เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]
9.8
เขียนโดย บุหงา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.
29 ตอน
6 วิจารณ์
35.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1 -100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ~1~
คำสารภาพนั้น...
มีคนเคยบอกไว้ว่า ให้มองดวงดาว แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่อธิษฐานไว้นั้นจะเป็นจริงไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง....ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานมันทุกวัน
‘โปรดอย่าให้ฉันพบเจอกับความรักที่ไม่สมหวังเหมือนกับแม่ด้วยเถิด’
ฉันอธิษฐานมันทุกครั้งในยามที่มองไปยังท้องฟ้าในคำคืนที่ไร้เมฆมาบดบัง อืม....แต่ดูท่ามันจะไม่เป็นจริงเลยสักครั้งที่ฉันเฝ้าอธิษฐาน แต่ฉันก็ยังคงเฝ้าอธิษฐานมัน รึว่ามันจะเป็นสิ่งที่ฉันชินชาเสียแล้ว พอคิดจะเลิก แต่เมื่อสายตาเหลือบแลไปเห็นดวงดาวบนฝากฟ้าอันไกลโพ้น ก็อดไม่ได้ที่จะประสานมือไว้ในระดับอก พริ้มตาลง และอธิษฐานมันทุกครั้ง
เวลา 16 . 50 น. หลังเลิกเรียน ฉันกลับบ้านตามลำพัง เพราะนายซันเพื่อนที่ฉันเฝ้าอธิษฐานกับดวงดาวเสมอมา เขาอยู่ซ้อมกีฬา...ฉันแวะร้านสะดวกซื้อ แกร่วไปอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ กวาดสายตาไปอย่างคาดหวัง และในหัวก็คิดว่า ระบบสุริยะ ฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา หน้าปกเขียนเอาไว้ด้วยตัวหนังสือหนา และใหญ่กว่าบรรดาตัวหนังสืออื่นๆ ที่อยู่รวมปกในหนังสือเล่มนี้ว่า.... อธิษฐานรักจากดวงดาว....เป็นหนังสือประเภทนวนิยาย
จากนั้นฉันพลิกกลับไปดูปกหลังของหนังสือ มีตัวหนังสือเขียนบอกวิธีการสารภาพรักอย่างขี้ขลาดของสาวน้อยคนหนึ่ง โดยการเขียนข้อความสารภาพรักไว้ในหน้าใดหน้าหนึ่ง ของหนังสือ แล้วเอาไปให้คนที่เธอแอบชอบอ่าน
‘อืม......น่าสนใจแฮะ’
ที่บอกว่าน่าสนใจก็เพราะ ฉันเองก็เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่มีอาการขี้ขลาดในเรื่องแบบนี้เช่นกันฉันกับซันสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน.......
ตอนที่ยังเป็นเด็ก เรามักจะเล่นด้วยกันเสมอ เราจะพากันไปวิ่งที่ลานกว้าง ไปปืนต้นไม้ ไปปั่นจักรยาน พอเหนื่อยก็พากันล้มตัวลงนอนบนผืนหญ้าที่ลานกว้างมองดูท้องฟ้า
“ดาว....... โตขึ้นอยากเป็นอะไรเหรอ?”
ซันถามฉันขึ้นเมื่อตอนเราอายุหกขวบ
“ไม่รู้ล่ะ.......แล้วซันล่ะ....อยากเป็นอะไร?”
ฉันตอบไปโดยไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากเป็นอะไร และก็ถามเขากลับไปบ้าง
“ฉันอยากเป็นนักวิ่งที่ชนะ ได้รับเหรียญทองจากโอลิมปิก”
“อ๋อ.......เหรอ”
คงเป็นเพราะ ครอบครัวของเขาเป็นนักกีฬากันทั้งบ้าน สิ่งที่เขาใฝ่ฝัน จึงไม่พ้นเรื่องกีฬา ซึ่งพอฉันได้ยินซันพูดมา
แบบนั้น ฉันตาเป็นประกาย และเกิดมีแรงบันดาลใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อ่า..ฉันก็อยากเป็นนักกีฬาวิ่งแข่งเหมือนกัน”
ฉันตอบเขาไปด้วยดวงตาที่แปล่งประกายกว่าเดิมหลายเท่า
“เฮ้..ยัยเด็กบ้าอย่าเลียนแบบเค้าซี่ หัดคิดเองไม่ได้รึไง”
เขาเอ็ดฉันเสียงแข็ง แต่ดวงตาของเขากำลังยิ้ม
“เก๊าะเค้าอยากเป็นนักวิ่งจริงๆ นี่นา”
ฉันยืนกรานกับเขาเสียงอ่อย
“อะไร?... เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่รู้จะเป็นอะไรเลยนี่นา”
“เอ้า!! ก็ตอนนั้นไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้วนี่นา”
“ยัยเด็กติงต๊อง”
เขาว่า พรางยกมือลูบหัวฉันเบาๆ
“เราจะเข้าทีมชาติด้วยกันเหนาะ”
ฉันกับเขาได้เกี่ยวก้อยสัญญากันไว้ที่ลานกว้างแห่งนั้น ตอนขึ้นมัธยมต้น เราก็ฉายแววความเป็นนักวิ่งเท้าไฟ ออกมาทันที เหตุจากการที่เราซ้อมวิ่งด้วยกันทุก ๆ เช้า และเย็นหลังเลิกเรียน ไม่ใช่แค่เสริมสร้างความแข่งแกร่งให้กับร่างกายเท่านั้น แต่มันยังเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างของฉันเอาไว้ด้วย นับวันรากแก้วแห่งความผูกพันก็ฝังลึกลงไป และเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขา ผลใบเขียวขจีให้ร่มเงาแก่จิตใจแถมยังจะผลิแย้มดอกความรักที่ลึกซึ้งตรึงใจ ในจิตใจดวงน้อยๆของฉันด้วย
ฉันแอบหลงรักซันเพื่อนสนิทคนนี้มานานแล้ว หลงรักทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้กัน ฉันรักรอยยิ้ม รักเสียงหัวเราะ รักแม้กระทั่งรอยหยดน้ำตาของเขา เขาเป็นทั้งแรงบันดาลใจของฉัน เป็นคู่แข่ง และเป็นทั้งคนที่คอยปลุกปลอมให้กำลังใจยามที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้า และเกิดอาการท้อแท้ขึ้นมา อาจจะถือว่าเขาเป็นทุก ๆ อย่างของฉันเลยก็ว่าได้ เพราะแม้กระทั่งตอนที่ฉันถูกรถชน เขาก็เป็นคนช่วยเหลือฉัน
วันนั้นหลังเลิกเรียน.......วันที่ฉันโดนรถชน ฉันจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว เพราะซันติดเวรทำความสะอาดที่โรงยิม ฉันเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างเป็นปกติ เดินไปได้สักพักก็ต้องชะงักฝีเท้าลง ตาเหลือกโพลนขึ้นด้วยความตกใจ เพราะมีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่กลางถนน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีผลที่ทำให้ฉันตกใจสักเท่าไร
แต่รถปิกอัพสี่ประตูคันใหญ่ คันนั้นขับพุ่งออกมาจากหัวมุมถนนด้วยความเร็วต่างหากที่ทำให้ฉันมีอาการเช่นนั้น แน่นอนเด็กชายตัวน้อยคนนั้นมองไม่เห็นรถคันนั้นแน่ เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ วินาทีที่รถกำลังจะพุ่งเข้าใส่ร่างน้อยๆ คนขับพยายามเหยียบเบรกรถตัวโกงแต่ดูท่าจะสายไปเสียแล้ว เหตุเพราะรถพุ่งออกมาจากหัวมุมถนน จะมองเห็นร่างน้อยๆร่างนั้นในระยะไกล เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
จู่ๆ เท้าของฉันก็เป็นไปตามด้วยสัญชาตญาณของการเป็นนักวิ่ง พุ่งตัวออกไปเข้าปะทะเด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้ดวงตาเหลือกโพลนอย่างเช่นฉันในตอนแรก
ร่างน้อย ๆ กระเด็นโด่งออกไปนอกบริเวณถนน และลอยระลิ่วไปกระทบลงบนฟุตบาท ฉันยืนมองผลงานของตัวเองด้วยความโล่งใจ เพราะเด็กคนนั้นไม่เป็นอะไรมาก แต่แล้วเสียงแตร่รถก็ดังสนั่นจนแสบแก้วหูของฉัน เหมือนว่าดังอยู่ข้าง ๆ หูของฉันนี้เอง วินาทีที่ฉันหันไปมอง กลับพบว่าร่างของฉันเองกลับถูกแรงมหาสารงัดให้ลอยขึ้นอย่างรุนแรง และอีกไม่กี่วินาทีก็ตกกระทบลงบนพื้นอีกครั้ง..ก่อนที่สติของฉันจะลอยล่องไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อฉันด้วยความตกใจอยู่แว่วๆ และฉันก็แน่นิ่งไป
“ดาว!! ไม่นะ........... ดาว”
ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้ต่างเข้ามามุ่งดูซันที่ร้องไห้จนตัวโยน ในโอบแขนมีฉันที่ไร้สติ ตระกองกอดอยู่ เลือดไหลนองอยู่เต็มพื้นผิวถนน
“ช่วยด้วยครับช่วยเพื่อนผมด้วยครับ”
ฮื่อๆๆๆ
“ดาว!! อย่าเป็นอะไรนะดาว.....”
เมื่อซันร้องขอความช่วยเหลือกับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ทุกคนจึงได้สติรีบโทรฯ เรียกรถพยาบาลทันที
ฉันขาหัก ซี่โคร่งร้าว และเสียเลือดมาก เพราะกว่ารถพยาบาลจะมารับก็ใช้เวลานานมาก และซันก็เป็นคนต่อชีวิตของฉัน ที่เกือบจะสิ้นลมปราณไปแล้ว เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีกรุ๊ปเลือดที่ฉันต้องการ ซันจึงเอาเลือดของเขาให้กับฉันแทน ฉันต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานเกือบปี กว่าจะมาใช้ชีวิตตามปกติได้
“ฉันจะเข้าทีมชาติให้ได้ และจะเอาเหรียญทองมาฝากเธอเองนะ”
ซันกล่าวขึ้นกับฉัน ในวันหนึ่งที่เขามาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล พร้อมกับกุมมือฉันไว้แน่นเพื่อเป็นการสัญญา
“สู้เขานะ ซัน...”
ฉันกล่าวขึ้น และยิ้มให้เขา เพราะเชื่อว่าเขาต้องทำได้ การที่ฉันพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยที่มีซันแวะมาเยี่ยมทุกวันแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกรักเขาเพิ่มมากขึ้น แต่ฉันไม่เคยที่จะกล้าเอ่ยปากบอกรักเขา และไม่รู้ถ้าบอกไปแล้วเขาจะคิดแบบเดียวกับฉันรึเปล่า ก็ได้แต่อธิษฐานกับดวงดาวที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงได้เมื่อไร
แต่ฉันก็อยากจะบอกรักเขาอยู่ดี และตอนนี้ฉันก็ได้วิธีบอกรักที่ฉันคิดว่ามันเหมาะกับคนที่ขี้ขลาดตาขาวอย่างฉันแล้ว ฉันจึงหยิบหนังสือเล่มนั้น “อธิษฐานรักจากดวงดาว” ไปจ่ายเงินที่หน้าเคาเตอร์ และไปหย่อนกายลงนั่งหน้าร้าน จากนั้นเปิดกระเป๋าเป้หยิบปากกาออกมา ฉันกางหน้าหนังสือเล่มนั้นออก ปรากฏว่ามันเป็นหน้าที่ 179 และก็ลงมือเขียนคำ ๆ นั้นที่อยู่ในใจของฉันมานานแล้วในทันที
...ซัน ฉันรักนาย...
ฉันเขียนเอาไว้มุมขวาบนของหนังสือ เพราะรู้ดีว่าเวลาคนเราเวลาอ่านหนังสือ ระดับสายตาของคนเรา มักจะมองไปมุมขวาบนของหนังสือก่อนเสมอ และถ้าเขาเปิดอ่านหนังสือจนมาถึงหน้านี้ล่ะก็เขาจะได้รู้สักทีว่าฉันแอบหลงรักเขา ฉันคิดขึ้นพร้อมกับระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ซันเป็นคนที่มีความหมายกับฉันมากเขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และเมื่อฉันได้รับประสบอุบัติเหตุจนขาหัก เขาก็คอยดูแลฉันมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความหมายกับฉันขึ้นไปอีก ซึ่งในใจก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่า...เราอาจจะใจตรงกัน การที่เขาทำดีกับฉันขนาดนั้น ทำให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก ใช่ไหม?
อ้อ..อีกอย่างช่วงที่ฉันออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ ฉันเดินไม่ค่อยถนัดนัก เขาก็เป็นคนแบกฉันขึ้นหลังไป – กลับจากโรงเรียนทุกวัน นั่นยิ่งเป็นการกระทำที่เพิ่มความปลาบปลื้มใจให้แก่ฉันเป็นอย่างมาก………..
คำสารภาพนั้น...
มีคนเคยบอกไว้ว่า ให้มองดวงดาว แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่อธิษฐานไว้นั้นจะเป็นจริงไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง....ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานมันทุกวัน
‘โปรดอย่าให้ฉันพบเจอกับความรักที่ไม่สมหวังเหมือนกับแม่ด้วยเถิด’
ฉันอธิษฐานมันทุกครั้งในยามที่มองไปยังท้องฟ้าในคำคืนที่ไร้เมฆมาบดบัง อืม....แต่ดูท่ามันจะไม่เป็นจริงเลยสักครั้งที่ฉันเฝ้าอธิษฐาน แต่ฉันก็ยังคงเฝ้าอธิษฐานมัน รึว่ามันจะเป็นสิ่งที่ฉันชินชาเสียแล้ว พอคิดจะเลิก แต่เมื่อสายตาเหลือบแลไปเห็นดวงดาวบนฝากฟ้าอันไกลโพ้น ก็อดไม่ได้ที่จะประสานมือไว้ในระดับอก พริ้มตาลง และอธิษฐานมันทุกครั้ง
เวลา 16 . 50 น. หลังเลิกเรียน ฉันกลับบ้านตามลำพัง เพราะนายซันเพื่อนที่ฉันเฝ้าอธิษฐานกับดวงดาวเสมอมา เขาอยู่ซ้อมกีฬา...ฉันแวะร้านสะดวกซื้อ แกร่วไปอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ กวาดสายตาไปอย่างคาดหวัง และในหัวก็คิดว่า ระบบสุริยะ ฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา หน้าปกเขียนเอาไว้ด้วยตัวหนังสือหนา และใหญ่กว่าบรรดาตัวหนังสืออื่นๆ ที่อยู่รวมปกในหนังสือเล่มนี้ว่า.... อธิษฐานรักจากดวงดาว....เป็นหนังสือประเภทนวนิยาย
จากนั้นฉันพลิกกลับไปดูปกหลังของหนังสือ มีตัวหนังสือเขียนบอกวิธีการสารภาพรักอย่างขี้ขลาดของสาวน้อยคนหนึ่ง โดยการเขียนข้อความสารภาพรักไว้ในหน้าใดหน้าหนึ่ง ของหนังสือ แล้วเอาไปให้คนที่เธอแอบชอบอ่าน
‘อืม......น่าสนใจแฮะ’
ที่บอกว่าน่าสนใจก็เพราะ ฉันเองก็เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่มีอาการขี้ขลาดในเรื่องแบบนี้เช่นกันฉันกับซันสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน.......
ตอนที่ยังเป็นเด็ก เรามักจะเล่นด้วยกันเสมอ เราจะพากันไปวิ่งที่ลานกว้าง ไปปืนต้นไม้ ไปปั่นจักรยาน พอเหนื่อยก็พากันล้มตัวลงนอนบนผืนหญ้าที่ลานกว้างมองดูท้องฟ้า
“ดาว....... โตขึ้นอยากเป็นอะไรเหรอ?”
ซันถามฉันขึ้นเมื่อตอนเราอายุหกขวบ
“ไม่รู้ล่ะ.......แล้วซันล่ะ....อยากเป็นอะไร?”
ฉันตอบไปโดยไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากเป็นอะไร และก็ถามเขากลับไปบ้าง
“ฉันอยากเป็นนักวิ่งที่ชนะ ได้รับเหรียญทองจากโอลิมปิก”
“อ๋อ.......เหรอ”
คงเป็นเพราะ ครอบครัวของเขาเป็นนักกีฬากันทั้งบ้าน สิ่งที่เขาใฝ่ฝัน จึงไม่พ้นเรื่องกีฬา ซึ่งพอฉันได้ยินซันพูดมา
แบบนั้น ฉันตาเป็นประกาย และเกิดมีแรงบันดาลใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อ่า..ฉันก็อยากเป็นนักกีฬาวิ่งแข่งเหมือนกัน”
ฉันตอบเขาไปด้วยดวงตาที่แปล่งประกายกว่าเดิมหลายเท่า
“เฮ้..ยัยเด็กบ้าอย่าเลียนแบบเค้าซี่ หัดคิดเองไม่ได้รึไง”
เขาเอ็ดฉันเสียงแข็ง แต่ดวงตาของเขากำลังยิ้ม
“เก๊าะเค้าอยากเป็นนักวิ่งจริงๆ นี่นา”
ฉันยืนกรานกับเขาเสียงอ่อย
“อะไร?... เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่รู้จะเป็นอะไรเลยนี่นา”
“เอ้า!! ก็ตอนนั้นไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้วนี่นา”
“ยัยเด็กติงต๊อง”
เขาว่า พรางยกมือลูบหัวฉันเบาๆ
“เราจะเข้าทีมชาติด้วยกันเหนาะ”
ฉันกับเขาได้เกี่ยวก้อยสัญญากันไว้ที่ลานกว้างแห่งนั้น ตอนขึ้นมัธยมต้น เราก็ฉายแววความเป็นนักวิ่งเท้าไฟ ออกมาทันที เหตุจากการที่เราซ้อมวิ่งด้วยกันทุก ๆ เช้า และเย็นหลังเลิกเรียน ไม่ใช่แค่เสริมสร้างความแข่งแกร่งให้กับร่างกายเท่านั้น แต่มันยังเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างของฉันเอาไว้ด้วย นับวันรากแก้วแห่งความผูกพันก็ฝังลึกลงไป และเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขา ผลใบเขียวขจีให้ร่มเงาแก่จิตใจแถมยังจะผลิแย้มดอกความรักที่ลึกซึ้งตรึงใจ ในจิตใจดวงน้อยๆของฉันด้วย
ฉันแอบหลงรักซันเพื่อนสนิทคนนี้มานานแล้ว หลงรักทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้กัน ฉันรักรอยยิ้ม รักเสียงหัวเราะ รักแม้กระทั่งรอยหยดน้ำตาของเขา เขาเป็นทั้งแรงบันดาลใจของฉัน เป็นคู่แข่ง และเป็นทั้งคนที่คอยปลุกปลอมให้กำลังใจยามที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้า และเกิดอาการท้อแท้ขึ้นมา อาจจะถือว่าเขาเป็นทุก ๆ อย่างของฉันเลยก็ว่าได้ เพราะแม้กระทั่งตอนที่ฉันถูกรถชน เขาก็เป็นคนช่วยเหลือฉัน
วันนั้นหลังเลิกเรียน.......วันที่ฉันโดนรถชน ฉันจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว เพราะซันติดเวรทำความสะอาดที่โรงยิม ฉันเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างเป็นปกติ เดินไปได้สักพักก็ต้องชะงักฝีเท้าลง ตาเหลือกโพลนขึ้นด้วยความตกใจ เพราะมีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่กลางถนน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีผลที่ทำให้ฉันตกใจสักเท่าไร
แต่รถปิกอัพสี่ประตูคันใหญ่ คันนั้นขับพุ่งออกมาจากหัวมุมถนนด้วยความเร็วต่างหากที่ทำให้ฉันมีอาการเช่นนั้น แน่นอนเด็กชายตัวน้อยคนนั้นมองไม่เห็นรถคันนั้นแน่ เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ วินาทีที่รถกำลังจะพุ่งเข้าใส่ร่างน้อยๆ คนขับพยายามเหยียบเบรกรถตัวโกงแต่ดูท่าจะสายไปเสียแล้ว เหตุเพราะรถพุ่งออกมาจากหัวมุมถนน จะมองเห็นร่างน้อยๆร่างนั้นในระยะไกล เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
จู่ๆ เท้าของฉันก็เป็นไปตามด้วยสัญชาตญาณของการเป็นนักวิ่ง พุ่งตัวออกไปเข้าปะทะเด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้ดวงตาเหลือกโพลนอย่างเช่นฉันในตอนแรก
ร่างน้อย ๆ กระเด็นโด่งออกไปนอกบริเวณถนน และลอยระลิ่วไปกระทบลงบนฟุตบาท ฉันยืนมองผลงานของตัวเองด้วยความโล่งใจ เพราะเด็กคนนั้นไม่เป็นอะไรมาก แต่แล้วเสียงแตร่รถก็ดังสนั่นจนแสบแก้วหูของฉัน เหมือนว่าดังอยู่ข้าง ๆ หูของฉันนี้เอง วินาทีที่ฉันหันไปมอง กลับพบว่าร่างของฉันเองกลับถูกแรงมหาสารงัดให้ลอยขึ้นอย่างรุนแรง และอีกไม่กี่วินาทีก็ตกกระทบลงบนพื้นอีกครั้ง..ก่อนที่สติของฉันจะลอยล่องไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อฉันด้วยความตกใจอยู่แว่วๆ และฉันก็แน่นิ่งไป
“ดาว!! ไม่นะ........... ดาว”
ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้ต่างเข้ามามุ่งดูซันที่ร้องไห้จนตัวโยน ในโอบแขนมีฉันที่ไร้สติ ตระกองกอดอยู่ เลือดไหลนองอยู่เต็มพื้นผิวถนน
“ช่วยด้วยครับช่วยเพื่อนผมด้วยครับ”
ฮื่อๆๆๆ
“ดาว!! อย่าเป็นอะไรนะดาว.....”
เมื่อซันร้องขอความช่วยเหลือกับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ทุกคนจึงได้สติรีบโทรฯ เรียกรถพยาบาลทันที
ฉันขาหัก ซี่โคร่งร้าว และเสียเลือดมาก เพราะกว่ารถพยาบาลจะมารับก็ใช้เวลานานมาก และซันก็เป็นคนต่อชีวิตของฉัน ที่เกือบจะสิ้นลมปราณไปแล้ว เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีกรุ๊ปเลือดที่ฉันต้องการ ซันจึงเอาเลือดของเขาให้กับฉันแทน ฉันต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานเกือบปี กว่าจะมาใช้ชีวิตตามปกติได้
“ฉันจะเข้าทีมชาติให้ได้ และจะเอาเหรียญทองมาฝากเธอเองนะ”
ซันกล่าวขึ้นกับฉัน ในวันหนึ่งที่เขามาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล พร้อมกับกุมมือฉันไว้แน่นเพื่อเป็นการสัญญา
“สู้เขานะ ซัน...”
ฉันกล่าวขึ้น และยิ้มให้เขา เพราะเชื่อว่าเขาต้องทำได้ การที่ฉันพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยที่มีซันแวะมาเยี่ยมทุกวันแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกรักเขาเพิ่มมากขึ้น แต่ฉันไม่เคยที่จะกล้าเอ่ยปากบอกรักเขา และไม่รู้ถ้าบอกไปแล้วเขาจะคิดแบบเดียวกับฉันรึเปล่า ก็ได้แต่อธิษฐานกับดวงดาวที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงได้เมื่อไร
แต่ฉันก็อยากจะบอกรักเขาอยู่ดี และตอนนี้ฉันก็ได้วิธีบอกรักที่ฉันคิดว่ามันเหมาะกับคนที่ขี้ขลาดตาขาวอย่างฉันแล้ว ฉันจึงหยิบหนังสือเล่มนั้น “อธิษฐานรักจากดวงดาว” ไปจ่ายเงินที่หน้าเคาเตอร์ และไปหย่อนกายลงนั่งหน้าร้าน จากนั้นเปิดกระเป๋าเป้หยิบปากกาออกมา ฉันกางหน้าหนังสือเล่มนั้นออก ปรากฏว่ามันเป็นหน้าที่ 179 และก็ลงมือเขียนคำ ๆ นั้นที่อยู่ในใจของฉันมานานแล้วในทันที
...ซัน ฉันรักนาย...
ฉันเขียนเอาไว้มุมขวาบนของหนังสือ เพราะรู้ดีว่าเวลาคนเราเวลาอ่านหนังสือ ระดับสายตาของคนเรา มักจะมองไปมุมขวาบนของหนังสือก่อนเสมอ และถ้าเขาเปิดอ่านหนังสือจนมาถึงหน้านี้ล่ะก็เขาจะได้รู้สักทีว่าฉันแอบหลงรักเขา ฉันคิดขึ้นพร้อมกับระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ซันเป็นคนที่มีความหมายกับฉันมากเขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และเมื่อฉันได้รับประสบอุบัติเหตุจนขาหัก เขาก็คอยดูแลฉันมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความหมายกับฉันขึ้นไปอีก ซึ่งในใจก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่า...เราอาจจะใจตรงกัน การที่เขาทำดีกับฉันขนาดนั้น ทำให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก ใช่ไหม?
อ้อ..อีกอย่างช่วงที่ฉันออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ ฉันเดินไม่ค่อยถนัดนัก เขาก็เป็นคนแบกฉันขึ้นหลังไป – กลับจากโรงเรียนทุกวัน นั่นยิ่งเป็นการกระทำที่เพิ่มความปลาบปลื้มใจให้แก่ฉันเป็นอย่างมาก………..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ