Blood Darkness โลหิตรัตติกาล
6.7
เขียนโดย Organness
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.02 น.
3 chapter
1 วิจารณ์
6,559 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 18.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ค้างคาวสีน้ำเงิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"แสงอาทิตย์" ผมบ่นพึมพำเบาๆพร้อมกับถอนหายใจ ไม่มีอะไรน่าเกลียดไปกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้าของนิวยอร์ก หิมะปกคลุมทั้งบนฟุตบาท ยอดต้นไม้ หรือแม้แต่อาคารบ้านเรือนจนมีสีขาวโพลน แสดงถึงฤดูเหมันต์อันเหน็บหนาว แต่แสงแดดก็ยังเป็นมารชีวิตผมอยู่ดี ใจกลางแมนฮัตตันแทบจะเรียกได้ว่าร้างเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลคริตมาสต์ ผู้คนจำนวนไม่มากที่เดินไปมาในชุดสีหม่นแลดูหงอยเหงาและเศร้าสร้อย ร้านค้าหลายร้านปิดให้บริการ บางร้านยังคงเปิดอยู่ ไฟประดับและของตกแต่งมากมายทำให้ย่านการค้าเล็กๆกลับมามีสีสันขึ้นทันตา เสียงเพลงจิงเกอร์เบลหน้าร้านของเล่นดึงดูดให้เด็กบางคนตกเป็นเหยื่อ การเดินเล่นตอนเช้าสำหรับคนอย่างผมคงเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะสุขสบายสิ้นดี
"ผู้จัดการคะ"
เสียงหวานๆชวนเลี่ยนดังจากด้านหลังของผม ผมตกใจเล็กน้อยว่าเธอมาอยู่ตรงนี้เมื่อไหร่ แต่ยังคงเก็บอาการและเดินต่อไป หล่อนเรียกผมซ้ำหลายต่อหลายครั้งเพื่อแจ้งกำหนดการประชุมด่วนที่บริษัท ซึ่งผมหนีทุกครั้ง
ผมคิดว่าพ่อควรจะมอบตำแหน่งนี้ให้คนอื่น ผมไม่สนใจธุรกิจของพ่อแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่เรียนจบผมก็มีชีวิตอยู่ไปวันๆด้วยเงินที่ใช้จนวันตายก็ไม่หมด ผมเลี้ยวซ้ายเข้าป้อมตำรวจที่หัวมุมถนนและแจ้งความเธอข้อหาตามตื้อ นี่ผมใจร้ายกับคุณเลขาคนสวยมากไปไหม?
ชักหิวนิดหน่อยแล้วแฮะ ผมมองรอบตัวให้แน่ใจว่าไม่มีคน และหลับตาลงอย่างช้าๆ
"เรทัวร์ อา ลา เมซัน"
คาถากลับบ้าน...ใช้ชื่อนี้เรียกได้หรือเปล่า? ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศส ผมเพียงแต่คิดขึ้นมาเองเท่านั้น สมัยก่อนตอนผมอายุสี่ขวบเคยหลงทางกับแม่ ผมแค่คิดว่าอยากกลับบ้าน ประโยคนี้ก็ปรากฎขึ้นในหัว ผมพูดตามจากนั้นก็มาอยู่ที่บ้านตามปกติ จนถึงปัจจุบันผมก็ไม่เคยลืมคาถาบทนี้ แปลก...แต่จริง
แม่...ผมเคยมีแม่ใช่ไหม ใบหน้าของท่านช่างเลือนลางเหลือเกิน
ผมนึกถึงคฤหาสน์เลนอฟ นึกถึงมุมต่างๆของตัวบ้าน นึกถึงความสุขและความเศร้าที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ เมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาโผล่ที่หลังคาด้านหลัง ข้อเสียของคาถานี้คือมันควบคุมสถานที่แน่นอนไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่
ผมเกือบลื่นเพราะหิมะ ลมแรงๆเริ่มพัดมาราวกับจะเยาะเย้ย ต้นสนสีน้ำเงินซึ่งเป็นพันธุ์ไม้หลักในสวนเปลี่ยนเป็นสีขาว กิ่งสนกิ่งหนึ่งหักและตกใส่ศีรษะของใครบางคน ไม่ใช่เมดหรือพ่อบ้าน ใครอีกล่ะนั่น!
เสียงหัวเราะของเพื่อนผมดังมาแต่ไกล เขาหัวเราะตัวเองหรือผมกันแน่ "ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะ เวีย!" เขาหัวเราะร่าพลางใช้มือลูบเส้นผม สงสัยเขาคงหัวเราะเยาะผมแก้เขินตัวเองเรื่องกิ่งไม้กระแทก
"คงขึ้นมาจับนกกินล่ะมั้ง เจย์" ผมตอกกลับด้วยการเรียกชื่อเขาโดยใช้สำเนียงอังกฤษ ซึ่งแปลได้อีกความหมายว่าคนโง่ "ช่วยเรียกชื่อฉันให้มันถูกๆหน่อย"
"ครับๆ คุณชายเนียเวย์" เจย์พูดประชดประชันพลางค้อมศีรษะในขณะที่ผมโหนตัวเข้าหน้าต่างห้องใต้หลังคา
เสียงกระจกแตกทำให้พวกสาวใช้และพ่อบ้านพากันโวยวายยกใหญ่ แต่เมื่อรู้ว่าผมเป็นคนทำ พวกเขาก็ตักเตือนเล็กน้อยอย่างสุภาพและแยกย้ายไปทำหน้าที่ประจำของตน
ห้องนั่งเล่นและห้องอื่นๆของบ้านนี้ตกแต่งด้วยโทนสีหลักคือ ดำ แดง ทอง และขาว ซึ่งผมว่ามันดูเหมือนที่อยู่ของขุนนางโฉดในสมัยก่อนอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงชอบ แต่แขกที่มาบ้านผมส่วนใหญ่บ่นมากจนจับใจความไม่ทัน การนัดเจอลูกค้าใหญ่หรือการจัดเลี้ยงของทางบริษัทจึงย้ายไปจัดตามโรงแรมแทน
เจย์มองรอบๆพลางนั่งบนโซฟาประจำของผม "บ้านนี้สวยเหมือนเดิม" เขาออกความเห็น หมอนี่โรคจิตขึ้นทุกวันแล้วกระมัง ผมไล่ที่เขาโดยแลกกับคำพูดแสดงความไม่พอใจต่างๆนานา ผ่านไปสองสามนาทีแม่บ้านก็ยกขนมกับเครื่องดื่มมาให้ พวกเธอยังเห็นว่าผมเป็นเด็กแม้จะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
"ฉันมีอะไรให้นายดู" เพื่อนตัวแสบของผมเริ่มเปิดประเด็นที่เขามา
ห่อผ้าเล็กๆลายตารางหมากรุกถูกวางไว้บนโต๊ะ ผมคลี่ออกและพบกับ...
"ค้างคาว?" ผมถามจากสิ่งที่เห็น "นายไปเอามาจากไหน"
"สวนหลังบ้านนี้นั่นแหละ ก่อนที่ฉันจะเห็นนายขึ้นไปจับนกกินบนหลังคา" เจย์อมยิ้ม
ค้างคาวตัวน้อยนอนอ้าปากพะงาบๆบนผ้าสักหลาด เลือดสีแดงไหลตามแผลบนตัวหลายแห่ง อีกไปนานคงเป็นไปตามวัฏจักรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ และตาย
ผมเอาค้างคาววางบนหิมะใต้ต้นสนคริตมาสต์ทางด้านหลัง บริเวณข้างห้องเก็บของ มันเป็นต้นสนที่ใหญ่ที่สุดของบ้าน ไม่รู้ทำไมผมถึงทำอย่างนั้น ผมแค่รู้สึกว่าต้องทำ ถึงจะพยายามตามหาเหตุผลไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี
ผมหันหลัง และกำลังจะเดินกลับ
"ช...ช่วยข้าด้วย..."
เสียงหนึ่งตรงเข้าสมองของผม
"ใคร" ผมถามพลางมองรอบตัวอย่างหวั่นๆ
"เพื่อนสุดหล่อของนายไง" เจย์ตอบ
ผมเอาหิมะใส่ปากเขากำหนึ่ง
"อาย อำ อ่าง อี้ อ้าย อาง ไอ" เขาบ่น
สงสัยว่าผมเพี้ยนตามเขาหรือเปล่า หรือว่าผมหูฝาดไปเอง เพราะเสียงนี้เป็นเสียงผู้หญิง เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานราวกับกำลังกรีดร้อง แน่นอนว่าไม่ใช่เลขาสุดสวยของพ่อ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงนี้อีกเลย
***********************************
ปราสาทซอยด์ชวาไซม์ แคว้นชาร์เลอวีล อาณาจักรเมซีแยร์
สายลมเย็นเยือกนำความหนาวเหน็บมาสู่ผู้ที่พัดผ่าน กิ่งไม้วูบไหวดั่งวิญญาณอันโศกเศร้า เงาบางอย่างโผล่มาแล้วหายไปราวปีศาจ สัตว์ทั้งหลายส่งเสียงระงม ปราสาทสีดำทะมึนตั้งอยู่ท่ามกลางผืนทรายแลป่ารัตติกาล ควันไฟสีม่วงดำส่อประกายประหลาดพวงพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า เมฆสีเทาจับกลุ่มแน่นจนเกิดเป็นรูปร่างประหลาดคล้ายอสุรกาย เสียงชายผู้หนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากโถงใหญ่ สถานที่ซึ่งจัดงานศพของอดีตพระราชา...
"ได้ คาริสซ่า! หากเจ้าต้องการเช่นนั้น งั้นเรามาดูกันว่าบุตรชายของข้า หรือบุตรสาวของเจ้า ใครจักได้อำนาจและตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไปครอง!"
ใบหน้าที่มักสงบนิ่งของชายชรา บัดนี้เจือไปด้วยความโกรธเกี้ยว ดวงตาจับจ้องใบหน้าของหญิงงามคู่สนทนาโดยไม่ละตา
ดวงตาสีทองเปลวของนางตวัดมองชายเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยความกระหายและความละโมบ ริมฝีปากบนใบหน้าขาวนวลขยับเป็นการแสยะยิ้ม พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
"ก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนมิใช่หรือ"
"แน่นอน ข้ามั่นใจว่าเขาต้องทำได้ และทำได้ดีกว่าเธอคนนั้นแน่"
"ขอพลังแห่งเทพไร้นามจงอวยชัยให้ท่าน ลาก่อน สวามีของข้า แล้วข้าจะรอดู" นางกล่าวลาพร้อมกับย่อตัวอย่างงดงามราวราชินีผู้สูงศักดิ์ แล้วเดินจากไป
ชายชราสายหน้า พลางพูดกับตัวเองด้วยถ้อยคำอันแผ่วเบา
"เจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้าอีกแล้ว คาริสซ่า นับแต่วันที่เจ้าทิ้งเนียเวย์ไป..."
***********************************
คฤหาสน์เลนอฟ แมนฮัตตัน นิวยอร์ก
เวลาที่เหลือของวันผมใช้เวลาไปกับการนั่งดูทีวีรายการเกมโชว์แย่ๆ นอนอ่านหนังสือเล่นตามประสาคนว่างงาน ขับรถพาเจย์ชมวิวหิมะไปทั่ว สีขาวบริสุทธิ์ของมันปกคลุมบ้านเรือนสองข้างทางราวเมฆบนผืนดิน และผมก็กลับมาเปิดเอกสารสรุปการประชุมที่พนักงานบริษัทคนหนึ่งเอามาให้ ชีวิตผมช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
"นายลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้วันอะไร" เจย์พูดกลบความเงียบ
"วันศุกร์" ผมตอบ สายตาจับจ้องเอกสารตรงหน้าด้วยความระอา
ผมโดนเขกหัวสองที แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ชีวิตผมเป็นไปอย่างที่ควรเป็น ที่แปลกคือมีคนที่ใช้วันหยุดยาวมานอนเกลือกกลิ้งที่ห้องผมเหมือนกับเป็นห้องตัวเอง ผมรู้สึกแย่เล็กน้อยเมื่อโดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว
เวลาผ่านไปเหมือนสายลมพัดผ่าน ผมเตะเจย์ออกนอกบ้านเมื่่อเห็นว่าเย็นแล้ว "จำไว้!" เขาพูดแบบนี้ก่อนผมจะยิ้มมุมปากและปิดประตู
หิมะเริ่มโปรยปรายจากท้องฟ้ายามค่ำคืน อากาศเย็นลงทุกขณะ ดวงจันทร์ของคืนนี้สุกสกาว มันเต็มดวงและทอประกายสว่างไสว
"ช่วยด้วย...."
อีกแล้ว เสียงนี้อีกแล้ว เสียงหญิงสาวที่มีลมหายใจสั่นและถี่รัวดังขึ้นในโสตประสาทของผม
"เธอเป็นใคร" ผมถาม
"ช่วยข้าด้วยนายท่าน หิมะต้นฤดูเหมันต์ทำให้ข้าทรมานเหลือเกิน ข้านอนหมดแรงภายใต้ร่มเงาของสนสีน้ำเงิน..."
เห?
ต้นสน...สีน้ำเงิน?
ผมหยิบเสื้อโค้ดตัวเก่งและเดินไปยังสวนหลังบ้าน ใต้ต้นสนที่ผมวางค้างคาวไว้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ร่างกายของมันสั่นเทาและดูกลมกลืนไปกับเงาเสียเหลือเกิน เมื่อพยายามยื่นนิ้วไปสัมผัสก็โดนสิ่งมีชีวิตตัวนี้กัดปลายนิ้วเข้าอย่างจัง เลือดสีแดงไหลจากบาดแผล และหยดลงบนหิมะยามค่ำคืน
ความรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นของจริง แต่เรื่องเสียงผมคงคิดไปเองสินะ...
ความมืดตอนกลางคืนไม่ทำให้ผมง่วงนอนแต่อย่างใด ผมนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ของบรรดาราชวงศ์ต่างๆในอาณาจักรแห่งหนึ่ง อาณาจักรที่ฤดูร้อนอาจยาวนานหลายสิบปีและฤดูหนาวอาจยืดยาวชั่วชีวิต
เสียงเคาะประตูทำให้ผมตื่นจากภวังค์
"พ่อเข้าไปนะ"
เขาไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง พ่อก็เป็นแบบนี้แหละ ทำอะไรตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี คำพูดแรกที่เขาพูดทำให้ผมประหลาดใจ แบบสุดๆ
"ลองถอดคอนแทคเลนส์ออกหน่อยสิ"
ผมจ้องเขาไม่วางตา "ผมไม่ได้ใส่ครับ"
"พ่อเชื่อว่าลูกไม่เคยโกหก" เขาทำสีหน้าจริงจัง
ก็ได้ๆๆๆ ผมบ่นในใจ อันที่จริงไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าผมเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว ปกติผมตาสีเขียวแบบพ่อ แต่สีตาผมตอนกลางคืนน่ากลัวจะตายเพราะมันเป็น...
"สีทอง" พ่อผมพูดพลางพินิจพิเคราะห์ราวกับมันเป็นธุรกิจใหม่ที่ต้องได้เงินดี
"ผมมันเป็นปีศาจ" ผมพูดสิ่งที่คิดมาตลอด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหงาและขมขื่น
"ตามมา" พ่อลุกขึ้นและเดินจากห้องผม
วันนี้วันอะไรกัน ถึงเจย์จะถามผมแต่ผมก็ตอบไปแล้วว่าวันศุกร์ วัน เดือน ปี ที่แน่นอนผมไม่รู้หรอก คนใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบผม วันไหนๆก็เหมือนๆกัน หลังจากที่โวยวายในใจผมก็ตามพ่อไป
ห้องทำงาน ห้องนอนพ่อ ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่นส่วนตัวผม ห้องไหนๆตาแก่ข้างหน้าผมก็เดินผ่านอย่างไม่สนใจ แต่ดันมาหยุดที่บันไดข้างห้องรับแขกเนี่ยนะ?
มือเหี่ยวย่นของชายชราทาบทับรอยสลักบนหัวมุมบันไดสีดำ รอยสลักรูปจันทร์เสี้ยวประดับด้วยปีกค้าวคาวเล็กๆที่ด้านเว้า ซึ่งผมไม่เคยสักเกตมา 22 ปี ฉับพลันดวงตาของพ่อเปลี่ยนเป็นสีแดง...
ผมผงะออก พื้นตรงทางขึ้นบันไดยุบเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมขนาดสี่คูณสี่ฟุต และเลื่อนออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นบันไดอิฐที่ตรงสู่ทางลับใต้ดินอันมืดมิด
อากาศเหมือนจะเย็นลง และเย็นลงทุกขณะ เงาผ้าม่านปลิวไปมาคล้ายเงาวิญญาณ ราตรีนี้ช่างมืดมนอนธการและเงียบสงัด มีเพียงเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบอันน่าหวาดหวั่นนี้
"ช่วยเดินตามพ่ออีกครั้งจะได้ไหม"
จำนวนขั้นบันไดมีไม่มาก แต่ชันและมืด เมื่อลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็มีบันไดขั้นต่อไปขึ้นด้านบน แต่ละครั้งที่ก้าวเดินทำให้ผมหวั่นใจ แสงบางๆส่องลงมาพร้อมกับกลิ่นอายประหลาดจนถึงทางออก และผมก็สูดหายใจเฮือก...
ผมยืนอยู่ในห้องโถง พื้นกระเบื้องสีโอรสถูกปูทับด้วยพรมสีเทาเข้มราวเมฆพายุ เมื่อตั้งใจเพ่งดู เมฆบนพรมเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหว สายฟ้าแปลบปลาบเหมือนกำลังยืนอยู่บนท้องฟ้าที่ปั่นป่วน รอบห้องเป็นผนังหินภูเขาไฟสีดำ ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงและทองรอบหน้าต่างอันใหญ่โต กระจกหน้าต่างทุกบานมีหลากสีแต่พอมองออกว่าเป็นรูปหญิงสาว มุมขวามีบันไดเหมือนบ้านผม กลางห้องมีโต๊ะกลมสีขาวและเก้าอี้สี่ตัวแบบเดียวกัน พวกมันเหมาะที่จะอยู่ในสวนสวยๆมากกว่าห้องนี้
พ่อยืนอยู่ที่ริมระเบียง ดวงตาที่บัดนี้ยังคงสีแดงทอดยาวไกลสุดสายตา ท้องฟ้าอึมครึมเช่นเดียวกันกับพรมประหลาดบนพื้น ตึกต่างๆเหมือนกับโลกมนุษย์ไม่มีผิด
"นี่มันที่ไหนครับ" ผมถาม เสียงของผมดังก้องไปทั่วห้องโถง
เขาถอนหายใจยาว และพูดโดยไม่มองผม
"ฟังนะ เวย์ คงถึงเวลาแล้วที่พ่อจะเล่าความจริงเกี่ยวกับลูกให้ฟัง..."
----------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับ มือใหม่หัดแต่งมาจากเว็ปเด็กดี ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ //โค้ง720องศา(ตายพอดีนั่นแหละครับ)
ไม่ได้คิดอยากให้เป็นแนวสืบสวนหรอกครับ เป็นแฟนตาซีมากกว่า สืบสวนสัก2%
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ^^"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ