Blood Darkness โลหิตรัตติกาล

6.7

เขียนโดย Organness

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.02 น.

  3 chapter
  1 วิจารณ์
  6,641 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 18.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ค้างคาวสีน้ำเงิน 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

                    ผีดูดเลือด...ใช่  ศัพท์เพราะๆของมันก็คือแวมไพร์  เรื่องนี้ช่างน่าตลกสิ้นดี

 

                    ค่ำคืนอันแสนสงบของผมพังทลายลงในพริบตา  เมื่อคำพูดต่างๆนานาหลุดออกมาจากปากของคนๆนั้น  ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง  แต่ก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี

                    ตีสามกว่าแล้ว  ความคิดและความรู้สึกมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจ  สิ่งสุดท้ายที่ผมพยายามหาคำตอบก่อนจะหลับไปด้วยเพลงกล่อมจากเสียงรถรา...

 

                    มนุษย์  คืออะไร

 

2 ชั่วโมงก่อน...  โลกปีศาจ

 

                         เงากิ่งไม้นอกระเบียงโก่งโค้งราวเงื้อมมือของปีศาจอย่างน่าหวาดหวั่น  เมืองซึ่งเต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่น  แต่ที่ต้องตาเป็นอย่างมากคงไม่วายจันทร์เพ็ญสีแดงฉาน  อันครอบครองท้องฟ้ายามราตรีไปกว่าครึ่ง

 

                    "โลกเรามีหลายมิติทับซ้อนกันอยู่"  ประโยคแรกก่อนประโยคถัดไปถูกเอ่ยขึ้นโดยชายชราเนตรสีเพลิง  "ส่วนมากเกิดขึ้นจากมนุษย์  พลังแห่งความเชื่อหรือความหวาดกลัวของพวกเขาก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่าง  เช่น  เวทย์มนต์  ปีศาจ  เทพยดา  หรือแม้แต่พวกเรา...แวมไพร์คือชื่อที่มนุษย์เอ่ยถึงเรา  บุตรแห่งผู้ใช้เวทย์และปีศาจ  บางครั้งอาจเกิดจากซากศพอันมีปัจจัยครบถ้วน  และบางครั้ง..."

 

                    เขาหันมาเพื่อมองสีหน้าของบุตรชายก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย

               "บางครั้งเกิดจากการได้รับเลือดของแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์"

 

               "แวมไพร์ที่ว่าคือผู้มีเนตรจันทรา  หรือดวงตาสีทองยามราตรีแบบลูก  22ปีมาแล้วที่พ่อไม่เคยพูด  เนียเวย์...พ่อขอโทษ"

 

                    หยดน้ำสีใสไหลอาบแก้มอันเหี่ยวย่นของเขาเป็นการยุติบทสนทนา

 

คฤหาสน์เซซิล  ศาลากลางอุทยาน

 

                    เสียงโหยหวนจากเหล่าปีศาจในอาณาจักรดังกลบการสนทนาของหญิงสาวนัยน์ตาทองคำทั้งสอง  ริมฝีปากหยาดเยิ้มราวอาบยาพิษบนใบหน้าเด็กหญิงขยับเป็นคำพูดกระแทกกระทั้นต่างๆนานา  ผู้เป็นมารดาเพียงนั่งชงชาและฟังบุตรสาวอย่างใจเย็น  เงาดำวูบไหวด้านหลังสาวน้อยตามจังหวะอารมณ์  จนในที่สุดเธอก็ยอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี

 

               "หุบปากได้สักทีนะ  อาเนีย"  แม่ของเธอพูดอย่างไร้เยื่อใย

 

               "หนูหวังว่าแม่คงรู้ว่าทำอะไรลงไป  พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ตกดินหนูจะไปหาพี่ให้มันรู้แล้วรู้รอด  สิ่งที่หนูต้องการไม่ใช่บัลลังก์หรอก  ท่านแม่  หนูต้องการชัยชนะ!"

 

                    อาเนียหันหลังและเดินจากไป  สร้อยข้อมือรูปคันธนูสีเงินส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง  เงาดำเกาะข้อเท้าเธอไปทุกย่างก้าว  บริวารเพียงหนึ่งเดียวที่เด็กสาวเชื่อใจว่าไม่มีวันหักหลัง

 

                    เธอทิ้งร่างกายบนเก้าอี้ริมระเบียงห้องส่วนตัวพลางมองดูอาณาจักรที่ตนไม่เคยแม้แต่เหยียบผืนดิน  เด็กสาวมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ในกรอบสายตา  มีเพียงอมนุษย์นามปีศาจเท่านั้น  ปีศาจทุกตนล้วนมีรูปร่างขยะแขยง  บางตนมีรูปร่างคล้ายสัตว์ป่า  บางตนไม่มีรูปร่างที่แน่นอนดังเช่นปีศาจเงาดำ  ผู้ซึ่งกำลังพูดกับเธอ

 

               "นายหญิง  การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง  ท่านยอมรับแล้วจริงหรือ  แต่ในคำพยากรณ์บอกไว้ว่าท่านต้อง..."

               "ข้าต้องชนะ"  เด็กสาวขัด  "ข้าไม่มีวันแพ้พี่ชายที่มาจากโลกมนุษย์เป็นอันขาด"

 

คฤหาสน์เลนอฟ  28 ธันวาคม

 

                    เมื่อวานเป็นวันเกิดที่เลวร้ายที่สุดในโลก

 

                    ผมเพิ่งรู้ว่าเมื่อวานเป็นวันอะไรเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง

 

                    หลังจากเรื่อง 'เหลือเชื่อ' ใน 24 ชั่วโมงที่แล้ว  ผมกับพ่อก็แทบมองหน้ากันไม่ติด  เขาพยายามอธิบายเพิ่มเติม  ซึ่งผมก็พยายามรับฟังอย่างใจเย็นเช่นกัน

 

                    โลกถูกแบ่งเป็นสามส่วนเมื่อนานมาแล้วโดยผู้ใช้เวทย์คนหนึ่ง  ได้แก่โลกมนุษย์  โลกปีศาจ  และโลกแห่งป่าต้องห้าม

 

               "โฮ่ง"

 

                    สุนัขของบ้านผมที่ชื่อ เกรฮาวน์  กำลังแวะมาก่อกวน  มันคงไม่รู้ว่าความอดทนของพ่อกำลังลดลงเรื่อยๆ

 

                    แวมไพร์ถูกนับว่าเป็นปีศาจเหมือนกันและมีหลายเผ่าพันธุ์  อาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย  บ้างดื่มเลือดจากมนุษย์หรือสัตว์อื่นเพื่อประทังชีวิต  แต่ผม...

               "โฮ่ง"

 

                    พ่อสะกดเลือดมนุษย์จำนวนมหาศาลไว้ในสร้อยคอของผม

 

               "โฮ่ง"

               "ใครก็ได้เอาเจ้าหมาบ้านี่ไปไกลๆที"  พ่อผมบ่นอย่างหัวเสีย

 

                    ลูกธนูสีเงินบนสร้อยคอที่ผมเห็นตั้งแต่จำความได้ช่วยสะกดสันชาตญาณกระหายเลือดอันน่ากลัวงั้นหรือ  ผมพลิกมันไปมา  แต่ก็ไม่เห็นถึงความวิเศษอะไร

 

                    พ่อนั่งหลังตรง  เฝ้ามองประตูเพื่อรอกาแฟอย่างกับว่ามันคือเงินก้อนโตพลางพูดกับผม  "คนจากโลกแห่งป่าต้องห้ามมักจะเข้ามาเข่นฆ่าแวมไพร์และปีศาจอยู่เสมอ  พวกมันไม่มีเหตุผล  ไม่มีความรู้สึก  พวกเราไม่เคยทำเรื่องเจ็บปวดอะไรให้  แต่ชาวเอเทนส์...คนจากที่นั่น  พวกเขาฆ่าเรา"

 

                    จากนั้นพ่อก็พล่ามไปเรื่อยตามประสาคนมีอายุ  จนถึงเรื่องที่ว่าผู้ปกครองโลกปีศาจได้เสียชีวิตแล้ว  พวกข้าราชบริพารต่างวุ่นวายหาผู้สืบทอดสายเลือดแวมไพร์บริสุทธิ์  และตอนนี้มีแค่เพียงตัวผม  และแม่กับน้องสาวต่างบิดา  ผู้ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า

 

               "ก่อนการกำหนดผู้สืบบัลลังก์จะมีขึ้น  แม่ของลูกได้ขอถอนตัว"  พ่อพูด  "วิธีการเลือกผู้สืบทอดจะแตกต่างกันทุกครั้ง  แต่ละครั้งชั่งโหดเหี้ยม  และครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น  เราทำได้แค่รอฟัง"

 

                    ผมคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นนิทานหากไม่ได้เจอกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้

 

                    อืม  เยี่ยม  ทีนี้ชีวิตผมก็มีสีสันแล้ว  สีสันที่จะลบเลือนคืนวันอันแสนสงบสุข

                    เรื่องชาติกำเนิดของผมกระจ่างไปแล้วข้อหนึ่ง  แต่พ่อไม่ได้พูดถึงเรื่องพลังของผม  ถ้อยคำประหลาดคล้ายคาถา  เมื่อผมเป็นคนเอ่ย  มักเกิดเหตุการณ์ประหลาดไม่แพ้คาถาเหล่านั้น

 

                    ในห้องหนังสือฝุ่นเขรอะ  ผมได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อนับครึ่งวัน  มันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย  ต้นไม้ภายนอกหน้าต่างสั่นไหวด้วยแรงลม  แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันเสริมความสว่างไสวให้ห้องหนังสืออันรกร้าง  เสียงใบไม้เสียดสีมาพร้อมกับเสียงดังจากคนรับใช้เอะอะโวยวาย  ก็เป็นแค่อีกวันแสนน่าเบื่อในชีวิตผม

 

                    ในที่สุด  ประตูไม้มะฮอกกานีบานใหญ่ก็เปิด  พ่อผมคิดว่ากาแฟแก้วเล็กๆแก้วหนึ่งต้องมาแน่  แต่มันไม่ใช่

 

                    เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง  อายุประมาณเจ็ดขวบ  ถูกแม่บ้านสองคนค่อยๆดันตัวเข้ามาในห้องซึ่งถูกหนังสือยึดครอง

 

               "ปล่อยหนูนะ!  ปล่อยหนู"  เด็กคนนั้นร้อง

               "เกิดอะไรขึ้น"  ผมถาม

               "เธอเดินอยู่ในสวนค่ะ  เธอบอกว่ารู้จักคุณหนู"  แม่บ้านรีบพูดอย่างรวดเร็ว

               "เห?"  ผมอุทาน

 

                    ผมจ้องเธอใกล้ๆแม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางรู้จักเด็กวัยนี้

 

                    ดวงตาใสแจ๋วจ้องผมกลับ  ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนมีหิมะและใบสน  ชุดกระโปรงราวท้องฟ้าขาดรุ่งริ่งเป็นบางส่วน

 

               "ตาของพี่สีเขียวสวยจัง...!@#$%"  เธอพูดด้วยน้ำเสียงใสปานเกลียวคลื่น  "เมื่อกี้เผลอกัดลิ้นตัวเอง  แหะๆ"

 

               "ออกไปก่อน"  พ่อผมสั่งแม่บ้าน

 

                    เมื่อในห้องนี้มีจำนวนคนลดน้อยลง  เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มวิ่งเล่นไปรอบห้องด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ  ผมพยายามจะห้าม  แต่โดนชายชราขัดเสียก่อน

 

               "เธอไม่ใช่มนุษย์  เป็นภูติเงา  และเธอเลือกลูกเป็นเจ้านาย"

 

                    เห?  มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ  แล้วพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาและให้ผมเป็นเจ้านาย?

 

                    เหมือนภูติตรงไหนกัน  จะดูอย่างไรก็เหมือนมนุษย์

 

               "ลูกได้ให้เลือดกับพวกแมลงเม่า  ผีเสื้อกลางคืน  หรือค้างคาวหรือเปล่า"

                    ผมหันขวับ  หรือจะเป็นเจ้าค้างคาวตัวที่เจย์เก็บได้เมื่อวาน...

 

                    พ่อผมบ่นพึมพำ  "อย่างที่คิด  จำไว้  แล้วอย่าทำ  พวกภูติเงาจะรับใช้เราตามที่ผู้เป็นเจ้านายต้องการ  แต่สร้างความวุ่นวายได้มากเท่าประโยชน์เช่นกัน"

 

                    เด็กคนนั้นสะดุดกองหนังสือตั้งหนึ่ง  เธอร้องโอดโอย  กองหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนตกลงมาทับเธออีกชั้น  ผมไม่มั่นใจนักว่าเธอจะมีประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ

 

               "สั่งเธอสิ  เธอเป็นภูติของลูก"  เสียงเดิมพูดกับผม

 

                    เอาล่ะ  เธอช่วย...หายๆไปซะ

                    ไม่  เอาเป็น...กลายร่างเป็นตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์

                    ไม่  ไม่  ไม่  เก็บเอาไว้น่าจะมีประโยชน์ทีหลัง

 

               "มานี่"  ผมพูด

 

                    เธอวิ่งมาหา  ในมือกำกระดาษจากหนังสือเล่มหนึ่ง

                    เวรแล้วไง  เล่นฉีกหนังสือของพ่อมา  เล่มสำคัญหรือเปล่าก็ไม่รู้

 

               "เธอชื่ออะไร"  ผมถาม

               "ไม่มี"

               "งั้นเธอชื่อ..."

 

                    ชื่อ . . .

                    ชื่ออะไรดี

 

               "โซอี  ชื่อโซอีแล้วกัน"  ผมพูด

               "อื้อ"  โซอีตอบกลับ

 

                    โซอี...ชีวิต  คำนี้เหมาะแล้ว

 

                    หลังจากได้ชื่อใหม่เธอก็วิ่งเล่นอีก  ถ้าไปทำลายข้าวของหรือหนังสือหายาก  ชีวิตผมคงหม่นหมองน่าดู  ผมนึกขึ้นได้ว่าเธอเป็นภูติ  น่าจะอยู่ข้างในสิ่งของได้แบบในหนังสือนิยายแฟนตาซีสิ

 

                    ผมหาของที่พกได้สะดวกและพยายามพูดอธิบาย  แต่โซอีก็ไม่ยอมเข้ามา  เธอส่ายหน้าปฏิเสธรวดเดียว

 

               "อันนี้"  โซอีชูล็อกเก็ตรูปวงรีสีเงินด้วยมือเล็กๆของเธอ  จากนั้นก็กลายร่างเป็นควัน?  หรือหมอกกันนะ  ควันทั้งหมดลอยเข้าล็อกเก็ตอย่างช้าๆ  จนมันกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม

 

                    แค่นี้?

 

                    ขอร้องแทบตาย  แค่นี้เนี่ยนะ  ทำอะไรตามใจจริงๆ

 

                    ผมเก็บล็อกเก็ตขึ้นและพลิกไปมาเพื่อดูให้แน่ใจ ว่า  'พระเจ้า  ข้าได้ภูติรับใช้  ว่ะฮ่ะฮ่า'  จากนั้นก็ร้อยใส่สร้อยคอคู่กับจี้ลูกธนู  เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ

 

                    บอกตามตรง  เรื่องเหลือเชื่ออัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวง  ผมเฝ้ารอมันมาตลอดตั้งแต่เด็ก  ไม่ว่าพ่อจะโกหกผมหรือไม่ก็ตาม  แต่ผมก็มีเรื่องให้ฆ่าเวลาเล่นไปพลางๆ  อาจจะชอบด้วยแล้วมั้ง

 

                    ผมไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้ทางลับตรงบันไดยังคงใช้ได้อยู่อีกไหม  แต่ผมอยากกลับไปโลกนั้นอีกครั้งไม่ว่าพ่อจะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม

 

22:50  น.  28 ธันวาคม

 

               "โว้ว..."

 

                    ผมยอมรับว่ายังไม่ชินกับปรากฏการณ์พื้นเลื่อนเท่าไร  บันไดลับใต้ดินให้ความรู้สึกเสียวสันหลังเหมือนเดิม  กลิ่นกำยานลอยแตะจมูก  ปริมาณแสงลดลงจนเกือบตาบอด  สร้อยคอผมส่งเสียงกระทบกันราวกระดิ่ง

 

                    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาในหูของผม  แต่ผมได้ยินไม่ชัดนัก

 

                    ขณะที่ผมกำลังขึ้นบันได  เสียงเธอคนนั้นก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ  จนผมพบว่ามันคือเสียงร้องเพลง

 

" Mezame wo matsu kuni no mukashi no hanashi

Sasagemashou mune ni yadoru hikari

Hoshi ni naru kibou ashita ga mieru

Aisuru hito yo mattete okure... "

 

                    เพลงประสานเทพคุ้มครองของญี่ปุ่น  เสียงใสๆถูกดังแปลงเป็นบทสวด  เธอขับขานบทเพลงต่อด้วยท่วงทำนองเดิม  แต่สามารถทำให้ผู้ฟังภาวนาให้เธอร้องต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไม่หยุดหย่อน  เหมือนเธอเติมแต่งมนต์สะกดลงไปในน้ำเสียงนั้น

 

                    เมื่อผมออกจากทางบันไดมืดๆ  ผมก็ได้เห็นใบหน้าของเธอ  คนที่จะเข้ามาป่วนชีวิตผมนับจากนี้

 

                    ชุดกระโปรงเหนือเข่ามีสีเทาเฉกเช่นหมอก  เส้นผมตรงสีดำขลับราวอัญมณีสยายปรกแผ่นหลัง  สองมือประสานไว้ด้านหน้า  ริมฝีปากงดงามขยับไปตามเนื้อเพลง  ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองทิวทัศน์จากระเบียงเบื้องหน้า  ช่างไม่เข้ากับเพลงที่เธอร้องเสียเลย  แต่ที่สำคัญ...มันเป็นสีทอง

 

                    บทเพลงแสนไพเราะได้หยุดลง  ผมอยู่ห่างจากเธอไม่มากและไม่อยากเข้าไปใกล้กว่านั้น  เด็กสาวค่อยๆเดินมาเผชิญหน้ากับผม  แววตาแข็งกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นความเหี้ยมโหด

 

                    "ไม่ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ  คุณพี่"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา