ลูกเมียน้อย เดอะซีรีส์
-
เขียนโดย คุณหนูเหมียว
วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.23 น.
2 บท
0 วิจารณ์
5,564 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 18.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บ้านนี้(ไม่)มีเสา : The (Un)pillar House
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ รุ่งอรุณที่สาดแสงอ่อนๆ จากท้องฟ้า ลงสู่อาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่กันแสงไว้และเหลือแค่เพียงเงาของอาคารที่สาดลงยังพื้นถนน ทุกชีวิตได้ค่อยๆเริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ แม่ค้าแม่ขายก็เริ่มขายของยามเช้าแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้ง อาหารตามสั่ง หรือข้าวราดแกง ก็ได้เริ่มเปิดร้านพร้อมกับลูกค้าที่ต่อคิวรอซื้อกันอย่างหนาตา ร้านรวงต่างๆ ทยอยเปิดต้อนรับลูกค้า หนุ่มสาวก็เตรียมตัวออกไปทำงานแต่หัววันเพราะปัญหาการจราจร พ่อแม่พาลูกตัวเล็กๆของตัวเองออกไปส่งที่โรงเรียน
วันนี้เป็นวัน เปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนทุกระดับชั้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านต้องหัวปั่นกับลูกๆของตัวเอง ทั้งเตรียมตัวหนังสือสมุด อุปกรณ์การเรียน แต่งตัวให้ลูกกันจ้าละหวั่น เพื่อจะไม่ให้วันแรกของลูกๆไม่สาย ส่วนลูกๆที่โตแล้วพอจะรู้เรื่องรู้ราวก็ออกไปเตรียมตัวด้วยความกระตือรือร้น เพื่อต้อนรับภาคเรียนใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ส่วนนักเรียนที่โตขึ้นมาในระดับมัธยมก็เตรียมตัวออกไปเรียนโดยรอโดยสารรถ ประจำทางไปยังโรงเรียนต่างๆ ส่วนพวกมัธยมปลายก็ต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองแล้วว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน
เช่น กันกับผมและคุณแม่ของผมที่วันนี้ก็เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนของผม ณ บ้านทาวน์เฮาส์หัวมุมสองชั้นที่พึ่งย้ายมาจากอีกหลังที่อยู่ลึกเข้าไปอีกหก หลัง ซึ่งย้ายมาตามที่คุณพ่อบอกไว้ว่า จะได้ทำมาค้าขายได้ ซึ่งได้ปรับปรุงพื้นที่หน้าบ้านใหม่โดยรอบให้เป็นร้านชำเล็กๆ
บ้าน ของผมตั้งอยู่หัวมุมซอยหนึ่งของหมู่บ้านจัดสรรขนาดประมาณหกร้อยหลังคาเรือน โดยทุกหลังจะปลูกเหมือนกันหมด คือ เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้น สองห้องนอน สองห้องน้ำ และมีที่หน้าบ้านพอให้จัดรถได้คันหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งพอที่จะปลูกต้นไม้ ได้ แต่ส่วนบ้านหัวมุมนั้น จะมีที่ข้างๆบ้าน คือมีที่ปลูกต้นไม้มากขึ้นมาหน่อย ซึ่งหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่เกือบจะริมถนนสองเลนเล็กๆ รอบๆยังเป็นป่าหญ้าสูงๆ ที่รอการพัฒนาตามแผนของรัฐบาลที่ว่าจะทำถนนสิบหกเลนเป็นวงแหวนรอบนอก มีรถประจำทางผ่านแค่สองสายเท่านั้น
หมู่บ้านนี้ค่อนข้างจะห่าง ไกลความเจริญพอสมควรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) ถ้าจะเข้ากรุงเทพฯ จากจุดที่ใกล้ที่สุดก็ต้องเดินทางอย่างน้อย ๒๐ กิโลเมตร นับว่าเป็นชานเมืองที่ค่อนข้างจะบ้านนอกเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นก็เริ่มมีชุมชน มีตลาดใหญ่ๆ มาตั้งโดยห่างออกไปประมาณสามกิโลเมตร ตอนนั้นเริ่มมีการก่อสร้างโรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวก ก็ค่อยๆทยอยตามมา ร้านชำของคุณแม่ก็เลยไม่ต้องไปหาแหล่งซื้อของไกลมากนัก เพราะว่าจะมี ยี่ปั๊ว ที่รับของจากตลาดมาคอยเติมสินค้าที่ร้านชำอยู่แล้ว แต่บางทีคุณแม่ก็มักจะออกไปซื้อของเองเหมือนกัน
วันนี้ผมตื่นแต่ เช้า และสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด แล้วรีบไปอาบน้ำ และรีบตรงไปยังชุดนักเรียนเสื้อสีขาว กางเกงสีม่วงแก่ๆ ที่คุณแม่รีดไว้ให้ตั้งแต่ตอนกลางคืน ผมรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนคุณแม่ผมน่ะเหรอ ท่านตื่นตั้งแต่ตีสี่ มาเตรียมตัวกับการทำการค้าของท่าน ทำงานบ้านบางส่วน เตรียมมื้อเช้า ดูโทรทัศน์ และจิบกาแฟไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวหน้าหนึ่งเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ อย่างข่าวการเมืองที่ไม่มีวันลงรอยกัน ขาวอาชญากรรมที่มีแต่ฆ่าข่มขืนที่เปลี่ยนวิธีฆ่าไปเรื่อยๆ หมกรก หมกกระเป๋า เอาใส่ถุง หรือจะเป็นข่าวเศรษฐกิจฟองสบู่ ที่กังวลถึงหนี้ IMF ว่าเมื่อไหร่จะใช้หมดซักที เป็นเรื่องเดิมๆ
ประมาณหกโมงเกือบ ครึ่งผมลงมากินข้าวพร้อมที่จะไปขึ้นรถโรงเรียนตอนเจ็ดโมง กับข้าววันนี้เป็นไข่เจียวกับผัดผักบุ้ง แถมมีไข่ลวกในโอวัลตินด้วย แน่นอนว่าผมไม่ยอมกินไข่ลวกเพราะว่าผมรู้สึกว่ามันคาวเกินกว่าจะกินกับโอวัล ตินที่เป็นของหวานได้
เมื่อผมทานข้าวเสร็จ สิ่งที่ผมถามแม่ก็คือ
“วันนี้แม่จะไปส่งผมที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้ไปส่งจ๊ะ เดี๋ยวรถโรงเรียนจะมารับนะ” คุณแม่ผมตอบกลับแบบเรียบๆ
“แล้วพ่อล่ะ”
“พ่อเค้าติดงาน นอนค้างที่คอนโดไม่ได้กลับมาบ้านจ๊ะลูก” คุณแม่ผมตอบเรียบๆเหมือนเดิม
“วันนี้ลูกจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆที่โรงเรียนด้วยนะ เล่นกับเพื่อนดีๆล่ะ” คุณแม่ผมย้ำพลางตรวจความเรียบร้อยในกระเป๋าหนังสือและถุงนอน
ผม คอตกลงเล็กน้อยที่ไม่มีใครในครอบครัวไปส่งผมที่โรงเรียนเลยซักคนทั้งพ่อและ แม่ มองไข่เจียวที่เหลืออยู่ในจานเล็กน้อยลุกออกจากโต๊ะไปล้างมือล้างปากและไป นั่งรออยู่หน้าบ้าน
หนูน้อยชั้นอนุบาลพร้อมเป้ลายการ์ตูนสีแดง นั่งรอรถโรงเรียนที่กำลังรับคนอื่นในหมู่บ้านพลางคิดในใจถึงวันเปิดเทอมวัน แรกที่ไม่มีใครไปส่ง พร้อมกับมองเห็นเพื่อนๆพี่ๆในซอยที่เค้านั่งทั้งรถยนต์ทั้งมอเตอร์ไซค์ขับ ขี่ไปส่งลูกกับอย่างทุลักทุเล
“ดูพวกเค้ามีความสุขกันจังเลยนะ” ผมแอบคิดเบาๆอยู่ในใจ โดยที่คุณแม่ก็เดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับกอดผมด้วยความอ่อนโยน
เจ็ดโมงตรง รถโรงเรียนมารับ
รถ โรงเรียนของผมไม่เหมือนกับโรงเรียนอนุบาลเอกชน หรือโรงเรียนไหนๆ ที่จะมีคุณครูใส่เสื้อโปโลตรงโรงเรียนและกางเกงขายาวลงมารับเด็กทีละคน มีเพียงคนขับรถที่อายุพอๆกับคุณแม่ผม แต่งตัวด้วยแจ๊คเก็ตหนังสีดำ พร้อมกับกางเกงยืน รองเท้าผ้าใบ ท่าทางห้าวๆ บนรถโรงเรียนที่เป็นรถตู้กลางเก่ากลางใหม่มาจอดรถที่หน้าบ้านผมพอดี
“เอาล่ะ รถโรงเรียนมาแล้ว โขคดีนะครับลูก” คุณแม่ผลกล่าวพลางยกกระเป๋าให้
“ฝากด้วยนะคะเจ๊แมว” คุณแม่บอกกับคนขับรถสาวเฮี้ยว
“จ้า สบายใจได้เลย” คนขับรถตอบ
คุณแม่เดินไปเปิดประตูรถ แล้วพาผมขึ้นไปนั่งด้านหน้ารถ พร้อมกับปิดประตู แล้วโบกมือให้ผม
รถ โรงเรียนเคลื่อนตัวออกจากบ้านผมไปอย่างช้าๆ เริ่มออกห่างจากบ้านของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ถนนใหญ่ที่กำลังทำการขยายออกให้เป็นถนนสิบหกเลน รถเริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยในรถแทบจะไม่มีใครเลย ซึ่งผมก็พอจะเดาสาเหตุได้
ผมนั่งรถโรงเรียนต่อไปเรื่อยๆ เห็นสิ่งก่อสร้างมากมายที่กำลังพยายามสร้างอยู่ เพราะความเจริญจากการจะทำถนน ทำให้มีทั้งห้างสรรพสินค้า หมู่บ้านอาคารต่างๆ กำลังผุดขึ้นมาอย่างกับราเห็ดที่อยู่ในความชื้นที่เหมาะสมจนเป็นดอกเห็ดอวบๆ ใหญ่ๆ เต็มไปหมด
ใกล้โรงเรียนเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหนักขึ้น เพราะว่าพอเข้าสู่ถนนที่จะตรงเข้าสู่โรงเรียน ก็มีแต่ผู้ปกครองพาลูกมาทั้งนั้น รถที่ผมนั่งก็เคลื่อนตัวได้ช้าลงเรื่อยๆ เพราะการจราจรจากรถของผู้ปกครองที่ติดขัดยาวหลายร้อยเมตร บรรยากาศดูจอแจและสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว
โรงเรียนที่ผมกำลังจะ ไปเรียนนี้ เป็นโรงเรียนกึ่งรัฐบาลกึ่งเอกชน เพราะว่าเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้นเองในหมู่บ้านขนาดที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านผม ราวๆ ห้าถึงหกเท่าเลยทีเดียว แถมในนี้ยังมีทั้งธนาคาร โรงพยาบาล ตลาด ย่านการค้า ย่านที่อยู่อาศัย หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งพึ่งเปิดทำการศึกษาได้ราวๆห้าถึงหกปีเท่านั้น โดยโรงเรียนมีอาคารแค่สองหลัง คือ อาคารหลัก มีโรงอาหารอยู่ข้างใต้อาคารพร้อมสำนักงาน และด้านบนเป็นอาคารเรียนสองหลังหันเข้าหากัน มีทางเชื่อมและมีหลังคาคลุมอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ลานข้างล่างใช้เป็นลานเอนกประสงค์จัดกิจจกรมตอนฝนตกได้ ซึ่งเป็นอาคารเรียนแผนกประถม ถัดไปข้างๆกันเป็นอาคารเรียนแผนกอนุบาลที่มีสองส่วนงานคือ โรงเรียนเตรียมอนุบาล กับแผนกอนุบาลของโรงเรียน โดยด้านหน้าอาคารเรียนมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เข้าแถวทั้งโรงเรียน
ตอน แรกผมเกือบจะไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากเป็นโรงเรียนกึ่ง จึงจัดวิธีเข้ารับนักเรียนแบบจับฉลาก โดยให้เด็กในพื้นที่ได้จับก่อน ปรากฏว่า จำนวนนักเรียนเต็มก่อนที่คุณแม่จะพาผมไปสมัครซะอีก แต่ทีนี่ยังเหลือแผนกเตรียมอนุบาลที่ยังมีที่ว่าง ผมเลยเข้าไปเรียนเพื่อรอเข้าอนุบาลของโรงเรียนในปีหน้า และต้องเรียนที่นี่ไปอีกถึงเก้าปีเลย
รถโรงเรียนมาถึงหน้าโรงเรียน และจอดบริเวณจุดรับส่ง ป้าแมวคนขับรถก็พูดกับผมว่า
“เวลาขากลับ ให้ไปรอที่ใต้ต้นไม้ตรงนั้นนะ รถป้าจะจอดรอตรงนั้นแหละ”
“ครับ” ผมขานตอบ
ผม ลงจากรถและค่อยๆเดินไปยังอาคารฝ่ายอนุบาล ท่ามกลางบรรยากาศอันจอแจ เสียงกระจองอแงจากลูกๆที่ไม่อยากเข้าไปเรียนในโรงเรียน พ่อแม่ที่โอ๋ลูกมากจนมีแววว่าจะไปทำงานสายแน่นอน ลูกที่ยังไม่หยุดร้อง หรือพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูกมาเกาะรั้วกำแพงแผนกอนุบาลเพื่อดูลูกอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็โดนคุณครูไล่ออกไปตามหน้าที่
ผมเข้าไปยังห้องเรียนแผนกเตรียม อนุบาลซึ่งเหลือแค่ห้องเรียนเดียวตอนนี้ โดยไปเจอเพื่อนๆใหม่ รวมสามสิบคนในห้องเรียน มีครูประจำชั้นหนึ่งคน และพี่เลี้ยงสองคน
การ เข้าเรียนวันแรกในชีวิตของผมนั้นผมนับว่าไม่สนุกเท่าที่คิดไว้ เพราะมีแค่วาดภาพระบายสี ปั้นดินน้ำมัน ขีดๆเขียนๆบนกระดาษ นับว่าน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ชอบศิลปะเข้าไส้สำหรับผมเลยทีเดียวล่ะ
จน ตอนพักได้ปล่อยให้ผมไปเล่นที่สนามเด็กเล่นในแผนก ผมก็นั่งเล่นทรายที่บ่อทรายเงียบๆ โดยที่ยังไม่มีเพื่อน เพราะยังรู้สึกน้อยใจเรื่องตอนเช้าอยู่ ผมก็เล่นเงียบๆในแบบของผมนั่นแหละ จนพักกลางวันได้กินข้าว พูดคุยกับเพื่อนบ้าง สองสามประโยค หลังจากนั้นก็นอนกลางวัน ผมเป็นเด็กอนุบาลที่ไม่เคยนอนกลางวันหลับเลย ก็เลยนอนไม่หลับ กลิ้งไปกลิ้งมาจนเพื่อนตื่น ก็ลุกขึ้นตามเค้า เตรียมตัวให้เรียบร้อย ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก แล้วก็ปล่อยเลิก
ปล่อย เลิก ตอนนั้นก็ราวๆบ่ายสามโมงแล้ว ผมเตรียมเดินกลับออกไปยังจุดรับส่งนักเรียน ด้วยสีหน้าเรียบๆ พลางคิดไปว่า โรงเรียนนี่ก็น่าสนุกดีเหมือนกันแฮะ ดีกว่าอยู่บ้านนอนดูทีวี เล่นเกมส์ ไม่มีเพื่อน เก็บตัวเงียบๆคนเดียว
แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ผม เห็นคุณแม่ของผมใส่เสื้อยืนกางเกงขายาวมายืนรอที่หน้าแผนกอนุบาล คุณแม่ผมออกมารอรับผมอยู่หน้าประตูแล้วโบกมือเรียกผม ผมรู้สึกงอนเล็กๆ ว่าทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้ เลยหันหลังและวิ่งเข้าไปในรั้วของแผนกอนุบาล คุณแม่ผมก็เข้าไปไล่จับ และจับผมมากอดไว้ พร้อมกับขอโทษผมที่ไม่ได้มาส่งตอนเช้าเหมือนลูกบ้านอื่น ผมไม่เข้าใจหรอก เลยเอาแต่ร้องไห้และแกล้งงอนแม่ด้วยการร้องเสียงดังว่าจะนอนโรงเรียน จะไม่กลับไปบ้านแล้ว
นี่เป็นเรื่องแรกที่ผมรู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่างตัวเองกับเพื่อนๆคนอื่น ที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความสมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน แม้จะมีจะจน เค้าก็แลดูมีความสุข เหมือนเป็นบ้านที่สมบูรณ์ มีพ่อเป็นฐานรากและเสาหลักคอยดูแลบ้านให้มีความมั่นคง มีแม่เป็นผนังหลังคาที่ค่อยปรับอุณหภูมิให้อบอุ่นกว่าภายนอก และมีลูกที่อยู่ในบ้านหลังนั้นอย่างมีความสุข ผิดกับผมนะ บ้านผมไม่รู้ว่ามีเสาหรือไม่มีกันแน่ บางทีเสาก็มาหาบ้าน บางทีก็ไม่มี แต่ด้วยความไร้เดียงสาตอนนั้น ถึงจะมีหรือไม่มีเสา ก็คงไม่ต่างกันหรอกนะ
วันนี้เป็นวัน เปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนทุกระดับชั้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านต้องหัวปั่นกับลูกๆของตัวเอง ทั้งเตรียมตัวหนังสือสมุด อุปกรณ์การเรียน แต่งตัวให้ลูกกันจ้าละหวั่น เพื่อจะไม่ให้วันแรกของลูกๆไม่สาย ส่วนลูกๆที่โตแล้วพอจะรู้เรื่องรู้ราวก็ออกไปเตรียมตัวด้วยความกระตือรือร้น เพื่อต้อนรับภาคเรียนใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ส่วนนักเรียนที่โตขึ้นมาในระดับมัธยมก็เตรียมตัวออกไปเรียนโดยรอโดยสารรถ ประจำทางไปยังโรงเรียนต่างๆ ส่วนพวกมัธยมปลายก็ต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองแล้วว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน
เช่น กันกับผมและคุณแม่ของผมที่วันนี้ก็เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนของผม ณ บ้านทาวน์เฮาส์หัวมุมสองชั้นที่พึ่งย้ายมาจากอีกหลังที่อยู่ลึกเข้าไปอีกหก หลัง ซึ่งย้ายมาตามที่คุณพ่อบอกไว้ว่า จะได้ทำมาค้าขายได้ ซึ่งได้ปรับปรุงพื้นที่หน้าบ้านใหม่โดยรอบให้เป็นร้านชำเล็กๆ
บ้าน ของผมตั้งอยู่หัวมุมซอยหนึ่งของหมู่บ้านจัดสรรขนาดประมาณหกร้อยหลังคาเรือน โดยทุกหลังจะปลูกเหมือนกันหมด คือ เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้น สองห้องนอน สองห้องน้ำ และมีที่หน้าบ้านพอให้จัดรถได้คันหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งพอที่จะปลูกต้นไม้ ได้ แต่ส่วนบ้านหัวมุมนั้น จะมีที่ข้างๆบ้าน คือมีที่ปลูกต้นไม้มากขึ้นมาหน่อย ซึ่งหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่เกือบจะริมถนนสองเลนเล็กๆ รอบๆยังเป็นป่าหญ้าสูงๆ ที่รอการพัฒนาตามแผนของรัฐบาลที่ว่าจะทำถนนสิบหกเลนเป็นวงแหวนรอบนอก มีรถประจำทางผ่านแค่สองสายเท่านั้น
หมู่บ้านนี้ค่อนข้างจะห่าง ไกลความเจริญพอสมควรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) ถ้าจะเข้ากรุงเทพฯ จากจุดที่ใกล้ที่สุดก็ต้องเดินทางอย่างน้อย ๒๐ กิโลเมตร นับว่าเป็นชานเมืองที่ค่อนข้างจะบ้านนอกเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นก็เริ่มมีชุมชน มีตลาดใหญ่ๆ มาตั้งโดยห่างออกไปประมาณสามกิโลเมตร ตอนนั้นเริ่มมีการก่อสร้างโรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวก ก็ค่อยๆทยอยตามมา ร้านชำของคุณแม่ก็เลยไม่ต้องไปหาแหล่งซื้อของไกลมากนัก เพราะว่าจะมี ยี่ปั๊ว ที่รับของจากตลาดมาคอยเติมสินค้าที่ร้านชำอยู่แล้ว แต่บางทีคุณแม่ก็มักจะออกไปซื้อของเองเหมือนกัน
วันนี้ผมตื่นแต่ เช้า และสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด แล้วรีบไปอาบน้ำ และรีบตรงไปยังชุดนักเรียนเสื้อสีขาว กางเกงสีม่วงแก่ๆ ที่คุณแม่รีดไว้ให้ตั้งแต่ตอนกลางคืน ผมรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนคุณแม่ผมน่ะเหรอ ท่านตื่นตั้งแต่ตีสี่ มาเตรียมตัวกับการทำการค้าของท่าน ทำงานบ้านบางส่วน เตรียมมื้อเช้า ดูโทรทัศน์ และจิบกาแฟไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวหน้าหนึ่งเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ อย่างข่าวการเมืองที่ไม่มีวันลงรอยกัน ขาวอาชญากรรมที่มีแต่ฆ่าข่มขืนที่เปลี่ยนวิธีฆ่าไปเรื่อยๆ หมกรก หมกกระเป๋า เอาใส่ถุง หรือจะเป็นข่าวเศรษฐกิจฟองสบู่ ที่กังวลถึงหนี้ IMF ว่าเมื่อไหร่จะใช้หมดซักที เป็นเรื่องเดิมๆ
ประมาณหกโมงเกือบ ครึ่งผมลงมากินข้าวพร้อมที่จะไปขึ้นรถโรงเรียนตอนเจ็ดโมง กับข้าววันนี้เป็นไข่เจียวกับผัดผักบุ้ง แถมมีไข่ลวกในโอวัลตินด้วย แน่นอนว่าผมไม่ยอมกินไข่ลวกเพราะว่าผมรู้สึกว่ามันคาวเกินกว่าจะกินกับโอวัล ตินที่เป็นของหวานได้
เมื่อผมทานข้าวเสร็จ สิ่งที่ผมถามแม่ก็คือ
“วันนี้แม่จะไปส่งผมที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้ไปส่งจ๊ะ เดี๋ยวรถโรงเรียนจะมารับนะ” คุณแม่ผมตอบกลับแบบเรียบๆ
“แล้วพ่อล่ะ”
“พ่อเค้าติดงาน นอนค้างที่คอนโดไม่ได้กลับมาบ้านจ๊ะลูก” คุณแม่ผมตอบเรียบๆเหมือนเดิม
“วันนี้ลูกจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆที่โรงเรียนด้วยนะ เล่นกับเพื่อนดีๆล่ะ” คุณแม่ผมย้ำพลางตรวจความเรียบร้อยในกระเป๋าหนังสือและถุงนอน
ผม คอตกลงเล็กน้อยที่ไม่มีใครในครอบครัวไปส่งผมที่โรงเรียนเลยซักคนทั้งพ่อและ แม่ มองไข่เจียวที่เหลืออยู่ในจานเล็กน้อยลุกออกจากโต๊ะไปล้างมือล้างปากและไป นั่งรออยู่หน้าบ้าน
หนูน้อยชั้นอนุบาลพร้อมเป้ลายการ์ตูนสีแดง นั่งรอรถโรงเรียนที่กำลังรับคนอื่นในหมู่บ้านพลางคิดในใจถึงวันเปิดเทอมวัน แรกที่ไม่มีใครไปส่ง พร้อมกับมองเห็นเพื่อนๆพี่ๆในซอยที่เค้านั่งทั้งรถยนต์ทั้งมอเตอร์ไซค์ขับ ขี่ไปส่งลูกกับอย่างทุลักทุเล
“ดูพวกเค้ามีความสุขกันจังเลยนะ” ผมแอบคิดเบาๆอยู่ในใจ โดยที่คุณแม่ก็เดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับกอดผมด้วยความอ่อนโยน
เจ็ดโมงตรง รถโรงเรียนมารับ
รถ โรงเรียนของผมไม่เหมือนกับโรงเรียนอนุบาลเอกชน หรือโรงเรียนไหนๆ ที่จะมีคุณครูใส่เสื้อโปโลตรงโรงเรียนและกางเกงขายาวลงมารับเด็กทีละคน มีเพียงคนขับรถที่อายุพอๆกับคุณแม่ผม แต่งตัวด้วยแจ๊คเก็ตหนังสีดำ พร้อมกับกางเกงยืน รองเท้าผ้าใบ ท่าทางห้าวๆ บนรถโรงเรียนที่เป็นรถตู้กลางเก่ากลางใหม่มาจอดรถที่หน้าบ้านผมพอดี
“เอาล่ะ รถโรงเรียนมาแล้ว โขคดีนะครับลูก” คุณแม่ผลกล่าวพลางยกกระเป๋าให้
“ฝากด้วยนะคะเจ๊แมว” คุณแม่บอกกับคนขับรถสาวเฮี้ยว
“จ้า สบายใจได้เลย” คนขับรถตอบ
คุณแม่เดินไปเปิดประตูรถ แล้วพาผมขึ้นไปนั่งด้านหน้ารถ พร้อมกับปิดประตู แล้วโบกมือให้ผม
รถ โรงเรียนเคลื่อนตัวออกจากบ้านผมไปอย่างช้าๆ เริ่มออกห่างจากบ้านของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ถนนใหญ่ที่กำลังทำการขยายออกให้เป็นถนนสิบหกเลน รถเริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยในรถแทบจะไม่มีใครเลย ซึ่งผมก็พอจะเดาสาเหตุได้
ผมนั่งรถโรงเรียนต่อไปเรื่อยๆ เห็นสิ่งก่อสร้างมากมายที่กำลังพยายามสร้างอยู่ เพราะความเจริญจากการจะทำถนน ทำให้มีทั้งห้างสรรพสินค้า หมู่บ้านอาคารต่างๆ กำลังผุดขึ้นมาอย่างกับราเห็ดที่อยู่ในความชื้นที่เหมาะสมจนเป็นดอกเห็ดอวบๆ ใหญ่ๆ เต็มไปหมด
ใกล้โรงเรียนเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหนักขึ้น เพราะว่าพอเข้าสู่ถนนที่จะตรงเข้าสู่โรงเรียน ก็มีแต่ผู้ปกครองพาลูกมาทั้งนั้น รถที่ผมนั่งก็เคลื่อนตัวได้ช้าลงเรื่อยๆ เพราะการจราจรจากรถของผู้ปกครองที่ติดขัดยาวหลายร้อยเมตร บรรยากาศดูจอแจและสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว
โรงเรียนที่ผมกำลังจะ ไปเรียนนี้ เป็นโรงเรียนกึ่งรัฐบาลกึ่งเอกชน เพราะว่าเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้นเองในหมู่บ้านขนาดที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านผม ราวๆ ห้าถึงหกเท่าเลยทีเดียว แถมในนี้ยังมีทั้งธนาคาร โรงพยาบาล ตลาด ย่านการค้า ย่านที่อยู่อาศัย หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งพึ่งเปิดทำการศึกษาได้ราวๆห้าถึงหกปีเท่านั้น โดยโรงเรียนมีอาคารแค่สองหลัง คือ อาคารหลัก มีโรงอาหารอยู่ข้างใต้อาคารพร้อมสำนักงาน และด้านบนเป็นอาคารเรียนสองหลังหันเข้าหากัน มีทางเชื่อมและมีหลังคาคลุมอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ลานข้างล่างใช้เป็นลานเอนกประสงค์จัดกิจจกรมตอนฝนตกได้ ซึ่งเป็นอาคารเรียนแผนกประถม ถัดไปข้างๆกันเป็นอาคารเรียนแผนกอนุบาลที่มีสองส่วนงานคือ โรงเรียนเตรียมอนุบาล กับแผนกอนุบาลของโรงเรียน โดยด้านหน้าอาคารเรียนมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เข้าแถวทั้งโรงเรียน
ตอน แรกผมเกือบจะไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากเป็นโรงเรียนกึ่ง จึงจัดวิธีเข้ารับนักเรียนแบบจับฉลาก โดยให้เด็กในพื้นที่ได้จับก่อน ปรากฏว่า จำนวนนักเรียนเต็มก่อนที่คุณแม่จะพาผมไปสมัครซะอีก แต่ทีนี่ยังเหลือแผนกเตรียมอนุบาลที่ยังมีที่ว่าง ผมเลยเข้าไปเรียนเพื่อรอเข้าอนุบาลของโรงเรียนในปีหน้า และต้องเรียนที่นี่ไปอีกถึงเก้าปีเลย
รถโรงเรียนมาถึงหน้าโรงเรียน และจอดบริเวณจุดรับส่ง ป้าแมวคนขับรถก็พูดกับผมว่า
“เวลาขากลับ ให้ไปรอที่ใต้ต้นไม้ตรงนั้นนะ รถป้าจะจอดรอตรงนั้นแหละ”
“ครับ” ผมขานตอบ
ผม ลงจากรถและค่อยๆเดินไปยังอาคารฝ่ายอนุบาล ท่ามกลางบรรยากาศอันจอแจ เสียงกระจองอแงจากลูกๆที่ไม่อยากเข้าไปเรียนในโรงเรียน พ่อแม่ที่โอ๋ลูกมากจนมีแววว่าจะไปทำงานสายแน่นอน ลูกที่ยังไม่หยุดร้อง หรือพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูกมาเกาะรั้วกำแพงแผนกอนุบาลเพื่อดูลูกอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็โดนคุณครูไล่ออกไปตามหน้าที่
ผมเข้าไปยังห้องเรียนแผนกเตรียม อนุบาลซึ่งเหลือแค่ห้องเรียนเดียวตอนนี้ โดยไปเจอเพื่อนๆใหม่ รวมสามสิบคนในห้องเรียน มีครูประจำชั้นหนึ่งคน และพี่เลี้ยงสองคน
การ เข้าเรียนวันแรกในชีวิตของผมนั้นผมนับว่าไม่สนุกเท่าที่คิดไว้ เพราะมีแค่วาดภาพระบายสี ปั้นดินน้ำมัน ขีดๆเขียนๆบนกระดาษ นับว่าน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ชอบศิลปะเข้าไส้สำหรับผมเลยทีเดียวล่ะ
จน ตอนพักได้ปล่อยให้ผมไปเล่นที่สนามเด็กเล่นในแผนก ผมก็นั่งเล่นทรายที่บ่อทรายเงียบๆ โดยที่ยังไม่มีเพื่อน เพราะยังรู้สึกน้อยใจเรื่องตอนเช้าอยู่ ผมก็เล่นเงียบๆในแบบของผมนั่นแหละ จนพักกลางวันได้กินข้าว พูดคุยกับเพื่อนบ้าง สองสามประโยค หลังจากนั้นก็นอนกลางวัน ผมเป็นเด็กอนุบาลที่ไม่เคยนอนกลางวันหลับเลย ก็เลยนอนไม่หลับ กลิ้งไปกลิ้งมาจนเพื่อนตื่น ก็ลุกขึ้นตามเค้า เตรียมตัวให้เรียบร้อย ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก แล้วก็ปล่อยเลิก
ปล่อย เลิก ตอนนั้นก็ราวๆบ่ายสามโมงแล้ว ผมเตรียมเดินกลับออกไปยังจุดรับส่งนักเรียน ด้วยสีหน้าเรียบๆ พลางคิดไปว่า โรงเรียนนี่ก็น่าสนุกดีเหมือนกันแฮะ ดีกว่าอยู่บ้านนอนดูทีวี เล่นเกมส์ ไม่มีเพื่อน เก็บตัวเงียบๆคนเดียว
แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ผม เห็นคุณแม่ของผมใส่เสื้อยืนกางเกงขายาวมายืนรอที่หน้าแผนกอนุบาล คุณแม่ผมออกมารอรับผมอยู่หน้าประตูแล้วโบกมือเรียกผม ผมรู้สึกงอนเล็กๆ ว่าทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้ เลยหันหลังและวิ่งเข้าไปในรั้วของแผนกอนุบาล คุณแม่ผมก็เข้าไปไล่จับ และจับผมมากอดไว้ พร้อมกับขอโทษผมที่ไม่ได้มาส่งตอนเช้าเหมือนลูกบ้านอื่น ผมไม่เข้าใจหรอก เลยเอาแต่ร้องไห้และแกล้งงอนแม่ด้วยการร้องเสียงดังว่าจะนอนโรงเรียน จะไม่กลับไปบ้านแล้ว
นี่เป็นเรื่องแรกที่ผมรู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่างตัวเองกับเพื่อนๆคนอื่น ที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความสมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน แม้จะมีจะจน เค้าก็แลดูมีความสุข เหมือนเป็นบ้านที่สมบูรณ์ มีพ่อเป็นฐานรากและเสาหลักคอยดูแลบ้านให้มีความมั่นคง มีแม่เป็นผนังหลังคาที่ค่อยปรับอุณหภูมิให้อบอุ่นกว่าภายนอก และมีลูกที่อยู่ในบ้านหลังนั้นอย่างมีความสุข ผิดกับผมนะ บ้านผมไม่รู้ว่ามีเสาหรือไม่มีกันแน่ บางทีเสาก็มาหาบ้าน บางทีก็ไม่มี แต่ด้วยความไร้เดียงสาตอนนั้น ถึงจะมีหรือไม่มีเสา ก็คงไม่ต่างกันหรอกนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ