Mummy-shaped Heart - หัวใจรูปมัมมี่

-

เขียนโดย Olette

วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.00 น.

  6 ตอน
  3 วิจารณ์
  9,608 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 20.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Chapter 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          เซนตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้นสิบนาที เขานอนอยู่บนเตียงและให้ความขี้เกียจสร้างข้ออ้างที่ไม่อยากไปโรงเรียนอยู่ในหัว และเขาก็นึกถึงแม่ที่จากเขาไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ที่เขาสัญญาว่าจะไม่มีวันลืมค่อยๆ เลือนลางขึ้นทุกที นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เซนรู้ว่าเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งความรัก ความทรงจำ และคำสัญญา ความรักที่เขามีไว้ให้กับแม่ก็เปลี่ยนไปเป็นความเจ็บปวดที่ได้เสียคนอันเป็นที่รักไป ความทรงจำที่เกี่ยวกับแม่ของเขาก็ค่อยๆ เลือนลางไปเหมือนความฝันหลังตื่นนอน และคำสัญญาของพ่อของเขาที่เคยบอกไว้ว่าจะเป็นพ่อที่ดี และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเสมอก็ค่อยๆ เลือนลางหายไปเช่นกัน เซนอดนึกถึงครั้งแรกที่พ่อให้คำสัญญานั้นกับเขาไม่ได้
               
          “ลูกโตมาต้องเป็นเหมือนพ่อนะลูก เป็นคนดี ตั้งใจทำงาน และรักครอบครัว พ่อสัญญาจะเป็นคนดีและเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก” พ่อของเซนพูดกับเซน หลังจากที่เซนยื่นภาพวาดรูปครอบครัวที่เขาวาดขึ้นเองให้ ในรูปมีพ่อของเซน แม่ของเซน และเซนเองตอนยังเล็กในตอนนั้น “และที่สำคัญนะลูก จำไว้ว่าอย่ายุ่งกับพวกสิ่งเสพติดนะลูก อย่านึกลองของแบบนั้นนะ”
           
          “ฮ่าๆ อะไรกันคะ ป๊า ก่อนจะสอนลูกก็ชมผลงานเขาด้วยสิ ดูสิลูกอุตส่าห์วาดรูปพวกเรามาให้” แม่ของเซนเช็ดมือหลังจากล้างจานเสร็จและเดินมาดูภาพวาดของเซน
           
          “เขาวาดพ่อตัวเตี้ยจังเลย พ่อสูงกว่านี้นะ” พ่อของเซนดึงเซนเข้ามากอด “แต่ที่สำคัญคืออะไรรู้ไหมลูก ที่สำคัญคือ เราสามคนอยู่ด้วยกันตลอดไป เหมือนในภาพวาดไง”
           
          “ลูกวาดสวยมากจ้ะ” แม่ของเซนพูด และก้มลงหอมแก้มขวาของเซน “และป๊า ยังไงลูกของเราหน่ะ ก็เป็นคนดีและเก่งอยู่ละ โตขึ้นมาก็จะเป็นอย่างนั้น” แม่เซนพูดเสร็จก่อนจะหอมแก้มขวาของพ่อของเซนต่อ
           
          และดูตอนนี้สิ พ่อของเขากลับมีเวลาให้เขาน้อยลงๆ ทุกวัน และเรื่องของบุหรี่และเหล้าที่พ่อห้ามนักหนา พ่อก็มาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแทน เซนนึกอย่างนั้น หน้าอกเขาก็รู้สึกบีบตัวขึ้นมา และเขาต้องกลั้นน้ำตาที่ถูกเก็บกักไว้มานาน เขาจะไม่ร้องไห้ เขาจะไม่ร้องไห้
               
          “ตูม! ตูม! ตูม! จุดจบของโลกมาถึงแล้วเซน ตื่นมาเล่นว่าวครั้งสุดท้ายซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง วะฮ่าๆๆ” เสียงนาฬิกาปลุกที่แสนสร้างสรรค์ที่อิทตั้งไว้ให้ดังขึ้นมา ทำให้เซนหลุดออกจากภวังค์
               
          ครั้งแรกที่เซนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่อิทตั้งให้ครั้งแรก เขาก็อดขำไม่ได้ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงเขาจะไม่ได้ขำ แต่เขาก็อดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยเขายังมีเพื่อนประหลาดๆ และลึกลับอย่างอิทอยู่
          
          หลังจากอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ และกำลังทำแซนวิชทูน่าให้กับตัวเองเป็นอาหารเช้า เซนก็นึกถึงจูดี้ การที่ได้นึกถึงจูดี้ทำให้เขาอยากไปโรงเรียนขึ้นมาทันที ก่อนออกจากบ้านเซนจะเข้าไปเช็คพ่อของเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่พ่อของเขาก็จะนอนเป็นตายเสมอ ขนาดเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังและประหลาดยังไม่สามารถปลุกพ่อของเขาได้เลย ระหว่างทางไปโรงเรียนในรถไฟฟ้าใต้ดิน เซนพยายามคิดในแง่ดีเกี่ยวกับพ่อของเขา ถึงแม้พ่อของเขาจะเปลี่ยนไป แต่พ่อก็ยังมีความรับผิดชอบของเขาอยู่ พ่อไม่เคยลืมจ่ายค่าเรียนหรือลืมให้เงินเดือนเซนเลย อย่างน้อยพ่อของเขาก็ส่งเขาเรียนและเขาก็ยังมีเงินใช้ และกินดีอยู่ดี หลังจากรถไฟฟ้าใต้ดิน เซนก็ต่อรถเมล์ไปถึงโรงเรียน เขามาถึงก่อนเวลาสักพัก และเด็กนักเรียนก็จับกลุ่มคุยกันเสียงดังอยู่ใต้อาคารรอเรียกเข้าแถว เขามองหาอิทแต่หาไม่เจอ
               
          เมื่อจบคาบที่สองของวัน เซนก็ยังไม่เห็นวี่แววของอิท เขาจึงมั่นใจว่าอิทคงจะไม่มาแล้ววันนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร อิทขาดเรียนอยู่บ่อยครั้ง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม เซนจึงชินแล้ว แต่เขาก็ยังหวังว่าอิทจะมาโรงเรียนอยู่ดี เขาจะได้มีเพื่อน เซนเคยสงสัยว่าอิทคงไม่สบายเพราะเขาขาดเรียนอยู่บ่อยๆ และสันนิษฐานว่าอิทอาจมีโรคประจำตัวอะไรซักอย่าง แต่พอไต่ถาม อิทก็จะให้คำตอบที่แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง
               
          “โห่ ขอร้อง เป็นเด็กเขาก็ต้องมีโดดเรียนบ้างดิ มันถึงhealthy”
               
          “เราไม่ได้เป็นโรคบ้าบออะไรหรอก แค่มีธุระนิดหน่อย”
               
          หรือไม่ก็บางทีอิทจะพูดว่า
               
          “ไปต่างประเทศมา เซนจังของเราเหงาอะดิ”
               
          แต่พอสอบถามเพิ่มเติมอิทก็จะบอกว่า “โห่ ขอร้อง” และไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม       
               
          วันนี้คาบ Biology อาจารย์ Kaltovski เรียกให้ทุกคนไปห้อง lab เป็นครั้งแรกของปีการศึกษานี้ที่ห้อง 3A จะไปห้อง lab กัน เซนแยกตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน และจึงไปจอยเพื่อนๆ ทีหลัง เมื่อตามมาที่ห้อง lab ทีหลัง อาจารย์ Kaltovski ก็กำลังเตรียมอุปกรณ์ ต่างๆ อยู่ และยังไม่เริ่มบทเรียน นักเรียนถูกนั่งแบ่งกันตามโต๊ะต่างๆ นั่งเป็นกลุ่มๆ เก่งเห็นเซนมาทีหลังจึงโบกมือเรียกให้มานั่งด้วยกัน เซนก็กำลังจะไปจอยกลุ่มนั้นเมื่อเขาเห็นมีโต๊ะหนึ่งที่ไร้ซึ่งผู้คนยกเว้นแต่ผู้หญิงใส่แว่นผมประบ่านั่งอยู่คนเดียว เซนเห็นเช่นนั้นจึงโบกมือปฏิเสธเก่งและไปนั่งกับเพ็ญสองคนที่โต๊ะ
               
          “อ้าวเพ็ญ ทำไมมานั่งคนเดียว ไปนั่งโต๊ะอื่นด้วยกันดิ” เซนชักชวนเพ็ญ เพ็ญหันไปสำรวจโต๊ะที่เก่งนั่งอยู่ซึ่งมีแต่ผู้ชาย และตอบกลับว่า                               
               
          “เซนใช่ปะ ไม่เป็นไร เซน เราอยู่นี่แหละดีละ ไปนั่งกับเพื่อนเหอะ” เพ็ญตอบอย่างเกรงใจ เซนเห็นว่าเพ็ญคงไม่ไปนั่งโต๊ะที่มีแต่ผู้ชายจึงถามต่อ  
               
          “ไปนั่งโต๊ะอื่นกับเพื่อนคนอื่นก็ได้นิ โต๊ะที่มีผู้หญิงก็มี” เพ็ญหันไปมองโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าซึ่งมีผู้หญิงอยู่สามสี่คน สามในสี่คนนั้นเหมือนกำลังนินทาอะไรกันอยู่ โดยเฉพาะซินดี้ที่มองมาทางเพ็ญด้วยสายตาที่เหมือนว่าจะไม่ชอบขี้หน้าเธอสักเท่าไร เพ็ญส่ายหน้าปฏิเสธทันที ตาของเพ็ญบ่งบอกชัดเจนถึงความกลัว เซนเห็นอย่างนั้นจึงพูดว่า
               
          “งั้นไม่เป็นไร นั่งกันสองคนนี่แหละ”
               
          “Ok everyone, please quiet down. Today we won’t be conducting any experiments. Just some exercises for you to do. Very simple, but you need these microscopes to answer your questions. Please do come and get it. Oh, and you two over there, please join other tables. These exercises are to be completed in groups.” อาจารย์ Kaltovski กล่าวอธิบายสิ่งที่จะทำวันนี้ และบอกให้เซนและเพ็ญย้ายไปนั่งกับกลุ่มอื่นเพราะแบบฝึกหัดที่อาจารย์จะให้ อยากให้ทำเป็นกลุ่ม
               
          “Please join one of these two tables. They only have three to four people.” อาจารย์ Kaltovski บอกให้เซนกับเพ็ญมานั่งหนึ่งในสองโต๊ะที่เขาชี้ เพราะมีนักเรียนอยู่แค่สามสี่คนต่อโต๊ะ เมื่อเห็นสองโต๊ะที่จะต้องมานั่งแล้ว ทั้งเพ็ญและเซน หัวใจของทั้งคู่ก็ต้องตกลงไปที่ตาตุ่มทันที โต๊ะด้านขวามีซินดี้นั่งอยู่ และโต๊ะทางด้านซ้ายมีจูดี้กับเพื่อนนั่งกันอยู่สามคน ทั้งเซนและเพ็ญต่างชี้ไปคนละด้านและพูดพร้อมกัน
               
          “ไปนั่งโต๊ะฝั่งขวาเถอะ!” เซนกล่าว
               
          “ไปนั่งโต๊ะฝั่งซ้ายเถอะ!” เพ็ญกล่าว
               
          ทั้งคู่มองหน้ากันซักพัก สุดท้ายเซนก็รู้ว่าต้องทำยังไง เมื่อเขาเห็นสายตาที่แสดงถึงความกลัวของเพ็ญ เซนแน่ใจว่าเพ็ญกับซินดี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกกันอยู่ เขาจึงยอมไปนั่งโต๊ะที่จูดี้นั่งอยู่ เขาจะแยกตัวไปนั่งอีกโต๊ะก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากทิ้งเพ็ญไว้คนเดียว
               
          “นั่งด้วยนะคับ”
               
          “นั่งด้วยนะค่ะ”
               
          เซนและเพ็ญกล่าว จูดี้และคนอื่นๆ พยักหน้ารับ เซนกับเพ็ญจึงลากเก้าอี้ออกมานั่ง
               
          โต๊ะแต่ละโต๊ะไม่ใหญ่มาก ทุกคนจึงนั่งหันหน้าเข้าหากัน เซนนั่งตรงข้ามจูดี้พอดี เซนหันไปมองโต๊ะที่เก่งนั่งอยู่ ซึ่งโต๊ะนั้น เบียดกันนั่งถึงแปดคน เมื่อจูดี้กับเซนสบตากัน จูดี้ก็ก้มลงหลบสายตา และหน้าเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อยทันที เซนเห็นอย่างนั้นก็เกิดปฏิกริยาเดียวกัน เซนก้มลงและให้ความสนใจกับมือใต้โต๊ะเป็นพิเศษทันที
               
          เมื่ออาจารย์ Kaltovski อธิบายสิ่งที่จะต้องทำเสร็จ ก็ให้ทุกคนไปเอา microscope หรือ กล้องจุลทรรศน์ และแยกย้ายกันไปทำงาน โต๊ะของเซน จูดี้เป็นคนอาสาไปเอากล้องจุลทรรศน์
               
          “นี่เธอสองคนทำไมไปนั่งโต๊ะนั้นกันสองต่อสองอะตอนแรก” ผู้หญิงลูกครึ่งที่นั่งข้างๆ เพ็ญยื่นหน้ามาถามอย่างยิ้มๆ
               
          “ป่าว เราก็แค่ เอ่อ…” เซนไม่รู้จะพูดต่อยังไงดี จึงพูดไปว่า “เราก็แค่อยากนั่งกับเพ็ญหน่ะ”
               
          เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ทำเสียงลากยาวแซวขึ้นมาทันที
               
          “ป่าว เราหมายถึง” เซนพูดตะกุกตะกัก และหันไปหาเพ็ญเพื่อความช่วยเหลือ แต่เพ็ญกับหน้าแดงและก้มลงให้ความสนใจกับมือใต้โต๊ะ ปฏิกริยาเดียวกันกับที่เซนและจูดี้ทำตะกี้นี้
               
          เมื่อจูดี้กลับมาพร้อม microscope ทุกคนก็เริ่มทำงาน เซนไม่รู้จักเพื่อนจูดี้เลยซักคน
               
          “เธอสองคนๆ พวกเธอทำ exercise C ละกันนะ” ผู้หญิงลูกครึ่งคนเดิมกล่าว “ว่าแต่ชื่ออะไรกัน”
               
          “เรา เพ็ญ” เพ็ญตอบ
               
          “นี่เซน” จูดี้พูดขึ้นมา ก่อนที่เซนจะตอบ ทำให้เซนมองหน้าเธอ
               
          “เธอสองคนรู้จักกันมาก่อนหรอ จูดี้” ผู้หญิงลูกครึ่งหันมาถามจูดี้ จูดี้หันมามองหน้าเซนก่อนที่จะหันกลับไปตอบว่า              
               
          “ป่าว แค่เคยได้ยินเพื่อนคนอื่นเรียกหน่ะ”
               
          “อ๋อ เราเจน นี่จูดี้กับฟ้า” เจนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนฟ้าก็ยิ้มทักทาย
               
          ‘นางฟ้ากับฟ้า เข้ากันดีนะ’ เซนคิด ‘ทำไมจู่ๆ จูดี้ถึงแนะนำชื่อเราแทนนะ’
               
          งานที่ถูกมอบหมายนั้นไม่ยากเท่าไร นักเรียนทุกคนเริ่มทำงาน ที่โต๊ะของเซน ทั้งห้าคนต่างช่วยกันทำงาน อาจารย์ Kaltovski ก็คอยเดินช่วยเหลือตามโต๊ะ
               
          “เซน ทำหน้าที่สามเสร็จยัง เอากระดาษมาดูคำตอบหน่อยสิ” เจนถามอย่างสงสัย
               
          “เราก็ติดอยู่หน้านี้เหมือนกันไม่แน่ใจว่าข้อที่ 3,4,5 ตอบอะไร” เซนตอบอย่างสงสัยเช่นกัน
               
          “เรารู้ข้อสาม นี่ไง” ฟ้า ผู้หญิงตัวเล็กๆ ผูกผมหางม้าบอก และยื่นกระดาษของเธอมาให้เซนกับเจนดู
               
          “และข้อสี่ ข้อห้าใครทำได้บ้างอะ จูดี้ได้ปะ” เจนถามต่อ
               
          “ไม่รู้สิ เหมือนพวกเรายังไม่เคยเรียนนะ หาในหนังสือก็ไม่มี” จูดี้ก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
               
          “เรารู้ ข้อพวกนี้เรายังเรียนไม่ถึง ถ้าอยากหาคำตอบในหนังสือต้องดูบทอื่น” เพ็ญกล่าวพร้อมใช้กระดาษของเธอโชว์คำตอบที่เธอเขียนไว้
               
          “เพ็ญเก่งแฮะ รู้ได้ไงเนี่ย”เซนกล่าวพร้อมเขียนคำตอบของเพ็ญลงในกระดาษของเขา
               
          “แน่ใจรึป่าวว่าถูก” ฟ้าทำหน้างงๆ เหมือนไม่เข้าใจคำตอบ
               
          “เราคิดว่าถูกนะ เดี๋ยวรอถามอาจารย์ดูอีกทีก็ได้” เพ็ญตอบเผื่อ
               
          “นี่ไงอาจารย์เดินมาละ Dr.Akulov , could you come here, please?” จูดี้เรียกอาจารย์มาถาม อาจารย์ Kaltovski อธิบายคำถามให้โต๊ะเราฟัง และบอกว่าคำตอบที่เพ็ญได้นั้นถูกต้อง และกล่าวชมเรา เขาไม่คิดว่าจะมีเด็กตอบได้ เขากะจะรอเฉลยให้ทุกคนทีหลัง แต่ห้องนี้มีคนตอบได้ถึงสองโต๊ะ เซนแน่ใจเลยว่าอีกโต๊ะที่ว่าต้องเป็นโต๊ะของเก่งแน่นอน
               
          เมื่อทุกโต๊ะทำเสร็จ อาจารย์ Kaltovski ก็เฉลยคำตอบและให้การบ้านเมื่อจบคาบ เซนอยากนั่งอยู่ต่อถ้าเป็นไปได้ เขาไม่มายด์นั่งเรียน biology ทั้งวันในห้อง lab เลย ถ้าเขาได้นั่งอยู่ใกล้จูดี้ และทำงานด้วยกันกับเธอแบบนี้
               
          “การบ้านดูยากแฮะ เห็นแล้วก็ขี้เกียจทำละ” เจนบ่นหลังจากเช็คดูการบ้านที่ได้รับมอบหมาย
               
          “ตลอดแหละ คราวนี้บอกก่อนนะ ไม่ให้ลอกแล้วนะ เดี๋ยวก็เรียนไม่รู้เรื่องพอดี” จูดี้เตือนเจน
               
          “โห่ จูดี้ ไม่เป็นไร งั้นเรารอลอกฟ้าก็ได้” เจนหันมาทำหน้าอ้อนฟ้าแทน
               
          “ไม่ให้ ถ้าจูดี้ไม่ให้เราก็ไม่ให้เหมือนกัน”
               
          “อ้าว ทำไมอ่า”
               
          “อ้อ ยกเว้นเจนจะมาเข้า Japanese club เป็นเพื่อนเรา” ฟ้ายื่นข้อต่อรองให้พร้อมยิ้มอย่างเล่ห์เหลี่ยม
               
          “ฟ้าก็รู้นี่ เราไม่อยากเข้าชมรม เรียนเสร็จไปเดินห้างดีกว่า เดี๋ยวยืมเพ็ญก็ได้ ชิ” เจนทำหน้างอล และหันไปมองเพ็ญ เพ็ญยิ้มรับอย่างไม่แน่ใจ
               
          เมื่อจบคาบ เซนกับเพ็ญก็เดินกลับห้องด้วยกัน
               
          “การบ้านดูยากจริงๆ นะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรารอลอกเพ็ญอีกคนก็ได้” เซนยิ้มให้เพ็ญ
               
          “ได้อยู่แล้ว”เพ็ญตอบ
               
          “ว่าแต่เพ็ญอยู่ชมรมอะไรหรอ” เซนถามขณะเดินขึ้นบันได
               
          “เราอยู่ libraryclub แต่บางวันก็กลับบ้าน แล้วเซนล่ะ” เพ็ญตอบและถามต่อ และเผลอทำปากกาตก
               
          “อ๋อ เราหรอ เราอยู่ชมรมกลับบ้านหน่ะ” เซนตอบขณะก้มลงเก็บปากกาและยื่นให้เพ็ญ
               
          “แล้ววันนี้อิทธิไปไหนอะ ปกติเห็นอยู่ด้วยกันตลอด” เพ็ญยื่นมือรับ และสนทนาต่อ
               
          “อิทก็อย่างนี้แหละ ถ้าเพ็ญได้อยู่ห้องเดียวกันมาก่อนนะ จะรู้เลยว่าอิทขาดเรียนบ่อย” เซนตอบ
               
          “อ้าว อิทเป็นอะไรหรอ” เพ็ญถามอย่างสงสัย
               
          “ฮ่าๆ ป่าวหรอก เราคิดว่ามันคงสบายดีแหละ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันมันไปไหน มันไม่เคยบอกให้ชัดเจนซักที” เซนตอบและพยักไหล่
               
          เมื่อเดินถึงห้องเซนก็เก็บของ และเตรียมตัวไปพักกินข้าว คนในห้องออกไปทานข้าวกันหมดแล้ว เหลือแค่เพ็ญกับเซนที่กำลังเก็บของอยู่
               
          “เอ้อ เพ็ญปกติเพ็ญนั่งกินข้าวตรงไหนอะ เราไม่เคยเห็นเลย” เซนถาม เขาไม่แน่ใจว่าเพ็ญมีเพื่อนนั่งกินข้าวรึป่าว และเขาก็รู้สึกว่าเขาอยากรู้เพราะวันนี้เขาคงไม่มีใครนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน
               
          “อ๋อ เราไม่กินข้าวกลางวัน ปกติเราจะไปอยู่ที่ห้องสมุดหน่ะ” เพ็ญเงยขึ้นมาตอบขณะเก็บหนังสืออยู่
               
          เซนลองมาคิดๆ ดู เพ็ญก็เหมาะกับการเป็นบรรณารักษ์อยู่เหมือนกัน เพ็ญเป็นผู้หญิงสูงปานกลาง ผมยาวประบ่า แว่นกับผมของเธอจะบังหน้าเธอซะส่วนใหญ่ บุคคลิกที่เป็นคนเงียบๆ และชอบก้มหน้าทำให้เธอเหมือนเป็นคนอ่านหนังสือเข้าไปใหญ่ มันแปลกเหมือนกันที่เธอชู้ตบาสเก่ง เธอไม่เหมือนผู้หญิงที่เล่นกีฬาสักเท่าไร
               
          “อ๋อ โอเค งั้นเราไปกินข้าวก่อนนะ” เซนกล่าว
               
          “อื้ม” เพ็ญตอบรับและเซนก็ออกจากห้องไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา