ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก
10.0
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.
15 ตอน
5 วิจารณ์
38.77K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) Chapter11 : พี่รหัส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter11 : พี่รหัสสาวๆ ในคลังของลุกซ์
ผมอยู่ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับไอ้พี่ถังได้ไม่นานพ่อก็โทรตามไปเก็บของเพื่อย้ายออกจากบ้านเนื่องจากผมขอออกไปอยู่ที่คอนโดใกล้ๆ มหาวิทยาลัยเพราะอยากจะหัดดูแลตัวเองดูสักครั้งซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกพ่อกับแม่ไม่ยอมอย่างเด็ดขาดแต่พอผมดื้อจะเอาให้ได้ในที่สุดทั้งสองก็ต้องตกลงและหาเช่าคอนโดให้ผมเนื่องจากคอนโดที่พ่อไปจองไว้หวังจะซื้อยังสร้างไม่เสร็จ
แต่คอนโดที่พ่อเช่าให้มันทำให้ผมไม่อยากอยู่เพราะมันเป็นคอนโดเดียวกับพี่ลุกซ์และห้องของผมดันอยู่ตรงข้ามกับห้องของพี่มันเสียอย่างนั้น ถ้าพี่มันรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ผมจะต้องถูกหาว่าตามพี่มันมาแน่ๆ แต่เสียใจนะที่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่พ่อก็จะให้กลับบ้าน เห็นว่าคนรู้จักแนะนำให้มาอยู่ที่นี่ก่อน
ตั้งแต่พ่อกับแม่มาส่งผมเข้าคอนโดพวกท่านก็บ่นไม่หยุด ทั้งดราม่าทั้งดุด่าเพราะไม่อยากให้ผมไปอยู่ไกลหูไกลตาแต่ที่จริงก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย อยากมาหาก็มาตอนไหนก็ได้นี่นา
หลังจากที่พ่อแม่กลับไปแล้วเจ้าของห้องตรงข้ามก็กลับมาผมจึงรีบผลุบเข้าไปในห้องของตัวเอง ภาพที่เห็นทำให้ผมปวดใจเมื่อพี่มันเดินเซๆ ไปที่ห้องโดยมีหญิงสาวรูปร่างอวบอัดน่าจับน่าไซร้พยุงตัวกลับมา ท่าทางพี่มันจะไปต่อกับสาวๆ หลังงานเลี้ยงไอ้พี่ถังสินะ
ผมถอนหายใจก่อนจะปิดประตูให้สนิท ผมเองก็เหนื่อยเพราะเพิ่งจัดของเสร็จก่อนพี่มันจะมาแป๊บเดียวเอง ผมไม่ควรจะคิดมากเรื่องพี่ลุกซ์อีกแล้วเพราะมันจะทำให้ผมจมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ ผมว่าการที่ผมได้มาอยู่ใกล้ๆ พี่ลุกซ์มันอาจจะส่งผลดีต่อผมก็ได้เพราะมันจะทำให้หัวใจของผมด้านชาเพราะความเจ็บซ้ำๆ มันจะทำให้ผมรู้สึกชินไปเอง
พี่ถังกลับมาได้สองวันผมก็ต้องไปมหาวิทยาลัย พี่มันถูกพวกพี่ปีสามที่เป็นเจ้างานจัดงานรับน้องเชิญไปแนะแนวน้องใหม่อย่างพวกผมในฐานะรุ่นพี่ที่จบไปแล้วและประสบความสำเร็จจนได้งานดีๆ ทำและได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ
หลังจากที่หลายๆ คนให้โอวาทและเปิดงานรับน้องอย่างเป็นทางการแล้ว พวกน้องใหม่อย่างผมก็ถูกพี่สต๊าฟทั้งหลายพาไปเข้าฐานโดยแบ่งกลุ่มกันเพื่อไปด้วยกันและปิดตาจับมือกันเดินตามการชักจูงของพี่สต๊าฟอย่างระแวดระวังเพราะกลัวจะเจออะไรแปลกๆ เข้า
เนื่องจากตาถูกปิดเอาไว้ทำให้ผมไม่อาจจะรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเดินเข้าไปหานั้นคืออะไร พี่สต๊าฟบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ อย่างเช่นบอกให้คลานก็ต้องคลานทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะคลานทำไม กว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละฐานตัวผมก็ถูกชโลมไปด้วยน้ำหวานเหนียวๆ และดินโคลนที่ตัวเองมุดไปเกลือกกลิ้งเพราะเป็นคำสั่งของสต๊าฟและเราก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไอ้ผมก็อุตส่าห์ภาวนาให้พี่ถังมาช่วยไม่ให้ผมถูกแกล้งแต่ที่ไหนได้ไอ้พี่ถังนั่นแหละตัวดีวิ่งมาแกล้งผมซะทุกฐาน ผมรู้ได้จากเสียงของพี่มันนั่นแหละ เสียงแหบทุ้มๆ เป็นเอกลักษณ์แบบนั้นทำไมผมจะจำไม่ได้
เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายแก่ๆ พวกโหดๆ ก็ยิ่งออกมาว้ากใส่และนั่นทำให้ผมต้องเจอกับพี่ลุกซ์อย่างเสียไม่ได้เพราะพี่มันเป็นประธานปกครองปีสามและน่าแปลกตรงที่น้องชายของพี่ลุกซ์นั้นเป็นประธานปกครองปีสอง นี่กะจะโหดทั้งพี่ทั้งน้องหรือไง ไม่รู้ว่าผมคิดผิดหรือคิดถูกที่เคยรู้สึกว่าคนหน้านิ่งๆ อย่างพี่ลันน่าจะเป็นคนใจดี พอมาเจอโหมดว้ากเท่านั้นแหละผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ขั้นสุดท้ายของการรับน้องครั้งนี้ก็คือตามหาพี่รหัสโดยตามหาจากชื่อของคนคนนั้น ผมมองกระดาษที่เขียนชื่อพี่รหัสของผมก่อนจะถอนหายใจ ผมจะไปหาไอ้พี่ที่ชื่อรุจิกรจากไหนล่ะเนี่ย?
“ถัง...กูไม่รู้จักพี่รหัสว่ะ” ผมเดินไปหาไอ้พี่ถังที่นั่งคุยกับรุ่นน้องของตัวเองอย่างออกรสก่อนจะถาม ไอ้พี่ถังมันมานั่งรอผมตั้งแต่เช้าถึงเย็นเลยล่ะครับ แต่ถึงอยากกลับมันก็กลับไม่ได้อยู่ดีเพราะถูกรุ่นน้องดึงตัวเอาไว้ ท่าทางจะเป็นคนดังนะเนี่ยพี่ชายผม
“พวกมึง! ช่วยน้องกูหน่อย” ไอ้พี่ถังมองผมก่อนจะหันไปพูดกับน้องๆ ของตัวเองที่พร้อมใจกันหันมามองผมเป็นตาเดียว ถามว่าผมอายไหมที่ถูกสายตาหลายคู่มอง...ผมตอบได้อย่างชัดเจนครับว่าไม่อายเพราะผมหน้าด้านไง วะฮะฮ่า!
“ผมจำชื่อเด็กปีสองไม่ได้ซักคน” พี่ผู้ชายหน้าโหดคนหนึ่งพูดขึ้นทำให้เสียงของคนอื่นๆ ดังตามมาด้วยประโยคที่คล้ายคลึงกัน
“ไอ้ลุกซ์! มึงจำชื่อน้องๆ ได้ตั้งหลายคนไม่ใช่หรือไง ช่วยน้องเฮียหน่อยดิวะ” ประโยคของรุ่นพี่คนหนึ่งทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ให้ชัดๆ อีกครั้งก่อนที่พี่ลุกซ์ที่นอนราบอยู่บนม้านั่งตัวยาวจะลุกขึ้นนั่งทำให้ผมรู้ว่าพี่ลุกซ์เองก็อยู่รวมกับคนพวกนี้เหมือนกัน และคนที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างๆ ม้านั่งที่พี่ลุกซ์นอนนั้นก็คือพี่กีร์กับพี่บัมพ์ที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ลุกซ์กับพี่เคย์นั่นเอง ผมไม่ทันสังเกตเห็นคนพวกนี้เลยเพราะพวกเขานั่งหลบอยู่ที่มุมทำให้คนอื่นๆ นั่งบังเอาไว้
“ไม่ช่วย” พี่ลุกซ์ตอบนิ่งๆ ทำให้คนอื่นๆ หันไปมองพี่แกอย่างสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มรับกับคำตอบนั้น ผมไม่เสียใจที่พี่มันไม่ช่วยเพราะผมก็ไม่ได้คาดหวังไว้ตั้งแต่แรกว่าจะได้รับความเมตตาจากพี่มัน
“พี่รหัสชื่ออะไรล่ะ?” พี่กีร์ถามขึ้นพี่ลุกซ์จึงหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาเซ็งๆ
“รุจิกรครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม
พี่กีร์ชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะหันไปมองพี่ลุกซ์ซึ่งดูท่าทางพี่มันจะเซ็งหนักกว่าเดิม ทำไมล่ะ? หรือว่ารุจิกรคือชื่อของพี่ลุกซ์? แต่จะเป็นได้ไงเมื่อพี่รหัสของผมต้องอยู่ปีสองแต่พี่ลุกซ์น่ะอยู่ปีสามต่างหาก
“อยู่ในกลุ่มนั้นน่ะ ไปหาเองละกัน” ไอ้พี่กีร์มองซ้ายขวาหน้าหลังก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ที่มีผู้ชายตัวสูงๆ นั่งรวมกันอยู่ 3คนผมจึงรีบดิ่งเข้าไปหาพี่รหัสของตัวเองทันที
“ขอโทษนะครับ คือว่าพี่คนไหนชื่อรุจิกรเหรอครับ? ผมชื่อปริณเป็นน้องรหัส” ผมพูดพลางไล่มองหน้าคนสามคนในกลุ่มนั้น ตอนแรกผมมองเห็นแค่สองคนที่นั่งหันห้าเข้ามาหาผมแต่พอเสียงผมดังขึ้นคนที่นั่งหันหลังก็หันมาซึ่งนั่นทำให้ผมตกใจจนเผลอก้าวถอยหลัง
“กูเอง” ไอ้พี่ลันตอบหน้านิ่ง ผมยิ้ม รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยพี่รหัสของผมดูจะไม่ใช่คนเลวร้ายเหมือนพี่ชายของเขา
“ไง โชคร้ายหน่อยนะที่ได้ไอ้นี่เป็นพี่รหัส ฮ่าๆ” ผู้ชายตัวดำที่นั่งรวมอยู่กับคนขาวสองคนพูดขึ้น ผมมองหน้าพี่แกนิดๆ ก่อนจะยิ้มให้เพื่อเป็นการผูกมิตร ขืนทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมาผมอาจจะถูกผู้ชายหน้าโหดฉิบหายคนนี้ฆ่าหมกส้วมมหาลัยจนกลายเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญก็ได้
แต่พอมองหน้าเพื่อนอีกสองคนพี่ลันดีๆ ผมกลับรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา
“อ้า! กูจำได้แล้ว!” จู่ๆ ไอ้พี่หน้าหล่อเทียบเคียงพี่ลันแต่หล่อคนละแบบก็ตะโกนขึ้นมาก่อนจะชี้หน้าผมเหมือนกับนึกอะไรออก ผมชี้หน้าตัวเองก่อนจะยิ้มปัญญาอ่อนเพื่อเป็นการเร่งให้พี่มันพูดออกมาว่าพี่มันจำอะไรเกี่ยวกับผมได้ “ไอ้เด็กที่ไปช่วยมึงที่โกดังไง ใช่ป่ะ?” พี่คนเดิมหันไปถามพี่ลัน พี่ลันพยักหน้าหงึกหงัก ผมยิ้มแต้อย่างดีใจที่การกระทำโง่ๆ ของผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนอื่น
“อ๋อ ไอ้คนที่มาช่วยมึงแต่ถูกอัดซะเองน่ะเหรอ? กูก็มองๆ อยู่แต่เข้าไปช่วยไม่ได้เพราะรอบข้างกูศัตรูเยอะเกิ๊น” ไอ้พี่ดำพูด อ้อ...ผมคุ้นหน้าคุ้นตาพวกพี่มันจากเรื่องตอนอยู่ที่โกดังนั่นเอง
“มึงไปที่นั่นได้ไง?” ไอ้พี่ลันถามเสียงเย็นเหมือนกับสงสัยมานานว่าผมสลอนไปอยู่ที่นั่นได้ไง
“ผม...ไปกับพี่ชายพี่ครับ” ผมบอกก่อนจะยิ้มนิดๆ แต่อาจจะเป็นรอยยิ้มฝืนๆ เพราะเรื่องที่โกดังนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่สุด จะขับไสไล่ส่งผมอย่างไรผมพอทนแต่ปล่อยให้ผมถูกตำรวจจับทั้งๆ ที่รู้ว่าผมออกจากบ้านไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างแบบนั้นผมรับไม่ได้จริงๆ
“ชิ! มึงเป็นลูกน้องมันเหรอ? ถ้างั้นไม่ต้องมายุ่งกับกู” ไอ้พี่ลันทำหน้าอารมณ์เสียจนผมตกใจกลัว เวลาเห็นหน้าโมโหของพี่มันแล้วผมรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของผมมันกำลังถูกสูบออกจากร่าง ทำหน้าโมโหได้น่ากลัวฉิบหาย สมกับเป็นประธานปกครองปีสองจริงๆ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นลูกน้องของเขาหรอก ก็เป็นแค่...คนรู้จัก” ผมพูดยิ้มๆ ใช่...เป็นแค่คนรู้จักเท่านั้นเพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ลุกซ์เลยนอกจากความใจร้ายใจดำและพี่ลุกซ์เองก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมนอกเลยนอกจากความหน้าด้านหน้าทนเหมือนกัน ใช่แล้วเปอร์...กับคนที่ไม่รู้จักมึงรู้สึกรักได้ไง?
“ก็ดี รู้ไว้ซะว่ากูกับมันไม่ถูกกัน” ไอ้พี่ลันกดเสียงให้ต่ำลงจนผมหนาวสะท้าน
“คระ...ครับ” ผมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ผมพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องคู่นี้เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ที่เขาทะเลาะกันขั้นรุนแรง ตอนนั้นสีหน้าของพี่ลันมันดูแย่มาก เหมือนคนที่ถูกหักหลังซ้ำร้ายคนที่หักหลังกลับเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมา
ขนาดกับน้องแท้ๆ ที่พี่ลุกซ์รักยังทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วกับคนที่ไม่รู้จักแถมยังเกลียดอย่างผมพี่มันจะทำถึงขนาดไหน แค่ระหว่างที่ผมอยู่กับพี่มันผมก็แทบตาย ถ้ายิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกันผมคงจะยิ่งเจ็บหนักมากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้วไง ผมอาจจะยังรักพี่มันอยู่แต่ผมคงไม่หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บกายเจ็บใจอีกแล้วล่ะ ผมเหนื่อย
พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองโง่จนยอมให้พี่ลุกซ์ทำร้ายผมก็เผลอกำมือแน่น แผลเป็นที่มือข้างขวาเป็นเครื่องเตือนใจให้ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อีก แผลเป็นนี้ทำให้มือข้างขวาของผมขยับไม่ได้ดั่งใจเหมือนเคยเพราะมันไม่ได้รับการรักษาอย่างดีเท่าที่ควร เวลาต้องเขียนหรือจดอะไรก็ตามผมจะเขียนได้ช้าลงมากเพราะมันรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่
“งั้นวันนี้ผมกลับได้แล้วใช่ไหมครับ?” ผมถาม
“ยัง คืนนี้มีนัดเลี้ยงเหล้าที่ร้านหลังมอ มึงเป็นน้องของประธานปกครองปีสอง มันเป็นมารยาทที่จะต้องไป” ไอ้พี่ดำพูด ผมขมวดคิ้ว ดูจากหน้ากวนตีนๆ ของเพื่อนทั้งสองคนของพี่ลันแล้วผมรู้สึกหวั่นๆ ยังไงชอบกล จะถูกแกล้งไหมกู?
“ว่าแต่มึงชื่ออะไร?” พี่อีกคนถาม
“เปอร์ครับ...คูเปอร์” ผมตอบ พวกพี่มันพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะบอกชื่อบ้างทำให้ผมรู้ว่าไอ้พี่ดำชื่อไทส่วนพี่หล่ออีกคนชื่อขลุ่ย ไอ้พี่ไทน่ะไม่ใช่ว่าไม่หล่อนะครับ แต่ดูพี่มันทำตัวสิ ตัดสกินเฮดไว้เคราแถมยังชอบทำหน้าโหดอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าเวลายิ้มหน้าพี่มันจะดูรั่วๆ ก็เหอะแต่อย่างไรผมก็แอบหวั่นๆ อยู่ดี ผมกลัวพี่มันเป็นคนนิสัยเลวร้ายที่ชอบแกล้งเด็กใหม่จริงๆ
และก็เป็นดังคาดเมื่อไอ้สามซี้คู่หูนั่นบังคับให้ผมกินเหล้าที่ตัวเองผลัดกันชงซึ่งมันเข้มมาก คนที่ดูจะมีความปรานีหน่อยนี่คงจะเป็นพี่ขลุ่ยเพราะพี่มันสงสารผมจึงชงเหล้าอ่อนๆ ให้ ผมต้องกินเหล้าเข้มสลับอ่อนไปมาจนเริ่มมึน ผมชอบกินเหล้าก็จริงแต่ให้กินแบบกล้ำกลืนมันก็ไม่ไหวนะครับ
“เฮ้ยพวกมึง หยุดมอมเหล้าน้องกูได้แล้วมั้ง” เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังผมจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นไอ้พี่ถังกับพี่เคย์ที่เดินมาช่วยผมเอาไว้ พวกมึงมาช้าไปปะวะ? กูแดกจนมึนจนเห็นดาวหมุนวิ้งๆ อยู่บนหัวแล้วเนี่ย
ตอนที่มาร้านเหล้าไอ้พี่ถังกับพี่เคย์ก็มาด้วย พี่ถังน่ะถูกรุ่นน้องลากมาส่วนพี่เคย์ก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ลุกซ์เพียงแต่เรียนคนละคณะ ถึงพวกพี่มันจะมาที่นี่เพื่อดูแลผมไปด้วยแต่พวกพี่มันก็ถูกดึงตัวเอาไว้จนต้องนั่งแยกโต๊ะกับผม ผมน่ะได้มานั่งร่วมโต๊ะกับพี่ลันขลุ่ยเสือโดยมีสาวๆ นมอึ๋มมาให้ลวนลามเป็นระยะๆ สาวๆ พวกนั้นส่วนมากจะเป็นเด็กพี่ลัน เห็นนิ่งๆ แบบนี้แต่ดูเจ้าชู้ไม่หยอกเลยแฮะต่างจากไอ้พี่ขลุ่ยที่ท่าทางเจ้าชู้แต่กลับไม่ได้เล่นหูเล่นตากับสาวเท่าที่ควร ส่วนพี่ไทอย่าพูดถึง ถึงจะเป็นเด็กของเพื่อนพี่มันก็เอาครับ
“หือ? ไอ้นี่เป็นน้องพี่ถังเหรอครับ?” ไอ้พี่ไทชี้มาที่ผม
“เออสิ เดี๋ยวกูเอามันไปนั่งด้วยละกัน เกิดมันเมาอ้วกแตกขึ้นมาจะลำบากพวกมึงซะเปล่าๆ” ไอ้พี่ถังพูดผมจึงลุกขึ้นเดินเซๆ ไปหาพี่มันโดยอัตโนมัติ ผมฟุบหน้าลงที่ไหล่หนาก่อนจะทิ้งน้ำหนักไปหาพี่มันจนพี่มันต้องยกมือขึ้นพยุงผมเอาไว้
พี่ถังกับพี่เคย์พาผมมานั่งที่โต๊ะของพวกพี่มันที่มีคนไม่เยอะอย่างที่คิดไว้แต่มีคนแวะมาชนแก้วกันเยอะพอสมควร ที่โต๊ะนี้มีแค่พี่ถังกับทีมติวเตอร์อีกสี่คนที่ผมคุ้นหน้ากันดีและพี่เคย์ ผมนั่งโซฟาเดียวกันกับพี่เคย์เพราะพี่ถังมันนั่งโซฟาตัวเดี่ยวที่มีที่ว่างสำหรับคนเดียวเท่านั้น ผมหลับตาเอนตัวพิงไหล่พี่เคย์เพราะผมไม่สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวเอง
ปกติผมไม่ชอบอ้อนใครแต่พอมาเจอกับพี่ลุกซ์ผมก็รู้สึกอยากอ้อนทันที ไม่ได้อยากอ้อนพี่ลุกซ์แต่อยากอ้อนพี่ชายเพราะผมอยากจะมีที่พึ่งพิง ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“พี่เคย์...อยากกินเหล้า” ผมพูดเสียงยานคางพลางยื่นมือออกไปหวังจะเอาแก้วเหล้าที่จ่ออยู่ที่ปากบางสีส้มๆ นั่นทั้งๆ ที่หน้าของผมยังซบอยู่ที่ไหล่แกร่ง
“เมาแล้วนะเราน่ะ” พี่เคย์พูดก่อนจะเบี่ยงแก้วเหล้าไปในทิศที่ผมเอื้อมไม่ถึง
ร่างสูงโปร่งเอนตัวซบไหล่แกร่งก่อนจะเอ่ยปากขอเหล้าพลางพยายามตะเกียกตะกายจะเอาแก้วเหล้าในมือหนาทำให้เจ้าของมือต้องเบี่ยงแก้วเหล้าหลบ
“ไม่มาววว” ร่างโปร่งเบียดตัวไซร้หนุ่มนายแบบที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างออดอ้อนโดยที่ตัวเองคงไม่รู้เลยว่าหน้าแดงๆ นั่นทำให้คนเดินแวะเวียนมาอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง
“อย่าดื้อน่า” เคย์ยกแขนขึ้นล็อคคอเพรียวไว้เพื่อไม่ให้ร่างโปร่งดิ้นไปมา
“เคย์ มึงมานั่งนี่ เดี๋ยวกูจัดการเอง” ถังพูดเมื่อเห็นว่าน้องชายเริ่มจะไปกันใหญ่ หลังจากที่รู้ว่าน้องตัวเองเคยมีอะไรกับลุกซ์มาก่อนเขาก็เริ่มไม่อยากให้น้องใกล้ชิดผู้ชายเพราะกลัวว่าความน่ารักของน้องจะทำให้พวกผู้ชายคิดอะไรไม่ดีด้วย แม้จะไว้ใจเคย์มากแต่ก็กลัวเพราะขนาดลุกซ์ที่เป็นรุ่นน้องคนโปรดยังกล้าทำกับน้องที่เขารักมากได้
“เปอร์ ถ้าดื้อมากเดี๋ยวพี่ถังดุนะ” เคย์พูดดุๆ ก่อนจะดันร่างเปอร์ให้พิงกับพนักพิงเพื่อจะลุกให้ถังมานั่งแทนที่แต่เปอร์ดันไม่ยอมนั่งดีๆ แล้วเอนตัวลงนอนซบตักแกร่ง เคย์อ้าปากค้างอย่างตะลึงก่อนจะหัวเราะออกมาขำๆ กับท่าทางของเปอร์ ถังเองก็ยิ้มออกมา ถึงเปอร์จะสร้างปัญหามาให้เขาตลอดแต่เด็กคนนี้ก็ทำให้เขามีความสุข ชีวิตของเขามีสีสันขึ้นก็เพราะน้องชายจอมป่วนอย่างเปอร์นี่แหละ
ปึก!
เสียงแก้วเหล้ากระแทกลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีทำให้คนที่ยิ้มอยู่หันไปมองอย่างสงสัย เป็นลุกซ์นั่นเองที่เป็นคนทำลายบรรยากาศที่ดูอบอุ่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจนจนคนร่วมโต๊ะนั่งเงียบ
“ไปสูบบุหรี่” ลุกซ์พูดเสียงเรียบผิดกับหน้าตาที่ยุ่งเหยิงก่อนจะลุกเดินออกไปนอกร้าน
“อะไรของมัน? สูบในร้านก็ได้นี่หว่า” กีร์เพื่อนผู้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลุกซ์และเปอร์พูดออกมาอย่างงงๆ
เคย์กับถังมองหน้ากันเหมือนจะถามแต่ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าลุกซ์เป็นอะไรจึงได้แต่ส่ายหน้า
ลุกซ์กลับเข้ามานั่งที่โต๊ะโดยมีสาวสวยอวบอัดนุ่งน้อยห่มน้อยควงแขนเข้ามาด้วย พวกเพื่อนๆ ต่างก็ส่ายหน้าอย่างระอากับความมักมากของเพื่อน ไม่รู้ว่ามันมีความต้องการทางเพศมากแค่ไหนแต่เท่าที่เห็นมันแทบไม่เคยขาดผู้หญิงข้างกาย
“มึงไปสูบบุหรี่ท่าไหนวะเนี่ย” เคย์ถามพลางขมวดคิ้วนิดๆ ระหว่างที่ลุกซ์ไปสูบบุหรี่ข้างนอกเปอร์ก็เริ่มสร่างเมานิดๆ หลังจากได้เข้าห้องน้ำและตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังนั่งมองหน้าลุกซ์นิ่งๆ เหมือนคนเหม่อ สักพักปากที่แดงสดก็เม้มเข้าหากัน หางคิ้วลู่ลงเหมือนกำลังเศร้า
“ฮึ!” ลุกซ์กระตุกยิ้มนิดๆ ไม่ตอบคำถามของเคย์ก่อนขายาวๆ จะขยับยกขึ้นไขว้กันพร้อมกับแผ่นหลังกว้างที่แนบลงกับพนักพิง
เคย์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผ่านไปสักพักร่างโปร่งบางข้างๆ ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินเซๆ ไปที่นั่งฝั่งของลุกซ์
“ลุกออกไปเด๊ะ!” มือเรียวดึงข้อมือของหญิงสาวที่กำลังนัวเนียกับลุกซ์โดยไม่สนใจรอบข้างก่อนจะออกแรงฉุดให้เจ้าหล่อนลุกออกไป
“อ๊าย! อะไรกันเนี่ย!?!” หญิงสาวตวาดอย่างไม่พอใจที่ถูกกระชากให้ออกห่างจากชายหนุ่มรูปหล่อที่หล่อนหวังจะนอนด้วย
“อะไรเจ๊! คนนี้ของกูโว้ย!” เปอร์พูดออกมาจากจิตใต้สำนึกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวพลางเดินไปนั่งลงบนตักของลุกซ์พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบคอร่างสูง หญิงสาวกรีดร้องอย่างเจ็บใจก่อนจะเดินกระแทกส้นจากไปอย่างโมโห
ลุกซ์มองตามหญิงสาวไปก่อนจะหันกลับมามองหน้าแดงก่ำที่แสนจะเชิญชวนของคนบนตัก เขาทำหน้ายุ่งก่อนจะผลักร่างโปร่งบางออกให้ห่างจากกายตัวเองอย่างไม่แยแสจนร่างนั้นเซล้มลงกองกับพื้นและฟุบหมอบอยู่อย่างนั้นเพราะลุกขึ้นมาไม่ไหว ถังที่อยู่ใกล้ๆ รีบลุกไปพยุงน้องของตัวเองทันทีก่อนจะหันไปมองหน้ารุ่นน้องอย่างไม่ชอบใจ
“ทำไมมึงต้องรุนแรงกับไอ้เปอร์ด้วยวะ!?” ถังกอดน้องชายที่ตัวสั่นสะท้านไว้แนบอก ถึงจะเมามายจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่เปอร์ก็รับรู้ได้ถึงความใจร้ายของคนที่ตัวเองรักอย่างหมดใจ
“มันดื้อดึง ถ้าใจดีด้วยก็จะได้ใจ” ลุกซ์พูดนิ่งๆ ถึงจะเกรงใจถังมากแต่ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จะให้เขาใจดีด้วยน่ะหรือ? อย่าหวังเลยจะดีกว่า เขารู้ว่าถ้าใจดีด้วยไอ้เด็กนี่ก็จะมาสร้างความรำคาญให้เขาตลอดเวลาแน่ๆ ขนาดใจร้ายใจดำใส่ขนาดนั้นยังจะทนอยู่ได้
“ตอนนี้น้องกูพยายามตัดใจ เป็นไปได้มึงอย่ามาให้มันเห็นหน้าเลยจะดีกว่า ตอนนี้มันอาจจะยังรักมึงอยู่แต่ต่อไปมันจะต้องหาคนที่ดีกับมันได้แน่ๆ” ถังพูดอย่างเคืองๆ ก่อนจะพาน้องเดินออกไปนอกร้าน เคย์มองตามอยากจะออกไปด้วยแต่ติดตรงที่ต้องสั่งสอนเพื่อนหัวดื้อเสียก่อน
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงทำร้ายเปอร์เพราะอะไรแต่มึงหยุดได้ไหม? แค่นี้น้องมันก็เจ็บและเข็ดหลาบกับการไปตกหลุมรักคนใจร้ายอย่างมึงแล้ว ทุกครั้งที่เห็นหน้ามึงเปอร์มันฝืนยิ้มมากแค่ไหนมึงรู้บ้างหรือเปล่า?” เคย์จ้องหน้าลุกซ์นิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจ ปกติเขากับลุกซ์จะสนิทกันมากแค่มองตากันก็รู้ว่าคิดอะไรแต่ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย ลุกซ์เป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องลำบากใจทุกอย่างไว้กับตัวเองไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เขาจะเก็บความอ่อนแอเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกของจิตใจเพื่อที่จะสามารถดูแลน้องๆ และตัวเองไปให้ถึงที่สุด
“กูเกลียดรอยยิ้มเสแสร้งของมัน ที่สำคัญ...กูไม่ได้ชอบผู้ชาย” ลุกซ์พูดเสียงแข็ง เคย์ถอนหายใจยาว
“มีผู้ชายมาอ่อยมึงตั้งเยอะแต่กูไม่เคยเห็นมึงทำเลวใส่ขนาดนี้นี่หว่า” เคย์กุมขมับ ในเวลานี้เขาไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของลุกซ์ได้เลยจริงๆ โครงสร้างความคิดของไอ้หมอนี่มันเป็นอย่างไรกันแน่นะ คิดว่าเข้าใจแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
“พวกนั้นน่ะแค่ถูกกูด่าครั้งเดียวก็เตลิดหนีไปแล้วส่วนไอ้เด็กนี่มันดื้อด้าน ถ้าไม่ทำให้หลาบจำก็ไม่สำนึก และคนอย่างกูก็ไม่คิดจะมีความรัก” ลุกซ์พูดเสียงเย็น สิ่งที่ทำให้ลุกซ์เป็นคนเย็นชาขนาดนี้ก็คงไม่พ้นความกดดันของพ่อที่มีต่อเขา
ดูเหมือนลุกซ์จะเข้ากันได้ดีกับพ่อแต่ที่จริงไม่ใช่เลยสักนิด เขาถูกพ่อบังคับให้ทำนั่นทำนี่มาตั้งแต่เด็กโดยที่เขาไม่สามารถขัดได้ อยากจะทำอะไรอยากจะเป็นอะไรเขาก็ไม่สามารถทำหรือเป็นได้หากพ่อไม่ต้องการ ลุกซ์เป็นลูกคนแรกทำให้พ่อเข้มงวดกับเขามากเป็นพิเศษ เขาเกิดมาตัวคนเดียวจนกระทั่งมีน้องน่ารักๆ ทั้งสองมาเป็นกำลังใจให้สู้กับความกดดันต่อไป เพราะต้องเก็บกดมาตลอดตั้งแต่เด็กลุกซ์จึงเป็นคนที่ชอบคิดอะไรคนเดียวและเป็นคนเด็ดขาด ถึงภายนอกจะดูโหดบ้างร่าเริงบ้างผิดกับลันที่ดูเย็นชาแต่ความเย็นชาไร้ความปรานีในใจนั้นลันเทียบพี่ชายไม่ได้เลย
ลุกซ์นับถือลันมากที่ลันมีความกล้าที่จะต่อต้านพ่อและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการซึ่งลุกซ์ทำอย่างลันไม่ได้ เขาเป็นลูกคนโต ภาระหน้าที่ทุกอย่างตกอยู่ที่เขาทั้งหมด น้องทะเลาะกับพ่อเขาก็มักจะไปเคลียร์กับพ่อให้แม้จะเกรงใจไม่กล้าเถียงพ่อก็ตาม พ่อโมโหน้องๆ มาคนที่คอยรับอารมณ์ของพ่อก็มีเพียงลุกซ์เท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวของลุกซ์เอง
“ความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะเว้ย ถ้ามึงได้รักใครสักคนเข้าจริงๆ มึงก็จะเข้าใจ” เคย์พูดพลางจ้องหน้าลุกซ์ตรงๆ ถ้าลุกซ์รักเปอร์บ้างมันอาจจะทำให้ลุกซ์รู้จักลดกำแพงที่ปิดกั้นใจลง
“กูไม่อยากเข้าใจ” ลุกซ์แสยะปาก รู้สึกเลี่ยนกับคำพูดน้ำเน่าที่ไม่ว่าละครเรื่องไหนๆ ก็มีให้เห็นกันมากมายโดยเฉพาะละครที่พระเอกเลว แต่เขาไม่ใช่พระเอก...ความรักที่ฉาบฉวยมันไม่มีจริงในโลกของเขา
“พวกมึงพูดเรื่องอะไรกันอยู่วะเนี่ย? กูแม่งงง คนหนึ่งก็ศิลปินจ๋า อีกคนก็แม่งไม่รับรู้ห่าอะไร ฮู้!” กีร์ที่นั่งมองอยู่นานแล้วพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนนั่งจ้องหน้ากัน
“เออน่า แล้วนี่ไอ้สองตัวนั้นมันไปไหนแล้วล่ะ?” เคย์บอกปัดๆ ก่อนจะหันไปมองหาเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนที่เคยนั่งร่วมโต๊ะ
“กลับไปตั้งแต่พวกมึงจ้องตากันแล้วโว้ย!” กีร์โวย
“งั้นเราก็กลับกันบ้างดีกว่า กูชักจะง่วง” ลุกซ์สะบัดศีรษะนิดๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เออ เดี๋ยวกูไปสอยเหยื่อก่อนค่อยกลับ พวกมึงกลับไปก่อนเลย” กีร์พูดก่อนจะยิ้มหวาน
“ไอ้หื่น เดี๋ยวเอดส์ก็แดกหรอกมึง” เคย์ตบหัวเพื่อนที่ยิ้มแป้นแล้นอย่างหมั่นไส้
“เฮอะ! ไอ้กีร์มันเอาแค่ผู้หญิงแต่มึงเอาทั้งหญิงทั้งชาย น่าห่วงกว่าเยอะ” ลุกซ์หรี่ตามองเพื่อน เขาไม่ได้รังเกียจที่เคย์จะวางไข่เรี่ยราดไม่ว่ากับเพศไหนก็ตาม เขาเข้าใจความรู้สึกของความต้องการทางเพศ ไม่ว่าจะกับใครก็ได้ทั้งนั้นเพราะมันก็แค่คู่นอนคืนเดียว อีกอย่าง...เขาเองก็เคยนอนกับผู้ชายมาแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเป็นการข่มเหงน้ำใจของคนรองรับอารมณ์เสียมากกว่า
“ฮึๆ แล้วรู้ไหมว่าผู้ชายน่ะมันกว่าเยอะ อึดดี กูชอบ ฮ่าๆ” เคย์พูดพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์ทำให้กีร์ต้องรีบกระโดดไปหลบอยู่หลังลุกซ์พลางแกล้งทำท่าหวาดกลัวเคย์จึงยื่นขายาวๆ ไปเตะกีร์อย่างหมั่นไส้
ลุกซ์ยืนนิ่ง นึกถึงเจ้าคนอวดเก่งที่เสนอตัวให้เขาทั้งๆ ที่ตัวเองกลัวจนตัวสั่นระริก เขากระตุกยิ้มนิดๆ อย่างนึกสมเพชที่เด็กหนุ่มอวดดีคนนั้นหลงเขาจนยอมทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง กับคนแบบนั้นจะรักเขาจริงๆ น่ะหรือ ไม่มีทาง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมอยู่ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับไอ้พี่ถังได้ไม่นานพ่อก็โทรตามไปเก็บของเพื่อย้ายออกจากบ้านเนื่องจากผมขอออกไปอยู่ที่คอนโดใกล้ๆ มหาวิทยาลัยเพราะอยากจะหัดดูแลตัวเองดูสักครั้งซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกพ่อกับแม่ไม่ยอมอย่างเด็ดขาดแต่พอผมดื้อจะเอาให้ได้ในที่สุดทั้งสองก็ต้องตกลงและหาเช่าคอนโดให้ผมเนื่องจากคอนโดที่พ่อไปจองไว้หวังจะซื้อยังสร้างไม่เสร็จ
แต่คอนโดที่พ่อเช่าให้มันทำให้ผมไม่อยากอยู่เพราะมันเป็นคอนโดเดียวกับพี่ลุกซ์และห้องของผมดันอยู่ตรงข้ามกับห้องของพี่มันเสียอย่างนั้น ถ้าพี่มันรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ผมจะต้องถูกหาว่าตามพี่มันมาแน่ๆ แต่เสียใจนะที่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่พ่อก็จะให้กลับบ้าน เห็นว่าคนรู้จักแนะนำให้มาอยู่ที่นี่ก่อน
ตั้งแต่พ่อกับแม่มาส่งผมเข้าคอนโดพวกท่านก็บ่นไม่หยุด ทั้งดราม่าทั้งดุด่าเพราะไม่อยากให้ผมไปอยู่ไกลหูไกลตาแต่ที่จริงก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย อยากมาหาก็มาตอนไหนก็ได้นี่นา
หลังจากที่พ่อแม่กลับไปแล้วเจ้าของห้องตรงข้ามก็กลับมาผมจึงรีบผลุบเข้าไปในห้องของตัวเอง ภาพที่เห็นทำให้ผมปวดใจเมื่อพี่มันเดินเซๆ ไปที่ห้องโดยมีหญิงสาวรูปร่างอวบอัดน่าจับน่าไซร้พยุงตัวกลับมา ท่าทางพี่มันจะไปต่อกับสาวๆ หลังงานเลี้ยงไอ้พี่ถังสินะ
ผมถอนหายใจก่อนจะปิดประตูให้สนิท ผมเองก็เหนื่อยเพราะเพิ่งจัดของเสร็จก่อนพี่มันจะมาแป๊บเดียวเอง ผมไม่ควรจะคิดมากเรื่องพี่ลุกซ์อีกแล้วเพราะมันจะทำให้ผมจมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆ ผมว่าการที่ผมได้มาอยู่ใกล้ๆ พี่ลุกซ์มันอาจจะส่งผลดีต่อผมก็ได้เพราะมันจะทำให้หัวใจของผมด้านชาเพราะความเจ็บซ้ำๆ มันจะทำให้ผมรู้สึกชินไปเอง
พี่ถังกลับมาได้สองวันผมก็ต้องไปมหาวิทยาลัย พี่มันถูกพวกพี่ปีสามที่เป็นเจ้างานจัดงานรับน้องเชิญไปแนะแนวน้องใหม่อย่างพวกผมในฐานะรุ่นพี่ที่จบไปแล้วและประสบความสำเร็จจนได้งานดีๆ ทำและได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ
หลังจากที่หลายๆ คนให้โอวาทและเปิดงานรับน้องอย่างเป็นทางการแล้ว พวกน้องใหม่อย่างผมก็ถูกพี่สต๊าฟทั้งหลายพาไปเข้าฐานโดยแบ่งกลุ่มกันเพื่อไปด้วยกันและปิดตาจับมือกันเดินตามการชักจูงของพี่สต๊าฟอย่างระแวดระวังเพราะกลัวจะเจออะไรแปลกๆ เข้า
เนื่องจากตาถูกปิดเอาไว้ทำให้ผมไม่อาจจะรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเดินเข้าไปหานั้นคืออะไร พี่สต๊าฟบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ อย่างเช่นบอกให้คลานก็ต้องคลานทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะคลานทำไม กว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละฐานตัวผมก็ถูกชโลมไปด้วยน้ำหวานเหนียวๆ และดินโคลนที่ตัวเองมุดไปเกลือกกลิ้งเพราะเป็นคำสั่งของสต๊าฟและเราก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไอ้ผมก็อุตส่าห์ภาวนาให้พี่ถังมาช่วยไม่ให้ผมถูกแกล้งแต่ที่ไหนได้ไอ้พี่ถังนั่นแหละตัวดีวิ่งมาแกล้งผมซะทุกฐาน ผมรู้ได้จากเสียงของพี่มันนั่นแหละ เสียงแหบทุ้มๆ เป็นเอกลักษณ์แบบนั้นทำไมผมจะจำไม่ได้
เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายแก่ๆ พวกโหดๆ ก็ยิ่งออกมาว้ากใส่และนั่นทำให้ผมต้องเจอกับพี่ลุกซ์อย่างเสียไม่ได้เพราะพี่มันเป็นประธานปกครองปีสามและน่าแปลกตรงที่น้องชายของพี่ลุกซ์นั้นเป็นประธานปกครองปีสอง นี่กะจะโหดทั้งพี่ทั้งน้องหรือไง ไม่รู้ว่าผมคิดผิดหรือคิดถูกที่เคยรู้สึกว่าคนหน้านิ่งๆ อย่างพี่ลันน่าจะเป็นคนใจดี พอมาเจอโหมดว้ากเท่านั้นแหละผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ขั้นสุดท้ายของการรับน้องครั้งนี้ก็คือตามหาพี่รหัสโดยตามหาจากชื่อของคนคนนั้น ผมมองกระดาษที่เขียนชื่อพี่รหัสของผมก่อนจะถอนหายใจ ผมจะไปหาไอ้พี่ที่ชื่อรุจิกรจากไหนล่ะเนี่ย?
“ถัง...กูไม่รู้จักพี่รหัสว่ะ” ผมเดินไปหาไอ้พี่ถังที่นั่งคุยกับรุ่นน้องของตัวเองอย่างออกรสก่อนจะถาม ไอ้พี่ถังมันมานั่งรอผมตั้งแต่เช้าถึงเย็นเลยล่ะครับ แต่ถึงอยากกลับมันก็กลับไม่ได้อยู่ดีเพราะถูกรุ่นน้องดึงตัวเอาไว้ ท่าทางจะเป็นคนดังนะเนี่ยพี่ชายผม
“พวกมึง! ช่วยน้องกูหน่อย” ไอ้พี่ถังมองผมก่อนจะหันไปพูดกับน้องๆ ของตัวเองที่พร้อมใจกันหันมามองผมเป็นตาเดียว ถามว่าผมอายไหมที่ถูกสายตาหลายคู่มอง...ผมตอบได้อย่างชัดเจนครับว่าไม่อายเพราะผมหน้าด้านไง วะฮะฮ่า!
“ผมจำชื่อเด็กปีสองไม่ได้ซักคน” พี่ผู้ชายหน้าโหดคนหนึ่งพูดขึ้นทำให้เสียงของคนอื่นๆ ดังตามมาด้วยประโยคที่คล้ายคลึงกัน
“ไอ้ลุกซ์! มึงจำชื่อน้องๆ ได้ตั้งหลายคนไม่ใช่หรือไง ช่วยน้องเฮียหน่อยดิวะ” ประโยคของรุ่นพี่คนหนึ่งทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ให้ชัดๆ อีกครั้งก่อนที่พี่ลุกซ์ที่นอนราบอยู่บนม้านั่งตัวยาวจะลุกขึ้นนั่งทำให้ผมรู้ว่าพี่ลุกซ์เองก็อยู่รวมกับคนพวกนี้เหมือนกัน และคนที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างๆ ม้านั่งที่พี่ลุกซ์นอนนั้นก็คือพี่กีร์กับพี่บัมพ์ที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ลุกซ์กับพี่เคย์นั่นเอง ผมไม่ทันสังเกตเห็นคนพวกนี้เลยเพราะพวกเขานั่งหลบอยู่ที่มุมทำให้คนอื่นๆ นั่งบังเอาไว้
“ไม่ช่วย” พี่ลุกซ์ตอบนิ่งๆ ทำให้คนอื่นๆ หันไปมองพี่แกอย่างสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มรับกับคำตอบนั้น ผมไม่เสียใจที่พี่มันไม่ช่วยเพราะผมก็ไม่ได้คาดหวังไว้ตั้งแต่แรกว่าจะได้รับความเมตตาจากพี่มัน
“พี่รหัสชื่ออะไรล่ะ?” พี่กีร์ถามขึ้นพี่ลุกซ์จึงหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาเซ็งๆ
“รุจิกรครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม
พี่กีร์ชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะหันไปมองพี่ลุกซ์ซึ่งดูท่าทางพี่มันจะเซ็งหนักกว่าเดิม ทำไมล่ะ? หรือว่ารุจิกรคือชื่อของพี่ลุกซ์? แต่จะเป็นได้ไงเมื่อพี่รหัสของผมต้องอยู่ปีสองแต่พี่ลุกซ์น่ะอยู่ปีสามต่างหาก
“อยู่ในกลุ่มนั้นน่ะ ไปหาเองละกัน” ไอ้พี่กีร์มองซ้ายขวาหน้าหลังก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ที่มีผู้ชายตัวสูงๆ นั่งรวมกันอยู่ 3คนผมจึงรีบดิ่งเข้าไปหาพี่รหัสของตัวเองทันที
“ขอโทษนะครับ คือว่าพี่คนไหนชื่อรุจิกรเหรอครับ? ผมชื่อปริณเป็นน้องรหัส” ผมพูดพลางไล่มองหน้าคนสามคนในกลุ่มนั้น ตอนแรกผมมองเห็นแค่สองคนที่นั่งหันห้าเข้ามาหาผมแต่พอเสียงผมดังขึ้นคนที่นั่งหันหลังก็หันมาซึ่งนั่นทำให้ผมตกใจจนเผลอก้าวถอยหลัง
“กูเอง” ไอ้พี่ลันตอบหน้านิ่ง ผมยิ้ม รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยพี่รหัสของผมดูจะไม่ใช่คนเลวร้ายเหมือนพี่ชายของเขา
“ไง โชคร้ายหน่อยนะที่ได้ไอ้นี่เป็นพี่รหัส ฮ่าๆ” ผู้ชายตัวดำที่นั่งรวมอยู่กับคนขาวสองคนพูดขึ้น ผมมองหน้าพี่แกนิดๆ ก่อนจะยิ้มให้เพื่อเป็นการผูกมิตร ขืนทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมาผมอาจจะถูกผู้ชายหน้าโหดฉิบหายคนนี้ฆ่าหมกส้วมมหาลัยจนกลายเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญก็ได้
แต่พอมองหน้าเพื่อนอีกสองคนพี่ลันดีๆ ผมกลับรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา
“อ้า! กูจำได้แล้ว!” จู่ๆ ไอ้พี่หน้าหล่อเทียบเคียงพี่ลันแต่หล่อคนละแบบก็ตะโกนขึ้นมาก่อนจะชี้หน้าผมเหมือนกับนึกอะไรออก ผมชี้หน้าตัวเองก่อนจะยิ้มปัญญาอ่อนเพื่อเป็นการเร่งให้พี่มันพูดออกมาว่าพี่มันจำอะไรเกี่ยวกับผมได้ “ไอ้เด็กที่ไปช่วยมึงที่โกดังไง ใช่ป่ะ?” พี่คนเดิมหันไปถามพี่ลัน พี่ลันพยักหน้าหงึกหงัก ผมยิ้มแต้อย่างดีใจที่การกระทำโง่ๆ ของผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนอื่น
“อ๋อ ไอ้คนที่มาช่วยมึงแต่ถูกอัดซะเองน่ะเหรอ? กูก็มองๆ อยู่แต่เข้าไปช่วยไม่ได้เพราะรอบข้างกูศัตรูเยอะเกิ๊น” ไอ้พี่ดำพูด อ้อ...ผมคุ้นหน้าคุ้นตาพวกพี่มันจากเรื่องตอนอยู่ที่โกดังนั่นเอง
“มึงไปที่นั่นได้ไง?” ไอ้พี่ลันถามเสียงเย็นเหมือนกับสงสัยมานานว่าผมสลอนไปอยู่ที่นั่นได้ไง
“ผม...ไปกับพี่ชายพี่ครับ” ผมบอกก่อนจะยิ้มนิดๆ แต่อาจจะเป็นรอยยิ้มฝืนๆ เพราะเรื่องที่โกดังนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่สุด จะขับไสไล่ส่งผมอย่างไรผมพอทนแต่ปล่อยให้ผมถูกตำรวจจับทั้งๆ ที่รู้ว่าผมออกจากบ้านไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างแบบนั้นผมรับไม่ได้จริงๆ
“ชิ! มึงเป็นลูกน้องมันเหรอ? ถ้างั้นไม่ต้องมายุ่งกับกู” ไอ้พี่ลันทำหน้าอารมณ์เสียจนผมตกใจกลัว เวลาเห็นหน้าโมโหของพี่มันแล้วผมรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของผมมันกำลังถูกสูบออกจากร่าง ทำหน้าโมโหได้น่ากลัวฉิบหาย สมกับเป็นประธานปกครองปีสองจริงๆ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นลูกน้องของเขาหรอก ก็เป็นแค่...คนรู้จัก” ผมพูดยิ้มๆ ใช่...เป็นแค่คนรู้จักเท่านั้นเพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ลุกซ์เลยนอกจากความใจร้ายใจดำและพี่ลุกซ์เองก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมนอกเลยนอกจากความหน้าด้านหน้าทนเหมือนกัน ใช่แล้วเปอร์...กับคนที่ไม่รู้จักมึงรู้สึกรักได้ไง?
“ก็ดี รู้ไว้ซะว่ากูกับมันไม่ถูกกัน” ไอ้พี่ลันกดเสียงให้ต่ำลงจนผมหนาวสะท้าน
“คระ...ครับ” ผมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ผมพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องคู่นี้เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ที่เขาทะเลาะกันขั้นรุนแรง ตอนนั้นสีหน้าของพี่ลันมันดูแย่มาก เหมือนคนที่ถูกหักหลังซ้ำร้ายคนที่หักหลังกลับเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมา
ขนาดกับน้องแท้ๆ ที่พี่ลุกซ์รักยังทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วกับคนที่ไม่รู้จักแถมยังเกลียดอย่างผมพี่มันจะทำถึงขนาดไหน แค่ระหว่างที่ผมอยู่กับพี่มันผมก็แทบตาย ถ้ายิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกันผมคงจะยิ่งเจ็บหนักมากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้วไง ผมอาจจะยังรักพี่มันอยู่แต่ผมคงไม่หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บกายเจ็บใจอีกแล้วล่ะ ผมเหนื่อย
พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองโง่จนยอมให้พี่ลุกซ์ทำร้ายผมก็เผลอกำมือแน่น แผลเป็นที่มือข้างขวาเป็นเครื่องเตือนใจให้ผมไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อีก แผลเป็นนี้ทำให้มือข้างขวาของผมขยับไม่ได้ดั่งใจเหมือนเคยเพราะมันไม่ได้รับการรักษาอย่างดีเท่าที่ควร เวลาต้องเขียนหรือจดอะไรก็ตามผมจะเขียนได้ช้าลงมากเพราะมันรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่
“งั้นวันนี้ผมกลับได้แล้วใช่ไหมครับ?” ผมถาม
“ยัง คืนนี้มีนัดเลี้ยงเหล้าที่ร้านหลังมอ มึงเป็นน้องของประธานปกครองปีสอง มันเป็นมารยาทที่จะต้องไป” ไอ้พี่ดำพูด ผมขมวดคิ้ว ดูจากหน้ากวนตีนๆ ของเพื่อนทั้งสองคนของพี่ลันแล้วผมรู้สึกหวั่นๆ ยังไงชอบกล จะถูกแกล้งไหมกู?
“ว่าแต่มึงชื่ออะไร?” พี่อีกคนถาม
“เปอร์ครับ...คูเปอร์” ผมตอบ พวกพี่มันพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะบอกชื่อบ้างทำให้ผมรู้ว่าไอ้พี่ดำชื่อไทส่วนพี่หล่ออีกคนชื่อขลุ่ย ไอ้พี่ไทน่ะไม่ใช่ว่าไม่หล่อนะครับ แต่ดูพี่มันทำตัวสิ ตัดสกินเฮดไว้เคราแถมยังชอบทำหน้าโหดอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าเวลายิ้มหน้าพี่มันจะดูรั่วๆ ก็เหอะแต่อย่างไรผมก็แอบหวั่นๆ อยู่ดี ผมกลัวพี่มันเป็นคนนิสัยเลวร้ายที่ชอบแกล้งเด็กใหม่จริงๆ
และก็เป็นดังคาดเมื่อไอ้สามซี้คู่หูนั่นบังคับให้ผมกินเหล้าที่ตัวเองผลัดกันชงซึ่งมันเข้มมาก คนที่ดูจะมีความปรานีหน่อยนี่คงจะเป็นพี่ขลุ่ยเพราะพี่มันสงสารผมจึงชงเหล้าอ่อนๆ ให้ ผมต้องกินเหล้าเข้มสลับอ่อนไปมาจนเริ่มมึน ผมชอบกินเหล้าก็จริงแต่ให้กินแบบกล้ำกลืนมันก็ไม่ไหวนะครับ
“เฮ้ยพวกมึง หยุดมอมเหล้าน้องกูได้แล้วมั้ง” เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังผมจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นไอ้พี่ถังกับพี่เคย์ที่เดินมาช่วยผมเอาไว้ พวกมึงมาช้าไปปะวะ? กูแดกจนมึนจนเห็นดาวหมุนวิ้งๆ อยู่บนหัวแล้วเนี่ย
ตอนที่มาร้านเหล้าไอ้พี่ถังกับพี่เคย์ก็มาด้วย พี่ถังน่ะถูกรุ่นน้องลากมาส่วนพี่เคย์ก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ลุกซ์เพียงแต่เรียนคนละคณะ ถึงพวกพี่มันจะมาที่นี่เพื่อดูแลผมไปด้วยแต่พวกพี่มันก็ถูกดึงตัวเอาไว้จนต้องนั่งแยกโต๊ะกับผม ผมน่ะได้มานั่งร่วมโต๊ะกับพี่ลันขลุ่ยเสือโดยมีสาวๆ นมอึ๋มมาให้ลวนลามเป็นระยะๆ สาวๆ พวกนั้นส่วนมากจะเป็นเด็กพี่ลัน เห็นนิ่งๆ แบบนี้แต่ดูเจ้าชู้ไม่หยอกเลยแฮะต่างจากไอ้พี่ขลุ่ยที่ท่าทางเจ้าชู้แต่กลับไม่ได้เล่นหูเล่นตากับสาวเท่าที่ควร ส่วนพี่ไทอย่าพูดถึง ถึงจะเป็นเด็กของเพื่อนพี่มันก็เอาครับ
“หือ? ไอ้นี่เป็นน้องพี่ถังเหรอครับ?” ไอ้พี่ไทชี้มาที่ผม
“เออสิ เดี๋ยวกูเอามันไปนั่งด้วยละกัน เกิดมันเมาอ้วกแตกขึ้นมาจะลำบากพวกมึงซะเปล่าๆ” ไอ้พี่ถังพูดผมจึงลุกขึ้นเดินเซๆ ไปหาพี่มันโดยอัตโนมัติ ผมฟุบหน้าลงที่ไหล่หนาก่อนจะทิ้งน้ำหนักไปหาพี่มันจนพี่มันต้องยกมือขึ้นพยุงผมเอาไว้
พี่ถังกับพี่เคย์พาผมมานั่งที่โต๊ะของพวกพี่มันที่มีคนไม่เยอะอย่างที่คิดไว้แต่มีคนแวะมาชนแก้วกันเยอะพอสมควร ที่โต๊ะนี้มีแค่พี่ถังกับทีมติวเตอร์อีกสี่คนที่ผมคุ้นหน้ากันดีและพี่เคย์ ผมนั่งโซฟาเดียวกันกับพี่เคย์เพราะพี่ถังมันนั่งโซฟาตัวเดี่ยวที่มีที่ว่างสำหรับคนเดียวเท่านั้น ผมหลับตาเอนตัวพิงไหล่พี่เคย์เพราะผมไม่สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวเอง
ปกติผมไม่ชอบอ้อนใครแต่พอมาเจอกับพี่ลุกซ์ผมก็รู้สึกอยากอ้อนทันที ไม่ได้อยากอ้อนพี่ลุกซ์แต่อยากอ้อนพี่ชายเพราะผมอยากจะมีที่พึ่งพิง ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“พี่เคย์...อยากกินเหล้า” ผมพูดเสียงยานคางพลางยื่นมือออกไปหวังจะเอาแก้วเหล้าที่จ่ออยู่ที่ปากบางสีส้มๆ นั่นทั้งๆ ที่หน้าของผมยังซบอยู่ที่ไหล่แกร่ง
“เมาแล้วนะเราน่ะ” พี่เคย์พูดก่อนจะเบี่ยงแก้วเหล้าไปในทิศที่ผมเอื้อมไม่ถึง
ร่างสูงโปร่งเอนตัวซบไหล่แกร่งก่อนจะเอ่ยปากขอเหล้าพลางพยายามตะเกียกตะกายจะเอาแก้วเหล้าในมือหนาทำให้เจ้าของมือต้องเบี่ยงแก้วเหล้าหลบ
“ไม่มาววว” ร่างโปร่งเบียดตัวไซร้หนุ่มนายแบบที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างออดอ้อนโดยที่ตัวเองคงไม่รู้เลยว่าหน้าแดงๆ นั่นทำให้คนเดินแวะเวียนมาอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง
“อย่าดื้อน่า” เคย์ยกแขนขึ้นล็อคคอเพรียวไว้เพื่อไม่ให้ร่างโปร่งดิ้นไปมา
“เคย์ มึงมานั่งนี่ เดี๋ยวกูจัดการเอง” ถังพูดเมื่อเห็นว่าน้องชายเริ่มจะไปกันใหญ่ หลังจากที่รู้ว่าน้องตัวเองเคยมีอะไรกับลุกซ์มาก่อนเขาก็เริ่มไม่อยากให้น้องใกล้ชิดผู้ชายเพราะกลัวว่าความน่ารักของน้องจะทำให้พวกผู้ชายคิดอะไรไม่ดีด้วย แม้จะไว้ใจเคย์มากแต่ก็กลัวเพราะขนาดลุกซ์ที่เป็นรุ่นน้องคนโปรดยังกล้าทำกับน้องที่เขารักมากได้
“เปอร์ ถ้าดื้อมากเดี๋ยวพี่ถังดุนะ” เคย์พูดดุๆ ก่อนจะดันร่างเปอร์ให้พิงกับพนักพิงเพื่อจะลุกให้ถังมานั่งแทนที่แต่เปอร์ดันไม่ยอมนั่งดีๆ แล้วเอนตัวลงนอนซบตักแกร่ง เคย์อ้าปากค้างอย่างตะลึงก่อนจะหัวเราะออกมาขำๆ กับท่าทางของเปอร์ ถังเองก็ยิ้มออกมา ถึงเปอร์จะสร้างปัญหามาให้เขาตลอดแต่เด็กคนนี้ก็ทำให้เขามีความสุข ชีวิตของเขามีสีสันขึ้นก็เพราะน้องชายจอมป่วนอย่างเปอร์นี่แหละ
ปึก!
เสียงแก้วเหล้ากระแทกลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีทำให้คนที่ยิ้มอยู่หันไปมองอย่างสงสัย เป็นลุกซ์นั่นเองที่เป็นคนทำลายบรรยากาศที่ดูอบอุ่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจนจนคนร่วมโต๊ะนั่งเงียบ
“ไปสูบบุหรี่” ลุกซ์พูดเสียงเรียบผิดกับหน้าตาที่ยุ่งเหยิงก่อนจะลุกเดินออกไปนอกร้าน
“อะไรของมัน? สูบในร้านก็ได้นี่หว่า” กีร์เพื่อนผู้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลุกซ์และเปอร์พูดออกมาอย่างงงๆ
เคย์กับถังมองหน้ากันเหมือนจะถามแต่ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าลุกซ์เป็นอะไรจึงได้แต่ส่ายหน้า
ลุกซ์กลับเข้ามานั่งที่โต๊ะโดยมีสาวสวยอวบอัดนุ่งน้อยห่มน้อยควงแขนเข้ามาด้วย พวกเพื่อนๆ ต่างก็ส่ายหน้าอย่างระอากับความมักมากของเพื่อน ไม่รู้ว่ามันมีความต้องการทางเพศมากแค่ไหนแต่เท่าที่เห็นมันแทบไม่เคยขาดผู้หญิงข้างกาย
“มึงไปสูบบุหรี่ท่าไหนวะเนี่ย” เคย์ถามพลางขมวดคิ้วนิดๆ ระหว่างที่ลุกซ์ไปสูบบุหรี่ข้างนอกเปอร์ก็เริ่มสร่างเมานิดๆ หลังจากได้เข้าห้องน้ำและตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังนั่งมองหน้าลุกซ์นิ่งๆ เหมือนคนเหม่อ สักพักปากที่แดงสดก็เม้มเข้าหากัน หางคิ้วลู่ลงเหมือนกำลังเศร้า
“ฮึ!” ลุกซ์กระตุกยิ้มนิดๆ ไม่ตอบคำถามของเคย์ก่อนขายาวๆ จะขยับยกขึ้นไขว้กันพร้อมกับแผ่นหลังกว้างที่แนบลงกับพนักพิง
เคย์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผ่านไปสักพักร่างโปร่งบางข้างๆ ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินเซๆ ไปที่นั่งฝั่งของลุกซ์
“ลุกออกไปเด๊ะ!” มือเรียวดึงข้อมือของหญิงสาวที่กำลังนัวเนียกับลุกซ์โดยไม่สนใจรอบข้างก่อนจะออกแรงฉุดให้เจ้าหล่อนลุกออกไป
“อ๊าย! อะไรกันเนี่ย!?!” หญิงสาวตวาดอย่างไม่พอใจที่ถูกกระชากให้ออกห่างจากชายหนุ่มรูปหล่อที่หล่อนหวังจะนอนด้วย
“อะไรเจ๊! คนนี้ของกูโว้ย!” เปอร์พูดออกมาจากจิตใต้สำนึกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวพลางเดินไปนั่งลงบนตักของลุกซ์พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบคอร่างสูง หญิงสาวกรีดร้องอย่างเจ็บใจก่อนจะเดินกระแทกส้นจากไปอย่างโมโห
ลุกซ์มองตามหญิงสาวไปก่อนจะหันกลับมามองหน้าแดงก่ำที่แสนจะเชิญชวนของคนบนตัก เขาทำหน้ายุ่งก่อนจะผลักร่างโปร่งบางออกให้ห่างจากกายตัวเองอย่างไม่แยแสจนร่างนั้นเซล้มลงกองกับพื้นและฟุบหมอบอยู่อย่างนั้นเพราะลุกขึ้นมาไม่ไหว ถังที่อยู่ใกล้ๆ รีบลุกไปพยุงน้องของตัวเองทันทีก่อนจะหันไปมองหน้ารุ่นน้องอย่างไม่ชอบใจ
“ทำไมมึงต้องรุนแรงกับไอ้เปอร์ด้วยวะ!?” ถังกอดน้องชายที่ตัวสั่นสะท้านไว้แนบอก ถึงจะเมามายจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่เปอร์ก็รับรู้ได้ถึงความใจร้ายของคนที่ตัวเองรักอย่างหมดใจ
“มันดื้อดึง ถ้าใจดีด้วยก็จะได้ใจ” ลุกซ์พูดนิ่งๆ ถึงจะเกรงใจถังมากแต่ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จะให้เขาใจดีด้วยน่ะหรือ? อย่าหวังเลยจะดีกว่า เขารู้ว่าถ้าใจดีด้วยไอ้เด็กนี่ก็จะมาสร้างความรำคาญให้เขาตลอดเวลาแน่ๆ ขนาดใจร้ายใจดำใส่ขนาดนั้นยังจะทนอยู่ได้
“ตอนนี้น้องกูพยายามตัดใจ เป็นไปได้มึงอย่ามาให้มันเห็นหน้าเลยจะดีกว่า ตอนนี้มันอาจจะยังรักมึงอยู่แต่ต่อไปมันจะต้องหาคนที่ดีกับมันได้แน่ๆ” ถังพูดอย่างเคืองๆ ก่อนจะพาน้องเดินออกไปนอกร้าน เคย์มองตามอยากจะออกไปด้วยแต่ติดตรงที่ต้องสั่งสอนเพื่อนหัวดื้อเสียก่อน
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงทำร้ายเปอร์เพราะอะไรแต่มึงหยุดได้ไหม? แค่นี้น้องมันก็เจ็บและเข็ดหลาบกับการไปตกหลุมรักคนใจร้ายอย่างมึงแล้ว ทุกครั้งที่เห็นหน้ามึงเปอร์มันฝืนยิ้มมากแค่ไหนมึงรู้บ้างหรือเปล่า?” เคย์จ้องหน้าลุกซ์นิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจ ปกติเขากับลุกซ์จะสนิทกันมากแค่มองตากันก็รู้ว่าคิดอะไรแต่ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย ลุกซ์เป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องลำบากใจทุกอย่างไว้กับตัวเองไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เขาจะเก็บความอ่อนแอเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกของจิตใจเพื่อที่จะสามารถดูแลน้องๆ และตัวเองไปให้ถึงที่สุด
“กูเกลียดรอยยิ้มเสแสร้งของมัน ที่สำคัญ...กูไม่ได้ชอบผู้ชาย” ลุกซ์พูดเสียงแข็ง เคย์ถอนหายใจยาว
“มีผู้ชายมาอ่อยมึงตั้งเยอะแต่กูไม่เคยเห็นมึงทำเลวใส่ขนาดนี้นี่หว่า” เคย์กุมขมับ ในเวลานี้เขาไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของลุกซ์ได้เลยจริงๆ โครงสร้างความคิดของไอ้หมอนี่มันเป็นอย่างไรกันแน่นะ คิดว่าเข้าใจแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
“พวกนั้นน่ะแค่ถูกกูด่าครั้งเดียวก็เตลิดหนีไปแล้วส่วนไอ้เด็กนี่มันดื้อด้าน ถ้าไม่ทำให้หลาบจำก็ไม่สำนึก และคนอย่างกูก็ไม่คิดจะมีความรัก” ลุกซ์พูดเสียงเย็น สิ่งที่ทำให้ลุกซ์เป็นคนเย็นชาขนาดนี้ก็คงไม่พ้นความกดดันของพ่อที่มีต่อเขา
ดูเหมือนลุกซ์จะเข้ากันได้ดีกับพ่อแต่ที่จริงไม่ใช่เลยสักนิด เขาถูกพ่อบังคับให้ทำนั่นทำนี่มาตั้งแต่เด็กโดยที่เขาไม่สามารถขัดได้ อยากจะทำอะไรอยากจะเป็นอะไรเขาก็ไม่สามารถทำหรือเป็นได้หากพ่อไม่ต้องการ ลุกซ์เป็นลูกคนแรกทำให้พ่อเข้มงวดกับเขามากเป็นพิเศษ เขาเกิดมาตัวคนเดียวจนกระทั่งมีน้องน่ารักๆ ทั้งสองมาเป็นกำลังใจให้สู้กับความกดดันต่อไป เพราะต้องเก็บกดมาตลอดตั้งแต่เด็กลุกซ์จึงเป็นคนที่ชอบคิดอะไรคนเดียวและเป็นคนเด็ดขาด ถึงภายนอกจะดูโหดบ้างร่าเริงบ้างผิดกับลันที่ดูเย็นชาแต่ความเย็นชาไร้ความปรานีในใจนั้นลันเทียบพี่ชายไม่ได้เลย
ลุกซ์นับถือลันมากที่ลันมีความกล้าที่จะต่อต้านพ่อและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการซึ่งลุกซ์ทำอย่างลันไม่ได้ เขาเป็นลูกคนโต ภาระหน้าที่ทุกอย่างตกอยู่ที่เขาทั้งหมด น้องทะเลาะกับพ่อเขาก็มักจะไปเคลียร์กับพ่อให้แม้จะเกรงใจไม่กล้าเถียงพ่อก็ตาม พ่อโมโหน้องๆ มาคนที่คอยรับอารมณ์ของพ่อก็มีเพียงลุกซ์เท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวของลุกซ์เอง
“ความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะเว้ย ถ้ามึงได้รักใครสักคนเข้าจริงๆ มึงก็จะเข้าใจ” เคย์พูดพลางจ้องหน้าลุกซ์ตรงๆ ถ้าลุกซ์รักเปอร์บ้างมันอาจจะทำให้ลุกซ์รู้จักลดกำแพงที่ปิดกั้นใจลง
“กูไม่อยากเข้าใจ” ลุกซ์แสยะปาก รู้สึกเลี่ยนกับคำพูดน้ำเน่าที่ไม่ว่าละครเรื่องไหนๆ ก็มีให้เห็นกันมากมายโดยเฉพาะละครที่พระเอกเลว แต่เขาไม่ใช่พระเอก...ความรักที่ฉาบฉวยมันไม่มีจริงในโลกของเขา
“พวกมึงพูดเรื่องอะไรกันอยู่วะเนี่ย? กูแม่งงง คนหนึ่งก็ศิลปินจ๋า อีกคนก็แม่งไม่รับรู้ห่าอะไร ฮู้!” กีร์ที่นั่งมองอยู่นานแล้วพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนนั่งจ้องหน้ากัน
“เออน่า แล้วนี่ไอ้สองตัวนั้นมันไปไหนแล้วล่ะ?” เคย์บอกปัดๆ ก่อนจะหันไปมองหาเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนที่เคยนั่งร่วมโต๊ะ
“กลับไปตั้งแต่พวกมึงจ้องตากันแล้วโว้ย!” กีร์โวย
“งั้นเราก็กลับกันบ้างดีกว่า กูชักจะง่วง” ลุกซ์สะบัดศีรษะนิดๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เออ เดี๋ยวกูไปสอยเหยื่อก่อนค่อยกลับ พวกมึงกลับไปก่อนเลย” กีร์พูดก่อนจะยิ้มหวาน
“ไอ้หื่น เดี๋ยวเอดส์ก็แดกหรอกมึง” เคย์ตบหัวเพื่อนที่ยิ้มแป้นแล้นอย่างหมั่นไส้
“เฮอะ! ไอ้กีร์มันเอาแค่ผู้หญิงแต่มึงเอาทั้งหญิงทั้งชาย น่าห่วงกว่าเยอะ” ลุกซ์หรี่ตามองเพื่อน เขาไม่ได้รังเกียจที่เคย์จะวางไข่เรี่ยราดไม่ว่ากับเพศไหนก็ตาม เขาเข้าใจความรู้สึกของความต้องการทางเพศ ไม่ว่าจะกับใครก็ได้ทั้งนั้นเพราะมันก็แค่คู่นอนคืนเดียว อีกอย่าง...เขาเองก็เคยนอนกับผู้ชายมาแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเป็นการข่มเหงน้ำใจของคนรองรับอารมณ์เสียมากกว่า
“ฮึๆ แล้วรู้ไหมว่าผู้ชายน่ะมันกว่าเยอะ อึดดี กูชอบ ฮ่าๆ” เคย์พูดพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์ทำให้กีร์ต้องรีบกระโดดไปหลบอยู่หลังลุกซ์พลางแกล้งทำท่าหวาดกลัวเคย์จึงยื่นขายาวๆ ไปเตะกีร์อย่างหมั่นไส้
ลุกซ์ยืนนิ่ง นึกถึงเจ้าคนอวดเก่งที่เสนอตัวให้เขาทั้งๆ ที่ตัวเองกลัวจนตัวสั่นระริก เขากระตุกยิ้มนิดๆ อย่างนึกสมเพชที่เด็กหนุ่มอวดดีคนนั้นหลงเขาจนยอมทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง กับคนแบบนั้นจะรักเขาจริงๆ น่ะหรือ ไม่มีทาง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ