Revamp ศึกนางฟ้าสยบทวยเทพ

8.2

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 16.32 น.

  24 ตอน
  4 วิจารณ์
  31.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 13.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) จำกัดเวลาที่นานเกินเหตุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     การแลกหมัดของนักสู้ต่างสายพันธุ์ทั้งสองสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วด้วยหัวเข่าที่ย่อลงสัมผัสพื้นหินเบื้องล่างพร้อมกับหยาดโลหิตสีแดงฉานที่ค่อยๆหลั่งรินออกจากร่างของเขาคนนั้น ในจังหวะเดียวกันนั้นเองท้องฟ้าซึ่งเคยสดใสจนมองเห็นสีฟ้าครามได้อย่างชัดเจนเริ่มจางลงกลายเป็นสีเทาที่แสนหดหู่



     แต่ลางสังหรณ์แย่ๆกลับไม่ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น เมื่อผู้ที่ใจกล้าพอจะออกจากสิ่งปลูกสร้างเมื่ออสุรกายในตำนานของหมู่บ้านเผยโฉมออกมานั้นไม่ได้มีแค่เด็กสาวผมดำเพียงคนเดียว


     "ดูท่าวันนี้ข้าจะเจอเรื่องสนุกๆเข้าแล้วสิ!" เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยกับตัวเองเบาๆระหว่างที่กำลังชมการประลองที่เล่นถึงเนื้ออยู่บนหลังคาที่ทำจากไม้อัดสีน้ำตาลชา


                                   "อย่าเพิ่งหมดแรงแค่นี้ล่ะ คุณเทพตกสวรรค์~"





     ร่างกายที่ต้องกรงเล็บที่แหลมจมอาจสามารถตัดได้แม้เหล็กกล้าประสานเข้ากับจิตใจที่ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีเมื่อก่อนหน้านี้นั้นเปรียบเหมือนยาแขนงคู่ที่จะเสริมประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกัน แต่น่าแปลกที่ยาตัวนี้ได้ทำให้ร่างของผู้ที่ถูกของมีคมบาดเป็นแผลลึกนั้นเกิดบาดแผลทางใจขั้นรุนแรงจนแทบจะพยุงร่างกายเอาไว้ไม่อยู่



     สิ่งเดียวที่ยังทำให้เธอคนนั้นยังคงยืนอยู่ได้นั้นก็เห็นจะมีเพียง "พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งจิตใจที่ยังไม่คิดจะถอดใจ"เท่านั้นเอง!



     ในขณะที่เรอากำลังกุมแผลที่อวัยวะส่วนที่นุ่มนื่มระดับ'S Class'เอาไว้ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่จู่โจมเข้าสู่เส้นประสาทอย่างไม่มีการเก็บซ่อนเอาไว้นั้น เธอก็เริ่มรู้สึกว่าสีผิวที่เริ่มคล้ำจากการอาบแดดกลางแจ้งเป็นเวลานานกำลังเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลที่เข้มขึ้นทุกขณะ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะสายตาที่เลือนรางลงไปของเธออย่างแน่นอน


     เว้นแต่ว่ากลางท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆสักก้อนจะมีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กว่าพญาอินทรีแห่งทุ่งหญ้ากรีนยาร์ดหรือพญามังกรซีกฟรีดกำลังลอยอยู่นิ่งๆอย่างสบายอารมณ์จนทำให้แสงตะวันที่อบอุ่นนั้นส่องลงมาไม่ถึงพื้นด้านล่างจนกลายเป็นเงาสีดำจางๆที่พื้นด้านล่าง



     แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่มีทางเลยที่ปีศาจอย่างเอลรอสจะมีไอปีศาจลอยคลุ้งออกจากร่างเป็นสีเขียวตะไคร่น้ำที่ดูสยองพองเกล้าได้ถึงเพียงนี้ ราวกับพลังปีศาจที่ยังลืมตาตื่นไม่เต็มที่ในร่างเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบแปดได้รับการเสริมพลังจากภายนอกไม่มีผิด

 

     และเมื่อเรอาเลิกคิดที่จะคาดเดาสาเหตุและเงยหน้ามองท้องฟ้าหลังจากที่หลบการรุกไล่อย่างต่อเนื่องของเอลรอสพร้อมทั้งสวนกลับเข้าที่กลางหลังจนชะงักไปชั่วครู่นั้นเอง แววตาที่ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วนอกจากความสิ้นหวังก็ค่อยๆขยายตัวออกทีละนิด จนในที่สุดมันก็เบิกโพลงขึ้นมา




      “สุริย...คราส!”



     เรอาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างแห่งความหวังของเหล่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนผืนปฐพียกเว้นเหล่าปีศาจนั้นค่อยๆถูกความมืดกลืนกินไปอย่างช้าๆ และท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเทาก็เป็นผลมาจากเหตุนี้เอง...


     แต่ลางสังหรณ์แห่งการต่อสู้ของเทพตกสวรรค์สาวก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะเทพตกสวรรค์นั้นได้รับพลังเสริมเป็นปริมาณมากจากแสงจันทร์และอีกเล็กน้อยจากแสงอาทิตย์ แต่จะไม่ได้รับอะไรเลยหากทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาซ้อนทับในแนวเดียวกัน



     ซึ่งผิดกับเหล่าปีศาจที่จะแข็งแกร่งที่สุดในช่วงสุริยคราส7-8นาทีนี้!!

 


     “ฉันก็เคยได้ยินเรื่องตำนานวันที่มือปราบมารจะเสียท่าให้ปีศาจระดับล่างเพียงตัวเดียวมาเหมือนกัน แต่ดันนึกไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ซะได้”



     เด็กสาวที่เริ่มจะกลายเป็นฝ่ายเกือบถูกสังหารมากขึ้นทุกๆวินาทีที่แสงสว่างถูกความมืดกลืนกินก้มหน้าลงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะสิ้นแสงในไม่ช้ามองตรงไปยังคู่ต่อสู้ที่ได้รับพลังปีศาจสูงยิ่งขึ้นทุกขณะด้วยความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา เป็นสายตาของเหยื่อที่ถูกนักล่าไล่ต้อนจนไม่เหลือที่ให้หนีอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่เหยื่อที่ถูกล่านั้นกลับเป็นผู้ที่ควรจะเป็นฝ่ายล่าเองเสียอีก

 

     “แค่’เคยได้ยิน’งั้นสินะ ช่างมันเถอะ! เพราะยังไงเทพตกสวรรค์ที่เอาใจออกห่างจอมเทพตกสวรรค์อาซาเซลอย่างเธอก็ต้องตายวันตายคืนอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันจะจัดคอร์สพิเศษสำหรับพวกลูกครึ่งอย่างเธอให้ก็แล้วกัน อยากจะตายแบบมีแค่แผลถูกเจาะสองรูที่ต้นคอหรือจะให้ฉีกร่างเป็นชิ้นๆจนเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจากเมืองหลวงตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหวเลยดีล่ะ”



     พิธีสวดส่งคนตายจบสิ้นเพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มผู้มีสายเลือดแวมไพร์ครึ่งหนึ่งสยายปีกสีดำแห่งปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนคมขวานออกกว้างเหมือนพญาอินทรีก่อนจะรวมพลังปีศาจเอาไว้ในมือทั้งสองข้างพุ่งเข้าใส่เด็กสาวที่อ่อนกว่าสองปีด้วยความเร่งสูงสุดหมายจะปลิดชีพเธอเสียก่อนที่จะได้มีโอกาสเปล่งเสียงสุดท้ายในชีวิตได้

     และเพื่อเป็นการชำระบัญชีแค้นให้กับบิดาของตนที่ถูกสายเลือดเดียวกับเด็กสาวฆ่าตายเมื่อสิบแปดปีก่อนด้วยเช่นกัน

 


     “มัวแต่รอฟังคำตอบก่อนตายของเธอไปก็เสียเวลาเปล่าๆ รีบๆจบธุระที่นี่ไปเลยดีกว่า!” กรงเล็บสีเทาขุ่นของเอลรอสกางออกเพื่อความสามารถในการฉีกทึ้งที่สูงที่สุด เพื่อไม่ให้เด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามต้องกลายเป็นเนื้อบดที่เอาไปหลอกขายเป็นเนื้อหมูเนื้อวัวก็ไม่มีใครสงสัยให้กลายเป็นข้อด่างพร้อยก่อนตาย


     ในขณะที่เด็กสาวกลับไม่มีการตอบสนองต่ออันตรายที่กำลังจะมาถึงตัวในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย ซ้ำดวงตาที่แฝงประกายแห่งความตื่นตะลึงจนถึงเมื่อสักครู่นี้ก็ค่อยๆหลับลงราวปราชญ์แห่งการสงครามที่กำลังชมการรำดาบที่ไร้ความเกรงขาม ทำให้เอลรอสรู้สึกไม่สบอารมณืเป็นอย่างมาก

 

     “เธอคิดจะกวนประสาทฉันไปถึงไหน ยัยเทพตกสวรรค์มาตุฆาต”


     คมเล็บของแวมไพร์ที่คมกริบดุจใบมีดสยบไททันตรงเข้าหาก้อนเนื้อที่อ่อนนุ่มระดับทริปเปิ้ลเอสด้วยความเร็วที่เกือบจะเทียบเคียงได้กับความเร็วเสียง และด้วยระยะที่ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงแหวกอากาศอยู่ห่างออกไปไม่ถึงครึ่งไม้บรรทัดนั้นเอง เปลือกตาที่ปิดสนิทของเด็กสาวก็เปิดออกอย่างช้าๆ

     เช่นเดียวกับแสงสะท้อนจากวงโคโรน่าที่กลายเป็นประกายเย็นเยือกราวกับแสงจันทร์จากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ

 

     แม้จะไม่มาก แต่ประกายที่สะท้อนจากนัยน์ตาของเรอานั้นกลับมีพลังสูงพอที่จะผนึกการขยับขั้นสุดท้ายของเอลรอสให้หยุดนิ่งไปได้ชั่วขณะ ราวกับเป็นความรู้สึกของบางสิ่งที่ไม่อาจพรรณนาเป็นรูปธรรมชัดเจนได้

 

     “ถึงเทพตกสวรรค์จะไม่ได้รับพลังจากสุริยคราสดังเช่นพวกปีศาจ แต่พลังที่ฉันเก็บออมเอาไว้ตลอดมาก็มากพอที่จะเอาชนะพวกระดับล่างอย่างนายได้แล้วล่ะน่า”

 

     ฉับพลันนั้นความรู้สึกไม่ดีก็บังเกิดขึ้นในหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะครึ่งหนึ่งของมนุษย์ปกติของแวมไพร์เลือดผสมจนทนอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เพราะในขณะนี้ต่อให้เขาจะได้รับพลังเพื่มขึ้นเป็นทวีคูณจากแสงตะวันที่ทับซ้อนกับแสงจันทร์ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับเรอาที่ปลดปล่อยพลังเกือบทั้งหมดออกมาในคราวเดียวได้เลย

     ต้องรอให้ความมืดกลืนกินดวงอาทิตย์ให้มากกว่านี้อีก!

 

     “ฉันจะจบเรื่องนี้ในเวลาสิบวินาทีเอง!” เรอาประกาศก้องด้วยความรู้สึกมั่นใจในความเหนือชั้นของตัวเอง

     “จะเอาชนะฉันในสิบวินาทีงั้นเหรอ..? ถ้าอย่างนั้นฉันจะล้มเธอในเวลาเพียงห้าวินาที!”


     เด็กสาวเลิกการต่อล้อต่อเถียงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ในมือทั้งสองข้างพร้อมกับประสานใจเข้าด้วยกันจนคมดาบถูกไอสีตะไคร่น้ำห่อหุ้มจนถึงปลายอณูเล็กๆเข้าฟาดฟันคู่ต่อสู้หมายจะให้ร่างขาดเป็นสองท่อน แต่เอลรอสก็ได้อาศัยความคล่องแคล่วและปีกทั้งสองในการหลบการโจมตีทั้งหมดขึ้นไปกลางอากาศ

     แต่เรอาก็ไม่ลดละปักดาบที่มือซ้ายเป็นหลักในการกระโดดไต่ระดับขึ้นไปให้ถึงตัวเอลรอสให้ได้ แม้ว่าไอพลังแห่งเทพตกสวรรค์จะสามารถฟันโดนเพียงอากาศรอบตัวของเขาเท่านั้นก็ตาม...

 


     {{สิบวินาที}}

 


     “ไม่เลวเลยสำหรับคนที่คิดจะต่อให้ แต่จากนี้ไปช่วยสยายปีกสีน้ำมันดินที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมาแล้วสู้กับฉันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่านะ”

 

     ร่างของเด็กสาวที่สามารถกระโดดขึ้นไปสูงกว่าหลังคาบ้านสองชั้นตกลงกระแทกพื้นหินด้านล่างจนกลายเป็นรอยแตกร้าวขนาดใหญ่จากมวลร่างกายที่สูงกว่ามนุษย์ทั่วไปทำให้เอลรอสเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นเรอาก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่สามารถเคลื่อนไหวบนสามมิติกลางอากาศเลยแม้แต่น้อย ซ้ำความคิดนั้นกลับจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเสียอีก

     “ฉันไม่มีความคิดที่จะออมมือให้กับคู่ต่อสู้ของฉันอยู่แล้ว! เพราะการต่อสู้แบบหมกเม็ดแล้วมาพูดทีหลังว่า’ฉันยังไม่ได้เอาจริงเท่านั้นแหละ’ สำหรับฉันถือเป็นการดูถูกความภาคภูมิของตัวฉันและคู่ต่อสู้ที่สุด!!”

 

     {{เก้าวินาที}}

 

     สายตาที่จับจ้องคู่ต่อสู้ราวกับเลนส์กล้องวิดีโอที่จับภาพการเปลี่ยนอิริยาบททุกท่วงท่าของเรอาเริ่มกดลงเหมือนจะเปลี่ยนมาใช้ระบบชัตเตอร์ธรรมดา พร้อมกันนั้นก็รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับเข้มข้นเอาไว้ในมือขวาก่อนจะชูมือขึ้นเหนือศีรษะเพื่อขยายรัศมีทำลายล้างให้เพิ่มพูนยิ่งกว่าเดิมก่อนจะปล่อยออกไป แต่ในจังหวะก่อนที่เรอาจะได้ยิงมวลพลังในมือออกไปนั้น เอลรอสที่ทนพิธียืดเยื้อของเธอไม่ได้ก็เป็นฝ่ายพุ่งลงมาหาเสียเอง

 

     “เธอบอกฉันเองว่าจะเอาชนะฉันในสิบวินาทีไม่ใช่หรือไง? ถ้าอย่างนั้นฉันจะโค่นเธอซะก่อนที่เวลาสิบวินาทีนั่นจะมาถึงก็แล้วกัน!”

     เอลรอสฉีกกรงเล็บที่มีหมอกสีเทาทึบหุ้มเป็นเปลือกนอกออกก่อนจะเงื้อแขนกลับเพื่อพลังทะลุทะลวงที่สูงขึ้นกว่าเดิม จนเมื่อร่างของทั้งสองเข้าใกล้กันจนต่างฝ่ายรู้สึกถึงกลิ่นกายที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายและหยาดเลือดของกันและกันได้

 

     {{แปดวินาที}}

 

     หมัดซ้ายของเรอาที่อาบด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าปะทะกับฝ่ามือขวาของเอลรอสอย่างตรงจังหวะทำให้แทบจะไม่ถูกเล็บที่คมดุจใบมีดทำอันตรายใดๆเลย และเมื่อร่างของทั้งสองสวนกันตามความเร็วคงเหลือของเด็กหนุ่มจากการถ่ายโอนไปให้เด็กสาว ในตอนนั้นเองที่มือขวาที่มีลูกพลังสีเขียวข้นของเธอได้ลดระดับลงเข้าปะทะกับแผ่นหลังของแวมไพร์หนุ่มอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกับสายตาที่แฝงด้วยจิตสังหารระดับรุนแรง

     ก็ถ้ามันเข้าปะทะกันตรงๆแล้วก็นะ...

 

     “ช้าไปจังหวะหนึ่งนะ ยัยเทพตกสวรรค์ ถ้าเธอเอาพลังนั่นมาใช้เล่นงานฉันตั้งแต่แรกก็คงจบไปแล้วแท้ๆ”

     “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปีศาจของนายค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่แสงอาทิตย์จางหายไปละก็...”

 

     เด็กสาวกัดฟันอย่างเจ็บใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวของแวมไพร์หนุ่มในการรับการโจมตีปิดฉากของเธอได้ และเมื่อเธอเชิดสายตาขึ้นไปด้านบนเพื่อจับเวลาสู่ขีดอันตรายของตัวเอง   ดวงอาทิตย์ก็ได้ถูกดวงจันทร์บดบังไปมากกว่าหนึ่งในสี่แล้ว

 

     และในจังหวะนั้นเองที่เรอาสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในมือซ้ายที่เอลรอสใช้ในการตั้งรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ มือข้างนั้นมีกลุ่มไอปีศาจที่เข้มข้นกว่าในมือข้างขวาที่ใช้เล่นงานเธอเสียอีก และยังไม่ทันที่เรอาจะคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ ร่างของพวกเธอทั้งสองก็ถูกแรงผลักจากสูนย์กลางการปะทะของพลังที่ต่างชนิดสองอย่างดันออกไปกระแทกกับกำแพงบ้านไม้ของใครก็ไม่รู้จนหักเป็นสองท่อน

 


     {{เจ็ดวินาที}}

 

     “น่าเสียดายนะแม่สาวน้อย อีกแค่นิดเดียวก็เล่นงานปีกฉันได้แล้วแท้ๆเชียว” เด็กหนุ่มพูดขึ้นเป็นทำนองชมเชยในขณะที่ริมฝีปากเต็มไปด้วยเลือด

     “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าสำหรับปีศาจแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เปรียบเหมือนยาพิษ...ไม่ใช่เหรอ” ซึ่งเรอาก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่

     “ใช่ ถ้าฉันไม่มีสายเลือดมนุษย์ครึ่งหนึ่งช่วยลดทอนความเจ็บปวด ป่านนี้ร่างของฉันคงถูกพลังของเธอเผาจนกลายเป็นผงโรยข้าวไปแล้วล่ะ”

 

      ทั้งสองกล่าวชมเชยกันพอเป็นพิธีก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากตำแหน่งที่พวกเขาลอยไปกระแทกขึ้นมาเตรียมบุกเข้าใส่กันอีกครั้งหนึ่ง แต่ในคราวนี้ใบหน้าของเรอากลับดูไม่มีความกังวลอะไรเลย เป็นใบหน้าของนักสู้ที่ได้ประลองฝีมือกับผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกันหรือเหนือกว่าขึ้นไปแล้ว

 

     “มีอะไร? ปากของฉันมีเขี้ยวยื่นเลยออกมาหรือไง” เอลรอสรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีจากสีหน้าที่ต่างออกไปของเด็กสาว

     “เปล่าหรอก ฉันก็แค่คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างนึงเท่านั้นแหละ อะไรบางอย่างที่อยากจะให้เพื่อนอีกสองคนที่แยกทางออกไปแล้วได้มาเห็นน่ะ”

 

     เด็กสาวเผยรอยยิ้มที่เคลือบไปด้วยคราบสีน้ำตาลจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเมื่อสัมผัสกับอากาศออกมาให้ปีศาจคู่อาฆาตทางสายเลือดชั่วชีวิตได้เห็น เป็นรอยยิ้มที่มีบางสิ่งเคลือบแฝงเอาไว้อยู่ นอกจากความสุขที่ได้ประมือกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า และความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายจนเนื้อฉีกเป็นแผลลึก

 

     {{หกวินาที}}

 

     “ฉันโชคดีมาก...ที่ได้นายมาเป็นคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของฉัน”

 

     เรอาเผยรอยยิ้มที่สดใสที่สุดดังเช่นที่เคยแสดงออกมาให้เพื่อนสาวคนแรกของเธอได้เห็นแก่เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะได้พบกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจะมีน้ำตาไหลออกมาลบรอยเลือดจนขาดหายเป็นแถบเปล่า ก่อนจะยกปลายดาบที่มือขวาขึ้นชี้ไปยังคู่ต่อสู้ของเธอด้วยสายตาที่แน่วแน่ที่จะเอาชนะ และในจังหวะเดียวกันนั้นเองที่มีดาบอีกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนมือซ้ายที่ไม่ได้ถืออะไรเอาไว้เลยจนถึงเมื่อครู่นี้จากความว่างเปล่า

 

     “ฉันจะไม่ตายที่นี่แน่...และจะไม่มีวันตายด้วย! เพราะสายเลือดอมตะที่ไหลเวียนอยู่ในกายของฉันนี่แหละ!”

 

     เอลรอสกัดฟันแน่นด้วยความหงุดหงิดที่ถูกท้าทายเมื่อก่อนหน้านี้ประสานกับความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเด็กสาวที่จับอาวุธยืนอยู่ตรงหน้าอย่างมั่นคงแม้จะต้องกรงเล็บของเขาไปหลายต่อหลายครั้งจนริมฝีปากเริ่มซีดแล้วก็ตาม แต่อีกความรู้สึกหนึ่งของเขากลับให้ความเคารพและยอมรับในความพยายามของเธอจากใจจริง

     แม้ว่าในขณะนั้นเด็กสาวจะเอ่ยคำพูดที่ไม่เป็นที่เจริยหูให้เขาฟังเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ก็ตาม

 

     “เอลรอส นายไม่เคยคิดบ้างเหรอว่า.....”

     จังหวะที่สายตาของทั้งสองสบเป็นแนวตรงกันตั้งแต่กระจกตาไปจนถึงเซลล์ประสาทรับแสง เรอาและเอลรอสก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งพร้อมโจมตีปิดฉากการต่อสู้ที่ฝืนขีดจำกัดของเด็กสาวมามากก่อนที่เส้นตายสิบวินาทีจะมาถึง หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงห้าวินาทีดังเช่นการเกทับของเด็กหนุ่มก็ไม่อาจทราบได้

 

    {{ห้าวินาที}}

 

     “....ความเป็นอมตะน่ะ มันช่างไร้สาระสิ้นดี!”

 

     การโจมตีของทั้งสองตรงเข้าหากันสองครั้งจนเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังกังวาลไปทั่วทั้งหมู่บ้านท่ามกลางเทือกเขาสูงที่รายล้อมเป็นกำแพงป้องกันเมฆฝนและลมมรสุมพัดพาความชื้นมาสู่เหล่าผู้อาศัยได้ยินถึงกันทั่ว และหลังจากที่ฝ่าเท้าของหนุ่มสาวทั้งสองสัมผัสพื้นหินที่แตกละเอียดเป็นเสียงกรอบแกรบแล้ว ก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปอีกเลย...

 

     อย่างน้อยก็ประมาณหนึ่งวินาทีนั่นแหละ

 

 

     {{สี่วินาที}}

 

     “อุ่บ!”

 

     การตั้งท่าหล่อล่ำซั่มสวยจบลงเมื่อหัวเข่าของฝ่ายหนึ่งทรุดลงสัมผัสพื้นกรวดก่อนจะยกมือขึ้นมากุมปากแผลที่ถูกของมีคมเฉือนเป็นแผลใหญ่มีเลือดไหลออกเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นเองที่ลมหายใจที่สูดเข้าลึกเพราะการทุ่มสมาธิไปยังจุดๆเดียวเริ่มสั่นขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ ร่างนั้นลดท่อนแขนที่เกร็งเป็นขั้นตอนเสริมความแข็งแรงลงอย่างหมดแรงก่อนจะไม่มีการกระดิกใดๆอีกต่อไป

 

     แต่นั้นก็คงไม่มากเท่ากับความลับอีกอย่างหนึ่งที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ของอีกฝ่ายหนึ่งถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน

 

     “ไม่เลวเลยนี่ ถึงกับใช้ความเร็วที่เหนือกว่าจังหวะหนึ่งปาดเนื้อที่’ไหล่’ของฉันออกไปได้ แถมยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์แฝงในคมดาบแพร่เข้ามาในแผลจนพันธนาการความเคลื่อนไหวของฉันได้ซะอีก แต่อาการบาดเจ็บแค่นี้น่ะไม่มีทางหยุดฉันเอาไว้ได้ตลอดหรอก เฮ้ย!!”

 

     ดวงตาทั้งสองของเอลรอสที่เหลียวกลับไปมองเด็กสาวที่สามารถทำร้ายร่างของเขาได้ทั้งภายนอกและภายในได้เบิกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อสิ่งที่เขามองเห็นจากด้านหลังของเธอคนนั้นก็คือ เสื้อผ้าเก่าๆที่ไม่มีการตัดแผ่นหลังให้ปีกแห่งเทพตกสวรรค์ได้สยายออกมาภายนอกได้เลย

 

     “ยัยเทพตกสวรรค์... คิดจะดูถูกฉันไปถึงไหน!” เอลรอสตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

 

 

     {{สามวินาที}}

 

     เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจากความคิดที่เหมือนกำลังถูกดูถูกความสามารถของแวมไพร์หนุ่มถูกส่งเข้าไปยังความรู้สึกประเมินสถานการณ์ของเทพตกสวรรค์สาวอย่างสุดกำลังเสียงจนเธอต้องหันหลังกลับมาตามจิตอาฆาตที่ถูกส่งออกมาทางแผ่นหลังตลอดเวลาพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับในมุมมองของเรอานั้น ความรู้สึกโกรธเจือน้อยเนื้อต่ำใจของเด็กหนุ่มเป็นได้เพียงอนัตตาที่ไม่มีอยู่จริงเท่านั้น

 

     “ถ้าเธอเก็บปีกแห่งรัตติกาลนั่นเอาไว้ไม่ให้ฉันเห็นก็ยังพอทน แต่นี่เล่นซุกเอาไว้มิดชิดไม่ให้มันได้กางออกมาเลย นี่เธอคิดว่ากำลังเผชิญหน้ากับปีศาจในสถานการณ์ไหนอยู่กันแน่!”

 

     เรอาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังจะกลายเป็นสีดำในอีกไม่กี่อึดใจด้วยสายตาที่ราวกับสละสิ้นซึ่งทุกสิ่งอย่างก่อนจะก้มลงมามองยังแวมไพร์หนุ่มอย่างไม่วางตา เว้นแต่เพียงความรู้สึกที่เหมือนกับจะมาเตือนถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดจากนี้ไม่นานได้เข้าครอบคลุมคำสั่งขยับร่างกายจนเริ่มไม่เป็นไปตามความต้องการของเธอทีละนิด

     จนในที่สุดร่างกายของเรอาก็ไม่ทำตามคำสั่งของตัวเอง

 

     “แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ”

 

 

     {{สองวินาที}}

 

     เอลรอสโมโหสุดขีดหลังจากที่ได้รับคำตอบที่มองมุมไหนก็ไม่น่าจะใช่คำตอบจนจิตใจส่วนที่กลั่นกรองการกระทำเริ่มไม่ทำตามคำสั่งของตัวเองไปอีกฝ่ายหนึ่ง และเพราะพลังปีสาจที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากสุริยคราสที่กำลังจะกลืนกินแสงอาทิตย์เต็มดวงในไม่ช้าก้ได้ทำให้สติการควบคุมตัวที่เหลือน้อยอยู่แล้วกลับจะยิ่งน้อยลงไปอีก

 

    เช่นนั้นเองที่ทำให้เรอากับเอลรอสเริ่มสะสมพลังในการโจมตีครั้งสุดท้าย

 

    “ทีนี้ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้เธอถึงพูดว่าจะจบเรื่องนี้ในสิบวินาที ไม่ใช่เพราะว่าเธอมั่นใจในความสามารถของตัวเองหรอก! ฉันคิดว่าสาเหตุมาจาก...”

 

     {{วินาทีสุดท้าย}}

 

     “....ที่เธอพุดว่าจะจบการต่อสู้นี้ในสิบวินาทีนั่น จริงๆแล้วเป็นการนับถอยหลังก่อนที่จะเกิดสุริยคราสเต็มดวง แล้วเมื่อถึงตอนนั้นพลังปีศาจของฉันจะเพิ่มพูนขึ้นจนเธอเอาชนะฉันไม่ได้ ที่ฉันพูดมามีจุดที่ผิดหรือเปล่า!!”

 

     เรอาที่สะสมพลังศักดิ์สิทธิ์แรงกล้าบนมือทั้งสองข้างที่กุมเอาไว้คล้ายกับท่าไม้ตายพิฆาตจักรวาลของวีรบุรุษผู้กำราบเจ็ดมังกรหลังจากการเดินทางไปทั่วอวกาศจบสิ้นลงเริ่มแสดงท่าทีตื่นออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นเล็กน้อย ในใจของเธอตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการรีบจบการต่อสู้นี้ให้ได้ก่อนสุริยคราสเต็มดวงจะปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเท่านั้น

     แม้ว่าขณะนี้ดวงอาทิตย์จะถูกบดบังไปจนแทบจะหมดทั้งดวงแล้วก็ตามที...

 

     “จบสิ้นกันซะที!!”

 

     เสียงร้องกลบความกังวลใจของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นพร้อมกันก่อนที่เท้าของเทพตกสวรรค์และปีสาจที่เปิดฉากการต่อสู้สิบวินาทีที่ยาวนานเหมือนสิบนาทีจะเตะออกเพื่อพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะเร่งได้ และในจังหวะก่อนที่การโจมตีของทั้งสองจะเข้าทำร้ายอีกฝ่ายนั้นเอง... สายตาที่ฉับไวของเรอาก็มองเห็นความผิดปกติอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากสุริยคราสที่สังเกตเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เข้า

 

     ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจจะอันตรายยิ่งกว่าพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของปีศาจภายใต้วงแสงโคโรน่าที่สะท้อนกลางท้องฟ้าเสียอีก

 

 

 

     {{จำกัดเวลาสิบวินาที... หมดลง}}

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา