Phantom School
เขียนโดย Wondergirl
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 21.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ละครแห่งโศกนาฏกรรม(แดงฉานดั่งกุหลาบเบ่งบาน)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตึ๋ง... เสียงหยดน้ำหยุดลงบนพื้นดังขึ้นในโสตประสาทอันมีเพียงความว่างเปล่าสับสนไร้จุดมุ่งหมาย
เด็กสาวเริ่มสามารถรับรู้ความรู้สึกต่างๆได้อีกครั้ง ร่างทั้งร่างของเธอปวดล้าและแสบร้าวจนแทบจะขยับไม่ไหว แถมในช่วงเวลาเช่นนี้หนังตาก็ช่างหนักเสียเหลือเกินกว่าจะยกมันขึ้นแล้วมองดูรอบๆให้ละเอียด สิ่งที่ประสาทรับรุ้อันเลือนลางสามารถสัมผัสได้มีเพียงแต่กลิ่นคาวเลือดที่ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงฉุนๆกับเสียงหยดน้ำที่กระทบกับพื้นแข็งๆเท่านั้น
จู่ๆก็มีของเหลวเย็นๆมาปะทะกับใบหน้าและร่างท่อนบนอย่างเฉียบพลัน ทำให้รู้สึกชาและแสบซ่านเหมือนโดนน้ำแข็งกัด แต่ช่างเถอะอย่างน้อยมันก็เพียงพอสำหรับการเรียกสติอันเลือนลางให้แจ่มแจ้งขึ้น5ส่วน
แพขนตาดำหนาที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ลืมโพลนขึ้นทันที เด็กสาวผมดำหันซ้ายมองขวาด้วยความตระหนกเล็กน้อยที่ปรากฏบนใบหน้า แขนทั้งสองข้างของเธอถูกตรึงให้แยกจากันไว้บนกางเขนด้วยลวดหนามและมันก็เป็นเช่นนั้นกับขาทั้งสองเพียงแต่ขาทั้งสองนั้นถูกรวบเอาไว้ด้วยกันเท่านั้นเอง... แต่ก็แย่พอกัน
ไม่ต่างจากที่คาดเท่าไหร่นะ...
เธอคิดแล้วหันไปถลึงตาใส่สัตว์อสูรที่สาดน้ำใส่หน้าเธอก่อนจะหันมองบุคคลที่นั่งอยู่เบื้องหน้า เขาที่รูปร่างหน้าตาที่คล้ายกับคนที่เธอรู้จักคนหนึ่ง ต่างกันที่แววตา อารมณ์และอาภรณ์สีขาวที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด สาบานได้ว่าพ่อของเธอไม่มีทางให้อะไรหกเปื้อนเสื้อแน่เพราะกลัวจะโดนภรรยาเทศน์จนหูแตกตายอย่างสง่างาม(?)
(ป.ล. อย่างหลังไม่เกี่ยวเน้อ)
"ไม่กลัวตาย... หรือว่ากลัวจนหนังหน้าขยับไม่ได้กันหละเจ้าเด็กน้อย" ชายผู้นั้น 'เขา' พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนและพึงพอใจเช่นเดียวกับที่ผู้เป็นพี่ของเขามักจะยิ้มให้ "ข้ารู้ว่าเจ้าวางแผนอะไรไว้... เจ้าคิดจะให้ตัวเองเป็นเครื่องสังเวยแล้วให้พวกเดนตายนั่นหนีออกไปอย่างปลอดภัย คิดหรือว่าข้าจะไม่สามารถรังควานพวกมันได้?"
"ก็ไม่แน่หรอก... แค่กแค่ก" คิลล์มองด้วยสายตาดูถูกเย้ยหยันแต่ไม่ทันที่จะได้พูดจนจบเธอก็ไอออกมาเพราะแพ้อากาศ(ซะงั้น) สกปรกยิ่งกว่าอะรดี ถามจริงเถอะพวกเจ้าเป้นกองทัพเชื้อโรคเดินได้หรือไรทำไมปราสาทของข้าถึงได้สกปรกเหม็นเน่าได้ขนาดนี้ "เพราะนอกจากเจ้าจะเอาอะไรไปไม่ได้แล้วเจ้ายังจะตายเสียอีก"
"ข้ารู้ว่า 'อะไร' ที่เจ้าว่าคืออะไร" เขาพูดแล้วดีดนิ้วเปร๊าะเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก "อ้อเกือบลืม ข้าชื่อว่าแอทาส ยินดีด้วยนะแม่หนุคุณอากำลังจะฆ่าหนูอีกรอบแล้ว" แอทาสยิ้มจนตาหยีแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
"รู้ก็ดี งั้นก็เอาข้อมูลใหม่ไปรับรู้ซะนะว่าพลังที่เจ้าอยากได้เป็นมิตรกับ 'ข้า' คนเดียว" คิลล์พยายามเกร็งข้อมือคิดจะใช้แรงกระชากโซ่เงินเส้นยักษ์ แต่ก็เปล่าประโยชน์ มันไม่คลายออกสักนิดมีแต่จะรัดแน่นขึ้นจนเธอขยับข้อมือไม่ได้ นอกจากหน้าแล้วเวทย์มนต์ยังจะคล้ายๆกัน...
ไม่แน่อาจจะไม่รอดก็เป็นไปได้
หลังจากที่ถูกส่งมายังอีกโลกอย่างไม่เต็มใจนักซีโร่ก็เอาแต่นั่งมองขึ้นไปท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้แสงดาวอย่างอ้างว้าง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดจะไปรบกวนเวลาคบคิดของเขาเพราะทุกคนล้วนยากที่จะทำใจได้เช่นกัน ยากที่จะห้ามไม่ให้เขาคิดมากและเหม่อลอยอย่างไร้สติก็เช่นกัน
บนทุ่งร้างที่กว้างออกไปจนลับตามีเพียงเด็กหนุ่มผมสีเงินยวงดั่งแสงจันทร์นั่งอยู่เพียงคนเดียว ดวงตาสีฟ้าครามลึกล้ำเกินกว่าจะเข้าถึงได้ดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ของเขายังคงมองออกไปยังที่แสนไกลโดยไม่ได้รุ้ตัวเลยว่ามีคนคนหนึ่งเดินมานั่งข้างกายของเขา
เส้นผมสีดำพริ้วพัดไปตามสายลมที่พัดมาเป็นระรอก เธอรู้สึกเปลี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆที่นั่งอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตที่ยังคงมีลมหายใจ นัยน์ตาสีฟ้าครามดั่งท้องฟ้ายามกลางวันจับจ้องไปยังใบหน้าไร้ความรู้สึกดั่งรูปสลักนั้น เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเซ็งๆทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งจนตัวลอย
"จี... จีเคเองหรอกเหรอ" ซีโร่รีบถอยห่างทันทีด้วยความตกใจ
"ข้าอยากคุยด้วย" จีเคพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาเช่นเวลาปกติราวกับชีวิตนี้เธูอไร้ความรู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบ
"ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าอยากอยู่คนเดียว" เด็กหนุ่มก็ตอบกลับด้วยความเย็นชาเช่นกัน
"มันเป็นเรื่องสำคัญนะ!" เด็กสาวลุกขึ้นตวาดใส่เด็กหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราดเหลือทนแล้วหอบหายใจแรงๆ
"ข้าบอกว่าไม่ใช่ตอนนี้! ขอข้าอยู่คนเดียวไม่ได้หรือไงกัน!" เขาลุกขึ้นตวาดกลับ และด้วยความที่เขาสูงกว่าและเย็นชากว่าทำให้เขาดูมีอำนาจและน่ากลัวกว่ามาก พวกเจ้าจะไม่เข้าใจข้าเลยใช่ไหม ไม่เข้าใจข้าเลยจริงๆใช่ไหม!?
"แล้วท่าเป็นเรื่องของคิลล์เจ้าจะไม่ฟังเลยหรือไง!"
"..."
ทันทีที่เด็กหนุ่มได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาลดท่าทางเกรี้ยวกราดหยาบคายลงแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆเพื่อที่จะผ่อนคลายอารมณ์ให้เป็นปกติที่สุด... แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ใบหน้าเศร้าสลดหายไปเลย เขาพูดเบาๆว่า "ฟัง"
"นางบอกให้บอกเจ้าเป็นคนสุดท้าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงได้รู้ข่าวหลังจากมันผ่านมาได้3วัน" จีเคเริ่มอธิบายตั้งแต่สิ่งที่คิลล์บอก(สั่ง)เธอตั้งแต่ประโยคแรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ไม่เป็นไรเพราะข้าคงไม่สำคัญพอที่นางจะบอกเป้นคนแรกกระมั้ง" ซีโร่พูดขึ้นด้วยอาการน้อยใจและสลดหดหู่ ข้าไม่มีสิทธิ์รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเลยใช่ไหม?
"นางไม่ได้เตรียมใจที่จำทำแต่แรกแล้ว..."จีเคพึมพำเสียงแผ่วเบาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้ปกติที่สุด "นางบอกว่าแค่พวกเรามีชีวิตต่อไปก็พอแล้ว ไม่ต้องมาช่วย ไม่ต้องเศร้าเสียใจจนเสียเวลาไปเปล่าๆ ใช้ชีวิตให้มีความหมายและคุณค่ามากที่สุด ทำในสิ่งที่คิดว่ามีความหมาย ทำให้ทุกวันที่นางให้มีความหมายมากที่สุด นางจะดีใจ...
และจะดีใจมากถ้าเจ้ามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น ได้เจอคนใหม่ที่..." เธอเว้นวรรคแล้วเหลือบมองหน้าคนฟังก่อจะพูดต่อ "ดีกว่านาง ให้เจ้ามีความสุขมากๆเผื่อว่าบางทีนางจะกลับมาไม่ได้อีก"
"แค่นี้ใช่ไหม?" ซีโร่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กที่แฝงเร้นไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
จีเคขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างเป็นกังวลก่อนจะตอบไปอย่างไม่มั่นใจ(หรือไม่ค่อยอยากจะบอก)ว่า "ยังมีอีกอย่าง... อีกอย่างที่นางกำชับว่าให้บอกเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น" เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ตัวเองสามารถเปล่งเสียงออกมาได้หนักแน่นและมั่นคงอย่างที่ควรเป็น
"ข้าไม่ได้จะไปตาย... แต่ข้าไปเพื่อให้มีชีวิตต่อไป ดั่งนั้นอย่าเสียใจไปเลย อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเพิ่มขึ้นทั้งๆที่ทำให้เจ้าได้แค่เท่านี้ ข้าเห็นแก่ตัวข้ารู้ และข้าอยากจะขอเจ้าอีกเรื่อง..." จีเคพูดด้วยเสียงของคิลล์อย่างมั่นคงไม่สะดุด "ดูแลทุกคน... และปกป้องตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมานอยู่กับความเสียใจเลย มันเสียสุขภาพจิตข้าอย่างรุนแรง"
"ให้ข้าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า? ไม่ให้เสียใจ?" ซีโร่หัวเราะในลำคออย่างเจ้าเลห์ระคนเศร้าสร้อย "รู้ไหมว่าข้าอยากทำอะไร? จีเค"
"ข้าต้องรู้อยู่แล้วในเมื่อข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ช่วยเจ้าบำบัดผู้ป่วยความจำเสื่อม"
"งั้นหลานผู้โง่เง่าของข้าก็จงรับรู้ไว้ซะว่าข้าเลียนแบบคุณสมบัติของพลังที่ว่าได้แล้ว5ส่วน" เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์ เขาเดินไปยังไม้กางเขนแล้วบีบคางของผุ้เป้นหลานให้เชิดขึ้น "แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้พลังของเข้ายอมรับข้าแล้ว!"
"ถุย" คิลล์ถมน้ำลายใส่หน้าเขาอย่างเสียมารยาทแล้วพูดว่า "ไปกินขี้ซะ ไอ้สารเลว" เธอไม่รู้สึกผิดเลยสันิดที่ทำกริยาหยาบทรามใส่ญาติผุ้ใหญ่ของตัวเอง ซ้ำยังสะใจซะมากกว่า
เพี๊ยะ ฝ่ามือขาวซีดของแอทาสพาดเข้าใส่ใบหน้าขาวเนียนของคิลล์อย่างแรงจนแก้มขาวซีดแดงและมีเลือดซึมซิบๆ ที่มุมปากมีเลือดสีแดงดั่งกุหลาบไหลรินออกมา
แอทาสเช็ดน้ำลายของเธอออกแล้วยกมือขึ้นบีบคอเธออย่างสุดกำลัง "อยากตายนักใช่ไหม!?"
"ก็เอาสิวะ" เด็กสาวเริ่มแสดงท่าทางก้าวร้าวขึ้นเริ่มๆ เธอไม่สะทกสะท้านกับแรงที่กระทำกับคอของเธอจนแทบหักหรือแม้กระทั่งแก้มขาวบางที่ถูกตบจนมีเลือดซึม แต่จะว่าไปก็เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย ชีวิตนี้ไม่เพิ่งเคยโดนตบ อืม...
"เลือดต้องล้างด้วยเลือด วิญญาณต้องชดใช้ด้วยวิญญาณ" เด็กสาวผมดำลอนพึมพำออกมาเบาๆด้วยอารมณ์ที่เยือกเย็นราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายกำชีวิตของอีกฝ่าย "แต่จะล้างด้วยเลือดหรือชดใช้ด้วยวิญญาณมันก็ไม่มีวันจบสิ้นอยู่ดี"
"คิดว่างั้นหรือหลานรัก?" แอทาสเลิกคิ้วด้วยสีหน้าที่กลับมาสุขุมดังเดิม "แต่อาว่าไม่นะ" พูดจบเขาก็ดึงดาบยักษ์เล่มหนึ่งออกมาแทงเข้าที่สีข้างของหลานแท้ๆของตัวเอง
เลือดสดๆสาดกระเซ็นใส่ชุดสีขาวสะอาดของแอทาสทำให้ชุดนั้นยิ่งกลายเป็นสีแดงเพิ่มขึ้นอีก ตวงตาเบิกกว้างของเด็กสาวดูตกใจและเจ็บปวดถึงแม้ว่าการถุกแทงจะไม่ใช่อะไรที่เจ็บมากสำหรับเธอแต่มันก็ยะงเจ็บอยุ่ดียิ่งพอแทงแล้วเสียบค้างไว้เลยมันยิ่งทำให้แผลไม่สามารถสมานตัวกันได้ เด็กสาวกัดริมฝีปากทนแล้วก้มหน้าลงต่ำเพื่อระงับความเจ็บปวด
"เพราะหลานบอกเองว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือด"
ถึงแม้การล้างแค้นจะเป็นดั่งจดหมายลูกโซ่ที่ส่งต่อกันไปเรื่อยๆและจะสามารถหยุดลงได้เมื่อมีคนใดคนหนึ่งระงับความแค้นได้โดยไม่ล้างแค้น แต่ถึงกระนั้นสิ่งมีชีวิตเยี่ยงมนุษย์ก็ยากนักที่จะไม่ล้างแค้น...
ความแค้นจึงย่อมถูกสนองด้วยความแค้น
ไม่มีจบมีสิ้น...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ