถ้ายิ่งอยู่ใกล้ก็รังแต่จะทำให้ความรังเกียจนั้นมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“อย่ามาสำออย มึงก็รู้ว่าน้ำตาของมึงไม่ได้มีผลอะไรกับกู” ผมซบหน้าแนบเข่าของตัวเองก่อนจะเงียบไม่พูดอะไร มันชัดเจนแล้วว่าพี่ลุกซ์ไม่มีทางที่จะรักผมได้ ต่อให้ผมพยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ พี่มันก็คงเป็นเหมือนผม...ผมรักพี่มันตั้งแต่แรกพบโดยไม่มีเหตุผล พี่มันเองก็คงจะเกลียดผมตั้งแต่แรกเจอโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ผมรักมาก...พี่มันก็เกลียดมาก
หมับ! เพี้ยะ!
ร่างของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนก่อนมือหนาจะฟาดลงมาที่ใบหน้าของผมเต็มแรง ด้วยแรงตบนั้นทำให้ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวล้มกระแทกพื้น ผมนั่งตัวสั่นเพราะสะอื้นอยู่ที่พื้นโดยไม่ลุกขึ้นมาหรือเงยหน้าขึ้นมามองใครทั้งนั้น โหดร้าย...ใจดำ...
ผมยอมตัดใจแล้วนะทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้ แค่นี้ยังใจร้ายกับผมไม่พออีกเหรอ? แค่นี้พี่ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้ใครมารักไม่พอใช่ไหม? ได้โปรด...ตอนนี้ผมทรมานเหลือเกิน
สักพักผมก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆ เดินหนีไป ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงจนไม่อยากทำอะไร ผมคิดถึงพี่ถัง ผมอยากไปอยู่กับพี่มัน มีพี่มันแค่คนเดียวที่ให้ความรักกับผมได้ ถึงมันจะไม่ใช่ความรักในแบบของคนรักแต่มันก็อบอุ่นที่สุด ผมคงไม่แสวงหาความรักที่ฉาบฉวยอีกแล้วเพราะมันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย
บรืนนนน!
เอี๊ยดดดดด!!
ผมไม่รู้ว่าผมเดินไปในทิศทางใดแต่รู้ตัวอีกทีเสียงดังของการเสียดสีที่เกิดจากล้อรถกับพื้นถนนก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่สาดส่องเข้าตาจนผมลืมตาไม่ขึ้น รถชนเหรอ...อาจจะดีกับผมก็ได้มั้ง ฮึๆ
หมับ!
ตุบ!
ขณะที่ผมยิ้มรับกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้อมือของผมก็ถูกฉุดให้หลบรัศมีการชนจนร่างของผมเซไปปะทะกับร่างกายแกร่งๆ ของคนดึง แข้งขาผมอ่อนแรงจนยืนด้วยตัวเองไม่ไหวคนข้างหลังจึงพยุงผมไว้ ในใจของผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนข้างหลังจะเป็นใครก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นพี่ลุกซ์
“เดินดูทางหน่อยสิวะ ปัดโธ่เอ๊ย!!” คนขับรถคันที่จะชนผมตวาดดังลั่นก่อนจะออกรถไป ผมไม่ได้สนใจเขาแต่ผมกำลังสนใจว่าคนที่ดึงผมเอาไว้จะเป็นใคร ไม่ใช่พี่ลุกซ์ได้ไหมผมขอร้อง
แต่ดูเหมือนความหวังผมจะดับวูบลงเมื่อคนที่ดึงผมเอาไว้ก็คือพี่ลุกซ์ พอตั้งตัวได้ผมก็รีบบิดตัวออกจากมือแกร่งทันที แต่พอยืนได้เองไม่นานร่างผมก็ล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้งเมื่อแก้มข้างเดิมถูกตบซ้ำ ผมก้มหน้าสะอื้นอย่างไม่อายใคร วินาทีนี้ผมไม่เหลืออะไรไว้ให้รู้สึกดีอีกแล้วแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง
“พอหรือยัง? ถ้ายังไม่พอก็ตบอีกสิครับ ตบให้หน้าของผมมันหายด้านไปเลยยิ่งดี ฮึๆๆ” ผมยืนขึ้นและเงยหน้าเผชิญหน้ากับพี่ลุกซ์ ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจับจ้องดวงตาคมกริบที่กำลังแสดงความโกรธจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปน ถ้าเกลียดผมแล้วมาช่วยผมไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปเลยล่ะ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจผมแล้วจะให้ผมอยู่ไปทำไม?!
“มึงเป็นบ้าอะไร!?! อยากประชดกูเลยจะโดดให้รถชนว่างั้น!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก
“ฮะๆ กับคนที่ไม่มีใครรักอย่างผมถึงประชดใครไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ถึงผมจะต้องตายไปจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ” ผมยิ้มนิดๆ ที่มาช่วยผมไว้ก็คงเพราะคิดว่าผมคิดจะฆ่าตัวตายประชดสินะ
“มึงจะเรียกร้องความสนใจจากกูไปเพื่ออะไรในเมื่อมึงก็รู้ว่ากูไม่รักมึง!” พี่มันตะคอก น้ำตาผมรื้นขึ้นมาอีกระลอก
“ผมรู้แล้วและผมก็พอแล้วนี่ไงครับ ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจ! โอเค...ผมรักพี่แต่ถ้าพี่ไม่รักผมพี่ก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับผมอีก จะเป็นจะตายมันก็ชีวิตของผม!” ผมตวาดและผลที่ได้รับก็คือแรงตบที่ตบซ้ำที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้ล้มลงไปเพราะผมยืนให้มั่นคงกว่าเดิม
“แล้วพ่อกับแม่มึงล่ะ!?!” พี่มันถลึงตามองผมอย่างโกรธเคือง
“ถ้าพวกเขารักผมสักนิดผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้...” ผมพูดเสียงแผ่วเบา
“ขนาดตัวมึงเองมึงยังไม่รักแล้วมึงจะหวังให้ใครมารักคนอย่างมึง” พี่มันเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมแน่นจนผมต้องห่อไหล่เพราะความเจ็บ
ผมชะงักกับคำพูดของพี่ลุกซ์ นั่นสินะ...ผมมันไม่รักตัวเอง เอาแต่ทำร้ายตัวเองโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บปวดมากแค่ไหนและไม่สนใจว่าคนที่เขารักผมจะเจ็บปวดมากกว่าผมไหม? ไอ้พี่ถังมันคงจะเจ็บปวดสินะที่ผมไม่ดูแลตัวเองเลย
“ฮึก! ถะ...ถ้า...ถ้าผมรักตัวเองแล้วพี่จะรักผมบ้างได้ไหม?” ผมถามทั้งน้ำตา พี่ลุกซ์คลายมือที่จับไหล่ผมออกก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่น
“ถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ?” พี่มันถาม
“อือ...ฮึก...ไม่ก็ไม่ครับ” ผมพยักหน้าทั้งน้ำตา ต่อให้ฝืนให้ตายคนไม่รักมันก็ไม่รัก
ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะเดินไปลากกระเป๋าของตัวเอง พี่ลุกซ์มองตามก่อนจะถาม “มึงจะทำอะไรอีก? กูบอกว่าไม่ได้รักแค่นี้คิดจะประชดอะไรอีก!?!” พี่มันตะคอกถาม ผมหันไปยิ้มให้
“เปล่าครับ ผมแค่จะไปหาที่นอน” ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม สงสัยครั้งนี้คงต้องพึ่งไอ้พัดจริงๆ แล้วสินะ
“ชิ! มานี่!” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้าหงุดหงิดก่อนจะเดินมากระชากข้อมือแล้วลากผมไปที่รถ
“ละ...แล้ว...” ผมมองไปที่หนุ่มน้อยน่ารักที่มากับพี่ลุกซ์ด้วยสายตางุนงงซึ่งเขาก็กำลังมองตามอย่างงุนงงเช่นเดียวกัน
“ดิน วันนี้ศึกษาเองไปก่อนนะ” ไอ้พี่ลุกซ์บอกก่อนจะกดหัวผมให้ผลุบเข้าไปในรถ
“โด่! ผมจะกล้าเที่ยวบาร์เกย์คนเดียวได้ไงล่ะครับ ผมกลับดีกว่า” เด็กหนุ่มคนนั้นยักไหล่ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายพลางเดินออกไปเรียกแท็กซี่ ส่วนไอ้พี่จักรก็ยังยืนงงอยู่ที่เดิม
พี่ลุกซ์ขับรถพาผมกลับไปที่คอนโดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนพี่แกจะยังหัวเสียกับเรื่องของผมไม่หายส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ในรถหรู ขนาดหายใจแรงๆ ผมยังไม่กล้าทำเลย
พี่ลุกซ์โยนกระเป๋าของผมเข้าไปในห้องแล้วเดินนำเข้าไป ผมก้มหน้าเดินตาม ไม่รู้ว่าพี่มันมาอารมณ์ไหน ผมกลัวว่าจะรับไม่ทัน
“กูให้นอนแค่ที่โซฟาและห้ามมึงเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องกู” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกพูดเสียงเข้ม
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ ทำไมถึงยอมให้ผมอยู่ด้วยง่ายๆ แบบนี้ล่ะทั้งๆ ที่เมื่อตอนเย็นผมขอร้องแทบตายแท้ๆ
“ทำความสะอาดห้อง ทำกับข้าว เฝ้าห้องตอนที่กูไม่อยู่แลกกับที่พักและอาหาร ถ้าอยากได้เงินก็บอก กูจะให้” พี่มันพูดอีก ผมเงยหน้ามองพี่มันงงๆ
“เอ่อ...”
“คิดซะว่ากูจ้างมึงให้มาดูแลห้องกู แต่ห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับห้องนอนของกูก็เท่านั้น อ้อ กูจะชอบพาผู้หญิงมานอน ถ้ารับไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกก่อนค่อยกลับเข้ามา” ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง “กูบอก!” พี่มันตะคอกเมื่อผมไม่หือไม่อือ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้
“และมึงก็อย่าคิดนะว่ากูพิศวาสมึง!” พี่มันย้ำ
“ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้ครับ” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบา มาถึงขนาดนี้แล้วผมรู้ดีว่าพี่ไม่มีความคิดที่จะรักผมเลยสักนิด
“แล้วมึงจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” พี่มันถาม
“ผมไม่รู้ครับ ถ้าพี่ถังกลับมาผมก็จะไป” ผมตอบเสียงเบา รู้หรอกว่าไม่อยากให้อยู่ด้วยนานๆ แม้ว่าผมอยากจะอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม แต่อีกใจก็อยากจะไปให้ไกลๆ เพราะอยู่ใกล้แล้วมันเจ็บทุกที
“เฮอะ! กูถามหน่อยเถอะ พี่ถังเป็นพี่หรือเป็นผัวมึงกันแน่วะ” พี่ลุกซ์กอดอกมองผมเหยียดๆ ผมขมวดคิ้วมองพี่ลุกซ์อย่างไม่ชอบใจทันที ถึงผมกับพี่ถังไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่เราก็ผูกพันกันเหมือนพี่น้อง ทำไมต้องถามแบบนี้ด้วย ผมกับพี่ถังเราบริสุทธิ์ใจนะ!
“เป็นพี่ครับ! อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ ผมไม่ชอบ!” ใครมาว่าพี่ผมผมก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ยิ่งเป็นพี่ถังที่ผมรักมากผมยิ่งไม่อยากให้ใครมาดูถูก
พลั่ก!
ร่างของผมล้มกลิ้งลงบนโซฟาทันทีที่ถูกผลัก
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาขึ้นเสียงใส่กู? มึงเป็นใครฮะ!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ถลึงตามองผมอย่างไม่ชอบใจ ผมรีบเบือนหน้าหลบสายตาเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ถ้าเป็นผมในเวลาปกติคงเถียงไฟแลบไปนานแล้วและถ้าผมเถียงไม่ชนะผมจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาดแต่ผมในเวลานี้คงทำได้เพียงยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนใจร้ายเท่านั้นแหละ
“ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าพูด พี่มันทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง ผมมองตามก่อนจะก้มหน้าเหมือนเดิม
ชีวิตของผมในตอนนี้เหมือนไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีอนาคตที่แน่นอน ในวันเปิดเทอมผมจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน จะให้ขอพี่ลุกซ์มันก็คงจะมากไปแต่จะให้ขอพี่ถังผมก็เกรงใจพี่มัน น้องแท้ๆ ก็ไม่ใช่แล้วจะให้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ได้ไง
เออ...ผมลืมไปเลย!! ผมลืมโทรหาไอ้พี่ถัง ป่านนี้พี่มันคงกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วมั้งเนี่ย!
คิดได้ดังนั้นผมก็รีบเปิดโทรศัพท์กดโทรหาไอ้พี่ถังทันที โชคดีนะเนี่ยที่เราเติมเงินโทรศัพท์ไว้เยอะจึงโทรทางไกลหาพี่มันได้
“ไอ้เปอร์!!” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดมาตามสายจนผมต้องรีบยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“ถัง...โทษทีนะ แฮะๆ” ผมหัวเราะฝืดๆ ดูท่าทางพี่มันจะโกรธมากเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมาหัวเราะปัญญาอ่อน!! ถ้ามึงโทรมาช้ากว่านี้อีกห้านาทีกูได้ไปโวยวายที่สนามบินแน่! โอ๊ย!! กูแม่งคิดผิดจริงๆ ที่มาเรียนที่นี่ มึงนะมึง!!” ไอ้พี่ถังบ่นอย่างหัวเสีย
“ขอโทษนะถัง พอดีมีเรื่องนิดหน่อยแต่ตอนนี้โอเคแล้วแหละ” ผมพูดเสียงอ่อน
“เฮ้อ!! มึงออกจากบ้านมาแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้?” พี่มันถอนหายใจหนักๆ เพื่อข่มอารมณ์ก่อนจะถามขึ้น
“ก็...ไม่มีอ่ะ คงต้องหางานพาร์ทไทม์ทำไปพลางๆ ก่อน” ผมพูด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำงานอะไรแต่ก็พูดเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้พี่มันกังวล
“เดี๋ยวกูโอนเงินไปให้” พี่มันบอก
“ไม่ๆๆ ไม่ต้องเลยมึง อยู่ที่นั่นมันต้องใช้เงินเยอะ มึงไม่ต้องให้กูหรอก” ผมรีบปฏิเสธ
“เปอร์...บ้านกูรวยอีกอย่างกูทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้เงินตั้งเยอะแน่ะ” พี่มันพูด
“แต่ว่า...” ผมพยายามจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ ถ้าพี่มันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแสดงว่าพี่มันอยากเก็บเงินไปทำอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมไม่อยากเป็นภาระ เอ่อ...ถึงผมจะเป็นมาโดยตลอดก็เหอะนะ แฮะๆ
“มึงไม่ต้องคิดว่าที่กูทำงานเพราะอยากได้เงินใช้หรอกนะ กูทำงานเพื่อหาประสบการณ์ เงินที่ได้ก็แค่ผลพลอยได้เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธ” พี่มันพูดดักเหมือนรู้ใจ
“ถังแต่กูไม่...”
“เปอร์...มึงเป็นน้องกู ถึงไม่ใช่สายเลือดแต่มึงก็เป็นเหมือนน้องในไส้ ถ้าแค่นี้กูให้มึงไม่ได้กูก็ไม่สมควรให้เรียกกูว่าพี่แล้วล่ะเปอร์” พี่มันพูดนิ่งๆ ผมก้มหน้ากัดริมฝีปาก
“ถังขอบคุณมาก...ขอบคุณจริงๆ นะ” ผมพูดเสียงแผ่ว ซึ้งน้ำใจพี่มันจริงๆ
“ไปเปิดบัญชีแล้วบอกเลขบัญชีมากูจะโอนเงินเข้าไปให้ กูต้องไปเรียนแล้ว อย่าทำให้กูกังวลอีกนะมึง” ไอ้พี่ถังพูดก่อนจะวางสายไป ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาโดยเอาหมอนอิงมาให้แทนหมอนหนุน
แอร์เย็นๆ กระทบผิวกายทำให้ผมต้องไปค้นหาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมเนื่องจากไม่มีผ้าห่ม ผมนอนขดบนโซฟาตัวยาวโดยที่ยังเปิดไฟในห้องไว้อย่างนั้นเนื่องจากผมไม่ค่อยถูกกับความมืดสักเท่าไหร่ ก็คนมันขาดความอบอุ่นนี่ครับก็เลยไม่ชอบอยู่ในความมืดเพราะมันทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
RRRRRR
โทรศัพท์ของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังนอน ผมงัวเงียตื่นก่อนจะมองดูเวลา นี่เป็นเวลาตี5แล้วใครโทรมาเอาป่านนี้นะ ถ้าโทรผิดพ่อจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดูสิ
“หวัดดีครับ!” ผมกรอกเสียงขุ่นๆ ลงไปตามสาย
“เปอร์...” เสียงนุ่มๆ ของผู้หญิงดังขึ้นทำให้ผมตื่นจากอาการงัวเงีย แม่...
“ครับ?” ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แกไปอยู่ที่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน?” เสียงแม่ถาม
“นี่คุณ! มันหายไปแค่วันเดียวเดี๋ยวก็ซมซานกลับมา” เสียงพ่อเล็ดรอดออกมาทำให้ผมหน้าเสียถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องไปฟังพ่อเขานะเปอร์ กลับมาที่บ้านเถอะ” แม่พูดขอร้อง ผมเม้มปากเป็นเส้นตรง สงสารแม่แต่ไม่อยากเจอพ่อ
“ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมครับ?” ผมถามเสียงเบา
“เปอร์!”
“งั้นแค่นี้นะครับ” ผมพูดก่อนจะวางสาย แม่ครับ...ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ที่ผมเป็นลูกที่ดีไม่ได้
ผมมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะถอนหายใจยาว จะนอนต่อก็นอนไม่หลับผมจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมวางแปรงสีฟันของตัวเองไว้ข้างๆ แปรงสีฟันสีน้ำเงินเข้มซึ่งน่าจะเป็นของพี่ลุกซ์ก่อนจะยิ้มแล้วจับปลายของแปรงสีฟันให้หันหน้าเข้าหากันพลางทำปากจู๋ ฮู้! ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ากำลังจูบพี่ลุกซ์หรอกน่า
“ทำอะไรของมึง?” เสียงทุ้มๆ ติดงัวเงียดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งรีบวางแปรงสีฟันทั้งสองลง ถ้าพี่มันรู้ว่าผมแอบคิดสัปดนล่ะก็ผมถูกเฉดหัวออกจากบ้านแน่
“ปะ...เปล่าครับ”
ร่างสูงของพี่ลุกซ์ยืนพิงสันประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดมองผมด้วยสายตาหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ผมมองตามด้วยสายตาละห้อยก่อนจะหันมาแปรงฟัน
“ตื่นเช้าจังเลยนะครับ” ผมถามยิ้มๆ หลังจากแปรงฟันเสร็จ ไอ้พี่ลุกซ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาตัวที่ผมนอนเมื่อคืนเหลือบสายตามามองผมแล้วเงียบไม่พูดอะไร ผมหน้าเจื่อนลงทันทีที่อีกฝ่ายทำท่ารำคาญ ด่าผมออกมายังจะดีซะกว่าเงียบใส่แบบนี้ นี่พี่แกไปโมโหใครมาหรือเปล่าถึงได้ทำท่าปั่นปึ่งใส่ผมตั้งแต่เช้าแบบนี้
ผมมองแผ่นหลังกว้างพลางเม้มปากนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ผมไม่รู้ว่าถ้าหากผมไปนั่งบนโซฟาเสมอกับพี่ลุกซ์แล้วแกจะโกรธหรือเปล่า ผมกลัวพี่มันว่าผมริทำตัวเสมอนายทั้งๆ ที่อยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้แท้ๆ
เฮ้อ...ถ้าพี่มันรู้ว่าผมทำห่าอะไรไม่เป็นเลยพี่มันจะโกรธแล้วไล่ผมออกไปหรือเปล่าเนี่ย พอคิดถึงจุดนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทันที ก่อนอื่นต้องหาวิธีทำอาหารเช้า เอาอะไรดีล่ะ? ไข่ดาว ฮอทดอกละกัน
ผมไล่สายตาดูวิธีทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ก่อนจะเริ่มสำรวจครัวโดยเริ่มจากตู้เย็น ในตู้เย็นส่วนมากจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำดื่ม นมและน้ำอัดลมแต่ก็ยังดีที่มีไข่ไก่หลายฟองวางไว้ที่ฝาตู้เย็น มีแต่ไข่ไม่มีไส้กรอกแล้วจะทำอะไรเพิ่มอีกดีเนี่ย
ขณะที่กำลังคิดมากผมก็เหลือบไปเห็นกระปุกแยมกับเนยที่วางอยู่ใต้ชั้นวางไข่และเหลือบไปเห็นขนมปังฟาร์มเฮาส์วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ถ้าอย่างนั้นก็ทำขนมปังปิ้งก็แล้วกัน
ผมนั่งทบทวนวิธีทำอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเริ่มต้นด้วยการทอดไข่ดาว ผมยิ้มอย่างดีใจที่ตอกไข่ลงกระทะได้อย่างสวยงามทั้งสองฟอง ทั้งๆ ที่ทำครั้งแรกแต่ก็ทำได้ดีขนาดนี้ผมดีใจเป็นบ้า ฮุๆ พี่ลุกซ์จะต้องตกใจแน่ๆ ที่ผมทำได้ขนาดนี้ อาหารมื้อแรกแห่งรักฉลองที่เราได้อยู่ด้วยกันผมตั้งใจทำเพื่อพี่ลุกซ์เลยนะครับ ฮ่าๆๆ ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้วเรา คึๆ
“อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ” ผมโผล่หน้าออกไปเรียกพี่ลุกซ์ด้วยรอยยิ้ม แต่กว่าที่ผมจะทำอาหารมื้อนี้เสร็จก็กินเวลาไปตั้งหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็หกโมงกว่าๆ แล้ว
พี่ลุกซ์เก็บหนังสือพิมพ์ก่อนจะเดินหน้านิ่งๆ เข้ามาตามคำเรียกของผม ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารพลางจับมือตัวเองแน่นเพื่อลุ้นว่าพี่มันจะชอบหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจมากเลยนะว่าพี่มันต้องชอบเพราะผมทำออกมาได้ดีมากทีเดียว มันเป็นครั้งแรกที่ผมภูมิใจมาก
พี่ลุกซ์ก้มลงดมอาหารที่ผมทำก่อนจะกอดอกแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาไปเททิ้ง!” ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ไอ้ลุกกกกกกกกกกซ์!! มึงทำร้ายน้องอีกแล้วน้าาาาา แอร๊ก!! อยากตบตีมันจริงๆ ตอนนี้อาจจะไม่เศร้าเคล้าน้ำตาเท่าไหร่ ตอนแต่งไรเตอร์เศร้ามากพอมาอ่านซ้ำ...อ้าว...ทำไมน้ำตาไม่ไหลฟะ ฮ่าๆๆ หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อความเลวของพี่มันหรอกนะคะ แหมๆ เบื่อตอนนี้ยังเร็วไป ฮ่าๆๆๆ (หัวเราะเยี่ยงโรคจิต)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ