เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]
9.8
เขียนโดย บุหงา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.
29 ตอน
6 วิจารณ์
35.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4 -100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ~4~
ยัยง่อยน่ารังเกียจ
แวบนั้น....ฉันหลงคิดว่าเขาได้อ่านข้อความในหนังสือเล่มนั้นแล้ว เขาอาจจะดีใจมาก เลยวิ่งมาหาฉัน วิ่งเข้ามาโอบฉันไว้ในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของเขา
“ดาว!! ดาว!!”
แต่จากที่ดูสีหน้า และน้ำเสียงของเขาแล้ว ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้วิ่งมาเพื่อโอบกอดฉันไว้อยากที่ฉันคิดไว้เป็นแน่
“ข้าวกล่อง! เอามันไปไว้ที่ไหน”
กล่าวจบเขาก็ปราดเข้ามาคว้าข้อมือของฉันไปบีบแน่น ฉันรู้สึกเจ็บจนแทบน้ำตาไหล
“ข้าวกล่องอะไรเหรอ?”
ฉันถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ละอองฝนที่เริ่มก่อตัวจากเม็ดเล็กๆ กลายเป็นเม็ดใหญ่ๆ พรมใส่ร่างของเราทั้งสองคนให้เปียกโชก ผมของเขาที่เคยชี้ตั้งอยู่ ตอนนี้กลับลู่ติดหนังศีรษะ ส่วนสภาพของฉันคงไม่แตกต่างกัน เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างแตกวงแยกออกจากพวกเราสองคน เพราะเห็นชัดนี่ไม่ได้เป็นการพบปะกันแบบธรรมดา มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่ามุ่งล้อมดูถึงแม้ฝนจะตกหนัก
“อย่ามาตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยยัยบ้า!!”
เขาตะคอกใส่ฉันด้วยความโมโหที่มีอยู่ทั้งหมด แต่ฉันก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้าวกล่องที่เขาพูดอยู่ดี หรืออาจจะเป็นข้าวกล่องสีชมพูกล่องนั้นที่มันกำลังทำให้ฉันเศร้าใจอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้
“ข้าวกล่องอะไร ดาวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ฉันตอบเขาไปพร้อมกับส่ายหน้าไปมา เพื่อยืนยันในสิ่งที่ฉันพูด
“ข้าวกล่องของน้ำหวานไง เธอเอามันไปไว้ไหน!?”
เขาเปลี่ยนจากที่กำข้อมือของฉันไว้ ไปเขย่าตัวฉันจนโยกโยนไปมา
“ดาวไม่รู้ว่าซันพูดถึงเรื่องข้าวกล่องอะไร เลยนะ”
เสียงของฉันสั่นระรัวกับแรงเขย่าที่ทำให้ฉันหัวคลอน
“ ยัยบ้า เธอทำแบบนี้ทำไม หา ! ทำ...ทำไม?!!”
กล่าวจบเขาก็พลักฉันให้ไปนั่งคลุกกับโคลนตม ด้วยแรงกระแทกทำให้โคลนกระจาย เด็กนักเรียนที่ล้อมวงอยู่จึงขยับถอยห่างออกไปเพราะกลัวเปื้อน...
“ข้าวกล่องที่น้ำหวานทำมาให้ฉันเธอเอาไปไว้ไหน?”
เขาตะโกนแข่งกับเสียงฝนถามฉันขึ้น
“ฉะ ฉัน...ฉัน”
เปล่าประโยชน์ที่จะแก้ตัวอีกต่อไป เพราะเขาปักใจเชื่อแล้วจริงๆ ว่าฉันเป็นคนเอาข้าวกล่องไป และเขาคงไม่เชื่อยัยคนพิการ ยัยคนไม่ปกติอย่างฉัน เปล่าประโยชน์จริงๆ
“บอกมานะยัยบ้า!!”
คราวนี้เขาตะคอกเสียงแข็ง สีหน้าเดือดดาลอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“ฉันเอาไปทิ้งถังขยะแล้ว”
เปล่าประโยชน์ที่จะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้อีก ฉันควรปล่อยเขาไปไม่ควรทำตัวเป็นภาระ ทำตัวขวางทางความรักของเขาอีก เขาถอยห่างออกไปจากฉัน...จากไปไกลจนฉันไม่สามารถจะยื้อเขาเอาไว้ได้อีก
“อะไรนะ! เธอเอาไปทิ้งถังขยะแล้ว เธอเอาไปทิ้งทำไม เธอบ้าไปแล้วรึไง ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ดาว”
ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? นายต่างหากละที่เปลี่ยนไป นายควรใช่คำถามนี้ถามตัวเองมากกว่า...ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยถ้าหมายถึงจิตใจ มีแต่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ฉันคิดว่าความรู้สึกของนายมันเปลี่ยนมากกว่านายถึงมองว่าฉันเปลี่ยนไป เพราะฉันมันเป็นยัยง่อยสินะ
“ฉันเปลี่ยนไปเพราะฉันอิจฉามั้ง...”
ฉันตอบออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน เมื่อก่อนฉันรู้สึกเกลียดสายฝนเป็นที่สุด เพราะมันทำให้ฉันซ้อมวิ่งไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันชักรู้สึกชอบสายฝนขึ้นมาบ้างแล้วละ เพราะมันกำลังช่วยฉัน ช่วยให้ใครต่อใครดูไม่ออกว่ามันคือน้ำตาของฉันหรือสายฝนที่โปรยปรายลงมากันแน่...ฉันนั่งมองเขาด้วยสายตาสิ้นหวัง
“อิจฉางั้นเหรอ?”
เขากล่าวขึ้นพร้อมกับขบกรามแน่น
“ใช่ฉันอิจฉาที่นายเป็นแฟนกับน้ำหวาน อิจฉาที่น้ำหวานได้รับความใส่ใจจากนายมากกว่าฉัน”
“หึ...”
เขาแค่นเสียงหัวเราะอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง กับสิ่งที่ได้ยินฉันพูด
“เธอรู้อะไรไหม แต่ก่อนเธอเป็นยัยพิการที่น่าสงสารที่สุดในความรู้สึกของฉัน แต่ตอนนี้เธอเป็นยัยง่อยที่น่ารังเกียจที่สุดรู้เอาไว้ซะด้วย”
“ที่ผ่านมานายแค่รู้สึกสงสารฉัน ก็เลยทำดีกับฉัน มันเท่านั้นเองเหรอ เท่านั้นจริงๆเหรอ...”
ฉันถามเขาขึ้นพร้อมกับคิดว่าอยากย้อนเวลากลับไปลบคำสารภาพโง่ๆที่เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้น และเอาหนังสือเล่มนั้นไปทำลายทิ้งเสีย...
“หันดูสารรูปตัวเองบ้างซี่ ไม่ให้ฉันรู้สึกสงสารให้ฉันรู้สึกแบบไหนกับเธอกันยัยง่อย อีกอย่างเธอไม่ได้ยินที่คนอื่นเขาพูดกันรึไง เคยเงี่ยหูฟังบ้างไหม”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งผ่านดวงตาที่ราวราน พร้อมกับจ้องใบหน้าที่เดือดดาลเสียเต็มประดาของเขา
“ยัยเป๋ ยัยง่อย นังคนพิการ นี่ไงคนเขาพูดกันแบบนี้”
เมื่อเขากล่าวจบฉันก็ก้มหน้าร้องไห้ สายตามองพื้นที่เปียกเป็นโคลน มีน้ำนองเป็นแอ่งเล็กๆ น้ำตาของฉันหยดลงกระทบกับแอ่งน้ำนองนั้นหยดแล้วหยดเล่า...หยดแล้ว...หยดเล่า
“อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าเธอยังทำแบบนี้อีก ต่อไปฉันไม่ทำแค่นี้แน่”
กล่าวคาดโทษจบเขาก็แตะเท้าเต็มแรงเข้าไปที่แอ่งน้ำเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ โคลนปนน้ำฝนจึงกระเซ็นมาปะทะหน้าของฉัน...ฉันสะดุ้ง หลับตา เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตญาณทันที
“ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกฉันสัญญา...”
ฉันตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ดี...จำใส่หัวของเธอเอาไว้แล้วกัน”
กล่าวจบเขาก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปชนกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่ยืนล้อมมุงดูอยู่ ออกไป
“ดาว...ลุกไหวรึเปล่า? ฉันช่วยนะ...”
มือหนึ่งยืนมาตรงหน้า ฉันจึงเงยหน้าไปมองทั้งคราบน้ำตา...เนปจูนนั่นเอง เขาเป็นเด็กห้องเดียวกับฉัน
“วะ...ไหว ฉันลุกไหว”
ฉันตอบเขาพร้อมกับพยายามลุกขึ้นยืน ฉันเซวูบ เนปจูนจึงผวาเข้ามาประคอง แต่ฉันดันตัวเขาออกห่าง และค่อยๆ
เดินกระแผก ๆ ฝ่าสายฝนไปตามทาง...ฉันจะไปตามทางของฉัน อย่ามาช่วยฉันด้วยความรู้สึกสมเพชเลยเนปจูน...ฉันไม่อยากให้ใครมองฉันแบบนั้น!
ไม่ไหว! ไม่ไหว! ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว คนที่ฉันรัก เขากลับเกลียดฉัน เขาทำเหมือนกับฉันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่มีค่าในสายตาเขาสักนิด และขณะเดียวกันสายตาของเพื่อนๆที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ก็มองฉันด้วยสายตาสมเพช เวทนา...
โลกใบนี้มันว่างเปล่า ว่างเปล่าสำหรับฉันเสียแล้ว สายลมที่พัดผ่านผิวกายของฉัน แม้แต่เพียงบางเบา ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหน็บหนาว จรดลึกรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจ
เรื่องราวของเราที่ผ่านมาจากอดีตจวบถึงปัจจุบันมันจบลงแล้ว และยิ่งนานวันไปเราสองคนก็ยิ่งห่างออกไปจากกันทุกที ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันเพียงใด แต่ในความรู้สึกของฉันกลับบอกฉันว่าเราอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน
ฉันได้แต่แอบมองเขา...มองจากมุมอับ มุมมองที่เงียบเหงา ตรมตรอมใจอยู่เดียวดาย วันที่เขาเข้าแข่งขันวิ่งร้อยเมตรระดับเขตเพื่อเตรียมคัดตัวเข้าร่วมทีมชาติ เขาได้เหรียญทอง และเอามันมาคล้องคอให้กับเธอ...น้ำหวาน
น้ำหวานแสดงความยินดีกับเขา แต่ฉันทำได้เพียงแค่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ นึกไปถึงคำสัญญาที่เขาเคยให้เอาไว้กับฉัน...คิดว่าสมควรลืมมันไปซะ แต่ทำไมพยายามลืมแต่กลับจดจำมันได้อย่างเด่นชัด...
คนที่ขี้ขลาดเผชิญกับความจริงไม่ได้ หนทางที่จะสมานแผลใจ คงมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น...คือไปให้ไกล...ไกลจากสิ่งแวดล้อมที่คอยตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับฉัน
ฉันขอย้ายโรงเรียน ฉันจะไปจากที่นี้...ไปอยู่กับพ่อ เมืองที่พ่ออยู่ เป็นเมืองที่แม่เกลียดชัง ฉันกับแม่เรื่องราวของความรักไม่ได้แตกต่างกันเลย แม่ทุกข์ เศร้าเสียใจจากพ่อจึงย้ายมาอยู่ที่นี้ แม่ยังคงฝังใจเกลียดพ่อจึงไม่อยากย้อนกลับไปพบหน้าพ่ออีกฉันจึงจำต้องไปตามลำพัง ไปจากภาพอันขมขื่นอย่างที่แม่เคยทำ
วันนี้ฉันเตรียมตัวออกเดินทาง...ฉันชะเง้อมองข้ามรั่วบ้านเพื่อพยายามมองหาเขา...ฉันอยากบอกเขา...แค่คำๆนี้เท่านั้นที่ฉันอยากจะบอกเขาก่อนจากกันไป...ลาก่อน
แต่ฉันไม่เห็นเขาเลย เขาคอยแต่หลบหน้าฉัน เขาคงจะรังเกียจฉัน รังเกียจในสิ่งที่ฉันเป็น...เป็นยัยคนพิการ ฉันจำใจออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกลา
ระหว่างที่ฉันขึ้นไปนั่งอยู่บนรถทัวร์ แม่ยืนมองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อยในสาเหตุที่ฉันต้องไปจากที่นี่ ขณะที่รถเคลื่อนออกไปช้าๆ แม่วิ่งตาม และโบกมือลา แม่วิ่งตามมาเรื่อยๆ และไม่สามารถจะวิ่งตามได้อีก เพราะความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ฉันเปิดกระจกมองดูแม่ ร่างของแม่ที่หดเล็กลงเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนไม่สามารถมองเห็นแม่ได้อีก
จากนั้นฉันก็เอนหลังพิงกับเบาะ และพริ้มตาแล้วหลับไป แต่ก็หลับได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะรู้สึกว่าจะมีอะไรหนักๆมาทับตักฉัน
“ขอโทษค่ะ ฉันตั้งหลักไม่ได้เลยล้มทับคุณ”
เธอกล่าวพร้อมลุกออกจากตักฉัน
“เธอ/เธอ”
เราต่างพูดขึ้นพร้อมกัน มองหน้าของกัน และกันอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นฉันกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบ้างอย่างออกไป แต่ก็ต้องรู้สึกสะดุ้งตกใจอีกครั้ง แต่เป็นการตกใจที่มากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะจู่ๆ รถทัวร์ที่ฉันโดยสารมากำลังหมุนคว้าง ทำฉันตาลายจนต้องหลับตาลง
เสียงกรีดร้องตกใจเกิดขึ้นรอบๆตัวฉัน สักพักฉันก็เหมือนกำลังจะถูกเหวี่ยงด้วยพละกำลังของอะไรสักอย่างออก
ทางหน้าต่างรถที่ฉันเปิดทิ้งค้างเอาไว้ พยายามคว้านหาหลักยึด แต่ฉันกลับคว้าได้เพียงแค่กระเป๋าใบหนึ่ง เป็นของ
ใครก็มิอาจทราบได้ ฉันทำได้เพียงปล่อยให้ตัวเองปลิวไปตามแรงเหวี่ยง และแรงกระแทก
ฉันจะตายไหมนะ...แต่ตายไปก็ดีทุกอย่างมันจะได้จบลงเพียงเท่านี้...ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องกิน ไม่ต้องหายใจ และถูกขังอยู่กับความมืดมิดตลอดกาล.......
หัวของฉันกระแทกเข้ากับอะไรบ้างอย่าง ด้วยความแรง และฉันก็แน่นิ่งไปพร้อมกับความมืดกระดำ กระด่าง ปกคลุมตัวฉันไว้ทั้งหมด
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด..........
โครม!
ตูม!
ยัยง่อยน่ารังเกียจ
แวบนั้น....ฉันหลงคิดว่าเขาได้อ่านข้อความในหนังสือเล่มนั้นแล้ว เขาอาจจะดีใจมาก เลยวิ่งมาหาฉัน วิ่งเข้ามาโอบฉันไว้ในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของเขา
“ดาว!! ดาว!!”
แต่จากที่ดูสีหน้า และน้ำเสียงของเขาแล้ว ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้วิ่งมาเพื่อโอบกอดฉันไว้อยากที่ฉันคิดไว้เป็นแน่
“ข้าวกล่อง! เอามันไปไว้ที่ไหน”
กล่าวจบเขาก็ปราดเข้ามาคว้าข้อมือของฉันไปบีบแน่น ฉันรู้สึกเจ็บจนแทบน้ำตาไหล
“ข้าวกล่องอะไรเหรอ?”
ฉันถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ละอองฝนที่เริ่มก่อตัวจากเม็ดเล็กๆ กลายเป็นเม็ดใหญ่ๆ พรมใส่ร่างของเราทั้งสองคนให้เปียกโชก ผมของเขาที่เคยชี้ตั้งอยู่ ตอนนี้กลับลู่ติดหนังศีรษะ ส่วนสภาพของฉันคงไม่แตกต่างกัน เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างแตกวงแยกออกจากพวกเราสองคน เพราะเห็นชัดนี่ไม่ได้เป็นการพบปะกันแบบธรรมดา มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่ามุ่งล้อมดูถึงแม้ฝนจะตกหนัก
“อย่ามาตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยยัยบ้า!!”
เขาตะคอกใส่ฉันด้วยความโมโหที่มีอยู่ทั้งหมด แต่ฉันก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้าวกล่องที่เขาพูดอยู่ดี หรืออาจจะเป็นข้าวกล่องสีชมพูกล่องนั้นที่มันกำลังทำให้ฉันเศร้าใจอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้
“ข้าวกล่องอะไร ดาวไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ฉันตอบเขาไปพร้อมกับส่ายหน้าไปมา เพื่อยืนยันในสิ่งที่ฉันพูด
“ข้าวกล่องของน้ำหวานไง เธอเอามันไปไว้ไหน!?”
เขาเปลี่ยนจากที่กำข้อมือของฉันไว้ ไปเขย่าตัวฉันจนโยกโยนไปมา
“ดาวไม่รู้ว่าซันพูดถึงเรื่องข้าวกล่องอะไร เลยนะ”
เสียงของฉันสั่นระรัวกับแรงเขย่าที่ทำให้ฉันหัวคลอน
“ ยัยบ้า เธอทำแบบนี้ทำไม หา ! ทำ...ทำไม?!!”
กล่าวจบเขาก็พลักฉันให้ไปนั่งคลุกกับโคลนตม ด้วยแรงกระแทกทำให้โคลนกระจาย เด็กนักเรียนที่ล้อมวงอยู่จึงขยับถอยห่างออกไปเพราะกลัวเปื้อน...
“ข้าวกล่องที่น้ำหวานทำมาให้ฉันเธอเอาไปไว้ไหน?”
เขาตะโกนแข่งกับเสียงฝนถามฉันขึ้น
“ฉะ ฉัน...ฉัน”
เปล่าประโยชน์ที่จะแก้ตัวอีกต่อไป เพราะเขาปักใจเชื่อแล้วจริงๆ ว่าฉันเป็นคนเอาข้าวกล่องไป และเขาคงไม่เชื่อยัยคนพิการ ยัยคนไม่ปกติอย่างฉัน เปล่าประโยชน์จริงๆ
“บอกมานะยัยบ้า!!”
คราวนี้เขาตะคอกเสียงแข็ง สีหน้าเดือดดาลอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“ฉันเอาไปทิ้งถังขยะแล้ว”
เปล่าประโยชน์ที่จะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้อีก ฉันควรปล่อยเขาไปไม่ควรทำตัวเป็นภาระ ทำตัวขวางทางความรักของเขาอีก เขาถอยห่างออกไปจากฉัน...จากไปไกลจนฉันไม่สามารถจะยื้อเขาเอาไว้ได้อีก
“อะไรนะ! เธอเอาไปทิ้งถังขยะแล้ว เธอเอาไปทิ้งทำไม เธอบ้าไปแล้วรึไง ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ดาว”
ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? นายต่างหากละที่เปลี่ยนไป นายควรใช่คำถามนี้ถามตัวเองมากกว่า...ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยถ้าหมายถึงจิตใจ มีแต่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ฉันคิดว่าความรู้สึกของนายมันเปลี่ยนมากกว่านายถึงมองว่าฉันเปลี่ยนไป เพราะฉันมันเป็นยัยง่อยสินะ
“ฉันเปลี่ยนไปเพราะฉันอิจฉามั้ง...”
ฉันตอบออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน เมื่อก่อนฉันรู้สึกเกลียดสายฝนเป็นที่สุด เพราะมันทำให้ฉันซ้อมวิ่งไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันชักรู้สึกชอบสายฝนขึ้นมาบ้างแล้วละ เพราะมันกำลังช่วยฉัน ช่วยให้ใครต่อใครดูไม่ออกว่ามันคือน้ำตาของฉันหรือสายฝนที่โปรยปรายลงมากันแน่...ฉันนั่งมองเขาด้วยสายตาสิ้นหวัง
“อิจฉางั้นเหรอ?”
เขากล่าวขึ้นพร้อมกับขบกรามแน่น
“ใช่ฉันอิจฉาที่นายเป็นแฟนกับน้ำหวาน อิจฉาที่น้ำหวานได้รับความใส่ใจจากนายมากกว่าฉัน”
“หึ...”
เขาแค่นเสียงหัวเราะอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง กับสิ่งที่ได้ยินฉันพูด
“เธอรู้อะไรไหม แต่ก่อนเธอเป็นยัยพิการที่น่าสงสารที่สุดในความรู้สึกของฉัน แต่ตอนนี้เธอเป็นยัยง่อยที่น่ารังเกียจที่สุดรู้เอาไว้ซะด้วย”
“ที่ผ่านมานายแค่รู้สึกสงสารฉัน ก็เลยทำดีกับฉัน มันเท่านั้นเองเหรอ เท่านั้นจริงๆเหรอ...”
ฉันถามเขาขึ้นพร้อมกับคิดว่าอยากย้อนเวลากลับไปลบคำสารภาพโง่ๆที่เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้น และเอาหนังสือเล่มนั้นไปทำลายทิ้งเสีย...
“หันดูสารรูปตัวเองบ้างซี่ ไม่ให้ฉันรู้สึกสงสารให้ฉันรู้สึกแบบไหนกับเธอกันยัยง่อย อีกอย่างเธอไม่ได้ยินที่คนอื่นเขาพูดกันรึไง เคยเงี่ยหูฟังบ้างไหม”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งผ่านดวงตาที่ราวราน พร้อมกับจ้องใบหน้าที่เดือดดาลเสียเต็มประดาของเขา
“ยัยเป๋ ยัยง่อย นังคนพิการ นี่ไงคนเขาพูดกันแบบนี้”
เมื่อเขากล่าวจบฉันก็ก้มหน้าร้องไห้ สายตามองพื้นที่เปียกเป็นโคลน มีน้ำนองเป็นแอ่งเล็กๆ น้ำตาของฉันหยดลงกระทบกับแอ่งน้ำนองนั้นหยดแล้วหยดเล่า...หยดแล้ว...หยดเล่า
“อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าเธอยังทำแบบนี้อีก ต่อไปฉันไม่ทำแค่นี้แน่”
กล่าวคาดโทษจบเขาก็แตะเท้าเต็มแรงเข้าไปที่แอ่งน้ำเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ โคลนปนน้ำฝนจึงกระเซ็นมาปะทะหน้าของฉัน...ฉันสะดุ้ง หลับตา เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตญาณทันที
“ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกฉันสัญญา...”
ฉันตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ดี...จำใส่หัวของเธอเอาไว้แล้วกัน”
กล่าวจบเขาก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปชนกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่ยืนล้อมมุงดูอยู่ ออกไป
“ดาว...ลุกไหวรึเปล่า? ฉันช่วยนะ...”
มือหนึ่งยืนมาตรงหน้า ฉันจึงเงยหน้าไปมองทั้งคราบน้ำตา...เนปจูนนั่นเอง เขาเป็นเด็กห้องเดียวกับฉัน
“วะ...ไหว ฉันลุกไหว”
ฉันตอบเขาพร้อมกับพยายามลุกขึ้นยืน ฉันเซวูบ เนปจูนจึงผวาเข้ามาประคอง แต่ฉันดันตัวเขาออกห่าง และค่อยๆ
เดินกระแผก ๆ ฝ่าสายฝนไปตามทาง...ฉันจะไปตามทางของฉัน อย่ามาช่วยฉันด้วยความรู้สึกสมเพชเลยเนปจูน...ฉันไม่อยากให้ใครมองฉันแบบนั้น!
ไม่ไหว! ไม่ไหว! ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว คนที่ฉันรัก เขากลับเกลียดฉัน เขาทำเหมือนกับฉันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่มีค่าในสายตาเขาสักนิด และขณะเดียวกันสายตาของเพื่อนๆที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ก็มองฉันด้วยสายตาสมเพช เวทนา...
โลกใบนี้มันว่างเปล่า ว่างเปล่าสำหรับฉันเสียแล้ว สายลมที่พัดผ่านผิวกายของฉัน แม้แต่เพียงบางเบา ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหน็บหนาว จรดลึกรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจ
เรื่องราวของเราที่ผ่านมาจากอดีตจวบถึงปัจจุบันมันจบลงแล้ว และยิ่งนานวันไปเราสองคนก็ยิ่งห่างออกไปจากกันทุกที ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันเพียงใด แต่ในความรู้สึกของฉันกลับบอกฉันว่าเราอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน
ฉันได้แต่แอบมองเขา...มองจากมุมอับ มุมมองที่เงียบเหงา ตรมตรอมใจอยู่เดียวดาย วันที่เขาเข้าแข่งขันวิ่งร้อยเมตรระดับเขตเพื่อเตรียมคัดตัวเข้าร่วมทีมชาติ เขาได้เหรียญทอง และเอามันมาคล้องคอให้กับเธอ...น้ำหวาน
น้ำหวานแสดงความยินดีกับเขา แต่ฉันทำได้เพียงแค่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ นึกไปถึงคำสัญญาที่เขาเคยให้เอาไว้กับฉัน...คิดว่าสมควรลืมมันไปซะ แต่ทำไมพยายามลืมแต่กลับจดจำมันได้อย่างเด่นชัด...
คนที่ขี้ขลาดเผชิญกับความจริงไม่ได้ หนทางที่จะสมานแผลใจ คงมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น...คือไปให้ไกล...ไกลจากสิ่งแวดล้อมที่คอยตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับฉัน
ฉันขอย้ายโรงเรียน ฉันจะไปจากที่นี้...ไปอยู่กับพ่อ เมืองที่พ่ออยู่ เป็นเมืองที่แม่เกลียดชัง ฉันกับแม่เรื่องราวของความรักไม่ได้แตกต่างกันเลย แม่ทุกข์ เศร้าเสียใจจากพ่อจึงย้ายมาอยู่ที่นี้ แม่ยังคงฝังใจเกลียดพ่อจึงไม่อยากย้อนกลับไปพบหน้าพ่ออีกฉันจึงจำต้องไปตามลำพัง ไปจากภาพอันขมขื่นอย่างที่แม่เคยทำ
วันนี้ฉันเตรียมตัวออกเดินทาง...ฉันชะเง้อมองข้ามรั่วบ้านเพื่อพยายามมองหาเขา...ฉันอยากบอกเขา...แค่คำๆนี้เท่านั้นที่ฉันอยากจะบอกเขาก่อนจากกันไป...ลาก่อน
แต่ฉันไม่เห็นเขาเลย เขาคอยแต่หลบหน้าฉัน เขาคงจะรังเกียจฉัน รังเกียจในสิ่งที่ฉันเป็น...เป็นยัยคนพิการ ฉันจำใจออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกลา
ระหว่างที่ฉันขึ้นไปนั่งอยู่บนรถทัวร์ แม่ยืนมองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อยในสาเหตุที่ฉันต้องไปจากที่นี่ ขณะที่รถเคลื่อนออกไปช้าๆ แม่วิ่งตาม และโบกมือลา แม่วิ่งตามมาเรื่อยๆ และไม่สามารถจะวิ่งตามได้อีก เพราะความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ฉันเปิดกระจกมองดูแม่ ร่างของแม่ที่หดเล็กลงเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนไม่สามารถมองเห็นแม่ได้อีก
จากนั้นฉันก็เอนหลังพิงกับเบาะ และพริ้มตาแล้วหลับไป แต่ก็หลับได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะรู้สึกว่าจะมีอะไรหนักๆมาทับตักฉัน
“ขอโทษค่ะ ฉันตั้งหลักไม่ได้เลยล้มทับคุณ”
เธอกล่าวพร้อมลุกออกจากตักฉัน
“เธอ/เธอ”
เราต่างพูดขึ้นพร้อมกัน มองหน้าของกัน และกันอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นฉันกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบ้างอย่างออกไป แต่ก็ต้องรู้สึกสะดุ้งตกใจอีกครั้ง แต่เป็นการตกใจที่มากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะจู่ๆ รถทัวร์ที่ฉันโดยสารมากำลังหมุนคว้าง ทำฉันตาลายจนต้องหลับตาลง
เสียงกรีดร้องตกใจเกิดขึ้นรอบๆตัวฉัน สักพักฉันก็เหมือนกำลังจะถูกเหวี่ยงด้วยพละกำลังของอะไรสักอย่างออก
ทางหน้าต่างรถที่ฉันเปิดทิ้งค้างเอาไว้ พยายามคว้านหาหลักยึด แต่ฉันกลับคว้าได้เพียงแค่กระเป๋าใบหนึ่ง เป็นของ
ใครก็มิอาจทราบได้ ฉันทำได้เพียงปล่อยให้ตัวเองปลิวไปตามแรงเหวี่ยง และแรงกระแทก
ฉันจะตายไหมนะ...แต่ตายไปก็ดีทุกอย่างมันจะได้จบลงเพียงเท่านี้...ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องกิน ไม่ต้องหายใจ และถูกขังอยู่กับความมืดมิดตลอดกาล.......
หัวของฉันกระแทกเข้ากับอะไรบ้างอย่าง ด้วยความแรง และฉันก็แน่นิ่งไปพร้อมกับความมืดกระดำ กระด่าง ปกคลุมตัวฉันไว้ทั้งหมด
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด..........
โครม!
ตูม!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ