ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก
10.0
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.
15 ตอน
5 วิจารณ์
38.77K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) Chapter13 : อยู่ด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter13 : อยู่ด้วยกัน
หมับ!
แต่ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลพี่ลุกซ์ก็เดินมากระชากแขนผมเอาไว้ก่อนจะลากผมเข้าไปในห้องของตัวเอง ผมรีบเดินตรงเข้าในห้องครัวก่อนจะเดินหลบไปนั่งซุกตัวอยู่ใต้เคาน์เตอร์ที่เคยมาแอบนั่งร้องไห้บ่อยๆ เมื่อรู้ตัวว่าต่อให้อยากจะออกไปจากที่นี่แค่ไหนก็ออกไปไม่ได้ถ้าพี่ลุกซ์ไม่ยอม
“อย่าเข้ามา!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์เดินมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ ผมนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงที่วงแขนของตัวเอง ผมไม่ได้ร้องไห้แต่กำลังสงบสติอารมณ์
“มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งกูได้” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะก้มลงมาแล้วกระชากผมออกจากซอก ผมดิ้นให้หลุดก่อนจะหันหลังให้พี่มัน ตอนนี้หน้าของผมเป็นอย่างไรผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น
“พี่ต้องการอะไร!? ต้องการให้ผมเลิกยุ่งผมก็ทำแล้วไงแล้วทำไมพี่ต้องมายุ่งกับผมอีก!!” ผมตะคอกทั้งๆ ที่ยังยืนหันหลัง
“มึงอยากจูบกูใช่ไหม?” พี่มันถามเล่นเอาผมชะงักกึก นี่จะมาไม้ไหนเนี่ย? “เอาสิ” ผมรีบหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างไม่เข้าใจทันที
“พี่กำลังคิดอะไรอยู่!?” ผมก้าวถอยหลังจนชนกับเคาน์เตอร์
พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ผมรีบมองหาทางหนีแต่ก็ไม่เจอ รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ก่อนมือหนาจะกดโน้มคอผมให้ก้มลงจากนั้นริมฝีปากผมก็ถูกกลืนกิน ลิ้นร้อนรุกเข้ามาในจังหวะที่รวดเร็วจนผมตามไม่ทันแต่กระนั้นผมก็เคลิ้มตามจนเผลอยกแขนโอบรอบคอคนร่างสูง
เมื่อไม่จำเป็นต้องกดหน้าผมให้ก้มลงเพราะผมก้มลงไปหาด้วยตัวเองมือหนาหยาบกร้านก็ค่อยๆ ล้วงเข้ามาในเสื้อของผมและลูบไล้ร่างกายจนผมครางละเหี่ย พี่ลุกซ์ผละหน้าออกจากริมฝีปากของผมก่อนจะลากลิ้นไล้เลียวนอยู่ที่ซอกคอ ผมผวาเชิดหน้าขึ้นเมื่อแรงกดจูบหนักๆ มาพร้อมกับนิ้วเรียวที่สะกิดยอดตุ่มไตใต้ร่มผ้า
ผมยกขาทั้งสองข้างขึ้นเกี่ยวเอวแน่นหนั่นตามการชักนำก่อนที่ร่างของผมจะถูกยกขึ้นและถูกอุ้มพาไปที่โซฟา
“รักกูไหม?” พี่มันถามหลังจากวางผมให้นอนราบบนโซฟาตัวยาวแล้วตัวเองก็คร่อมไว้
ผมพยักหน้า “รักครับ” ก่อนจะประคองหน้าพี่ลุกซ์ไว้หวังจะจูบอีกสักครั้งแต่จู่ๆ พี่มันก็ลุกออกไปทำให้ผมงงหนัก
“ฮ่าๆๆๆ ได้ยินแล้วใช่ไหม? บอกแล้วว่าไอ้นี่มันโง่ ฮึๆ” พี่ลุกซ์หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจก่อนที่ประตูห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนพี่ลุกซ์จะเปิดออกปรากฏร่างผู้หญิงท่าทางเปรี้ยวสองสามคนที่กำลังเดินออกมา ผมรีบลุกขึ้นมองหน้าพี่ลุกซ์กับผู้หญิงเหล่านั้นสลับกันพลางประมวลผล
...กูถูกหลอก!?
“คนนี้น่ะเหรอที่หลงลุกซ์หัวปักหัวปำ? คิกๆ ท่าทางจะโง่อย่างที่บอกจริงๆ ด้วย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับพวกของตัวเอง ผมกำหมัดแน่น มึง...
“สนุกมากใช่ไหม?” ผมถามเสียงเบา
“ว่าไงนะ? จะบอกรักกูอีกเหรอ? ฮ่าๆ” ไอ้พี่ลุกซ์หัวเราะสะใจ
“กูถามว่าสนุกมากใช่ไหม!?” ผมตะคอกเสียงดังอย่างโกรธเคือง “เอาความรู้สึกของกูมาเล่นแบบนี้มึงสะใจมากใช่ไหม!?!” ผมถลึงตามองพี่ลุกซ์ทั้งๆ ที่น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาจากดวงตาที่วาวโรจน์
“...” พี่ลุกซ์มองผมอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
“กูสุดจะทนแล้วนะ! จะด่ากูตบตีกูแค่ไหนกูไม่ว่าอะไรหรอกแต่เอาความรู้สึกกูมาล้อเล่นเป็นเรื่องสนุกแบบนี้กูรับไม่ได้!! ทำไม? ความรักของกูมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าไม่รักกูก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูสิ! เห็นกูเป็นอะไร?! กูเป็นคนไม่ใช่ผักปลา รักเป็นเจ็บเป็น! เหี้ยเอ๊ย! ฮึก!” ผมตะคอกจนแสบคอก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายและไม่นึกจะกลั้น มันอึดอัดจนเกินจะทนแล้วครับ
“ท่าทางจะเป็นเอามากนะเนี่ย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดเหยียดๆ ผมไม่สนใจเพราะผมโกรธคนตรงหน้าผมมากกว่า เขาดูถูกผมมากเกินไป
“พวกเธอออกไปก่อน” พี่ลุกซ์หันไปบอกพวกผู้หญิงด้วยสีหน้าเครียดๆ พวกหล่อนจึงรีบเดินออกไป ที่จริงผมก็อยากจะหนีออกไปด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่มีแรงจะลุกออกไปไหนเลย รู้สึกอ่อนเพลียเหลือเกิน
พี่ลุกซ์นั่งมองผมร้องไห้สักพักก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ ผมรีบปัดออกอย่างรังเกียจทันที
“อย่ามาแตะตัวกู!! ไอ้เลว ไอ้เหี้ย ไอ้คนหมาไม่แดก!” ผมตะโกนทั้งน้ำตาและดูเหมือนว่าพี่ลุกซ์จะโกรธที่ถูกด่าพี่มันจึงกระชากผมเข้าไปใกล้แล้วถลึงตามอง
“เห็นกูไม่พูดแล้วได้ใจหรือไงฮะ!?” ไอ้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วมองผมดุๆ ในระยะประชิด ผมเบ้ปากใส่พี่มันก่อนจะยกกำปั้นขึ้นทุบตีพี่มันเป็นการใหญ่
“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! มึงไม่คิดว่ากูจะเจ็บหรือไงฮะ!” พี่ลุกซ์โวยวายพลางปัดป้องหมัดของผมพัลวัน
“เจ็บเหรอ? แค่นี้พี่เจ็บเหรอ? รู้เอาไว้ด้วยว่าผมเจ็บกว่าพี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า!! ผมรักพี่ด้วยหัวใจและพยายามทำทุกอย่างให้พี่รักผมบ้างแต่สิ่งที่พี่ให้ผมกลับมามันมีแต่ความโหดร้ายทารุณ! ไม่รักผมไม่ว่าแต่อย่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผม!” ผมทุบอกพี่ลุกซ์แรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะแหกปากต่อว่าอีก
“แล้วไง?” พี่ลุกซ์ทำหน้าเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะขยับตัวลุกออกจากโซฟาเพื่อออกจากห้องนี้ไป ไม่เอาแล้วกับคนแบบนี้ ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของผมเลยสักนิด ถ้าผมรักตัวเองผมก็ต้องเลิกรักคนคนนี้เสียที
“ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้พี่ได้ยินคำว่ารักจากปากของผมอีกแล้ว! จำเอาไว้!” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะรีบกลับเข้าห้องของตัวเองทันที
...ยิ่งพูดว่าไม่ยิ่งอยากได้ยิน...
ผมไปมหาลัยทั้งๆ ที่ตาบวมฉึ่งจนไอ้พัดต้องหาผ้าเย็นมาประคบให้ มันไม่ถามว่าผมไปเจออะไรมาเพราะอารมณ์นี้มันคงรู้ว่าผมไม่อยากพูดอะไรมาก ไอ้พัดเองก็ดูจะตกใจมากที่เห็นว่าผมร้องไห้จนตาบวมเนื่องจากเมื่อก่อนผมร้องไห้ยากมาก
“นี่มึง พอดีมีรุ่นพี่เขามาติดต่อให้กูลองไปเป็นติวเตอร์ดู มึงสนใจป่ะ?” ไอ้พัดถามขึ้นหลังจากโปะผ้าเย็นที่ตาของผมเรียบร้อย ตอนนี้ผมนอนหนุนตักไอ้พัดอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ หลายคนคงอิจฉาผมเพราะไอ้พัดมันหล่อและเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ กันพอสมควร
“เอาดิ” ผมบอก ก็ดี หาอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
“ถ้างั้นเย็นนี้มึงไปที่สำนักงานติวเตอร์กับกูนะ เขาบอกว่าต้องทดลองสอนก่อนถ้าสอนดีเด็กถูกใจรับรองว่าเงินดีแน่ๆ” ไอ้พัดพูดเสียงตื่นเต้น
“มึงจะเอาเงินไปทำอะไร? อยากได้อะไรก็ขอพ่อมึงสิ” ผมพูด
“ไม่เอาๆ กูจะเก็บตังค์ซื้อรถใหม่ด้วยตัวเอง ถ้าได้มาด้วยตัวเองมันรู้สึกภูมิใจไม่ใช่เหรอ?” ไอ้พัดพูดผมจึงพยักหน้า งั้นผมจะเก็บเงินไปทำอะไรดีล่ะ? เก็บไว้ไปหาพี่ถังที่อเมริกาละกัน ถ้าเงินไม่พอยังไงก็ให้พี่มันออกให้ซะเลย ฮ่าๆ
“อือ” ผมส่งเสียงตอบรับเจตนารมณ์ของไอ้พัดก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา พอถึงคาบเรียนไอ้พัดก็ปลุกแล้วเราก็เข้าเรียนพร้อมกัน
พอหมดคาบเรียนไอ้พัดก็พาผมไปลงชมรมบาสเก็ตบอลเอาไว้ก่อนจะลากผมไปที่สำนักงานติวเตอร์ เรื่องชมรมผมก็ลงตามไปพัดไปงั้นๆ แหละครับเพราะตัวผมไม่ได้มีความสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่ถ้ามีชมรมวิจัยเหล้าผมจะรีบไปลงทันที
ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าสำนักงานติวเตอร์ก่อนจะมองไอ้พัดที่มีทีท่าระริกระรี้แล้วถอนหายใจอีกรอบ ไอ้สำนักงานที่ว่านี่เป็นสำนักงานที่รับสอนหนังสือตามบ้านโดยส่งติวเตอร์ในสังกัดไปสอนเด็กนักเรียนตามที่เขารีเควสมาและ...ไอ้สำนักงานนี้มันก็เป็นของพี่ถัง!
ตอนแรกพี่มันเปิดติวแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้นแต่หลังๆ มามันได้รับเสียงตอบรับดีพี่มันจึงมาเปิดสำนักงานนี้เพิ่มขึ้นมาอีก พี่มันคอยบริหารงานผ่านการสั่งลูกน้องทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ที่อเมริกา มันทำงานหนักขนาดนี้ได้ไงเนี่ย? ไม่เหนื่อยตายห่าเหรอ?
“ไอ้เปอร์! มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” พอเดินเข้าไปในสำนักงานไอ้พี่ถังก็ทักขึ้น สงสัยพี่มันเข้ามาดูงานที่นี่พอดี
“อ้าวพี่ถัง? มาอยู่นี่ได้ไงครับ?” ไอ้พัดถามงงๆ
“ที่นี่น่ะสำนักงานของพี่มันอะดิ” ผมบอก ไอ้พัดเบิกตาอย่างตกใจก่อนจะถลาแล่นลมไปหาพี่ถัง
“รับผมเข้าทำงานนะครับพี่ นะๆ” ไอ้พัดทำท่าอ้อน มันอ้อนได้กวนตีนมากครับ หน้ามันหล่อไงพอทำตาแบ๊วแล้วมันน่าถีบชะมัด
“อ๋อ ที่บอกว่าจะมาลองทำงานดูนี่คือน้องพัดเองเหรอ?” พี่ถังถามพลางดันหน้าที่ไซร้อยู่ตรงไหล่ออก ท่าทางพี่ถังเองก็อยากถีบไอ้พัดเหมือนกัน ฮ่าๆ
“ครับ ผมเลยชวนไอ้เปอร์มาด้วย” ไอ้พัดบอก
“เออดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาอีกรอบนะแล้วจะให้คนพาไปทดลองงานดู มึงด้วยนะเปอร์” พี่ถังบอกผมจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอ...กูจำได้ว่าเมื่อวานตามึงยังไม่บวมขนาดนี้นะเปอร์” ไอ้พี่ถังมองผมอย่างจับผิด ผมสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแหะๆ
“เออน่า” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะรีบลากไอ้พัดออกมาเพราะต้องไปกินเหล้าต่อเนื่องจากพวกพี่ๆ นัดเอาไว้ ถ้าไม่ไปผมก็คอขาดสิครับ
“เปอร์ พรุ่งนี้กูจะไปรับที่มหาลัยรอกูด้วยละกัน น้องพัดด้วยนะ” ไอ้พี่ถังตะโกนไล่หลัง
“เออ/ครับ” ผมกับไอ้พัดตอบรับพร้อมกัน ก็ดี ถ้าไอ้พี่ถังไปรับพรุ่งนี้ผมก็จะได้โดดรับน้องที่ร้านเหล้าซะเลย จะบ้าหรือเปล่าครับ รับน้องกันเป็นเดือนและส่วนมากรับที่ร้านเหล้า ตื่นมาก็แม่งแฮงก์ทุกวันใครจะเรียนรู้เรื่องฟะ
ผมกับไอ้พัดกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะตรงไปที่ร้านเหล้าหลังม.อันเป็นสถานที่นัดทันที ก่อนมาผมต้องลำบากเข้าร้านเสริมหล่อเพื่อให้เขาแต่งหน้าปกปิดรอยช้ำที่หน้าอันเนื่องมาจากการถูกตบอีกทั้งรอยบวมแดงที่ขอบตาที่เกิดจากการร้องไห้ทั้งคืน กว่าจะแต่งเสร็จเล่นเอาหน้าผมช้ำยิ่งกว่าเดิม
“ไอ้หนู ทางนี้ๆ” เสียงเข้มๆ ตะโกนขึ้นผมจึงรีบหันไปมองจึงเห็นร่างสูงๆ หล่อๆ ของไอ้พี่ไทโบกมือเรียกผมจึงลากไอ้พัดไปหาพี่สามคนนั้นทันที
ตอนแรกพี่รหัสของไอ้พัดมาเรียกไอ้พัดไปนั่งด้วยแต่ผมไม่อยากให้ไปพี่รหัสที่แสนดี(?)ของผมจึงใช้สายตาไล่พี่รหัสไอ้พัดซะเปิดเปิง ไม่ต้องเปิดปากพูดก็สามารถทำให้คนอื่นกลัวได้ พี่รหัสของผมนี่เจ๋งไม่เบา
“เดี๋ยวสายรหัสของมึงจะมานั่งด้วย ระวังตัวด้วยล่ะ โหดๆ ทั้งนั้น” ไอ้พี่ไทพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ พี่สายรหัสของผม? ผมรีบหันไปมองพี่ลันทันที พี่มันหรี่ตามองผมนิดๆ ก่อนจะยักไหล่ สายรหัสของผมก็ไอ้พี่ลุกซ์น่ะสิ!
“เฮ้ยเปอร์ กูอยากไปนั่งกับพี่กู” เมื่อได้ยินพี่ไทพูดแบบนั้นไอ้พัดก็รู้สึกอยากหนีผมไปเสียอย่างนั้น ผมรีบคว้าข้อมือมันเอาไว้เพราะไม่อยากเดือดร้อนคนเดียว ฮ่าๆ ลงนรกด้วยกันเถอะเพื่อน กูรักมึงนะ
“ถ้ามึงไปใครจะลากกูกลับวะ?” ผมบีบตาอ้อนไอ้พัดสุดความสามารถแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือฝ่ามือหนักๆ ของไอ้เพื่อนสุดหล่อเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานพี่ลุกซ์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยเฟี้ยวเปรี้ยวจี๊ดก็เดินควงกันมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผม ตอนแรกผมจะได้นั่งข้างพี่ลุกซ์ครับเพราะที่นั่งข้างผมมันว่างสองที่แต่ผมรีบสลับที่กับพี่ขลุ่ยทันทีโดยที่พี่ขลุ่ยเองก็ยังงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร สงสัยจะคิดว่าผมกลัวจนตัวสั่น โอเค...กลัวจริงๆ
ทันทีที่พี่ลุกซ์กับสาวสวยสะบึมฮึมคนนั้นนั่งลงทั้งโต๊ะก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนทันทีผมจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้แต่ว่าพี่ลันไม่ได้ไหว้ด้วยหรอกนะครับเพราะเจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจว่าใครจะมาซะด้วยซ้ำ
“ไหน? คนไหนที่เป็นน้องเล็กของสายเจ๊? หนุ่มหล่อหรือหนุ่มน่ารักเอ่ย?” เสียงหวานใสถามขึ้นอย่างร่าเริงผมจึงรีบหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าเจ๊คนนี้เป็น...
“ย่ารหัสมึงไง” ไอ้พี่ไทกระซิบเล่นเอาผมช็อค ผมก็นึกอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเจ๊แกดูมีออร่าน่ากลัวแปลกๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะเดินมากับพี่ลุกซ์ ที่ไหนได้เป็นของที่ตัวเองสร้างขึ้นหรอกเหรอ พระเจ้า!
“อะ...เอ่อ...ผมครับ” ผมยกมือขึ้นส่งยิ้มแหยๆ ไปให้เจ๊คนสวย
“ชื่อจ้ะชื่อ”
“ปรินครับ ชื่อเล่นเปอร์” ผมรีบบอกทันที
“เจ๊ชื่อเปรียวนะจ๊ะ” เจ๊เปรียวพูดพลางสะบัดผมยาวเป็นลอนนิดๆ พอให้ดูมีมาด
“เปอร์ ชงเหล้าให้เจ๊แกสิ” ไอ้พี่ไทกระซิบอีกครั้งผมจึงลนลานหยิบแก้วมาตั้งไว้ตรงหน้าตัวเอง
“ขอเบาๆ ก่อนละกันนะ” เจ๊แกยิ้มบอกผมจึงยิ้มรับแล้วชงเหล้าอ่อนๆ ให้เจ๊แก
“กูขอหนักๆ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นผมจึงเหลือบตาไปมองคนพูดนิดๆ แล้วหยิบแก้วอีกใบมา พอชงให้เจ๊เปรียวเสร็จผมก็ชงให้พี่ลุกซ์ต่อ
ผมดันแก้วเหล้าไปตรงหน้าของพี่ลุกซ์ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะมอง
ซ่า!
ผมนิ่งอึ้งหน้าชาเหมือนถูกตบเมื่อจู่ๆ เหล้าที่ผมเพิ่งชงเสร็จถูกสาดกระทบใบหน้า คนที่นั่งข้างๆ ผมอย่างไอ้พี่ไทกับไอ้พัดรีบขยับหลบรัศมีการกระเซ็นของเหล้าแต่กระนั้นก็ยังได้รับผลกระทบส่วนผมก็โดนเต็มๆ
“กล้าดียังไงถึงเมินกู เวลาส่งเหล้าให้ก็หัดทำหน้าให้มันดีๆ รู้จักไหมมารยาทน่ะ!” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกมองหน้าผมด้วยสีหน้าสะใจ
“ขอโทษนะครับที่ผมมันไม่มีมารยาท...กับคนอย่างพี่” ผมเว้นช่วงไว้แล้วพูดต่อเพื่อความกวนตีนก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับหน้าตัวเองเบาๆ
“อวดดี! ออกไปข้างนอก คลานไปมาที่หน้าร้านแล้วเห่าจนกว่ากูจะพอใจ!!” ไอ้พี่ลุกซ์สั่งเสียงดังจนคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจพลางซุบซิบนินทา ผมเม้มปากก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่หน้าร้านเพื่อทำตามคำสั่งทำให้คนอื่นๆ ที่สนใจลุกตามมาด้วย
“เปอร์ ไม่ต้องทำ” ไอ้พี่ลันพูดพลางเดินมาดึงแขนผมที่กำลังจะทรุดลงที่พื้นเพื่อคลานเอาไว้ ผมเม้มปากมองหน้าพี่ลันด้วยสายตาสั่นๆ อย่างขอความเห็นใจ ผมไม่อยากเจอพี่ลุกซ์อีกแล้ว
“พี่ลันครับ” ผมเรียกชื่อพี่มัน
“ไอ้เปอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้ามึงจะทำโทษมันด้วยเรื่องแค่นั้นทำไมไม่ทำโทษกูด้วย” พี่ลันหันไปพูดกับพี่ลุกซ์พลางดึงผมไปหลบข้างหลัง พี่ลันน่ะไม่ได้ทำแค่เมินพี่ลุกซ์หรอกนะ ถ้าสบโอกาสพี่มันมักจะยกนิ้วกลางใส่พี่ลุกซ์เสมอ
“งั้นก็คลานกันทั้งสองคนนั่นแหละ” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกสั่ง ผมมองหน้าพี่มันด้วยสายตานิ่งๆ ไหนพี่ถังบอกว่าพี่ลุกซ์รักน้องมากไง แต่ทำแบบนี้มันไม่ได้แสดงถึงความรักเลยสักนิด แย่ที่สุด!!
“พอได้แล้วลุกซ์ อย่าแกล้งน้อง” เจ๊เปรียวพูดปราม ผมมองเจ๊แกด้วยสายตาขอบคุณ
“เปรียวอย่ายุ่ง” พี่ลุกซ์หันไปดุเจ๊เปรียว ผมมองทั้งสองอย่างเจ็บปวด เหมือนพวกเขาจะสนิทกันมากถึงขั้นกล้าเรียกชื่อกันเฉยๆ แบบนั้น
“ลุกซ์” เจ๊เปรียวมองหน้าพี่ลุกซ์ปรามๆ พลางส่ายหน้า
พี่ลุกซ์ฮึดฮัดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านคนอื่นๆ จึงเดินตาม ผมยืนนิ่งอยู่หน้าร้านคนเดียวพลางมองแผ่นหลังกว้างของพี่ลุกซ์ที่ค่อยๆ ผลุบหายเข้าไป
“เปอร์ เข้าไปกันเถอะ” ไอ้พัดหยุดเดินก่อนจะหันมากวักมือเรียกผม ผมพยักหน้าให้มันเข้าไปก่อนแล้วกดโทรศัพท์หาพี่ถัง
“ว่าไงเปอร์?” พี่มันรับสาย
“มารับหน่อยได้ไหม?” ผมพูดเสียงเพลียๆ
“ที่ไหน?” พี่มันถาม คงจะรู้แหละว่าผมมีปัญหา
“ร้านเดิม” ผมบอก
“อืม รออยู่นั่นนะเดี๋ยวกูไปรับ” พูดจบก็วางสายไป ผมเดินไปนั่งตรงฟุตบาธก่อนจะกุมขมับไว้
พอพี่ถังมาถึงพี่มันก็พาผมเดินเข้าไปในร้านเพื่อขออนุญาตให้ผมออกมา เจ๊เปรียวเองก็เป็นหนึ่งในรุ่นน้องที่รู้จักกับพี่ถังเจ๊แกจึงไม่ว่าอะไร
“พัด กลับกับกูป่ะ” ผมดึงมือไอ้พัดให้ลุกขึ้นมายืนข้างตัวเอง
“อืม” ไอ้พัดพยักหน้า
“รู้ทั้งรู้ว่าเปอร์เป็นน้องพี่ถังยังจะแกล้งอีกนะลุกซ์” เจ๊เปรียวฟาดแขนของคนข้างกาย
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่น้องแต่เป็นเรื่องของรุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าจะเอาความเป็นพี่น้องมาอ้างเพื่อไม่ให้ถูกทำโทษก็ไม่ต้องมาพูดกัน” พี่ลุกซ์กอดอกพูด ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ไอ้พี่ถังยกมือห้ามไว้ ผมไม่ได้จะเอาความเป็นพี่น้องกับพี่ถังมาอ้างเพื่อให้พ้นโทษและผมก็ไม่ได้อยากจะคุยกับพี่ลุกซ์เสียหน่อย
“กูเข้าใจมึงนะลุกซ์ แต่วันนี้กูจะพาน้องกูกลับก่อน แค่เหล้าอาบหน้าอาบตัวก็น่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้” พี่ถังพูดเย็นๆ
“เชิญครับ” พี่ลุกซ์ผายมือไปที่ทางเข้าร้านพี่ถังจึงดึงมือผมพาเดินออกจากร้านซึ่งผมก็ดึงมือไอ้พัดต่ออีกทีหนึ่ง
ผมกับไอ้พัดขับรถอีกคนตามพี่ถังไปที่บ้านของพี่มันเพื่อฟังเทศ พวกเรานั่งหูชากับเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับ ผมไปส่งไอ้พัดที่บ้านก่อนจะกลับไปที่คอนโด
ขณะที่ผมรูดคีย์การ์ดเข้าไปในห้องลิฟต์ก็เปิดออกปรากฏร่างของพี่ลุกซ์ ผมตกใจเผลอปล่อยคีย์การ์ดให้ร่วงลงพื้น ก่อนที่จะหายตกใจพี่ลุกซ์ก็เดินมาถึงตัวผมเสียแล้ว ผมที่พยายามจะเข้าห้องเพื่อหนีหน้าถูกคนห้องตรงข้ามยื้อเอาไว้โดยการกระชากประตูปิดเพื่อไม่ให้ผมเข้าไปในห้องตัวเองได้ ฉิบหาย! เมื่อกี้คีย์การ์ดมันหล่นในเขตบริเวณห้องเสียด้วย ประตูมันล็อคอัตโนมัติแบบนี้แล้วกูจะเข้าห้องยังไง?
“มีธุระอะไรครับ?” ผมถามเสียงห้วน
“มึงอยู่ที่นี่เหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเย็น
“ครับ” ผมตอบนิ่งๆ
“ตามกูมา?”
“ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“แล้วทำไมมึงไม่อยู่บ้าน?”
“มันเรื่องของผม” ผมตอบ พี่มันยักไหล่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะโทรไปที่สำนักงานคอนโดเพื่อขอคีย์การ์ดสำรอง
“ขอโทษนะครับ คือว่าทางเราไม่มีคีย์การ์ดของห้องคุณน่ะครับเนื่องจากคีย์การ์ดที่คุณได้รับเป็นคีย์การ์ดสำรองที่เจ้าของห้องเขามาขอไปก่อนหน้านี้ ถ้าคุณต้องการคีย์การ์ดคุณจะต้องขอจากเจ้าของห้องเองแล้วล่ะครับ” พนักงานพูด ผมถอนหายใจเซ็งๆ
“คุณมีเบอร์ติดต่อเจ้าของไหมครับ?” ผมถาม
“คือว่าตอนนี้คุณเจ้าของไปต่างประเทศน่ะครับทางเราติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ให้ช่างมาทำคีย์การ์ดใหม่ให้ผมได้ไหม?” ผมถามเซ็งๆ พ่อนะพ่อ จะเช่าคอนโดจากใครทำไมไม่เช็คให้มันละเอียดๆ เล่า คีย์การ์ดก็มีแค่สองใบแล้วแบบนี้ผมจะเข้าห้องได้วันไหนเนี่ย
“ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อนครับ”
“นี่คุณ! คุณเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าเจ้าของห้องไปต่างประเทศแล้วผมจะขออนุญาตเขาได้ไงครับ!?! ไม่รู้ล่ะ! ถ้าวันนี้ผมเข้าห้องไม่ได้คุณเดือดร้อนแน่!” ผมขู่คาดโทษ
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ กฎก็ต้องเป็นไปตามกฎ ผมก็เป็นแค่ลูกจ้างผมละเมิดกฎไม่ได้หรอกนะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ฝ่ายนั้นขอโทษขอโพย
“ขอโทษแล้วคืนนี้ผมจะได้กลับเข้าห้องไหม?! เฮอะ! แย่จริงๆ” ผมสบถก่อนจะตัดสายไป ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้มๆ เงยๆ ส่องหาว่าคีย์การ์ดมันตกอยู่ไกลหรือเปล่า
ผมก้มลงจนหน้าแทบแนบพื้นก่อนจะพบว่าคีย์การ์ดมันอยู่ใกล้ๆ นี่เองแต่ช่องประตูมันก็แคบเหลือเกินผมจึงไม่สามารถเอาคีย์การ์ดออกมาได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย
แกร๊ก!
ขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้นประตูห้องตรงข้ามก็เปิดออกก่อนที่ร่างของผมจะถูกฉุดกระชากเข้าไปในห้องห้องนั้น ผมโวยวายและดิ้นไม่ยอมเข้าไปแต่สุดท้ายผมก็สู้แรงคนตัวโตกว่าไม่ไหวอยู่ดี
พอร่างถูกเหวี่ยงเข้ามาในห้องผมก็กอดอกพลางเบือนหน้าไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไรทันที เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ เขาเกลียด เขาขยะแขยงจนไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้แล้วทำไมต้องเข้ามาวุ่นวายกับผมอีก ผมพยายามตีตัวออกห่างแล้วนะ
“อย่ามาทำตัวสะดีดสะดิ้งใส่กู ถึงเล่นตัวไปค่าตัวมึงก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหรอก” พี่ลุกซ์พูดเหยียดๆ ผมหันขวับไปมองก่อนจะแสยะยิ้ม
“ฮึ! อย่าบอกนะครับว่าติดใจผมซะแล้ว ขนาดผมไม่อยากเข้าใกล้พี่ยังพยายามที่จะเข้าใกล้ผมเลย ชอบผมแล้วเหรอ?” ผมถามกวนตีนทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้และอย่าสำคัญตัวผิด” พี่มันพูด
“แล้วพี่ลากผมเข้ามาห้องพี่ทำไม? ปกติพี่ไม่เคยแยแสผมอยู่แล้วนี่ ผมจะเป็นจะตายอย่างไรพี่ไม่เคยจะสนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!” ผมตะคอกก่อนจะถูกเท้าหนักๆ ถีบจนกระเด็นล้มลงบนโซฟา พี่มันคงโกรธมากที่ถูกผมตะคอกใส่
“กูก็แค่สมเพชมึงเท่านั้นแหละ และจำเอาไว้ว่าอย่าสะเออะมาขึ้นเสียงกับกู!” พี่มันชี้หน้าคาดโทษ ผมตวัดสายตาไปมองอย่างโกรธเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้
ผมเม้มปากแน่นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องนี้ไป ไม่อยากอยู่...ก็เท่านั้น
“ถ้ามึงก้าวออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียวกูกระทืบมึงแน่” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงดังทำให้มือที่จับลูกบิดหวังจะเปิดมันออกชะงักลง
ผมหันกลับไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ “พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่? แค่ผมขยับตัวพี่ยังโมโหแล้วพี่จะให้ผมอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไรครับ?” ผมถามอย่างต้องการเหตุผล
“เห็นหน้าตาทรมานของมึงแล้วสนุกดี ฮึๆ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ...ไอ้เชลย!” พี่มันเดินแสยะยิ้มเข้ามาหาก่อนจะยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ และเน้นสถานะของผมอย่างชัดเจน ผมเม้มปากกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ ทรมานกูทำไม? มึงสนุกแล้วกูสนุกด้วยไหม? คนใจดำ!
ผมไม่อาจหาสาเหตุว่าทำไมผมถึงต้องยอมอยู่ใต้อาณัติของพี่มันได้แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือถ้าหากผมขัดคำสั่งของพี่มันชีวิตผมไม่จบง่ายๆ แน่ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มันอาจจะเป็นลางสังหรณ์ของเหยื่ออย่างผมละมั้งครับ
เนื่องจากผมเข้าห้องของตัวเองไม่ได้ผมจึงไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแต่โชคดีที่ข้าวของเครื่องใช้ของผมที่เคยเอามาทิ้งไว้ที่นี่ยังอยู่ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องแต่งกาย ส่วนเรื่องเอกสารการเรียนนั้นผมมักเก็บไว้ในรถจึงไม่มีปัญหาอะไร ตอนแรกที่รู้ว่าของของผมอยู่ครบผมก็แปลกใจแต่ไม่กล้าถามว่าทำไมพี่มันถึงไม่ทิ้งไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ของอยู่ครบก็ดีแล้ว
“นี่มึง ไปหาอะไรมาให้กูกินดิ๊ หิว!” ขณะที่ผมกำลังจัดที่หลับที่นอนของตัวเองพี่ลุกซ์ก็เดินออกมาจากห้องของตัวเองแล้วก็สั่ง ผมเหลือบตามองพี่มันนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาทำให้พี่มันขัดใจ “ทำไม!? กูบอกแล้วไงว่าอย่าขัดคำสั่งกูถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” พี่ลุกซ์ตวาดอย่างไม่พอใจพลางเดินตรงมาหวังจะทำร้ายร่างกายของผมแต่ผมรีบวิ่งหนีไปหลบที่มุมห้องอย่างรวดเร็ว
“ผมทำอาหารไม่เป็น” ผมพูด
“ทำไม่เป็นก็หัดสิวะ!” พี่มันตะคอก
“ไม่ครับ ผมไม่อยากเทอาหารที่ตัวเองทำลงถังขยะอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดพลางมองหน้าพี่ลุกซ์ตรงๆ เขาชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะทำหน้าตาเคืองๆ
“กูไม่กินไข่” พี่มันพูด
“แล้วซื้อมาทำไมเยอะแยะครับ” ผมถามทันที
“ไอ้ดินมันเจ้ากี้เจ้าการซื้อมาเอง” คำพูดของพี่ลุกซ์ทำให้ผมชะงัก น้องดิน...เด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นสำคัญขนาดที่ทำให้พี่ลุกซ์จอมเหวี่ยงคนนี้ไม่กล้าขัดใจเลยเชียวหรือ? เขาไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ธรรมดาๆ สินะ
ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดออกไป “ขอโทษจริงๆ ครับแต่นอกจากทอดไข่แล้วผมก็ทำอะไรไม่เป็นจริงๆ”
“ไร้ประโยชน์!” พี่มันว่า
“งั้นก็ให้ผมออกไปสิครับ ผมมันไม่มีประโยชน์แล้วจะให้ผมอยู่กับพี่ทำไม?” ผมพูดเสียงสั่นๆ ไม่ได้จะร้องไห้ ก็แค่เจ็บใจจนตัวสั่นสะท้านก็เท่านั้นเอง
สาเหตุที่ผมไม่อยากเข้าครัวอีกก็เป็นเพราะผมจับเครื่องไม้เครื่องมือไม่ถนัด ผมเคยพยายามเรียนทำอาหารกับแม่บ้านที่บ้านแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะผมมักจะเผลอปล่อยให้จานชามหลุดมือตลอด เพราะแผลเป็นที่ฝ่ามือมันทำให้ผมไม่กล้ากำอะไรแน่นๆ มันหวั่นๆ หวิวๆ อย่างไม่ก็ไม่รู้เวลามีอะไรมาโดนที่รอยแผล ลายมือผมห่วยแตกกว่าเดิมก็เพราะไม่กล้าจับปากกาแน่นๆ นี่แหละครับ
“กูบอกให้ทำอะไรก็ทำ อีกสิบนาทีถ้าไม่มีอะไรให้กูกิน มึงตาย!” ไอ้พี่ลุกซ์เงียบไปสักพักก่อนจะพูดตัดบทแล้วเดินหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเองโดยไม่ตอบคำถามของผม
++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมับ!
แต่ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลพี่ลุกซ์ก็เดินมากระชากแขนผมเอาไว้ก่อนจะลากผมเข้าไปในห้องของตัวเอง ผมรีบเดินตรงเข้าในห้องครัวก่อนจะเดินหลบไปนั่งซุกตัวอยู่ใต้เคาน์เตอร์ที่เคยมาแอบนั่งร้องไห้บ่อยๆ เมื่อรู้ตัวว่าต่อให้อยากจะออกไปจากที่นี่แค่ไหนก็ออกไปไม่ได้ถ้าพี่ลุกซ์ไม่ยอม
“อย่าเข้ามา!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์เดินมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ ผมนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงที่วงแขนของตัวเอง ผมไม่ได้ร้องไห้แต่กำลังสงบสติอารมณ์
“มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งกูได้” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะก้มลงมาแล้วกระชากผมออกจากซอก ผมดิ้นให้หลุดก่อนจะหันหลังให้พี่มัน ตอนนี้หน้าของผมเป็นอย่างไรผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น
“พี่ต้องการอะไร!? ต้องการให้ผมเลิกยุ่งผมก็ทำแล้วไงแล้วทำไมพี่ต้องมายุ่งกับผมอีก!!” ผมตะคอกทั้งๆ ที่ยังยืนหันหลัง
“มึงอยากจูบกูใช่ไหม?” พี่มันถามเล่นเอาผมชะงักกึก นี่จะมาไม้ไหนเนี่ย? “เอาสิ” ผมรีบหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างไม่เข้าใจทันที
“พี่กำลังคิดอะไรอยู่!?” ผมก้าวถอยหลังจนชนกับเคาน์เตอร์
พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ผมรีบมองหาทางหนีแต่ก็ไม่เจอ รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ก่อนมือหนาจะกดโน้มคอผมให้ก้มลงจากนั้นริมฝีปากผมก็ถูกกลืนกิน ลิ้นร้อนรุกเข้ามาในจังหวะที่รวดเร็วจนผมตามไม่ทันแต่กระนั้นผมก็เคลิ้มตามจนเผลอยกแขนโอบรอบคอคนร่างสูง
เมื่อไม่จำเป็นต้องกดหน้าผมให้ก้มลงเพราะผมก้มลงไปหาด้วยตัวเองมือหนาหยาบกร้านก็ค่อยๆ ล้วงเข้ามาในเสื้อของผมและลูบไล้ร่างกายจนผมครางละเหี่ย พี่ลุกซ์ผละหน้าออกจากริมฝีปากของผมก่อนจะลากลิ้นไล้เลียวนอยู่ที่ซอกคอ ผมผวาเชิดหน้าขึ้นเมื่อแรงกดจูบหนักๆ มาพร้อมกับนิ้วเรียวที่สะกิดยอดตุ่มไตใต้ร่มผ้า
ผมยกขาทั้งสองข้างขึ้นเกี่ยวเอวแน่นหนั่นตามการชักนำก่อนที่ร่างของผมจะถูกยกขึ้นและถูกอุ้มพาไปที่โซฟา
“รักกูไหม?” พี่มันถามหลังจากวางผมให้นอนราบบนโซฟาตัวยาวแล้วตัวเองก็คร่อมไว้
ผมพยักหน้า “รักครับ” ก่อนจะประคองหน้าพี่ลุกซ์ไว้หวังจะจูบอีกสักครั้งแต่จู่ๆ พี่มันก็ลุกออกไปทำให้ผมงงหนัก
“ฮ่าๆๆๆ ได้ยินแล้วใช่ไหม? บอกแล้วว่าไอ้นี่มันโง่ ฮึๆ” พี่ลุกซ์หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจก่อนที่ประตูห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนพี่ลุกซ์จะเปิดออกปรากฏร่างผู้หญิงท่าทางเปรี้ยวสองสามคนที่กำลังเดินออกมา ผมรีบลุกขึ้นมองหน้าพี่ลุกซ์กับผู้หญิงเหล่านั้นสลับกันพลางประมวลผล
...กูถูกหลอก!?
“คนนี้น่ะเหรอที่หลงลุกซ์หัวปักหัวปำ? คิกๆ ท่าทางจะโง่อย่างที่บอกจริงๆ ด้วย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับพวกของตัวเอง ผมกำหมัดแน่น มึง...
“สนุกมากใช่ไหม?” ผมถามเสียงเบา
“ว่าไงนะ? จะบอกรักกูอีกเหรอ? ฮ่าๆ” ไอ้พี่ลุกซ์หัวเราะสะใจ
“กูถามว่าสนุกมากใช่ไหม!?” ผมตะคอกเสียงดังอย่างโกรธเคือง “เอาความรู้สึกของกูมาเล่นแบบนี้มึงสะใจมากใช่ไหม!?!” ผมถลึงตามองพี่ลุกซ์ทั้งๆ ที่น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาจากดวงตาที่วาวโรจน์
“...” พี่ลุกซ์มองผมอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
“กูสุดจะทนแล้วนะ! จะด่ากูตบตีกูแค่ไหนกูไม่ว่าอะไรหรอกแต่เอาความรู้สึกกูมาล้อเล่นเป็นเรื่องสนุกแบบนี้กูรับไม่ได้!! ทำไม? ความรักของกูมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าไม่รักกูก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูสิ! เห็นกูเป็นอะไร?! กูเป็นคนไม่ใช่ผักปลา รักเป็นเจ็บเป็น! เหี้ยเอ๊ย! ฮึก!” ผมตะคอกจนแสบคอก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายและไม่นึกจะกลั้น มันอึดอัดจนเกินจะทนแล้วครับ
“ท่าทางจะเป็นเอามากนะเนี่ย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดเหยียดๆ ผมไม่สนใจเพราะผมโกรธคนตรงหน้าผมมากกว่า เขาดูถูกผมมากเกินไป
“พวกเธอออกไปก่อน” พี่ลุกซ์หันไปบอกพวกผู้หญิงด้วยสีหน้าเครียดๆ พวกหล่อนจึงรีบเดินออกไป ที่จริงผมก็อยากจะหนีออกไปด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่มีแรงจะลุกออกไปไหนเลย รู้สึกอ่อนเพลียเหลือเกิน
พี่ลุกซ์นั่งมองผมร้องไห้สักพักก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ ผมรีบปัดออกอย่างรังเกียจทันที
“อย่ามาแตะตัวกู!! ไอ้เลว ไอ้เหี้ย ไอ้คนหมาไม่แดก!” ผมตะโกนทั้งน้ำตาและดูเหมือนว่าพี่ลุกซ์จะโกรธที่ถูกด่าพี่มันจึงกระชากผมเข้าไปใกล้แล้วถลึงตามอง
“เห็นกูไม่พูดแล้วได้ใจหรือไงฮะ!?” ไอ้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วมองผมดุๆ ในระยะประชิด ผมเบ้ปากใส่พี่มันก่อนจะยกกำปั้นขึ้นทุบตีพี่มันเป็นการใหญ่
“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! มึงไม่คิดว่ากูจะเจ็บหรือไงฮะ!” พี่ลุกซ์โวยวายพลางปัดป้องหมัดของผมพัลวัน
“เจ็บเหรอ? แค่นี้พี่เจ็บเหรอ? รู้เอาไว้ด้วยว่าผมเจ็บกว่าพี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า!! ผมรักพี่ด้วยหัวใจและพยายามทำทุกอย่างให้พี่รักผมบ้างแต่สิ่งที่พี่ให้ผมกลับมามันมีแต่ความโหดร้ายทารุณ! ไม่รักผมไม่ว่าแต่อย่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผม!” ผมทุบอกพี่ลุกซ์แรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะแหกปากต่อว่าอีก
“แล้วไง?” พี่ลุกซ์ทำหน้าเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะขยับตัวลุกออกจากโซฟาเพื่อออกจากห้องนี้ไป ไม่เอาแล้วกับคนแบบนี้ ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของผมเลยสักนิด ถ้าผมรักตัวเองผมก็ต้องเลิกรักคนคนนี้เสียที
“ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้พี่ได้ยินคำว่ารักจากปากของผมอีกแล้ว! จำเอาไว้!” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะรีบกลับเข้าห้องของตัวเองทันที
...ยิ่งพูดว่าไม่ยิ่งอยากได้ยิน...
ผมไปมหาลัยทั้งๆ ที่ตาบวมฉึ่งจนไอ้พัดต้องหาผ้าเย็นมาประคบให้ มันไม่ถามว่าผมไปเจออะไรมาเพราะอารมณ์นี้มันคงรู้ว่าผมไม่อยากพูดอะไรมาก ไอ้พัดเองก็ดูจะตกใจมากที่เห็นว่าผมร้องไห้จนตาบวมเนื่องจากเมื่อก่อนผมร้องไห้ยากมาก
“นี่มึง พอดีมีรุ่นพี่เขามาติดต่อให้กูลองไปเป็นติวเตอร์ดู มึงสนใจป่ะ?” ไอ้พัดถามขึ้นหลังจากโปะผ้าเย็นที่ตาของผมเรียบร้อย ตอนนี้ผมนอนหนุนตักไอ้พัดอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ หลายคนคงอิจฉาผมเพราะไอ้พัดมันหล่อและเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ กันพอสมควร
“เอาดิ” ผมบอก ก็ดี หาอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
“ถ้างั้นเย็นนี้มึงไปที่สำนักงานติวเตอร์กับกูนะ เขาบอกว่าต้องทดลองสอนก่อนถ้าสอนดีเด็กถูกใจรับรองว่าเงินดีแน่ๆ” ไอ้พัดพูดเสียงตื่นเต้น
“มึงจะเอาเงินไปทำอะไร? อยากได้อะไรก็ขอพ่อมึงสิ” ผมพูด
“ไม่เอาๆ กูจะเก็บตังค์ซื้อรถใหม่ด้วยตัวเอง ถ้าได้มาด้วยตัวเองมันรู้สึกภูมิใจไม่ใช่เหรอ?” ไอ้พัดพูดผมจึงพยักหน้า งั้นผมจะเก็บเงินไปทำอะไรดีล่ะ? เก็บไว้ไปหาพี่ถังที่อเมริกาละกัน ถ้าเงินไม่พอยังไงก็ให้พี่มันออกให้ซะเลย ฮ่าๆ
“อือ” ผมส่งเสียงตอบรับเจตนารมณ์ของไอ้พัดก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา พอถึงคาบเรียนไอ้พัดก็ปลุกแล้วเราก็เข้าเรียนพร้อมกัน
พอหมดคาบเรียนไอ้พัดก็พาผมไปลงชมรมบาสเก็ตบอลเอาไว้ก่อนจะลากผมไปที่สำนักงานติวเตอร์ เรื่องชมรมผมก็ลงตามไปพัดไปงั้นๆ แหละครับเพราะตัวผมไม่ได้มีความสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่ถ้ามีชมรมวิจัยเหล้าผมจะรีบไปลงทันที
ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าสำนักงานติวเตอร์ก่อนจะมองไอ้พัดที่มีทีท่าระริกระรี้แล้วถอนหายใจอีกรอบ ไอ้สำนักงานที่ว่านี่เป็นสำนักงานที่รับสอนหนังสือตามบ้านโดยส่งติวเตอร์ในสังกัดไปสอนเด็กนักเรียนตามที่เขารีเควสมาและ...ไอ้สำนักงานนี้มันก็เป็นของพี่ถัง!
ตอนแรกพี่มันเปิดติวแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้นแต่หลังๆ มามันได้รับเสียงตอบรับดีพี่มันจึงมาเปิดสำนักงานนี้เพิ่มขึ้นมาอีก พี่มันคอยบริหารงานผ่านการสั่งลูกน้องทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ที่อเมริกา มันทำงานหนักขนาดนี้ได้ไงเนี่ย? ไม่เหนื่อยตายห่าเหรอ?
“ไอ้เปอร์! มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” พอเดินเข้าไปในสำนักงานไอ้พี่ถังก็ทักขึ้น สงสัยพี่มันเข้ามาดูงานที่นี่พอดี
“อ้าวพี่ถัง? มาอยู่นี่ได้ไงครับ?” ไอ้พัดถามงงๆ
“ที่นี่น่ะสำนักงานของพี่มันอะดิ” ผมบอก ไอ้พัดเบิกตาอย่างตกใจก่อนจะถลาแล่นลมไปหาพี่ถัง
“รับผมเข้าทำงานนะครับพี่ นะๆ” ไอ้พัดทำท่าอ้อน มันอ้อนได้กวนตีนมากครับ หน้ามันหล่อไงพอทำตาแบ๊วแล้วมันน่าถีบชะมัด
“อ๋อ ที่บอกว่าจะมาลองทำงานดูนี่คือน้องพัดเองเหรอ?” พี่ถังถามพลางดันหน้าที่ไซร้อยู่ตรงไหล่ออก ท่าทางพี่ถังเองก็อยากถีบไอ้พัดเหมือนกัน ฮ่าๆ
“ครับ ผมเลยชวนไอ้เปอร์มาด้วย” ไอ้พัดบอก
“เออดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาอีกรอบนะแล้วจะให้คนพาไปทดลองงานดู มึงด้วยนะเปอร์” พี่ถังบอกผมจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอ...กูจำได้ว่าเมื่อวานตามึงยังไม่บวมขนาดนี้นะเปอร์” ไอ้พี่ถังมองผมอย่างจับผิด ผมสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแหะๆ
“เออน่า” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะรีบลากไอ้พัดออกมาเพราะต้องไปกินเหล้าต่อเนื่องจากพวกพี่ๆ นัดเอาไว้ ถ้าไม่ไปผมก็คอขาดสิครับ
“เปอร์ พรุ่งนี้กูจะไปรับที่มหาลัยรอกูด้วยละกัน น้องพัดด้วยนะ” ไอ้พี่ถังตะโกนไล่หลัง
“เออ/ครับ” ผมกับไอ้พัดตอบรับพร้อมกัน ก็ดี ถ้าไอ้พี่ถังไปรับพรุ่งนี้ผมก็จะได้โดดรับน้องที่ร้านเหล้าซะเลย จะบ้าหรือเปล่าครับ รับน้องกันเป็นเดือนและส่วนมากรับที่ร้านเหล้า ตื่นมาก็แม่งแฮงก์ทุกวันใครจะเรียนรู้เรื่องฟะ
ผมกับไอ้พัดกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะตรงไปที่ร้านเหล้าหลังม.อันเป็นสถานที่นัดทันที ก่อนมาผมต้องลำบากเข้าร้านเสริมหล่อเพื่อให้เขาแต่งหน้าปกปิดรอยช้ำที่หน้าอันเนื่องมาจากการถูกตบอีกทั้งรอยบวมแดงที่ขอบตาที่เกิดจากการร้องไห้ทั้งคืน กว่าจะแต่งเสร็จเล่นเอาหน้าผมช้ำยิ่งกว่าเดิม
“ไอ้หนู ทางนี้ๆ” เสียงเข้มๆ ตะโกนขึ้นผมจึงรีบหันไปมองจึงเห็นร่างสูงๆ หล่อๆ ของไอ้พี่ไทโบกมือเรียกผมจึงลากไอ้พัดไปหาพี่สามคนนั้นทันที
ตอนแรกพี่รหัสของไอ้พัดมาเรียกไอ้พัดไปนั่งด้วยแต่ผมไม่อยากให้ไปพี่รหัสที่แสนดี(?)ของผมจึงใช้สายตาไล่พี่รหัสไอ้พัดซะเปิดเปิง ไม่ต้องเปิดปากพูดก็สามารถทำให้คนอื่นกลัวได้ พี่รหัสของผมนี่เจ๋งไม่เบา
“เดี๋ยวสายรหัสของมึงจะมานั่งด้วย ระวังตัวด้วยล่ะ โหดๆ ทั้งนั้น” ไอ้พี่ไทพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ พี่สายรหัสของผม? ผมรีบหันไปมองพี่ลันทันที พี่มันหรี่ตามองผมนิดๆ ก่อนจะยักไหล่ สายรหัสของผมก็ไอ้พี่ลุกซ์น่ะสิ!
“เฮ้ยเปอร์ กูอยากไปนั่งกับพี่กู” เมื่อได้ยินพี่ไทพูดแบบนั้นไอ้พัดก็รู้สึกอยากหนีผมไปเสียอย่างนั้น ผมรีบคว้าข้อมือมันเอาไว้เพราะไม่อยากเดือดร้อนคนเดียว ฮ่าๆ ลงนรกด้วยกันเถอะเพื่อน กูรักมึงนะ
“ถ้ามึงไปใครจะลากกูกลับวะ?” ผมบีบตาอ้อนไอ้พัดสุดความสามารถแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือฝ่ามือหนักๆ ของไอ้เพื่อนสุดหล่อเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานพี่ลุกซ์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยเฟี้ยวเปรี้ยวจี๊ดก็เดินควงกันมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผม ตอนแรกผมจะได้นั่งข้างพี่ลุกซ์ครับเพราะที่นั่งข้างผมมันว่างสองที่แต่ผมรีบสลับที่กับพี่ขลุ่ยทันทีโดยที่พี่ขลุ่ยเองก็ยังงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร สงสัยจะคิดว่าผมกลัวจนตัวสั่น โอเค...กลัวจริงๆ
ทันทีที่พี่ลุกซ์กับสาวสวยสะบึมฮึมคนนั้นนั่งลงทั้งโต๊ะก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนทันทีผมจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้แต่ว่าพี่ลันไม่ได้ไหว้ด้วยหรอกนะครับเพราะเจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจว่าใครจะมาซะด้วยซ้ำ
“ไหน? คนไหนที่เป็นน้องเล็กของสายเจ๊? หนุ่มหล่อหรือหนุ่มน่ารักเอ่ย?” เสียงหวานใสถามขึ้นอย่างร่าเริงผมจึงรีบหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าเจ๊คนนี้เป็น...
“ย่ารหัสมึงไง” ไอ้พี่ไทกระซิบเล่นเอาผมช็อค ผมก็นึกอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเจ๊แกดูมีออร่าน่ากลัวแปลกๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะเดินมากับพี่ลุกซ์ ที่ไหนได้เป็นของที่ตัวเองสร้างขึ้นหรอกเหรอ พระเจ้า!
“อะ...เอ่อ...ผมครับ” ผมยกมือขึ้นส่งยิ้มแหยๆ ไปให้เจ๊คนสวย
“ชื่อจ้ะชื่อ”
“ปรินครับ ชื่อเล่นเปอร์” ผมรีบบอกทันที
“เจ๊ชื่อเปรียวนะจ๊ะ” เจ๊เปรียวพูดพลางสะบัดผมยาวเป็นลอนนิดๆ พอให้ดูมีมาด
“เปอร์ ชงเหล้าให้เจ๊แกสิ” ไอ้พี่ไทกระซิบอีกครั้งผมจึงลนลานหยิบแก้วมาตั้งไว้ตรงหน้าตัวเอง
“ขอเบาๆ ก่อนละกันนะ” เจ๊แกยิ้มบอกผมจึงยิ้มรับแล้วชงเหล้าอ่อนๆ ให้เจ๊แก
“กูขอหนักๆ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นผมจึงเหลือบตาไปมองคนพูดนิดๆ แล้วหยิบแก้วอีกใบมา พอชงให้เจ๊เปรียวเสร็จผมก็ชงให้พี่ลุกซ์ต่อ
ผมดันแก้วเหล้าไปตรงหน้าของพี่ลุกซ์ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะมอง
ซ่า!
ผมนิ่งอึ้งหน้าชาเหมือนถูกตบเมื่อจู่ๆ เหล้าที่ผมเพิ่งชงเสร็จถูกสาดกระทบใบหน้า คนที่นั่งข้างๆ ผมอย่างไอ้พี่ไทกับไอ้พัดรีบขยับหลบรัศมีการกระเซ็นของเหล้าแต่กระนั้นก็ยังได้รับผลกระทบส่วนผมก็โดนเต็มๆ
“กล้าดียังไงถึงเมินกู เวลาส่งเหล้าให้ก็หัดทำหน้าให้มันดีๆ รู้จักไหมมารยาทน่ะ!” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกมองหน้าผมด้วยสีหน้าสะใจ
“ขอโทษนะครับที่ผมมันไม่มีมารยาท...กับคนอย่างพี่” ผมเว้นช่วงไว้แล้วพูดต่อเพื่อความกวนตีนก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับหน้าตัวเองเบาๆ
“อวดดี! ออกไปข้างนอก คลานไปมาที่หน้าร้านแล้วเห่าจนกว่ากูจะพอใจ!!” ไอ้พี่ลุกซ์สั่งเสียงดังจนคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจพลางซุบซิบนินทา ผมเม้มปากก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่หน้าร้านเพื่อทำตามคำสั่งทำให้คนอื่นๆ ที่สนใจลุกตามมาด้วย
“เปอร์ ไม่ต้องทำ” ไอ้พี่ลันพูดพลางเดินมาดึงแขนผมที่กำลังจะทรุดลงที่พื้นเพื่อคลานเอาไว้ ผมเม้มปากมองหน้าพี่ลันด้วยสายตาสั่นๆ อย่างขอความเห็นใจ ผมไม่อยากเจอพี่ลุกซ์อีกแล้ว
“พี่ลันครับ” ผมเรียกชื่อพี่มัน
“ไอ้เปอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้ามึงจะทำโทษมันด้วยเรื่องแค่นั้นทำไมไม่ทำโทษกูด้วย” พี่ลันหันไปพูดกับพี่ลุกซ์พลางดึงผมไปหลบข้างหลัง พี่ลันน่ะไม่ได้ทำแค่เมินพี่ลุกซ์หรอกนะ ถ้าสบโอกาสพี่มันมักจะยกนิ้วกลางใส่พี่ลุกซ์เสมอ
“งั้นก็คลานกันทั้งสองคนนั่นแหละ” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกสั่ง ผมมองหน้าพี่มันด้วยสายตานิ่งๆ ไหนพี่ถังบอกว่าพี่ลุกซ์รักน้องมากไง แต่ทำแบบนี้มันไม่ได้แสดงถึงความรักเลยสักนิด แย่ที่สุด!!
“พอได้แล้วลุกซ์ อย่าแกล้งน้อง” เจ๊เปรียวพูดปราม ผมมองเจ๊แกด้วยสายตาขอบคุณ
“เปรียวอย่ายุ่ง” พี่ลุกซ์หันไปดุเจ๊เปรียว ผมมองทั้งสองอย่างเจ็บปวด เหมือนพวกเขาจะสนิทกันมากถึงขั้นกล้าเรียกชื่อกันเฉยๆ แบบนั้น
“ลุกซ์” เจ๊เปรียวมองหน้าพี่ลุกซ์ปรามๆ พลางส่ายหน้า
พี่ลุกซ์ฮึดฮัดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านคนอื่นๆ จึงเดินตาม ผมยืนนิ่งอยู่หน้าร้านคนเดียวพลางมองแผ่นหลังกว้างของพี่ลุกซ์ที่ค่อยๆ ผลุบหายเข้าไป
“เปอร์ เข้าไปกันเถอะ” ไอ้พัดหยุดเดินก่อนจะหันมากวักมือเรียกผม ผมพยักหน้าให้มันเข้าไปก่อนแล้วกดโทรศัพท์หาพี่ถัง
“ว่าไงเปอร์?” พี่มันรับสาย
“มารับหน่อยได้ไหม?” ผมพูดเสียงเพลียๆ
“ที่ไหน?” พี่มันถาม คงจะรู้แหละว่าผมมีปัญหา
“ร้านเดิม” ผมบอก
“อืม รออยู่นั่นนะเดี๋ยวกูไปรับ” พูดจบก็วางสายไป ผมเดินไปนั่งตรงฟุตบาธก่อนจะกุมขมับไว้
พอพี่ถังมาถึงพี่มันก็พาผมเดินเข้าไปในร้านเพื่อขออนุญาตให้ผมออกมา เจ๊เปรียวเองก็เป็นหนึ่งในรุ่นน้องที่รู้จักกับพี่ถังเจ๊แกจึงไม่ว่าอะไร
“พัด กลับกับกูป่ะ” ผมดึงมือไอ้พัดให้ลุกขึ้นมายืนข้างตัวเอง
“อืม” ไอ้พัดพยักหน้า
“รู้ทั้งรู้ว่าเปอร์เป็นน้องพี่ถังยังจะแกล้งอีกนะลุกซ์” เจ๊เปรียวฟาดแขนของคนข้างกาย
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่น้องแต่เป็นเรื่องของรุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าจะเอาความเป็นพี่น้องมาอ้างเพื่อไม่ให้ถูกทำโทษก็ไม่ต้องมาพูดกัน” พี่ลุกซ์กอดอกพูด ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ไอ้พี่ถังยกมือห้ามไว้ ผมไม่ได้จะเอาความเป็นพี่น้องกับพี่ถังมาอ้างเพื่อให้พ้นโทษและผมก็ไม่ได้อยากจะคุยกับพี่ลุกซ์เสียหน่อย
“กูเข้าใจมึงนะลุกซ์ แต่วันนี้กูจะพาน้องกูกลับก่อน แค่เหล้าอาบหน้าอาบตัวก็น่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้” พี่ถังพูดเย็นๆ
“เชิญครับ” พี่ลุกซ์ผายมือไปที่ทางเข้าร้านพี่ถังจึงดึงมือผมพาเดินออกจากร้านซึ่งผมก็ดึงมือไอ้พัดต่ออีกทีหนึ่ง
ผมกับไอ้พัดขับรถอีกคนตามพี่ถังไปที่บ้านของพี่มันเพื่อฟังเทศ พวกเรานั่งหูชากับเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับ ผมไปส่งไอ้พัดที่บ้านก่อนจะกลับไปที่คอนโด
ขณะที่ผมรูดคีย์การ์ดเข้าไปในห้องลิฟต์ก็เปิดออกปรากฏร่างของพี่ลุกซ์ ผมตกใจเผลอปล่อยคีย์การ์ดให้ร่วงลงพื้น ก่อนที่จะหายตกใจพี่ลุกซ์ก็เดินมาถึงตัวผมเสียแล้ว ผมที่พยายามจะเข้าห้องเพื่อหนีหน้าถูกคนห้องตรงข้ามยื้อเอาไว้โดยการกระชากประตูปิดเพื่อไม่ให้ผมเข้าไปในห้องตัวเองได้ ฉิบหาย! เมื่อกี้คีย์การ์ดมันหล่นในเขตบริเวณห้องเสียด้วย ประตูมันล็อคอัตโนมัติแบบนี้แล้วกูจะเข้าห้องยังไง?
“มีธุระอะไรครับ?” ผมถามเสียงห้วน
“มึงอยู่ที่นี่เหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเย็น
“ครับ” ผมตอบนิ่งๆ
“ตามกูมา?”
“ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“แล้วทำไมมึงไม่อยู่บ้าน?”
“มันเรื่องของผม” ผมตอบ พี่มันยักไหล่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะโทรไปที่สำนักงานคอนโดเพื่อขอคีย์การ์ดสำรอง
“ขอโทษนะครับ คือว่าทางเราไม่มีคีย์การ์ดของห้องคุณน่ะครับเนื่องจากคีย์การ์ดที่คุณได้รับเป็นคีย์การ์ดสำรองที่เจ้าของห้องเขามาขอไปก่อนหน้านี้ ถ้าคุณต้องการคีย์การ์ดคุณจะต้องขอจากเจ้าของห้องเองแล้วล่ะครับ” พนักงานพูด ผมถอนหายใจเซ็งๆ
“คุณมีเบอร์ติดต่อเจ้าของไหมครับ?” ผมถาม
“คือว่าตอนนี้คุณเจ้าของไปต่างประเทศน่ะครับทางเราติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ให้ช่างมาทำคีย์การ์ดใหม่ให้ผมได้ไหม?” ผมถามเซ็งๆ พ่อนะพ่อ จะเช่าคอนโดจากใครทำไมไม่เช็คให้มันละเอียดๆ เล่า คีย์การ์ดก็มีแค่สองใบแล้วแบบนี้ผมจะเข้าห้องได้วันไหนเนี่ย
“ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อนครับ”
“นี่คุณ! คุณเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าเจ้าของห้องไปต่างประเทศแล้วผมจะขออนุญาตเขาได้ไงครับ!?! ไม่รู้ล่ะ! ถ้าวันนี้ผมเข้าห้องไม่ได้คุณเดือดร้อนแน่!” ผมขู่คาดโทษ
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ กฎก็ต้องเป็นไปตามกฎ ผมก็เป็นแค่ลูกจ้างผมละเมิดกฎไม่ได้หรอกนะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ฝ่ายนั้นขอโทษขอโพย
“ขอโทษแล้วคืนนี้ผมจะได้กลับเข้าห้องไหม?! เฮอะ! แย่จริงๆ” ผมสบถก่อนจะตัดสายไป ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้มๆ เงยๆ ส่องหาว่าคีย์การ์ดมันตกอยู่ไกลหรือเปล่า
ผมก้มลงจนหน้าแทบแนบพื้นก่อนจะพบว่าคีย์การ์ดมันอยู่ใกล้ๆ นี่เองแต่ช่องประตูมันก็แคบเหลือเกินผมจึงไม่สามารถเอาคีย์การ์ดออกมาได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย
แกร๊ก!
ขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้นประตูห้องตรงข้ามก็เปิดออกก่อนที่ร่างของผมจะถูกฉุดกระชากเข้าไปในห้องห้องนั้น ผมโวยวายและดิ้นไม่ยอมเข้าไปแต่สุดท้ายผมก็สู้แรงคนตัวโตกว่าไม่ไหวอยู่ดี
พอร่างถูกเหวี่ยงเข้ามาในห้องผมก็กอดอกพลางเบือนหน้าไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไรทันที เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ เขาเกลียด เขาขยะแขยงจนไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้แล้วทำไมต้องเข้ามาวุ่นวายกับผมอีก ผมพยายามตีตัวออกห่างแล้วนะ
“อย่ามาทำตัวสะดีดสะดิ้งใส่กู ถึงเล่นตัวไปค่าตัวมึงก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหรอก” พี่ลุกซ์พูดเหยียดๆ ผมหันขวับไปมองก่อนจะแสยะยิ้ม
“ฮึ! อย่าบอกนะครับว่าติดใจผมซะแล้ว ขนาดผมไม่อยากเข้าใกล้พี่ยังพยายามที่จะเข้าใกล้ผมเลย ชอบผมแล้วเหรอ?” ผมถามกวนตีนทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้และอย่าสำคัญตัวผิด” พี่มันพูด
“แล้วพี่ลากผมเข้ามาห้องพี่ทำไม? ปกติพี่ไม่เคยแยแสผมอยู่แล้วนี่ ผมจะเป็นจะตายอย่างไรพี่ไม่เคยจะสนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!” ผมตะคอกก่อนจะถูกเท้าหนักๆ ถีบจนกระเด็นล้มลงบนโซฟา พี่มันคงโกรธมากที่ถูกผมตะคอกใส่
“กูก็แค่สมเพชมึงเท่านั้นแหละ และจำเอาไว้ว่าอย่าสะเออะมาขึ้นเสียงกับกู!” พี่มันชี้หน้าคาดโทษ ผมตวัดสายตาไปมองอย่างโกรธเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้
ผมเม้มปากแน่นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องนี้ไป ไม่อยากอยู่...ก็เท่านั้น
“ถ้ามึงก้าวออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียวกูกระทืบมึงแน่” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงดังทำให้มือที่จับลูกบิดหวังจะเปิดมันออกชะงักลง
ผมหันกลับไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ “พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่? แค่ผมขยับตัวพี่ยังโมโหแล้วพี่จะให้ผมอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไรครับ?” ผมถามอย่างต้องการเหตุผล
“เห็นหน้าตาทรมานของมึงแล้วสนุกดี ฮึๆ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ...ไอ้เชลย!” พี่มันเดินแสยะยิ้มเข้ามาหาก่อนจะยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ และเน้นสถานะของผมอย่างชัดเจน ผมเม้มปากกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ ทรมานกูทำไม? มึงสนุกแล้วกูสนุกด้วยไหม? คนใจดำ!
ผมไม่อาจหาสาเหตุว่าทำไมผมถึงต้องยอมอยู่ใต้อาณัติของพี่มันได้แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือถ้าหากผมขัดคำสั่งของพี่มันชีวิตผมไม่จบง่ายๆ แน่ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มันอาจจะเป็นลางสังหรณ์ของเหยื่ออย่างผมละมั้งครับ
เนื่องจากผมเข้าห้องของตัวเองไม่ได้ผมจึงไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแต่โชคดีที่ข้าวของเครื่องใช้ของผมที่เคยเอามาทิ้งไว้ที่นี่ยังอยู่ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องแต่งกาย ส่วนเรื่องเอกสารการเรียนนั้นผมมักเก็บไว้ในรถจึงไม่มีปัญหาอะไร ตอนแรกที่รู้ว่าของของผมอยู่ครบผมก็แปลกใจแต่ไม่กล้าถามว่าทำไมพี่มันถึงไม่ทิ้งไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ของอยู่ครบก็ดีแล้ว
“นี่มึง ไปหาอะไรมาให้กูกินดิ๊ หิว!” ขณะที่ผมกำลังจัดที่หลับที่นอนของตัวเองพี่ลุกซ์ก็เดินออกมาจากห้องของตัวเองแล้วก็สั่ง ผมเหลือบตามองพี่มันนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาทำให้พี่มันขัดใจ “ทำไม!? กูบอกแล้วไงว่าอย่าขัดคำสั่งกูถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” พี่ลุกซ์ตวาดอย่างไม่พอใจพลางเดินตรงมาหวังจะทำร้ายร่างกายของผมแต่ผมรีบวิ่งหนีไปหลบที่มุมห้องอย่างรวดเร็ว
“ผมทำอาหารไม่เป็น” ผมพูด
“ทำไม่เป็นก็หัดสิวะ!” พี่มันตะคอก
“ไม่ครับ ผมไม่อยากเทอาหารที่ตัวเองทำลงถังขยะอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดพลางมองหน้าพี่ลุกซ์ตรงๆ เขาชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะทำหน้าตาเคืองๆ
“กูไม่กินไข่” พี่มันพูด
“แล้วซื้อมาทำไมเยอะแยะครับ” ผมถามทันที
“ไอ้ดินมันเจ้ากี้เจ้าการซื้อมาเอง” คำพูดของพี่ลุกซ์ทำให้ผมชะงัก น้องดิน...เด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นสำคัญขนาดที่ทำให้พี่ลุกซ์จอมเหวี่ยงคนนี้ไม่กล้าขัดใจเลยเชียวหรือ? เขาไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ธรรมดาๆ สินะ
ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดออกไป “ขอโทษจริงๆ ครับแต่นอกจากทอดไข่แล้วผมก็ทำอะไรไม่เป็นจริงๆ”
“ไร้ประโยชน์!” พี่มันว่า
“งั้นก็ให้ผมออกไปสิครับ ผมมันไม่มีประโยชน์แล้วจะให้ผมอยู่กับพี่ทำไม?” ผมพูดเสียงสั่นๆ ไม่ได้จะร้องไห้ ก็แค่เจ็บใจจนตัวสั่นสะท้านก็เท่านั้นเอง
สาเหตุที่ผมไม่อยากเข้าครัวอีกก็เป็นเพราะผมจับเครื่องไม้เครื่องมือไม่ถนัด ผมเคยพยายามเรียนทำอาหารกับแม่บ้านที่บ้านแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะผมมักจะเผลอปล่อยให้จานชามหลุดมือตลอด เพราะแผลเป็นที่ฝ่ามือมันทำให้ผมไม่กล้ากำอะไรแน่นๆ มันหวั่นๆ หวิวๆ อย่างไม่ก็ไม่รู้เวลามีอะไรมาโดนที่รอยแผล ลายมือผมห่วยแตกกว่าเดิมก็เพราะไม่กล้าจับปากกาแน่นๆ นี่แหละครับ
“กูบอกให้ทำอะไรก็ทำ อีกสิบนาทีถ้าไม่มีอะไรให้กูกิน มึงตาย!” ไอ้พี่ลุกซ์เงียบไปสักพักก่อนจะพูดตัดบทแล้วเดินหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเองโดยไม่ตอบคำถามของผม
++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ