No Sugar!! บ้าน่า..ฉันหลงรักนายตอนไหน?
เขียนโดย Murasaki
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.55 น.
แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 20.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) แผนการของเหล่าเทพบุตร!!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Part : ไซคี
ณ โรงอาหาร
ขณะที่เพรสไปเข้าห้องน้ำ ผมก็นั่งฟังมิวนิคเล่าเรื่องเพรสที่ทำตัวแปลกๆ ชอบเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะวันนี้ทั้งๆที่เพิ่งเปิดเทอมมา 2 วัน ผมนั่งฟังมิวนิคกับไอเดียคุยกันไปซักพักก็รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังผมแล้วเสียงพูดคุยของมิวนิคกับไอเดียก็เงียบไป
“นายมากับฉัน” หว่า! ทะ..ทำไมพี่คามิถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ แล้วพี่คามิก็ดึงแขนผมให้ลุกขึ้น
“นายมีอะไรกับเพื่อนฉัน?” ไอเดียถามทันทีที่เห็นเจ้าชายเลือดเย็นอย่าง “คามิ”
“ไม่เกี่ยวกับนาย ส่วนนายมากับฉันเดี๋ยวนี้” ยะ..อย่าตะคอกกันเซ่
“ทำไมต้องตะคอกเพื่อนฉันด้วย จะพาเพื่อนฉันไปไหน?” มิวนิคเริ่มหงุดหงิดที่คามิไม่ยอมปล่อยแขนไซคี
“อะ..เอ่อ..อย่าทะเลาะกันเลยครับ ปะ..ไปเถอะครับคุณคามิ”
“น่ารำคาญ” คามิพูดจบก็ดึงแขนไซคีเดินตัวปลิวไปที่อาคารเรียนหลังเก่าหลังตึกใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมาแถวนี้
“มะ..มีอะไรหรอครับ?” ผมกลัวง่า อย่าจ้องกันขนาดนั้นเซ่
“หึ ฉันไม่ยักรู้ว่านายพูดติดอ่าง”
“อะ..เอ่อ มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ” ผมไม่ได้อยากติดอ่างนะ ก็มันกลัวนี่!
“ฉันอยากให้นายทำยังไงก็ได้ให้พวกเพื่อนๆของนายไปเที่ยวน้ำตกที่จังหวัดกาญจนบุรีกับพวกฉันในอีก 2 วันที่จะถึงนี้”
“ตะ..แต่พวกเขาจะยอมไปหรอครับ? โดยเฉพาะเพรสคงไม่ไปแน่” ใช่สิ รู้จักเพรสแค่ 2 วัน แล้วใครจะกล้าชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดกันล่ะ
“ฉันถึงบอกให้นายทำยังไงก็ได้ไง โดยเฉพาะอิมเพรสต้องพาไปให้ได้” ทำไมต้องพาเพรสไปให้ได้กันล่ะ
“เอ่อ...แต่ว่าผมทำไม่ได้หรอกครับ..คุณคามิ”
“ใครสั่งให้เรียก?”
“ห๋า?” งงสิครับ เรียกอะไรหว่า!
“ใครสั่งให้นายเรียกฉันว่าคุณ!!” พี่คามิตะคอกใส่ผมเสียงดัง สีหน้าน่ากลัวอ่ะ จะกัดผมหรอครับ?
“ผะ..ผมขอโทษ ฮึก” ไซคีเสียงสั่นแล้วน้ำตาก็เริ่มคลอ
“ฉะ..ฉันไม่ได้จะทำอะไรนายซะหน่อย จะร้องไห้ทำไม” คามิเริ่มทำตัวไม่ถูกที่คนตัวเล็กเริ่มจะร้องไห้
“มะ..ไม่เป็นไรครับ คุณมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย? ฮึก” ไซคียกหลังมือเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลจากดวงตา
“นายยังจะเรียกฉันว่าคุณอีกใช่มั้ย? ฉันสั่งตั้งแต่เมื่อไร? ห๊ะ!” คามิพูดด้วยความโมโหที่คนตรงหน้าทำเป็นห่างเหินกับเขา
“ผม..ต้องเรียกว่าคุณ เพราะว่าผมเป็นลูกแม่นมของคุณนะครับ”
“แต่ฉันไม่ให้เรียก นายต้องเรียกฉันว่าพี่คามิ”
“มะ..ไม่ได้หรอกครับ คุณเป็นเจ้านายของผม” ผมเถียงขาดใจอ่ะ ก็ผมเป็นลูกของแม่นมจริงๆนี่นา
“หึ นายจะลองดีกับฉันใช่มั้ย...งั้นไม่ต้องเรียกพี่หรือคุณ ฉันอนุญาตให้นายเรียกได้แค่..คามิ” คามิพูดพร้อมกับกระชากไซคีเข้ามาใกล้แล้วจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
“ผมบอกแล้วไงว่าทำไม่ได้ คุณอย่าบังคับผมเลยครับ” ไซคีกลัวตัวสั่นกับสายตาที่คามิจ้องมองมา
“ก็ได้ ถ้านายไม่เรียกพี่ ไม่เรียกคามิ งั้นฉันจะเลื่อนสถานะให้ เผื่อว่านายจะได้สะดวกใจแล้วเรียกฉันว่าพี่”
เมื่อคามิพูดจบก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่นแล้วก้มหน้าลงมาจูบบนริมฝีปากเล็กสีชมพูและใช้มือจับท้ายทอยของคนตัวเล็กให้แหงนหน้ารับจูบของเขา ขณะที่คามิกำลังบดเบียดริมฝีปากอยู่นั้น มือเล็กก็พยายามผลักคนร่างสูงให้ปล่อยตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จจนกระทั่งมือเล็กเริ่มเปลี่ยนมาเป็นทุบแรงๆ คามิจึงยอมถอนริมฝีปากออกแต่ก็เปลี่ยนมาเป็นกอดไซคีจากด้านหลังแล้วพลางก้มมองใบหน้าหวานที่แดงก่ำกำลังหายใจหอบสูดอากาศเข้าไปและก้มหน้าเขินอายจนคามิยังแอบคิดว่า..น่าจับฟัดซะไม่มี คนอะไรน่ารักเป็นบ้าเลย
“แฮ่ก..แฮ่ก..ปะ..ปล่อยผมไปเถอะนะครับ” ทำไมต้องกอดผมด้วยเนี่ย! ถ้าใครมาเห็นเข้าอายเขาตายเลย ยิ่งเมื่อกี้ด้วย...เอ่อ
“ฉันไม่ปล่อยจนกว่านายจะยอมเรียกว่าพี่คามิ” คามิยังคงกอดคามิไม่ยอมปล่อยแล้วเอาจมูกไซ้ไปตามหลังคอขาวเนียนของไซคี ตัวหอมจังเลย
“เฮ้อ! ทำไมต้องบังคับผมด้วยล่ะ ผมรู้ฐานะของตัวเองดีแล้วคุณ..เอ่อ” ผมเริ่มกลัวแล้วนะ ทำไมต้องมาจ้องผมแล้วยังมาวุ่นวายกับคอผมด้วยล่ะ อึย!
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ หูฉันไม่ค่อยดี” พี่หนังยานหลังค่อมแล้วหรอครับถึงหูตึงด้วยอ่า
“เอ่อ...เออ..พะ..พี่คามิปล่อยผมเถอะนะครับ” ผมยอมเรียกพี่ก็ได้ สถานการณ์มันบังคับอ่ะ
“ไม่ปล่อยมีอะไรมั้ย? ตัวนายนิ่มดี คืนนี้ไปนอนเป็นหมอนข้างฉันหน่อยสิ” คามิกอดไซคีแน่นไม่ยอมปล่อย
“ผิดสัญญานี่ ไหนว่าจะปล่อยผมถ้าเรียกว่าพี่คามิไง” ผมเริ่มโมโหแล้วนะ
“อืม! ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าสัญญากับนาย” ผมโง่เอง ใช่ป่ะ?
“คุณมัน!”
“จุ๊..จุ๊..ฉันบอกว่าไง?” คามิพูดแล้วมือของเขาก็เริ่มไม่อยู่สุขปฏิบัติการเลื้อยไปตามตัวของไซคี
“ยะ..อย่าทำอย่างนี้สิครับ ปล่อยผมเถอะ”
“ก็ได้ แต่นายอย่าลืมเรื่องที่ฉันบอกไปล่ะ ต้องพาอิมเพรสไปเที่ยวกับพวกฉันให้ได้” คามิปล่อยตัวไซคีแต่ก็ยังจับมือของไซคีไม่ยอมปล่อย
“เอ่อ...เอิ่ม” ผมอยากถามจัง แต่กลัวโดนดุอ่ะ ทำไมอยู่ดีๆพี่คามิถึงสนใจเพรสจังนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?
“ฉันสั่งอะไรนายก็ทำตามนั้นแหละ เข้าใจมั้ย?” คามิพูดย้ำกับไซคี
“ก็ได้ครับ ผมจะลองดู แต่ไม่รับรองว่าจะได้ผลนะครับ”
“ต้องได้ผล ไม่งั้นนายเจอยิ่งกว่าเมื่อกี้แน่”
“เอ่อ...งั้นผมขอถามอะไรสักอย่างได้มั้ยครับ?” แค่จะถามเองทำไมต้องจ้องผมตาดุขนาดนั้นล่ะ
“เรื่องอะไร?”
“คุณเท็กซัสเป็นคนยังไงกันหรอครับ?” ก็ผมสงสัยนี่ ถ้าพี่คามิบอกว่าไปเที่ยวกับพวกพี่ก็ต้องมีคุณเท็กซัสด้วยสิ แถมเมื่อวานเพรสยังถามถึงชื่อแปลกๆที่รู้มาจากคุณเท็กซัสด้วยนี่นา
“นี่นายแอบสนใจมันเหรอ? ห๊า!” คามิจ้องเขม็งมาที่ไซคี
“ปะ..เปล่านะครับ คือว่า..เพรสเล่าให้ฟังว่า คุณเท็กซัสบอกเพรสว่าชื่อ ปันนคนาสน์ เพรสสงสัยมาก ผมเองก็อยากรู้ว่าคุณเท็กซัสตั้งใจจะแกล้งเพรสหรือเปล่าน่ะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย ไอ้เท็กซ์อาจจะแค่แกล้งเล่นน่ะแหละ” คามิรีบพูดบอกปัดให้ไซคีเลิกสนใจ
“ละ..แล้วคุณเท็กซัสเป็นคนยังไงหรอครับ? อะ..เอ่อ พอดีผมเห็นเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วชอบทำตัวลึกลับ ผมเลยอยากรู้” ผมอยากรู้จริงๆนะ ก็คนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอย่างคุณเท็กซัสจะมาสนใจเด็กใหม่ที่มาเรียนแค่ 2 วันอย่างอิมเพรสทำไมกันล่ะ
“เห็นเงียบๆก็ฉลาดใช่เล่นเลยนะ” เสียงของเท็กซัสแทรกขึ้นมาระหว่างที่ไซคีกำลังรอคำตอบจากคามิ
“เอ่อ...”
“ฉันไม่ได้จะทำอะไรเพื่อนนายหรอกนะ แค่เห็นว่าเป็นเพื่อนของรุ่นน้องที่ฉันรู้จักดีอย่างพวกนายเลยอยากแกล้งเล่นน่ะ” เท็กซัสตอบเสียงเรียบเหมือนไม่ใส่ใจ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองมาที่ไซคีอย่างนึกสนุก
“ยะ..อย่าแกล้งอิมเพรสเลยครับ เพื่อนผมเป็นเด็กใหม่ ถ้าเพื่อนผมทำอะไรให้ไม่พอใจก็ยกโทษให้ด้วยนะครับ” ผมขอร้องคุณเท็กซัสที่กำลังจ้องผมนิ่ง
“ฮ่าๆๆ สมแล้วที่เป็นรามิล ใจดีกับทุกคนไม่เปลี่ยนเลยนะ” อยู่ๆ เท็กซัสก็หัวเราะออกมา มีแต่คามิที่มีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกำมือของไซคีแน่นจนไซคีเงยหน้าขึ้นมามอง
“นายไปได้แล้ว..ไซคี แล้วอย่าลืมที่เราคุยกันล่ะ” คามิพูดขึ้นมาแล้วปล่อยมือของไซคี
“คะ..ครับ ผมจะพยายามล่ะกัน งั้นผมไปก่อนนะครับ” ผมรีบบอกลาและหันไปยิ้มให้ทั้ง 2 คน โดยเฉพาะพี่คามิที่ผมอายจนต้องหลบสายตาก็...ผมเพิ่งจูบกับพี่คามิไปนี่นา
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรหรอครับ?” ผมหันไปมองหน้าพี่คามิพลางเอียงคอทำหน้าสงสัย เรียกทำไมหรอ?
“มองฉันอย่างนั้น เดี๋ยวจับปล้ำตรงนี้ซะเลยนิ จุ๊บ!” คามิกระซิบข้างๆหูของไซคีแล้วจุ๊บปากของไซคีที่ทำหน้าตกใจจก่อนที่จะยิ้มให้จนไซคีเขินอายจนหน้าแดง
“ผมจะฟ้องแม่ว่าพี่ลวนลามผม!” ไซคีพูดใส่หน้าพี่คามิแล้วรีบเดินหนีออกมาจากตรงนั้น
“ฟ้องเลยสิ แล้วนายจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกรัก ฮ่าๆๆ” แล้วคามิตะโกนไล่หลังไซคีแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคนตัวเล็ก ยังไม่วายคนตัวเล็กยังหันมามองค้อนเขาก่อนที่จะเดินจากไป
“ไยเจ้ามองข้าเช่นนั้น..เจ้ามีอะไรจะบอกข้ารึ?” เท็กซัสเอ่ยกับคามิอย่างไม่เกรงกลัวกับสายตาเย็นชาที่มองมา
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่..เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่ง” คามิเอ่ยอย่างหงุดหงิดที่เท็กซัสเอาแต่ใจ
“ข้าแค่เอ่ยชมคนที่เจ้าพึงใจด้วยแล้วเจ้าจะโมโหไปทำไมกันเล่า” เท็กซัสจ้องมองมาที่คามิอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“ข้าขอเตือนเจ้าให้อยู่ห่างจากเขา ยังไม่นับเรื่องที่เจ้าไปเผยเรื่องอดีตให้เหลี่ยนฮวารู้อีก เจ้ามันรนหาเรื่อง” คามิเอ่ยกับเท็กซัสพลางจ้องตาอย่างไม่ยอมแพ้
“หึ...คงจะจริงของเจ้า ข้ามันรนหาเรื่อง แต่เวลาไม่เคยรอคอยใคร แม้แต่เจ้ากับข้า” เท็กซัสโต้ตอบอย่างสนใจในอารมณ์โกรธของคามิ
“ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี ไอ้คนอวดดีอย่างเจ้าน่าจะฆ่าให้ตายซะ”
“อย่าเพิ่งโมโหโกธาไปเลยสหายข้า เอาเวลาไปวางแผนจะดีกว่า”
“หึ ไอ้แผนล่อเสือออกจากถ้ำของเจ้าน่ะรึ ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าจะหันมาใช้วิธีของมนุษย์อย่างการเล่นซ่อหานี่” คามิเอ่ยกับเท็กซัสอย่างแกมหมั่นไส้ที่สหายของตนหันไปใช้วิธีน่าเบื่อที่แสนซับซ้อนนั่น
“แล้วเจ้าจะรู้ว่าปันนคนาสน์อย่างข้าก็มีเล่ห์เหลี่ยมไม่แพ้เจ้าหรอก” แล้วเท็กซัสก็เดินจากไปโดยทิ้งชายหนุ่มไว้ขบคิดว่าต่อไปสหายของตนจะเล่นสนุกอะไรอีกหรือไม่โดยที่ตนไม่รู้
Part: ไอเดีย
ณ โรงอาหาร
“แกว่าไซคีจะโดนใช้ให้ทำอะไรอีกว่ะ” มิวนิคหันมาถามผมทันทีที่ไซคีโดนลากตัวไป
“ไม่รู้ว่ะ แกว่ามันเกี่ยวกับไอ้มืดมิดนั่นป่ะล่ะ?”
“หือ..ใครมืดมิดว่ะ?”
“โว๊ะ! ก็ไอ้คุณเท็กซัสไง เจอมันทีบรรยากาศอย่างกับอยู่ในโลกมืด นิ่งจนกูกลัว แล้วยังชอบพูดเป็นปริศนาแปลกๆอีก บรึ๋ย” ผมพูดพลางทำหน้าสยองขวัญที่นึกถึงเท็กซัสหรือไอ้ฉายา Dark Prince ที่มันได้มาช่างสมตัวมันแท้
“มึงก็พูดเกินไป เท็กซัสมันเป็นคนหล่อที่ทำอะไรก็ไม่ผิดว่ะ”
“มึงชมมันหล่อเหรอ? กูจะฟ้องสามีมึง”
“ใครสามีกู...พูดให้ดีนะไอ้ลูกเป็ด”
“ยู้ฮู...นั่งเถียงอะไรกันหรอครับน้องมิลค์” สามีมึงมาแหละ ฮ่าๆๆๆ
“เอามาดิ” มิวนิคมันหันไปแบมือใส่พี่ฟลอร์ครับ
“อะ..อะไรหรอครับน้องมิลค์?” แล้วพี่ฟลอร์ก็มองมันแล้วทำหน้างง ตลกว่ะ ไอ้คู่นี้ ฮาๆๆ
“มียู้ฮูไม่ใช่หรอ? เอามาดิ กูจะเอากาวมาทาปากมึง”
“โห่! น้องมิลค์พี่ทักน้องด้วยความรักที่ลึกซึ้งนะเนี่ย! งอนแล้ว” พี่ฟลอร์พูดพลางทำหน้างอนใส่มิวนิคใหญ่เลยครับเอ่อ...พี่กี่ขวบแล้วครับ
“เหอะ! กูไปนะเดีย ตรงนี้มีมลพิษทางเสียงว่ะ” แล้วมิวนิคก็เดินออกไปเลย
“อะ..อ้าว! น้องมิลค์รอพี่ด้วยสิ” แล้วพี่ฟลอร์ก็รีบวิ่งตามมิวนิคไปครับ ผมเห็นพี่แกเข้าไปเนียนโอบไหล่แล้วมิวนิคก็ต่อยท้องสวนมาทันทีเลยครับ พี่แกก็พยายามตามจีบมิวนิคมาตั้งแต่มันอยู่ ม.ต้น จนตอนนี้ก็ยังโดนมันด่าไม่เปลี่ยนแปลง แล้วตอนนี้เลยมีผมที่นั่งอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ
“เฮ้อ! หน้าเบื่อจังเลยโว้ย! มีแต่คนลากเพื่อนกูไปหมด มันตั้งใจจะปล้ำเพื่อนกูกันในโรงเรียนเลยหรือไง” ใช่ครับ...ตอนนี้มีผมนั่งที่โรงอาหารอยู่คนเดียว เพรสก็ไปตายในห้องน้ำ ไซคีก็ไปรับใช้เจ้านาย ส่วนมิวนิคเพิ่งจะเดินหนีไปเมื่อกี้นี่เอง
“นายนี่เพ้อเจ้อดีนะ” หืม...เสียงใครเห่า ผมหันไปมองก็เป็นเซนไนท์ ไอ้บ้าที่ชอบลวนลามผมทุกสถานการณ์
“นายว่าใคร..นายนั่นแหละไปเพ้อเจ้อที่อื่นไป คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” ผมพูดกับเซนไนท์แล้วก็พึมพำกับตัวเองที่ถูกเพื่อนทิ้งอย่างอารมณ์เสีย
“โอ๋ๆ อารมณ์ไม่ดีหรอ..มา..ม๊ะ เดี๋ยวจุ๊บรับขวัญให้อารมณ์ดีเลย” มือมันเริ่มเลื้อยมาโอบเอวผมแล้วครับ
ผลัวะ โครม!
“ไอ้โรคจิต วิปริต คิดแต่เรื่องลามก จะไปกกสาวที่ไหนก็ไป ไป๊ รำคาญโว้ย!” ผมตะโกนด่ามันอย่างหัวเสีย
“โอ๊ย!..กระดูกหักแน่ๆ ใจร้ายจังเลยนะครับ”
“ไอ้หม้อรั่ว สำออยจริง แค่โดนถีบตกเก้าอี้ยังกระดูกหัก แล้วถ้ากระโดดลงจากโต๊ะไม่ตายห่าเลยหรือไงว่ะ”
“แหม อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับ..ที่รัก” เซนไนท์มานั่งแล้วก็เอามือมาโอบไหล่ผม มันลวนลามไม่เลิกอ่ะ ผมรีบปัดมือมันออกจากไหล่อย่างรำคาญ
“นายอ่านป้ายตรงนั้นให้ฟังหน่อยสิ” ผมชื่อชี้ไปที่ป้ายที่ติดอยู่ตรงเสาใกล้กับโรงอาหาร
“หืม! ห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ ทำไมหรอครับ?” หล่อแต่โง่นะพ่อคุณ
“อ่านออกก็แหกตาดูสิ นี่มันที่สาธารณะหัดดูสถานที่บ้างสิโว้ย! แต๊ะอั๋งไม่เลือกที่จริงๆ”
“เอ!...งั้นถ้าเปลี่ยนก็ได้น่ะสิ”
“ที่ไหนก็ไม่ได้โว้ย! สำหรับฉันไม่มีที่ส่วนตัว ไปไกลๆเลย ไป๊ ชิ๊วๆ”
“ไล่จังเลยนะ งั้นไปด้วยกันนี่แหละ พี่มีที่ส่วนตัว ไปๆๆ” แล้วเซนไนท์ก็ดึงแขนลากผมไปจากโรงอาหาร
“อ๊ากกก...กูไม่ไปนะ ปล่อยกู ไอ้ลามกรกโลก ปล๊อยยย....” ผมได้แต่ตะโกนร้องบอกมันตลอดทางอ่ะ
Part: อิมเพรส
หลังจากที่ผมแยกกับไอ้บ้าเท็กซัสนั่น ผมก็เดินมาที่โต๊ะในโรงอาหารก็ไม่เห็นมีใครนั่งอยู่เลย เอ!..พวกนั้นไปไหนกันหมดนะ ไม่รอกันเลยง่า...แต่แล้วสวรรค์ก็ทรงโปรดมีคนมาแตะที่ไหล่ของผม
ป้าบ!
ผมหันไปดูคนข้างหลังแล้วอยากจะเอามีดกรีดเส้นเลือดใหญ่ตายอ่ะ...เหมือนจะอยากเจอเลย ไอ้น้องเฮงซวย
“โห! ทำไมมองพอร์ตอย่างงั้นล่ะ”
“แกไม่ต้องมาเนียนเอามือเน่าๆของแกมาแตะตัวฉัน” ผมพร้อมพูดพลางคีบมือมันออก
“ทำเป็นรังเกียจนะ ไม่กระทืบพอร์ตให้ตายในท้องแม่เลยล่ะ”
“ถ้าฉันกระทืบแกตายก่อนก็ไม่ได้กระทืบแกตอนนี้สิ”
“ชิ! โหดร้ายกับน้องนะ เออ! ฉันมีข่าวจะมาบอกพี่ด้วยล่ะ”
“ถ้าข่าวร้ายแกไปไกลๆเลย แค่เมื่อวานฉันก็เครียดจนจะเอาหัวหมุดบ้านไอ้ตาลแหละ” ไอ้ตาลเป็นสุนัขที่ญาติผมฝากเลี้ยงตอนไปทำงานที่เมืองนอกอ่ะครับ
“ข่าวดีสิ ฮาเดสจะมารับพี่อีก 5 วันนี่แหละ” มึงไม่ต้องยิ้มก็ได้ ไอ้น้องเวร
“อืม..ข่าวดีจริงๆ ฉันเหลือเวลาแค่ 5 วันจาก 9 วันใช่ป่ะ ดีเลยฉันจะได้ต่อยแกให้ตายก่อนแล้วหนีเข้าคุกซะ!” ผมพูดพลางกำหมัดจะต่อยหน้าระรื่นของอิมพอร์ต
“โห่! มาบอกข่าวดีนะ อุตส่าห์มาบอกให้เตรียมตัวก่อนตั้ง..1..2..3..” แล้วน้องชายผมก็ยกนิ้วขึ้นมานับอย่างกวนตรีน ข่าวดีบ้านป้าแกเซ่! เออ..ป้ากูด้วยนี่หว่า! ขอโทษครับป้า
“แกไม่ต้องมากวนฉันเลย มีแค่นี้ใช่มั้ย? งั้นไปล่ะ!” ผมรีบบอกลามัน ต้องรีบสิ เดี๋ยวข่าวดีมันมาอีก ผมก็ซวยสิ
“ผมมีเรื่องจะถามพี่ด้วยแหละ! ผมไปเจอคนแปลกๆมา”
“หืม? นายเจอใคร?” มันเจอใครหว่า...อิมพอร์ตพูดพลางมองหน้าผมแล้วทำหน้าจริงจัง
“อืม..จะว่าเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนะ แต่งตัวประหลาด ผมสีแดงยาว ดวงตาก็ดุๆชอบกล แถมยังพูดจาแปลกๆกับผมอีก” หรือว่าพอร์ตมันจะเจอผู้ชายคนนั้น แต่ที่มันบอกว่า..เป็นคนหรือเปล่านี่ สงสัยจะเป็นปลวก?
“แกเจอที่ไหน?”
“เพรส...เราขึ้นห้องกันเถอะ มิวนิคกับไอเดียไปรอข้างบนแล้ว” ไซคีเข้ามาชวนผมให้ขึ้นห้อง เลือกเวลาเก่งแท้
“อะ..อืม งั้นไปกัน พอร์ต..เรามีเรื่องต้องคุยกันที่บ้าน” ผมหันไปพูดกับไซคีแล้วก็บอกน้องชาย
“ได้ๆ งั้นเจอกันที่บ้านเย็นนี้นะพี่เพรส”
“เอ๋! ผู้ชายที่ชื่อ อิมพอร์ต อายุเท่าพวกเราไม่ใช่หรอเพรส ทำไมเรียกเพรสว่าพี่ล่ะ”
“อ๋อ! พอร์ตเป็นน้องชายฝาแฝดเราน่ะ”
“หา! นายเป็นพี่ชายอิมพอร์ตหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ทำไมอ่ะ เราหล่อกว่าใช่ม๊า..?”
“เปล่า...อิมพอร์ตหล่อกว่ามากมายอ่ะ” ไซคีพูดแล้วยิ้มๆ
“ไซคี!!! ไม่น่ารักเลย” แล้วผมก็เดินหนีไซคีเลย ใครให้มาบอกว่าไอ้น้องบ้าของผมหล่อกว่าล่ะ แต่สงสัยนะว่าพอร์ตคุยอะไรกับผู้ชายคนนั้นกันนะ
ระหว่างที่อิมเพรสกับไซคีเดินขึ้นตึกเรียนไปด้วยกัน อิมพอร์ตที่ยืนอยู่ก็กำลังจะหันหลังไปอีกตึกที่ตัวเองเรียน แต่สายตาก็ไปประสานกับผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่นั่งมองเขาอยู่โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อว่า เท็กซัส
“มองอะไรว่ะ ไม่เคยเห็นคนหล่อเหรอ ไอ้พวกหน้าปลวก”
แล้วอิมพอร์ตก็ตะโกนและชี้นิ้วไปที่ผู้ชายกลุ่มนั้นอย่างหงุดหงิดที่ถูกมองแล้วรีบเดินจากไป ส่วนผู้ชายกลุ่มนั้นก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ เพราะผู้คนขึ้นไปเรียนบนอาคารกันหมดเหลือเพียงแต่ชายหนุ่มทั้ง 4 เท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆ ข้าว่ากมลณัฐในชาตินี้มีสัมผัสที่หก เจ้าว่าอย่างนั้นมั้ย..ผณิน” มัชชารพูดกับผณิน
“หึหึ ผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้ว่ามีดวงตาตั้ง 4 คู่จ้องมองอยู่กันบ้างเล่า”
“รู้สึกว่าพวกเจ้าจะอารมณ์ดีเหลือเกินนะ” กาสรประชดมัชชารกับผณินแกมหมั่นไส้
“ไม่มีผู้ใดมีความสุขเท่ากับข้าที่ได้อยู่ใกล้คนๆนั้นแล้วล่ะ” มัชชารเอ่ยลอยๆ
“พวกเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีอีก 5 วัน พวกเทพนิรยจะเริ่มเคลื่อนไหว พวกเราจะต้องล่อให้เทพนิรยตามดอกบัวอัจจิมาแล้วจัดการซะ ผณิน...เจ้าจัดการเรื่องไปเที่ยวแล้วใช่หรือไม่” ปันนคนาสน์หันไปถามผณินที่ดูจะสบายอกสบายใจเกินเหตุ
“ข้าให้ยอดรักของข้าไปจัดการแทน พรุ่งนี้ข้าอาจจะบอกได้ว่าผลเป็นอย่างไร” ผณินบอกอย่างสบายใจ
“เจ้านี่ไม่ถนอมใจยอดรักของเจ้าเลยรึ ใช้ให้ทำทุกอย่างดั่งใจเจ้า ไม่ว่าจะชาติภพไหน” ปันนคนาสน์เหนื่อยใจที่สหายของตนช่างเอาแต่ใจไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
“แล้วเจ้าล่ะ เมื่อใดเจ้าจะเลิกทำตัวเป็นบุรุษปริศนาให้พวกนั้นสงสัยมากขึ้นกันเล่า” กาสรเอ่ยกับปันนคนาสน์
“ตราบใดที่เจ้านั่นยังจำข้าไม่ได้ ข้าจะคอยเตือนเสมอถึงการมีตัวตนของข้า อีก 2 วันมาเจอกันที่สวนดอกไม้หลังโรงเรียนแห่งนี้ ” ปันนคนาสน์เอ่ยแล้วเดินตรงไปทางซอกตึกแล้วกลายร่างเป็นพญาครุฑกางปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าหายไป
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย..อีก 2 วันเจ้าก็จะรู้ว่าแผนของปันนคนาสน์จะสำเร็จหรือไม่” มัชชารเอ่ยพลางปลอบใจกาสรแล้วกลายร่างเป็นแมวลายเสือสีขาวดำกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้วหายไป
“ข้าไปล่ะ” ผณินไม่เอ่ยกับกาสรให้มากความก็กลายร่างเป็นงูเล็กสีดำเลื้อยไปตรงพุ่มไม้ใกล้โต๊ะที่เคยนั่ง
“พวกเจ้านี่ชอบทิ้งให้ข้ารู้เรื่องเป็นคนสุดท้ายอยู่เรื่อยเลยนะ” แล้วกาสรก็เดินหายไปในซอกตึกมืดทางเดียวกับปันนคนาสน์
ณ บ้านแสนสุขของคู่แฝด
หลังจากที่ผมกับอิมพอร์ตกลับมาจากโรงเรียนแล้วอาบน้ำ กินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็เรียกน้องชายเจ้าปัญหามาคุยเรื่องที่คุยค้างกันเมื่อตอนเที่ยงทันที ก็มันอยากรู้อ่า...
“เอ้า! ว่ามาดิ..ใครที่แกเห็น แล้วเห็นที่ไหน?”
“โห! ฉันสิต้องถามพี่ก่อนว่ารู้จักมั้ย? ไอ้ผู้ชายผมสีแดงแต่งตัวประหลาดนั่นน่ะ”
“อย่ามาเฉไฉเรื่อยเปื่อยนะแก ต่อมอยากรู้กำลังทำงานอยู่”
“อ่ะ..อ่ะ ผมเจอผู้ชายคนนั้นในห้องนอนของพี่ ตอนแรกก็ตกใจนะ แต่เขาบอกให้ฉันกีดกันฮาเดสให้อยู่ห่างจากพี่ แล้วยังเรียกฉันว่า กมลณัฐ ด้วยอ่ะ ไม่พอนะยังกระโดดหายตัวไปจากหน้าต่างห้องเร็วมากๆ”
“เหอะๆ เหมือนจะเตือนสำเร็จเน๊อะ ก็แกเองไม่ใช่หรือไงที่ถวายฉันให้มาเฟียน่ะ แต่ฉันเชื่อแหละว่าไม่น่าจะใช่คน” ผมมองน้องอย่างหมั่นไส้
“ทำไมอ่ะ พี่รู้หรอผู้ชายคนนั้นว่าเป็นอะไร?”
“ก็คนบ้าอะไรว่ะจะกระโดดออกจากหน้าต่างได้ไวปานวอกขนาดนั้น แถมยังรู้ด้วยว่าฉันกับแกรู้จักฮาเดสน่ะ”
“เออ...นั่นสิ ใครกันนะ? เอ๊! แล้วพี่รู้จักหรือเปล่าอ่ะ?” อิมพอร์ตพูดพร้อมกับเหม่อลอยนึกถึงคนแปลกหน้าที่กำลังพูดถึง
“ไม่รู้จัก แต่เคยเห็นมายืนที่หน้าบ้านครั้งนึง สงสัยจะเป็นคนบ้ามั้ง ช่างเถอะ! แยกย้ายไปนอนได้แหละ สักวันเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“อืมๆ ถึงจะอยากรู้ก็ไม่มีหาคำตอบเจอสินะ งั้นราตรีสวัสดิ์พี่สาว ฟอด!!” ไอ้อิมพอร์ตบอกราตรีสวัสดิ์แล้วหอมแก้มผมง่า
“พี่สาวบ้านแกเซ่ เดี๋ยวเตะก้านคอสลบก่อนเข้านอนเลยนิ”
“ชิ! โหดได้แต่กับน้องทีกับคนอื่นหง่อยซะโคตรเสแสร้งเลยพี่กู ไปแหละ!”
“มึงจะไปไหนก็ไปเลย ไอ้น้องปํญญานิ่ม” ผลัวะ! ผมถีบมันแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องหนีมันซะเลย
ค่ำคืนแห่งฝัน : อิมเพรส
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อ..เหลี่ยนฮวา” เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มทั้ง 4 ที่จ้องมองตนอยู่อย่างนึกสนุกที่
“พวกท่านตกใจอะไรกันรึ?” โฉวสี๋เอ่ยพลางทำหน้าสงสัยในเด็กหนุ่มทั้ง 4 ที่จ้องลูกชายของเขา
“เอ่อ...ท่านแน่ใจหรือว่า ลูกของท่านคือบุรุษน่ะ?” มัชชารถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ
“ลูกข้าเป็นบุรุษสิ หรือท่านอยากพิสูจน์ล่ะ เอ้า..เหลี่ยนฮวาแก้ผ้าให้ดูเลย”
“เฮ้ย!/ท่านพ่อ!” เหลี่ยนฮวากับเด็กหนุ่มทั้ง 4 ร้องอย่างตกใจ
“มะ..ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ขะ..ข้าเข้าใจแล้ว” มัชชารเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ
“มองอะไรนักหนา ห๊า!! ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง จ้องอยู่ได้” อยู่ดีๆเหลี่ยนฮวาก็เอ่ยว่าคนบางคน
“ข้าไม่ได้มองเจ้าสักหน่อย หลงตัวเอง หน้าตาอย่างกับมนุษย์ต่างดาว ” ปันนคนาสน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายใจโดยไม่มองสีหน้าของเหลี่ยนฮวาที่จ้องมองตน
“เจ้าว่าใคร พูดให้ดีนะ ไม่งั้นเจอต่อยแน่ ไอ้มะเขือเทศขึ้นรา” ปันนคนาสน์หันควับมามองด้วยความหงุดหงิด
“เจ้ามีสิทธิอะไรมาว่าข้า ไอ้ไส้เดือนชุปแป้งทอด”(อร่อยหรือเปล่าง่า...ไส้เดือนชุปแป้งทอด 555+ ผลัวะ/คนแต่งโดนตบ)
“แล้วเจ้ามันดีมาจากไหน ไอ้หัวตะขบ” เหลี่ยนฮวาเอ่ยอย่างโมโหกับคนแปลกหน้าที่มาว่าตน
“เอ้าๆ พอได้แล้ว เหลี่ยนฮวา...เจ้าควรเรียกพวกเขาว่า “พี่” นะ เสียมารยาทจริงไอ้ลูกคนนี้ ข้าต้องขอโทษแทนลูกชายของข้าด้วย” โฉวสี๋ตักเตือนลูกชายที่นิสัยเสีย
“ไม่เรียกหรอก..ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกเช่นนั้นเลย จริงมั้ย?...ปู่มะเขือเทศ” เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปยักคิ้วให้ปันนคนาสน์
“เจ้าเรียกผู้ใดว่าปู่..ไอ้เด็กบ้า” ปันนคนาสน์หงุดหงิดแกมหมั่นไส้เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ปากดี
“เหลี่ยนฮวา..พูดดีๆสิ ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก ท่านนี้ชี่อ ปันนคนาสน์ ส่วนท่านนี้...”โฉวสี๋ชี้ไปที่ปันนคนาสน์ และเลื่อนไปที่หนุ่มผมสีดำ
“ข้าชื่อ กาสร ยินดีที่ได้รู้จักน้องคนสวย” กาสรส่งยิ้มเอ็นดูให้กับเหลี่ยนฮวาที่ทำหน้าบึ้ง (คนสวยบ้านป้าแกสิ)
“ข้าชื่อ มัชชาร ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ..” มัชชารเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ชิ เรื่องของเจ้าสิ” เหลี่ยนฮวาอดที่จะแขวมัชชารไม่ได้ที่มาพูดเกี้ยวตนต่อหน้าผู้เป็นพ่อ
“ข้าชื่อ ผณิน ยินดีที่ได้รู้จัก” ผณินกล่าวเรียบๆ แต่ทำให้เหลี่ยนฮวาสนใจ
“ชื่อของท่านแปลว่าอะไรหรอ?”เหลี่ยนฮวาถามผณินอย่างสนใจและอยากคุยด้วย
“แปลว่า งู “ ผณินตอบงงๆที่เด็กหนุ่มถามชื่อของเขา
“ของข้าแปลว่า แมว ล่ะ หมายถึงความว่องไวของข้าเหมือนดังชื่อเลยล่ะ” มัชชารเอ่ยพลางยิ้มสดใสให้เหลี่ยนฮวา
“ข้าไม่ได้ถามนะ ไม่มีมารยาท” เหลี่ยนฮวาว่ามัชชารที่ตอนนี้นั่งเป็นหมาหงอย เพราะโดนคนสวยว่า “เขาเสือก”
“ปากเน่าจริง” ปันนคนาสน์เอ่ยพึมพำลอยๆ
“ดีกว่าคนประหลาดที่โดนหินปาหัวซะโชกเลือดยังไม่รู้ตัวอีก” เหลี่ยนฮวาพูดแดกดันปันนคนาสน์อย่างไม่ยอมแพ้
“เอ้าๆ จะเริ่มทำศึกกันตรงนี้ใช่มั้ย? ว่าแต่เจ้ามีอะไรจะมาขออนุญาตข้า หืม?”โฉวสี๋เงียบอยู่นานก็พูดห้ามทัพระหว่างเด็กๆ
“อ้อ..ข้าเกือบลืมเลย ข้าอยากจะขอไปเล่นน้ำตกในป่ากับสหายของข้าน่ะท่านพ่อ” เหลี่ยนฮวารีบบอกผู้เป็นพ่อย่างตื่นเต้น
“เจ้าจะไปกับใคร?” โฉวสี๋ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะหนุ่มๆในหมู่บ้านนั้นชอบมาเกี้ยวลูกชายอยู่บ่อยๆ
“ข้าไปกับฮวนเล่อ อ้ายเฉิน ชานชื่อ นะ..นะ ให้ข้าไปเถอะนะ” เหลี่ยนฮวาออดอ้อนคนเป็นพ่อจนแม้แต่เด็กหนุ่มที่นั่งมองยังรู้สึกน่ารัก
“อ่า...อ่า...ไปก็ไป แต่จงจำไว้ว่า เจ้าต้องกลับบ้านก่อนตะวันตกดินล่ะ” โฉวสี๋เอ่ยเตือนลูกชายคนเดียวที่ชอบเที่ยวเล่น ซุกซน
“ได้ๆ งั้นข้าไปก่อนนะท่านพ่อ” เหลี่ยนฮวากล่าวลาแล้วรีบวิ่งออกไปหาสหายอีก 3 คนที่รอตนอยู่
“พวกท่านสนใจไปน้ำตกมั้ยล่ะ ตามเหลี่ยนฮวาไปสิ ที่นั่นสวยมากเลยนะ” ปันนคนาสน์และสหายของเขาพยักหน้าแล้วกล่าวลา พวกเขาเดินตามเด็กหนุ่มเหลี่ยนฮวาไปที่น้ำตกในป่าโดยที่เหลี่ยนฮวาไม่รู้ตัว
“ฮวา ฮวา ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ” ฮวนเล่อ เด็กหนุ่มที่มีผมยาวสีน้ำตาลและดวงตาเรียวนั้นดูมีเสน่ห์ ผิวขาวเนียน ริมฝีปากบางนั้นเอ่ยถามเหลี่ยนฮวาอย่างอยากรู้
“อะไรหรอเล่อ?”
“บุรุษแปลกหน้าที่มาบ้านเจ้า พวกเขามาทำไมหรอ?”
“อืม...ข้าได้ยินแว่วๆว่า เกี่ยวกับดอกบัวอัจจิมานี่แหละ เจ้าสงสัยอะไรรึ?”
“ข้าว่า..พวกนั้นไม่ได้มาดีแน่ๆเลย” ฮวนเล่อเอ่ยอย่างกังวลใจ
“อืม...ข้าว่าเจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ข้าว่าเราไปเล่นน้ำดีกว่านะ” เหลี่ยนฮวาเอ่ยกับฮวนเล่อเพื่อให้สบายใจและทั้ง 2 ก็ถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวลงไปเล่นน้ำในน้ำตก
“ดูท่าเหลี่ยนฮวาจะไม่สงสัยอันใดเลยนะ” อ้ายเฉิน เด็กหนุ่มผมสีดำยาว ผิวขาวเนียนและดวงตาเรียวดูคมดุนั้นได้เอ่ยกับชานชื่อที่ยืนใกล้ๆตนตรงโขดหิน
“ข้าว่าพวกเจ้ารู้สึกตัวช้าไปหรือเปล่า? พวกนั้นตามเจ้ามานะ..เหลี่ยนฮวา” ชานชื่อ ชายหนุ่มผมสีเงินและมีดวงตาสีเทาที่มีเสน่ห์ยามที่ผู้ใดได้สบตาจะรู้สึกถึงพลังอำนาจของดวงตาคู่นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ต้นไม้ที่มีโขดหินขนาดใหญ่บังอยู่
“ข้าว่าเจ้าพวกนี้รู้ตัวช้าจริงๆนะ..เจ้าว่ามั้ย?” กาสรพูดแล้วหันไปสบตากับปันนคนาสน์
“พวกเจ้าตามข้ามาทำไม?” เหลี่ยนฮวาหันไปจ้องที่เด็กหนุ่มทั้ง 4 ที่เดินออกมาจากโขดหินที่ชานชื่อชี้
“เจ้ากลัวพวกข้ารึ? ” ปันนคนาสน์เอ่ยเยาะเย้ยเหลี่ยนฮวาที่จ้องมองตนอย่างระแวดระวัง
“แล้วยังไงล่ะ...ข้าไม่ได้กลัวเจ้า ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อันใดถึงต้องมาที่นี่” เหลี่ยนฮวาพูดพร้อมกับดวงตาหวานมีเสน่ห์นั้นจ้องเขม็งไปที่ปันนคนาสน์
“พวกข้าแค่มาทำธุระกับท่านพ่อของเจ้า” ผณินพูดขึ้น ทำให้อ้ายเฉินหันไปมองผณินที่พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“หึ ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ถ้าพวกเจ้ามาร้าย ข้าจะฆ่าเจ้าคนแรก” เหลี่ยนฮวาพูดกับปันนคนาสน์ย่างเด็ดเดี่ยว
“ขอให้เจ้าเชื่อว่าข้ามาดี” ปันนคนาสน์เอ่ยกับเหลี่ยนฮวาด้วยความมั่นคงดั่งกับให้คำสัญญา
“พวกเจ้าหวังสิ่งใดจากหมู่บ้านกลางป่านี้กันรึ?” ฮวนเล่อเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่เงียบฟังมานาน
“ข้าไม่ได้จะทำร้ายพวกเจ้าหรอก พวกข้าแค่ต้องการของสำคัญเพื่อช่วยคนในเมืองของข้าเท่านั้นแหละ..แม่นางคนสวย” มัชชารเอ่ยกับฮวนเล่อแล้วฉีกยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร
“ข้าเป็นบุรุษที่เก่งกล้า ไม่ใช่แม่นางคนสวยอย่างที่เจ้าว่านะ” ฮวนเล่อเอ่ยตอบอย่างอารมณ์เสียที่มีบุรุษมาว่าตนเป็นอิสตรี
“ข้าชื่นชมเจ้านะ ไยเจ้าต้องโมโหด้วยเล่า” มัชชารเอ่ยอย่างน้อยใจที่วันนี้ตนถูกคนสวยตั้ง 2 คนด่าว่าตน
“หึ เก็บคำชื่นชมของเจ้าไปบอกผู้อื่นเถอะ ข้ารังเกียจ” ฮวนเล่อเอ่ยอย่างไม่แยแสใบหน้าของมัชชารที่เริ่มกระเง้ากระงอดตน
“เหอะ! ข้ามันมีกรรมหนักหรือไรกันถึงมีแต่คนด่าว่าข้านัก” แล้วมัชชารก็สะบัดหน้างอนไม่มองฮวนเล่ออีก
“ฮวนเล่อ เจ้าเลิกเถียงได้แล้ว ส่วนพวกท่านก็ควรจะไปจากที่นี่ซะ พวกข้าต้องการความเป็นส่วนตัว” ชานชื่อเอ่ยกับสหายของตนและเด็กหนุ่มแปลกหน้าทั้ง 4 คนอย่างไม่เกรงกลัว
“ถ้าข้าไม่ไปแล้วเจ้าจะทำเช่นไร?” กาสรเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ชานชื่อที่ตกใจเดินถอยหลังทันที
“พอๆ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ตามใจพวกเจ้า ฮวนเล่อ! ขึ้นกันเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์จะเล่นน้ำแล้ว” เหลี่ยนฮวาที่กำลังจะลุกขึ้นก็โดนฮวนเล่อฉุดให้นั่งลง
“เจ้าลุกขึ้นไม่ได้นะ” ฮวนเล่อกระซิบบอกเหลี่ยนฮวาที่ขัดขืนตน
“อะไรของเจ้า..จะให้ข้านั่งตัวเปื่อยในนี้หรือไงกัน”
“ไม่ใช่! เจ้าอย่าลืมสิ...พวกนั้นยังอยู่ที่นี่นะ” ฮวนเล่อทำสีหน้าลำบากใจที่สหายของตนช่างไม่สังเกตสิ่งรอบตัวเช่นนี้
“อะ..เอ่อ..จริงด้วยสิ พวกเจ้าน่ะเดินไปที่อื่นได้หรือไม่ ข้าจะขึ้นจากน้ำ” เหลี่ยนฮวานึกขึ้นได้ก็ตะโกนบอกเด็กหนุ่มทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่
“หึ เจ้าลุกขึ้นมาสิ จะอายทำไมกันในเมื่อข้ากับเจ้าก็เหมือนกัน” ปันนคนาสน์เอ่ยขึ้นพลางใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองเหลี่ยนฮวา
“อะ..ไอ้บ้า..ไปที่อื่นเดี๋ยวนี้เลย เจ้าคนไร้มารยาท”
“เจ้ากลัวเหรอ?” ปันนคนาสน์เดินไปตรงที่เหลี่ยนฮวากำลังนั่งแช่น้ำอยู่ ท่ามกลางความตกใจของเหล่าสหายที่มองอยู่ในเหตุการณ์
“จะ..เจ้าออกไปนะ อย่ามาใกล้ข้า” เหลี่ยนฮวาตกใจก็รีบถอยหลังออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งก้าวพลาดทำให้เหลี่ยนฮวาสะดุดจะหงายหลัง ทันใดนั้นปันนคนาสน์ก็เอื้อมมือไปจับแขนเหลี่ยนฮวาแล้วกระชากเข้ามากอดไว้แน่น
“ซุ่มซ่ามจริงนะเจ้า”
“ปะ..ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เหลี่ยนฮวาเริ่มดิ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกกอดจากใครบางคน
“ขอบคุณสักคำก็ไม่มี ช่างไร้มารยาทจริงๆ”
“อะ..เอ่อ ขอบคุณมะ..จุ๊บ!” แล้วปันนคนาสน์ก็จุ๊บปากของเหลี่ยนฮวาก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดจบจนเจ้าตัวตาค้าง ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีเมื่อได้สติและรีบเอามือดันให้ปันนคนาสน์ปล่อยตน
“หึ ถ้าเจ้าเขินข้าก็บอกกันดีๆสิ” ปันนคนาสน์เอ่ยแซวเหลี่ยนฮวาแล้วก้มหน้าเอาจมูกไปคลอเคลียข้างแก้มของคนในอ้อมกอด แต่เหลี่ยนฮวาก็ยืนตัวแข็งแล้วก็เงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ตัวเปียกเพราะกอดตนอยู่อย่างสนใจ เอ๊ะ! นี่ข้าสนใจไอ้คนไร้มารยาทนี่หรอเนี่ย โอ้! ม่ายยยยยยยยย..
เฮือก!
(o_o)(._.)
เกิดอะไรกับเราว่ะเนี่ย!
เราฝันว่า...เรากอดกับผู้ชายยยยยยยยย....
กูรับไม่ได้อ่า...ไหน? ใคร? ใครทำเสน่ห์ใส่กูหรือเปล่าว่ะเนี่ย! ฮือๆๆๆๆ
“อ๊ากกกกก!” ผมตะโกนปล่อยอารมณ์หลอนร้องลั่นบ้าน
ตึง! ตึง! ตึง!
“เปิดประตูสิโว้ย! เพรส”
“ม่ายยยยยยย...กูรับไม่ได้” ผมเพ้อเจ้อแล้วอ่า
“ถ้ามึงไม่เปิดประตู กูจะฟรีคิกใส่ประตูมึงแล้วนะ” เสียงอิมพอร์ตตะโกนอยู่นอกหน้าห้องเพรสอย่างโมโห
กริ๊ก!
“ฮื่อๆๆๆ กูรับไม่ได้จริงๆ” ผมยังคงสติลอยละล่องไปเรื่อยๆ ก็มันช็อกอ่า
“มึงเป็นเชี้ยอะไรของมึง ห๊า! ร้องลั่นบ้านแล้วยังมาเลอะเทอะเสียสติใส่กูอีก”
“กูฝันร้ายที่สุดในชีวิตของกูเลยอ่า ฮึกๆ”
“ฝันว่า?”
“กูฝันว่ากูกอดกับผู้ชายแถมถอดเสื้อผ้าด้วยอ่า ฮื่อๆๆ”
“โห่! ไอ้บ้า มึงฝันว่ากอดกับผู้ชาย แต่กูนี่กอดจริงยังไม่เห็นจะเป็นไร กูไปดีกว่า”
ปัง!
หา? เมื่อกี้อิมพอร์ตมันพูดว่าอะไรนะ หือ?
ไอ้น้องบ้า! มึงกอดผู้ชาย
ผมช็อกครับท่าน แล้วนี่มันชอบผู้ชายด้วย ใช่มั้ย?? โฮๆๆๆ
กูอยากตาย!!!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ